ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) the planet ;offline |chankai lumin|

    ลำดับตอนที่ #7 : Sea's Bride (60%)

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 60







    The Planet ;OFFLINE


    | Sea's Bride |
     







    ' พี่ชายดูข้าสิ '


    ' ไค! เจ้าทำอะไร อย่าเอาอาวุธไปถือแบบนั้นนะ '


    เด็กหนุ่มหน้าละอ่อนรีบคว้าดาบจริงที่น้องชายของเขาถือวิสาสะเอาไปเล่น ซิ่วหมินถลึงตาใส่น้องชายที่เบ้ปากให้หยุดแม้แต่จะคิดแกล้งร้องไห้เสียงดัง ไครู้ว่าลูกไม้เก่าๆเขาใช้ไม่ได้อีกครั้ง เด็กน้อยจึงรีบรุดไปกอดแข้งขาพี่ชายตนที่กำลังเก็บดาบไว้ที่เดิม


    ' แต่ข้าอยากเป็นเหมือนพี่ ใครก็บอกว่าพี่เก่ง '


    ' เจ้าเป็นแบบพี่ได้ แต่ยังไม่ใช่เวลาเจ้าเด็กน้อย '


    พี่ชายขยี้เส้นผมจนฟูฟ่องคล้ายรังนก เด็กน้อยยิ่งเกาะขาแน่นพร้อมกดหน้าตัวเองกับขากางเกงของซิ่วหมิน


    ' แต่ข้าไม่อยากรอ พี่เก่ง อีกไม่นานพี่จะทิ้งข้าไปผจญภัย '


    เด็กน้อยตัดพ้อด้วยดวงตาแดงก่ำและสั่นไหว เด็กแถวบ้านมักพูดกรอกหูเขาหลายต่อหลายครั้งว่าพี่ซิ่วหมินของเขาคือทั้งเก่ง และฉลาด เปรียบเสมือนหัวกระทิของรุ่น และไม่นานก็คงได้เข้าวังไปรับราชการ


    ' ข้าไม่อยากถูกทิ้ง.... ไม่อยากถูกพี่ทิ้งเหมือนพ่อกับแม่ '


    แต่ไคไม่ได้ต้องการแบบนั้น เขาเกลียดหากพี่ชายจะต้องจากไป แต่เขาก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงเช่นกัน ....ทางเดียวที่เด็กน้อยมีคือต้องเก่งขึ้นเพื่อจะได้อยู่กับพี่ชาย


    ' ไค '


    ซิ่วหมินเรียกชื่อน้องอย่างอ่อนแรง เขาย่อลงไปกอดน้องชายแน่นพร้อมเอ่ยปลอบโยนด้วยหัวใจปวดร้าว สงสารเหลือเกินที่เด็กคนนี้ต้องมาเจอเรื่องราวน่าเศร้าอย่างการถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้อยู่กับพี่ชายลำพังตั้งแต่หย่านมแม่ได้ไม่นาน


    พูดได้ว่าเขาสองพี่น้อง เป็นชีวิตของกันและกัน


    ' พี่จะไม่ไปไหนนะ พี่จะไม่ทิ้งเจ้าหรอก '


    ' พี่.... ฮึก ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ อึก...แต่อย่าทิ้งผมนะ '


    ' ไม่มีวันเลยเจ้าขี้แย ใครจะทิ้งเจ้าได้ลงคอกันเล่าฮึ? อย่าห่วงเลย พี่จะรอคอยเจ้า ..แล้วสักวันหนึ่งเราจะออกไปข้างนอกด้วยกันนะ '


    หยดน้ำตาปริ่มขอบถูกปาดออกอย่าอ่อนโยน ซิ่วหมินจูบลงตรงหน้าผากมนของแก้วตาดวงใจหนึ่งเดียวที่เขามี เด็กน้อยสูดน้ำมูกจนจมูกแดงเถือกแล้วถามเสียงอ่อย


    ' จริงนะ '


    ' อือ '


    พี่ชายรับคำด้วยรอยยิ้ม ฝ่ายคนน้องนิ่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงควักเอาตัวทำพันธะสัญญาไปจ่อต่อหน้าอีกคน นิ้วก้อยโค้งตรงหน้าทำเอาซิ่วหมินกลั้นยิ้มกว้างไม่อยู่ เด็กน้อยของตนช่างน่าเอ็นดูเสียจริงๆ เจ้าหนูไคสูดจมูกแล้วกล่าวด้วยเสียงอ้อมแอ้ม


    ' เกี่ยวก้อยกันแล้ว สัญญาแล้วนะ '


    ' อื้อ '



    .
    .
    .




    "สัญญา..."


