ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Sea's Bride (60%)
The Planet ;OFFLINE
| Sea's Bride |
' พี่ชายดูข้าสิ '
' ไค! เจ้าทำอะไร อย่าเอาอาวุธไปถือแบบนั้นนะ '
เด็กหนุ่มหน้าละอ่อนรีบคว้าดาบจริงที่น้องชายของเขาถือวิสาสะเอาไปเล่น ซิ่วหมินถลึงตาใส่น้องชายที่เบ้ปากให้หยุดแม้แต่จะคิดแกล้งร้องไห้เสียงดัง ไครู้ว่าลูกไม้เก่าๆเขาใช้ไม่ได้อีกครั้ง เด็กน้อยจึงรีบรุดไปกอดแข้งขาพี่ชายตนที่กำลังเก็บดาบไว้ที่เดิม
' แต่ข้าอยากเป็นเหมือนพี่ ใครก็บอกว่าพี่เก่ง '
' เจ้าเป็นแบบพี่ได้ แต่ยังไม่ใช่เวลาเจ้าเด็กน้อย '
พี่ชายขยี้เส้นผมจนฟูฟ่องคล้ายรังนก เด็กน้อยยิ่งเกาะขาแน่นพร้อมกดหน้าตัวเองกับขากางเกงของซิ่วหมิน
' แต่ข้าไม่อยากรอ พี่เก่ง อีกไม่นานพี่จะทิ้งข้าไปผจญภัย '
เด็กน้อยตัดพ้อด้วยดวงตาแดงก่ำและสั่นไหว เด็กแถวบ้านมักพูดกรอกหูเขาหลายต่อหลายครั้งว่าพี่ซิ่วหมินของเขาคือทั้งเก่ง และฉลาด เปรียบเสมือนหัวกระทิของรุ่น และไม่นานก็คงได้เข้าวังไปรับราชการ
' ข้าไม่อยากถูกทิ้ง.... ไม่อยากถูกพี่ทิ้งเหมือนพ่อกับแม่ '
แต่ไคไม่ได้ต้องการแบบนั้น เขาเกลียดหากพี่ชายจะต้องจากไป แต่เขาก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงเช่นกัน ....ทางเดียวที่เด็กน้อยมีคือต้องเก่งขึ้นเพื่อจะได้อยู่กับพี่ชาย
' ไค '
ซิ่วหมินเรียกชื่อน้องอย่างอ่อนแรง เขาย่อลงไปกอดน้องชายแน่นพร้อมเอ่ยปลอบโยนด้วยหัวใจปวดร้าว สงสารเหลือเกินที่เด็กคนนี้ต้องมาเจอเรื่องราวน่าเศร้าอย่างการถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้อยู่กับพี่ชายลำพังตั้งแต่หย่านมแม่ได้ไม่นาน
พูดได้ว่าเขาสองพี่น้อง เป็นชีวิตของกันและกัน
' พี่จะไม่ไปไหนนะ พี่จะไม่ทิ้งเจ้าหรอก '
' พี่.... ฮึก ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ อึก...แต่อย่าทิ้งผมนะ '
' ไม่มีวันเลยเจ้าขี้แย ใครจะทิ้งเจ้าได้ลงคอกันเล่าฮึ? อย่าห่วงเลย พี่จะรอคอยเจ้า ..แล้วสักวันหนึ่งเราจะออกไปข้างนอกด้วยกันนะ '
หยดน้ำตาปริ่มขอบถูกปาดออกอย่าอ่อนโยน ซิ่วหมินจูบลงตรงหน้าผากมนของแก้วตาดวงใจหนึ่งเดียวที่เขามี เด็กน้อยสูดน้ำมูกจนจมูกแดงเถือกแล้วถามเสียงอ่อย
' จริงนะ '
' อือ '
พี่ชายรับคำด้วยรอยยิ้ม ฝ่ายคนน้องนิ่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงควักเอาตัวทำพันธะสัญญาไปจ่อต่อหน้าอีกคน นิ้วก้อยโค้งตรงหน้าทำเอาซิ่วหมินกลั้นยิ้มกว้างไม่อยู่ เด็กน้อยของตนช่างน่าเอ็นดูเสียจริงๆ เจ้าหนูไคสูดจมูกแล้วกล่าวด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
' เกี่ยวก้อยกันแล้ว สัญญาแล้วนะ '
' อื้อ '
.
.
.
"สัญญา..."
เสียงแผ่วเบาราวกระซิบถูกกล่าวจากริมฝีปากบาง ซิ่วหมินค่อยๆเปิดเปลือกตาจากห้วงนิทราอันยาวนาน แสงรอบกายอันน้อยนิดทำให้เขาไม่ต้องใช้เวลามากในการปรับสายตา ร่างเล็กพยายามขยับร่างกายทว่าแม้เล็กน้อยแต่ข้อเท้าข้างหนึ่งของเขากลับถูกบางสิ่งตรึงไว้กับที่
เคร้ง...