    เสียงแผ่วเบาราวกระซิบถูกกล่าวจากริมฝีปากบาง ซิ่วหมินค่อยๆเปิดเปลือกตาจากห้วงนิทราอันยาวนาน แสงรอบกายอันน้อยนิดทำให้เขาไม่ต้องใช้เวลามากในการปรับสายตา ร่างเล็กพยายามขยับร่างกายทว่าแม้เล็กน้อยแต่ข้อเท้าข้างหนึ่งของเขากลับถูกบางสิ่งตรึงไว้กับที่


    เคร้ง...


    เมื่อลองฟังเสียงและสัมผัสเย็น คงเป็นโซ่เหล็กเนื้อดีและแสนหนักมีประโยชน์ด้านการถ่วงเป็นอย่างดี อันที่จริงเขารู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่ามันคือโซ่ข้อเท้าที่สารเลวตัวหนึ่งมันเอามาตรึงเขาไว้ที่นี่ มันเป็นโลหะหายากที่ทนยิ่งกว่าชุดเกราะของวังหลวง ซ้ำร้ายยังมีการลงเวทมนต์ดูดกลืนพลังของผู้สวมใส่


    ต่อให้พยายามพังมันเท่าใดก็เท่ากับว่าทำร้ายตัวเองเท่านั้น มันยิ่งแข็งแกร่งเขายิ่งอ่อนแอ จะมีทางเดียวที่นำออกไปได้คือต้องให้ผู้ลงมนตรามาปลดปล่อยเท่านั้น


    และมันผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก...


    "ตื่นแล้วหรือที่รัก"


    ไอ้เศษสวะสมองกลวงนี่


    ลู่หานถือวิสาสะตวัดอ้อมแขนเข้ากอดเอวบางเข้าประชิดตัว จมูกโด่งรั้นกดลงตรงลำคอขาวสว่างพร้อมสูดกลิ่นหอมหวานอย่างรื่นรมย์ ผิดกับคนที่เข่นเคี้ยวฟัดจนสันกรามปูด ซิ่วหมินพยายามสะกดอารมณ์และความพะอืดพะอมของตนไว้ให้มากที่สุด ไร้ประโยชน์จะต่อต้านพวกโรคจิต เขาเคยโมโหจนลงมือกับคนตรงหน้า แต่อีกฝ่ายที่ฝีมือสูงกว่าแทบจะจัดการเขาได้ในเสี้ยวนาที


    "ไม่ดีดดิ้นแล้วเหรอ ว้า น่าเสียดาย"


    "วิปริต"


    "นี่รังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ"


    กัปตันเรือหัวเราะสมใจแล้วก็ปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ ก็แหม เขาไม่ใช่คนชอบฝืนใจใครสักหน่อย แล้วก็ไม่ชอบเคี้ยวเหยื่อให้ตายในทีเดียวด้วย


    ...ยิ่งเหยื่อน่ารักแบบนี้ ปล่อยให้ดิ้นไปก่อนเถอะ


    "แหม งั้นข้าไปให้พ้นหน้าที่รักก่อนแล้วกัน หายงอนเมื่อไหร่ก็ตามมานะจ๊ะ"


    เดินไปที่ประตูห้องพร้อมเสื้อเชิ๊ตยับๆสีขาว ลู่หานหันมาขยิบตาให้คนที่พร้อมกัดหัวตนอยู่รอมร่อ


    "อ่อ ลืมไป สุนัขไม่ถูกอนุญาตให้เดินไปไหนมาไหนได้นี่เนอะ"


    เอ่ยกล่าวหยอกล้อด้วยความรักก่อนจะจากไปเหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะเยาะที่จางไปตามลม ปล่อยทิ้งคนอารมณ์คุกรุ่นกัดฟันกรอด ชายหนุ่มผู้หลงใหลไปกับคำยั่วยุดึงทึ้งโซ่ข้อเท้าเอาเป็นเอาตายทว่าผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม


    "เวรเอ๊ย!!!"


    ทำไมๆๆๆๆๆๆ!! ซิ่วหมินตะโกนคำถามในใจ ทำไม! ทำไมต้องเป็นเขาที่ถูกมันเล่นตลกด้วย แทนที่เขาจะได้ไปตามหา แต่สุดท้ายกลับมาจมปลักอยู่กับไอ้เวรนี่ ทำไมๆๆๆๆ!!


    แม่งเอ๊ย!






    .
    .
    .






    "เฮ้ เจ้าผิวขาว"


    ซิ่วหมินฟื้นขึ้นมาจากอาการสัปหงกอย่างฉับพลันก่อนสะบัดศีรษะน้อยๆ ต้นเสียงเป็นลูกเรือหนุ่มผิวเข้มที่คาดผ้ากันเปื้อนเปรอะคราบน้ำมันและเขม่าควันซึ่งถือจานอาหารเข้ามาให้ห้องพัก เนื้อบางอย่างที่ถูกย่างส่งกลิ่นหอมประปนกับกลิ่นยาเส้นที่ถูกคาบไว้ด้วยริมฝีปากแห้งกร้าน ผู้มาเยือนจ้องหน้าซักพักก่อนเอ่ยจุดประสงค์การเยี่ยมเยียน


    "กัปตันลู่ให้เอาข้าวมาให้"


    "...."


    "หูหนวกเหรอเจ้าน่ะ"


    "ข้าไม่กินของศัตรู"


    "เฮ้ออออ เวรกรรมอะไรกันหนอ"


    ลูกเรือชุดผ้ากันเปื้อนขมวดคิ้ว แทบจะกระแทกจานอาหารบนโต๊ะข้างที่นอนใกล้คนผยองที่ถือทิฐิมากเสียจนดูหน้าโง่ในสายตาเขา


    "นี่แน่ะเจ้าคนเมือง ข้าจะบอกอะไรให้นะ เจ้าจะกินไม่กินไม่ใช่เรื่องของข้า จะปัดทิ้งปัดขว้างยังไงข้าก็ไม่เสียใจ คนในเรือพร้อมจะกินมันมีเกือบร้อย แค่คนๆเดียวที่อดอาหารประท้วงมันไม่น่าสรรเสริญอะไรหรอก เพราะพอเจ้าตายไป ศพก็แค่โยนลงทะเลให้ปลามันอิ่มท้อง ซึ่งถ้าเจ้าอยากจะตายแบบนั้นข้าก็คงห้ามไม่ได้"


    ซิ่วหมินเผลอสะอึกกับคำแทงใจถึงแม้ว่าเขาจะยังเชิดหน้าสูงอยู่ก็ตามแต่ คนเมืองคงรับความเสียหน้าไม่เก่งนักตามความคิดของลูกเรือหนุ่มซึ่งแสดงอาการหัวเสียหน่อยๆ แหงสิ เขาทำงานบนเรือนี้ในฐานะพ่อครัวหาใช่พี่เลี้ยงเด็กของกัปตันเสียเมื่อไหร่


    "กินๆเข้าไปซะ อีกครึ่งชั่วโมงข้าจะมาเก็บ"


    ผัวะ!


    ตวัดประตูห้องปิดสนิท พ่อครัวจึ่งเห็นคนสร้างปัญหาตัวโตกำลังยืนผิวปากอยู่ไม่ห่างไปนักพร้อมกับลูกเรือคนอื่นที่กำลังทำงานไปตามประสา กัปตันลู่หานยักคิ้วก่อนเอ่ยแซวตามประสาคนสนิท


    "ปากร้ายเสมอต้นเสมอปลายจริงๆเจ้านี่"


    "เอ้า ก็จริงนี่ จะกี่คนที่ถูกลักพาตัวมาก็ทำเป็นอดอาหารจนข้ารำคาญ ลูกเรือเราอิ่มเคยอิ่มท้องที่ไหนยังจะมาทำอาหารเสียเปล่าอีก! ถ้ามันปัดจานลงพื้นอีกข้าจะให้เจ้าเช็ดเองนะ"


    "กล้าขึ้นเสียงใส่กัปตันรึเจ้าคนครัว!"


    "ทำไม จะฆ่าข้าก็เอาสิ จะได้อดตายกันทั้งลำเรือ"


    ว่าแล้วพ่อครัวหนุ่มก็ไขว้แขนกอดอกมองกัปตันด้วยท่าทางยียวนไม่แพ้กัน เจ้านายเขาดิ้นเร่าๆพลางถลึงตาใส่เพราะรู้ดีว่าทำได้ก็แค่นั้น ตราบใดที่รอบข้างเขายังเซ็งแซ่ไปด้วยคำห้ามปรามจากลูกเรือคนอื่นๆแบบนี้


    "พี่ลู่ ถึงท่านจะเป็นกัปตันแต่ห้ามแตะพ่อครัวของเรานะพี่"


    "อาหารของเขา ถ้าเราขาดมีหวังได้ตายแน่"


    "ฝีมือท่านน่ะย่างนกยังไหม้เลยนะพี่"


    "เออๆๆๆๆๆ!! รู้แล้วโว้ย!!"




    .

    .

    .



    ' ไอ้ลู่หาน!!!! ชาติวิปริต!!!!! ไอ้เว๊ร!!!!!!! '


    ล่วงเข้ามาวันที่สามหรือสี่ที่เรือหนี่เมินได้รับสมาชิก(ที่ไม่เต็มใจมาด้วยนัก) กะลาสีทั้งหลายมักจะได้ยินคำผรุสวาทปนเสียงหัวเราะเยาะจางมากับลมทะเลจากห้องของกัปตันแทบทุกครั้งหลังเจ้าตัวเดินออกมา ยิ่งเวลาพลบค่ำวันนี้ที่ลูกเรือล้วนมากันครบหน้าครบตาในเวลามื้อเย็นต่างได้ยินคำอวยพรจากเมียใหม่เจ้านายกันถ้วนหน้าถ้วนตา บ้างถึงกับขบขันออกมาเป็นเสียง บ้างก็ส่ายหน้าตากับพฤติกรรมขี้แหย่ของพี่ใหญ่ของเรือ