เมื่อลองฟังเสียงและสัมผัสเย็น คงเป็นโซ่เหล็กเนื้อดีและแสนหนักมีประโยชน์ด้านการถ่วงเป็นอย่างดี อันที่จริงเขารู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่ามันคือโซ่ข้อเท้าที่สารเลวตัวหนึ่งมันเอามาตรึงเขาไว้ที่นี่ มันเป็นโลหะหายากที่ทนยิ่งกว่าชุดเกราะของวังหลวง ซ้ำร้ายยังมีการลงเวทมนต์ดูดกลืนพลังของผู้สวมใส่
ต่อให้พยายามพังมันเท่าใดก็เท่ากับว่าทำร้ายตัวเองเท่านั้น มันยิ่งแข็งแกร่งเขายิ่งอ่อนแอ จะมีทางเดียวที่นำออกไปได้คือต้องให้ผู้ลงมนตรามาปลดปล่อยเท่านั้น
และมันผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก...
"ตื่นแล้วหรือที่รัก"
ไอ้เศษสวะสมองกลวงนี่
ลู่หานถือวิสาสะตวัดอ้อมแขนเข้ากอดเอวบางเข้าประชิดตัว จมูกโด่งรั้นกดลงตรงลำคอขาวสว่างพร้อมสูดกลิ่นหอมหวานอย่างรื่นรมย์ ผิดกับคนที่เข่นเคี้ยวฟัดจนสันกรามปูด ซิ่วหมินพยายามสะกดอารมณ์และความพะอืดพะอมของตนไว้ให้มากที่สุด ไร้ประโยชน์จะต่อต้านพวกโรคจิต เขาเคยโมโหจนลงมือกับคนตรงหน้า แต่อีกฝ่ายที่ฝีมือสูงกว่าแทบจะจัดการเขาได้ในเสี้ยวนาที
"ไม่ดีดดิ้นแล้วเหรอ ว้า น่าเสียดาย"
"วิปริต"
"นี่รังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ"
กัปตันเรือหัวเราะสมใจแล้วก็ปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ ก็แหม เขาไม่ใช่คนชอบฝืนใจใครสักหน่อย แล้วก็ไม่ชอบเคี้ยวเหยื่อให้ตายในทีเดียวด้วย
...ยิ่งเหยื่อน่ารักแบบนี้ ปล่อยให้ดิ้นไปก่อนเถอะ
"แหม งั้นข้าไปให้พ้นหน้าที่รักก่อนแล้วกัน หายงอนเมื่อไหร่ก็ตามมานะจ๊ะ"
เดินไปที่ประตูห้องพร้อมเสื้อเชิ๊ตยับๆสีขาว ลู่หานหันมาขยิบตาให้คนที่พร้อมกัดหัวตนอยู่รอมร่อ
"อ่อ ลืมไป สุนัขไม่ถูกอนุญาตให้เดินไปไหนมาไหนได้นี่เนอะ"
เอ่ยกล่าวหยอกล้อด้วยความรักก่อนจะจากไปเหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะเยาะที่จางไปตามลม ปล่อยทิ้งคนอารมณ์คุกรุ่นกัดฟันกรอด ชายหนุ่มผู้หลงใหลไปกับคำยั่วยุดึงทึ้งโซ่ข้อเท้าเอาเป็นเอาตายทว่าผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม
"เวรเอ๊ย!!!"
ทำไมๆๆๆๆๆๆ!! ซิ่วหมินตะโกนคำถามในใจ ทำไม! ทำไมต้องเป็นเขาที่ถูกมันเล่นตลกด้วย แทนที่เขาจะได้ไปตามหา แต่สุดท้ายกลับมาจมปลักอยู่กับไอ้เวรนี่ ทำไมๆๆๆๆ!!
แม่งเอ๊ย!
.
.
.
"เฮ้ เจ้าผิวขาว"
ซิ่วหมินฟื้นขึ้นมาจากอาการสัปหงกอย่างฉับพลันก่อนสะบัดศีรษะน้อยๆ ต้นเสียงเป็นลูกเรือหนุ่มผิวเข้มที่คาดผ้ากันเปื้อนเปรอะคราบน้ำมันและเขม่าควันซึ่งถือจานอาหารเข้ามาให้ห้องพัก เนื้อบางอย่างที่ถูกย่างส่งกลิ่นหอมประปนกับกลิ่นยาเส้นที่ถูกคาบไว้ด้วยริมฝีปากแห้งกร้าน ผู้มาเยือนจ้องหน้าซักพักก่อนเอ่ยจุดประสงค์การเยี่ยมเยียน
"กัปตันลู่ให้เอาข้าวมาให้"
"...."