    เจ้าหนุ่มอายุไม่มากนักผู้ง่วนอยู่กับการเก็บซากอารยธรรมหลังมื้ออาหารของเหล่าพี่น้องฉุกคิดคำถามบางอย่างได้จึงเอ่ยออกมา


    "พี่ลู่ ข้าว่าเอาเขาไปขังไว้แบบนั้นจะไม่ทรมานกันไปหน่อยหรือ เมียคนก่อนๆของท่านก็เห็นเอาพวกนางมาปล่อยเดินได้นี่นา"


    "จะบ้ารึไง จะให้นักบวชชั้นสูงมาเดินเพ่นพ่านบนเรือโจรเนี่ยนะ มีหวังโดนฆ่าตายยกเรือพอดี"


    เวรทำความสะอาดอีกคนโพล่งขึ้นแม้จะไม่ละมือจากหน้าที่ เขาลองนึกถึงคราวที่คนของทางการเดินตัวเปล่าไร้ตรวนไปมาบนเรือที่มีแต่เรื่องผิดกฏหมายและศีลธรรมลำนี้แล้วก็ได้แต่ขนลุกขนพอง


    "โว้วๆ ไอ้เวรนี่ นี่ข้ากัปตันลู่หานนะเว้ย ใครมันจะมาคว่ำเรือข้าได้วะ เดี๋ยวปั๊ดตบปากฉีก"


    "ก็กลัวเพราะท่านนั่นแหละพี่ลู่ กัปตันบ้าอะไรเอาแต่เมาเหล้าหัวราน้ำตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตก"


    "พูดหมาๆเดี๋ยวมึงจะไม่มีปากให้หมาเลีย ไปทำงาน!!"


    "ไปแล้วจ้า!!"


    ลับหลังลูกเรือ ลู่หานกลับมาหน้ามุ่ยอีกครั้งเมื่อสมองกลับไปคิดถึงเรื่องในอดีตบางอย่าง ฝ่ามือเรียวภายใต้ถุงมือหนังถูกยกขึ้นทุบตีศีรษะตัวเองแรงๆก่อนจะคว้าขวดเหล้าใกล้มือออกไปจากห้องอาหาร และไม่ลืมที่จะหยิบขวดสำรองไปเพิ่มด้วยความกลัวว่าเขาจำเป็นต้องพิงพามันอีก


    ชายหนุ่มกำลังทำตัวตามที่ลูกเรือเย้าหยอกอีกครั้ง ปากขวดเหล้าในมือถูกยกคว่ำจรดปากขณะที่สองเท้าลากผ่านขั้นบันไดไม้แผ่นไปยังชั้นสองของตัวเรือซึ่งเป็นสถานที่ๆเขาคิดว่ามันสามารถเห็นท้องฟ้า พระจันทร์ และดวงดาวได้สวยงามมากที่สุด


    ร่างโปร่งเท้าแขนกับริมระเบียงซี่กั้นของชั้นสองซึ่งเขาถือเป็นดาดฟ้าเรือ เมื่อมองลงไปจะเห็นลูกเรือกำลังทำกิจกรรมหลากหลายกัน บางคนกำลังพักผ่อนในขณะที่บางคนยังคงทำหน้าที่ หนี่เมินเต็มไปด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของลูกเรือ เช่นเดียวกับลมทะเลพัดโกรกผ้าใบและลูกทะเลทั้งหลายราวกับอวยพรให้หลับสบาย พระมารดาผู้เต็มไปด้วยความอารียังคงรักเขาและลูกเรือของเขาเฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา กัปตันเรืออมยิ้มน้อยๆให้กับสิ่งรอบข้าง


    ทว่าเมื่อลองเงยหน้ามองท้องนภาที่ถูกถักทอด้วยเส้นด้ายที่ดำ แซมด้วยแสงสว่างจากดวงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับภายในใจของเขากลับโหวงเบาและกลวงโบ๋ ลู่หานรู้ว่ามันเกิดจากอะไรแต่เขาก็โง่พอที่จะไม่รู้วิธีจัดการนอกเสียจากว่าอุดมันด้วยขวดเหล้าในมือก็พอแล้ว ถึงแม้มันจะไม่เคยเต็มไม่ว่าจะผ่านไปขวดแล้วขวดเล่าก็ตามที


    ร่างโปร่งทรุดตัวลงกระแทกกับพื้นโดยไม่ยั้งแรงจนชวนปวดก้นกบ ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังจะครึ้มเคราเชิดสูงเพื่อรับรสขมปร่าจากน้ำเมาที่ไหลลงลำคอไม่ขาดสาย


    อึก.... อึก... อึก....


    "คิดถึงใครอยู่รึไง"


    ชายหนุ่มชะงักกับเสียงกังวานของคนสนิท เต๋ออิงหรือเจ้าคนครัวจอมปีนเกลียวประจำเรือลากพาสารร่างผอมๆขึ้นมาจากแนวบันได ดวงตาสีเปลือกไม้เข้มตามภูมิลำเนาใกล้เคียงกันทอดมองคนที่เคยครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกขานว่าเจ้าแห่งท้องทะเลกำลังนั่งโงนเงนพิงระเบียงซี่กอดขวดเหล้าราวกับพวกไร้บ้านข้างถนนในภาวะป่วยใกล้ตายจากโรคสุราเรื้อรัง


    เขาและลูกเรือต่างก็รู้ดี ว่ากัปตันน่ะไม่ได้ป่วยแค่สุราเรื้อรังหรอก


    "ทำเป็นปากร้ายแต่สุดท้ายก็ยังไม่ลืม หือ กัปตันลู่นี่หน่อมแน้มกว่าที่คิดแฮะ"


    "จะให้บอกอีกกี่ครั้งข้าไม่ได้ชอบมัน"


    "ตอแหล"


    "ไอ้เวรนี่"


    "โถ่กัปตัน เรื่องฉาวของท่านน่ะขนาดพระมารดาผู้รักสงบยังรู้เลย"


    "เหอะ! มันผ่านไปแล้วก็ช่างมันสิวะ ตอนนี้สิ่งที่ต้องจัดการมีแค่เจ้าเด็กนั่น พรุ่งนี้ก็เป็นวันคืนจันทร์เต็มดวงแล้ว หวังว่างานคราวนี้จะไม่ล่มนะ"


    ด่าเสร็จผู้เป็นนายก็หันหน้าหนีเข้าซี่ระเบียง แผ่นหลังแอบแบบบางเอนน้อยๆเป็นเชิงว่าใบหน้าที่ตั้งตรงกำลังผินมองท้องฟ้าราตรีอยู่ เต๋ออิงส่ายหน้าแล้วล่วงยาสูบมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนแสนมอมแมม


    "แน่นอน เราทั้งหมดมารวมกันที่นี่ ก็เผื่องานของท่านกับเจ้าหนุ่มนั่น"


    "ดี หลังจากนั้นจงนำเขาไปปล่อยที่อาณาจักรตอนใต้นั่นเสีย น่าจะถ่วงเวลาไปได้อย่างน้อยซักฤดูกาล"


    "ตอนใต้เชียวรึ? ไม่เลือดเย็นไปหน่อยรึไง เขาไม่ใช่ลูกทะเลเหมือนเราๆนะท่าน ถึงจะเก่งแค่ไหนแต่ท่าทางแบบนั้น น่ากลัวจะถ่วงได้เป็นปี"


    "ชิ จะอะไรนักหนากะอีแค่เหยื่อน่ะ ยังไงข้าก็จับมันมาเพื่อสังเวยอยู่แล้ว ถ้าเป็นห่วงกันนักเจ้าก็ลงไปอยู่กับมันเลยไป"


    "กลายเป็นคนแล้งน้ำใจตั้งแต่เมื่อใดเล่ากัปตัน"


    "ข้าเปล่า!"


    เต๋ออิงหัวเราะขันเบาๆ เขาเหลือบมองเส้นไปจากยาสูบแล้วตัดสินใจนั่งลงบนถังใกล้ตัว


    "แล้วมนตร์เสน่ห์ของท่านมันขึ้นสนิมไปแล้วรึไงถึงไม่งัดมาใช้แล้วคราวที่แล้วๆมาเล่า"


    "ใช้ไม่ได้ต่างหาก ไม่รู้มีสิ่งใดคุ้มกันอยู่ แต่ขืนปล่อยกลับเมืองใหญ่มีหวังพวกระยำตามล่าค่าหัวข้ากันอีก มันน่ารำคาญ"


    "ก็พาเขาไปด้วยซะซี่ ถือว่าตัดปัญหาไป"


    "จะพาเขาไปให้มันปวดหัวทำไมเล่า ยิ่งคนมากก็ยิ่งวุ่นวาย"


    คนครัวหน้าแหยเมื่อลู่หานทุบพื้นเสียงดังปึ้กอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความงอแงของกัปตันหนี่เมิน ใช่ เจ้านั่นมักทำตอนไม่ได้ดั่งใจมากๆน่ะแล้วก็ชอบหลุดมาตอนสติไม่ค่อยอยู่กับตัว ซึ่งนั่นก็ตีความหยาบได้ว่าเขาเมาแล้วนั่นเอง


    "อีกอย่าง...ข้าแค่ต้องการพลังไม่ได้ต้องการความรักความผูกพันธ์!!"


    "หมายความว่ายังไง?"


    "หือ?"


    "เฮ้ย!! เจ้า โอ๊ย!"


    ลู่หานตาเหลือกจนเผลอกระชากตัวขึ้นมากระทันหันแต่ก็ล้มเหลวเพราะฤทธิ์เหล้าที่เข้าสมองที่ทำโลกเขาโคลงเคลงยิ่งกว่าเรือตัวเอง ซิ่วหมินอาศัยจังหวะเข้าประชิดตัวพ่อครัวคนเดียวของเรือพร้อมจ่อคอหอยของอีกฝ่ายด้วยมีดทำครัวที่เขาแอบไปขโมยมาก่อนหน้านี้และกดข้อมือสองข้างไว้ด้วยพลังกายทั้งหมดที่สามารถเค้นได้ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่แม่ทัพของอาณาจักรยังต้องพยายามพอดูกว่าจะแกะออก 


    ซิ่วหมินดูจะเป็นต่ออย่างมากเมื่อลู่หานปล่อยเนื้อปล่อยตัวแถมพ่อครัวหนุ่มก็ดูจะเข้าตาจนเกินกว่าจะสู้


    "เจ้าหลุดมาได้ไงเนี่ย"


    "แกล็อคกุญแจผิดที่ ไอ้โง่!"


    "ห๊ะ โหย ไอ้โง่! ไอ้กัปตันโง่!!!"


    เหยื่อใกล้มือเขาถึงกับคำสรรเสริญมาชุดหนึ่งด้วยอารามตกใจไม่แพ้กัน คนเป็นกัปตันทุบศีรษะตัวเองสองสามทีแล้วเถียงกลับมา


    "โอ๊ย จะด่าทำไม เรื่องมันแล้วก็แล้วไปสิ"


    "แล้วบ้านแกซิ! เห็นไหมมีดที่ข้าจ่อคอปลาให้พวกแกกินทุกวันมันจี้คอข้าอยู่เนี่ย! ถ้าข้าตายนะ พวกแกทั้งหมดต้องอดตายเป็นผีเฝ้าทะเลแน่คอยดู!!"


    "โอ้ๆๆ ใจเย็นพ่อครัว ....นี่ที่รัก เป็นเด็กดีแล้ววางมีดลงก่อนนะ"


    "ย่อมได้ แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าที่ข้าอยากรู้จนกว่าจะพอใจแล้วข้าจะปล่อยเขา ตกลงไหม"


    "แหมๆ เจ้ายังมีเรื่องที่อยากรู้ด้วยเหรอ สามีภรรยากันเค้ามีความลับต่อกันทีไหนละจ๊ะ~"


    "โอ๊ยๆๆ ไอ้กัปตัน!!"


    ด้วยลีลายียวนทำเอานักบวชหนุ่มเส้นเลือดร้อนระอุตรงหน้าผากแบบไม่รู้ตัวจนเผลอกดใบมีดใส่คอหอยคนครัวแรงขึ้นอีกนิดนึงเท่านั้น สายตาอาฆาตจากพ่อครัวทำเอากัปตันปิดปากฉับ ซึ่งถ้าเต๋ออิงมีมีดในมือมันคงบินใส่หัวลู่หานแล้วเป็นแน่แท้ล่ะ


    "อ่ะๆ ตามที่เจ้าต้องการ อยากรู้อะไรก็ว่ามา"


    "จับข้ามาทำไม"


    "เมีย"


    "จับตัวข้ามาทำไม"


    "โอ๊ย ก็บอกว่าเมียไงเจ้าจะถามทำไมนักเนี่ยยยย"


    ซิ่วหมินถอนหายใจ ตัวเขาก็นะ จะอุตสาหะที่จะคุยกับคนเมาอีกทั้งจิตวิปราศไปให้มันได้อะไรขึ้นมากันเล่า? สู้ถามอีกคนใกล้มือนี่พูดรู้เรื่องกว่าเป็นไหนๆ


    "เขาจับข้ามาทำไมท่านพ่อครัว"


    "อ๋อ จับมาเป็นวัตถุดิบในการฟื้นพลังไง พลังของเจ้าแกร่งกล้าและสามารถเข้ากับเขาได้ ซวยเนอะ"


    "ฟื้นพลัง? ด้วยเหตุผลใด"


    "เฮ้ มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า--"


    "เมื่อหลายปีก่อนเรือเราเป็นโจรสลัดที่ล่องไปทุกน่านน้ำ แล้ววันนึงเจ้าเซ่อนี่มันดันไปแตะคำสาปเข้าจนไม่สามารถสร้างเวทมนต์ในตัวเองได้ ไม่มีใครแก้คำสาปให้ได้แม้แต่รักแท้เพราะมันไม่ใช่นิยาย สมน้ำหน้ามันใช่ไหม"


    กัปตันยังอ้าปากห้ามไม่ทันจบ นิยายก่อนนอนซึ่งเป็นฝันร้ายของเขากลับถูกเล่าใหม่ด้วยฝีมือคนสนิทเขาเองเสียอย่างนั้นไป


    ไอ้พ่อครัวมึ๊ง!!!!


    "แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่คนละโมบโลภมากจะหยุดชีวิตคาวนี้ได้ง่ายๆ ลู่หานเลยเลือกเดินสายมืดกว่าเก่า มันลักพาตัวคนที่มีพลังเวทย์สูงๆมาเพื่อส่งพลังผ่านพิธีกรรม ถ้าอธิบายง่ายๆก็เหมือนคนๆนั้นคือเหยือกน้ำที่มีน้ำเต็มและลู่หานคือภาชนะว่างๆใบนึง ต่อให้ได้มาแต่ไม่มีการทดแทนไม่นานมันก็ต้องหมด เราจึงต้องจับตัวเจ้ามาไง"


    "นี่ยังมีคนอื่นอีกเหรอ?"


    "โว้ว แต่ข้าไม่ได้นอกใจเจ้าหรอกนะ ก็เจ้ามาทีหลังนี่นา"


    "โทษนะ เรื่องผัวเมียข้าขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก แต่อย่าห่วงไป หลังจากเสร็จพิธีกรรมเราจะใช้มนตร์สะกดใจให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วพากลับไปส่งที่เดิม ช่วงแรกก็อาจจะอ่อนเพลียหรือเจ็บป่วยบ้างแต่ไม่นานพลังก็จะฟื้นคืนเอง "


    "งั้น.... ที่จับข้ามาก็แค่พิธีกรรมถ่ายพลังนั้นเฉยๆใช่ไหม"


    "อ่าหะ ถึงจะทำตัวขี้ม่อแต่ว่าอกหัก โอ่ย!"


    คนปากมากถลึงตาใส่เจ้าของจุกไม้คอร์กที่ดีดใส่ศีรษะเขาได้แม่นยำเกินความจำเป็นของคนเมา เจ้ากัปตันหน้าบูดบึ้งขึ้นเต็มที่ทีเดียวเชียว


    "เออใช่! พอใจรึยัง พอใจก็ปล่อยพ่อครัวข้าได้แล้ว"


    "....ปลดโซ่ให้ข้าก่อน"


    "นั่นไม่อยู่ในข้อตกลง และข้าไม่ขอเสี่ยงชีวิตลูกเรือของข้ากับสุนัขของทางการอย่างเจ้า"


    "โอเค"


    ตัวประกันในมือถูกปล่อยเพื่อการประนีประนอม ซิ่วหมินไม่โต้เถียงเพราะคิดว่าความคิดนั้นมันสมเหตุสมผลในตัวมันเอง คนที่ไว้วางใจศัตรูได้ย่อมมีแผนสำรองร้อยพันหรือไม่ก็เป็นคนโง่เท่านั้น


    "แต่อันดับแรกเลย เจ้าควรจะขอร้องข้าดีๆ มิใช่มาลักพาตัวกันเช่นนี้"


    "มันเป็นวิสัยโจร แล้วก็อย่ามาเสียงอ่อนเสียงหวานกับข้าอย่างนี้ ระวังจะอดใจไม่ไหว"


    ว่ากันว่าคนเมาจะปากกล้าปากไวต่อการหยอกเย้าเช่นนี้ ถือสาไปเขาจะเหนื่อยเปล่าเสียเอง


    "พิธีอะไรจะเริ่มได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ ข้าต้องการกลับไปที่แผ่นดินให้เร็วที่สุด ข้าต้องไปตามหาน้อง"


    "เมื่อจันทร์เต็มดวงครั้งหน้าเราจะทำพิธีกันได้เร็วที่สุด แล้วเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นข้าจะพาเจ้ากลับไปส่งเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน อืมมม ที่เมืองสตาร์ลิทละกัน ที่นั่นเป็นพื้นที่เวทมนต์ระดับกลาง นักผจญภัยที่พอมีฝีมือแล้วมักจะไปที่นั่นกัน"


    "ขอบใจ เอ่อ ว่าแต่จะไม่ปลดโซ่ให้ข้าจริงๆหรือ นี่เราก็อยู่กันกลางทะเล ข้าจะหนีไปไหนก็ไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องความผิดของพวกเจ้าข้ามิใช่ทหาร จะทำเป็นไม่รู้เห็นสักครั้งก็ได้"


    "โอ้ ที่รัก..."


    ลูกทะเลลากรองเท้าหนังผ่านแผ่นไม้กระดานเรือเข้ามาใกล้จนกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้ง แม้จะประคองสติไม่ดีนักทว่าดวงตาคู่สวยกลับแผ่บรรยากาศดุดันออกมาจนสัมผัสได้ ร่างเล็กกว่าไม่ได้หันหน้าหนี ซิ่วหมินยืนประจันหน้าและทนสู้กับสัมผัสหยาบของถุงมือหนังบนปรายนิ้วที่ไล้ไปตามรูปหน้า จ้าวโจรสลัดยกยิ้มน่าชมพลางเอ่ย


    "อย่ามาเล่นมารยากับข้า.... ข้าไม่เชื่อ....พวกเจ้ามันจอมโกหกตอแหล"


    "..."


    "กลับเข้าห้องไปซะ"


    ท่านนักบวชชั้นสูงยังคงนิ่งงันราวกับประมวลผลบางอย่างอยู่ ทว่าคนหยาบไม่ต้องการให้ใครขัดคำพูดเขาไปมากกว่านี้ เสียงทุ้มตะโกนก้องดาดฟ้าเรือ


    "พ่อครัวพาเขากลับไป!!!"


    "ไปเถอะ"


    เต๋ออิงกระชากไหล่เชลยพาลงบันไดไปก่อนที่กัปตันเขาจะแผลงฤทธิ์มากกว่านี้ อย่างว่าแหละ ถึงบางครั้งลู่หานจะดูไร้พิษสงไปบ้าง แต่ฉายาระดับเอสย่อมไม่ได้มาเพิียงเพราะจับฉลากหรือโชคช่วย ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากเจอไอ้ร่างนักแผลงฤทธิ์นั้นในวันดีคืนดีแบบนี้หรอก


    "โทษที เขามีแผลใจนิดหน่อยน่ะ"


    พ่อครัวหนุ่มเริ่มบทสนทนาเล็กน้อยระหว่างทางเดินกลับเพื่อไม่ให้บรรยากาศน่าอึดอัดเกินไป เชลยผิวขาวมองหน้าเขาด้วยคำถาม จากนั้นปากอันไร้หูรูดก็ทำงานของมันไปตามระเบียบ


    "พวกเจ้าคนเมืองอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อกัปตันลู่หาน โจรสลัดแรงค์เอสนักหรอก แต่กับวงการเรามักจะรู้ดีว่าไอ้หมอนี่แม่งโคตรเลว เรื่องตอแหลก็ที่หนึ่งทุกน่านน้ำ"


    "ข้าพอจะนึกภาพตามได้"


    "ฮ่าๆ ก็นะ ....เรือหนี่เมินนี่ก็ด้วย เราแทบไม่เคยจอดท่าไหนเกินสัปดาห์ แต่ว่าเราหุบเรือใบกันเป็นปีเพราะกัปตันมันเกือบตาย...เพราะเจ้าคนนั้น เหยื่อคนก่อนหน้าเจ้า"


    "..."


    "..."


    "พิษรักกระนั้นหรือ"


    "พวกเราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นความรักหรือความหลง แต่รู้แค่เด็กนั้นสร้างแผลใจไว้ยิ่งใหญ่นัก...ใหญ่มากจริงๆ"


    ทั้งสองหยุดลงที่หน้าประตูห้องกัปตันที่เดิมอันคุ้นตา เต๋ออิงบริการเปิดประตูให้อย่างดี ซิ่วหมินอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาจึ่งยินยอมกลับมาอยู่อีกครั้งด้วยเท้าของตัวเองทั้งที่กว่าโอกาสหลบหนีจะมาถึงได้ก็ช่างยากเย็นนัก


    "อย่าห่วงเลย ขอแค่เจ้าทนให้คืนนั้นผ่านพ้นไปได้ เราจะทำตามที่ได้สัญญาไว้ เจ้าจะได้อิสระคืน"


    "เราจะลองเชื่อใจแล้วกัน"


    พ่อครัวหนุ่มพยักหน้ารับก่อนบานประตูจะปิดกั้นเขาทั้งสองลง ในคืนนั้นซิ่วหมินคล้ายจะผลอยหลับได้ลึกกว่าเก่าด้วยความกังวลหรือความขุ่นมัวในใจได้สร่างซาลงไปบ้างจากเรื่องของจ้าวโจรสลัดในวันนี้ ถ้ามองโลกในแง่ดีหน่อยก็คิดเสียว่าจ่ายพลังเวทย์แก่เรือหนี่เมินในฐานะค่าโดยสารสู่เมืองสตาร์ลิทเสียละกัน


    และในคืนนั้นจนสติสัมปชัญญะสุดท้ายของเขาหลุดลอยไป ลู่หานก็ไม่ได้กลับเข้ามานอนที่ห้องนี้



    .
    .
    .
    .


    ทว่าในเช้าต่อมา ซิ่วหมินก็ได้พบว่าโซ่ที่คล้องข้อเท้าตนไม่ได้ถูกเหนี่ยวรั้งกับสิ่งใดอีกแล้ว





    (60%)





     
     






     
    SQWEEZ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×