"หูหนวกเหรอเจ้าน่ะ"
"ข้าไม่กินของศัตรู"
"เฮ้ออออ เวรกรรมอะไรกันหนอ"
ลูกเรือชุดผ้ากันเปื้อนขมวดคิ้ว แทบจะกระแทกจานอาหารบนโต๊ะข้างที่นอนใกล้คนผยองที่ถือทิฐิมากเสียจนดูหน้าโง่ในสายตาเขา
"นี่แน่ะเจ้าคนเมือง ข้าจะบอกอะไรให้นะ เจ้าจะกินไม่กินไม่ใช่เรื่องของข้า จะปัดทิ้งปัดขว้างยังไงข้าก็ไม่เสียใจ คนในเรือพร้อมจะกินมันมีเกือบร้อย แค่คนๆเดียวที่อดอาหารประท้วงมันไม่น่าสรรเสริญอะไรหรอก เพราะพอเจ้าตายไป ศพก็แค่โยนลงทะเลให้ปลามันอิ่มท้อง ซึ่งถ้าเจ้าอยากจะตายแบบนั้นข้าก็คงห้ามไม่ได้"
ซิ่วหมินเผลอสะอึกกับคำแทงใจถึงแม้ว่าเขาจะยังเชิดหน้าสูงอยู่ก็ตามแต่ คนเมืองคงรับความเสียหน้าไม่เก่งนักตามความคิดของลูกเรือหนุ่มซึ่งแสดงอาการหัวเสียหน่อยๆ แหงสิ เขาทำงานบนเรือนี้ในฐานะพ่อครัวหาใช่พี่เลี้ยงเด็กของกัปตันเสียเมื่อไหร่
"กินๆเข้าไปซะ อีกครึ่งชั่วโมงข้าจะมาเก็บ"
ผัวะ!
ตวัดประตูห้องปิดสนิท พ่อครัวจึ่งเห็นคนสร้างปัญหาตัวโตกำลังยืนผิวปากอยู่ไม่ห่างไปนักพร้อมกับลูกเรือคนอื่นที่กำลังทำงานไปตามประสา กัปตันลู่หานยักคิ้วก่อนเอ่ยแซวตามประสาคนสนิท
"ปากร้ายเสมอต้นเสมอปลายจริงๆเจ้านี่"
"เอ้า ก็จริงนี่ จะกี่คนที่ถูกลักพาตัวมาก็ทำเป็นอดอาหารจนข้ารำคาญ ลูกเรือเราอิ่มเคยอิ่มท้องที่ไหนยังจะมาทำอาหารเสียเปล่าอีก! ถ้ามันปัดจานลงพื้นอีกข้าจะให้เจ้าเช็ดเองนะ"
"กล้าขึ้นเสียงใส่กัปตันรึเจ้าคนครัว!"
"ทำไม จะฆ่าข้าก็เอาสิ จะได้อดตายกันทั้งลำเรือ"
ว่าแล้วพ่อครัวหนุ่มก็ไขว้แขนกอดอกมองกัปตันด้วยท่าทางยียวนไม่แพ้กัน เจ้านายเขาดิ้นเร่าๆพลางถลึงตาใส่เพราะรู้ดีว่าทำได้ก็แค่นั้น ตราบใดที่รอบข้างเขายังเซ็งแซ่ไปด้วยคำห้ามปรามจากลูกเรือคนอื่นๆแบบนี้
"พี่ลู่ ถึงท่านจะเป็นกัปตันแต่ห้ามแตะพ่อครัวของเรานะพี่"
"อาหารของเขา ถ้าเราขาดมีหวังได้ตายแน่"
"ฝีมือท่านน่ะย่างนกยังไหม้เลยนะพี่"
"เออๆๆๆๆๆ!! รู้แล้วโว้ย!!"
.
.
.
' ไอ้ลู่หาน!!!! ชาติวิปริต!!!!! ไอ้เว๊ร!!!!!!! '
ล่วงเข้ามาวันที่สามหรือสี่ที่เรือหนี่เมินได้รับสมาชิก(ที่ไม่เต็มใจมาด้วยนัก) กะลาสีทั้งหลายมักจะได้ยินคำผรุสวาทปนเสียงหัวเราะเยาะจางมากับลมทะเลจากห้องของกัปตันแทบทุกครั้งหลังเจ้าตัวเดินออกมา ยิ่งเวลาพลบค่ำวันนี้ที่ลูกเรือล้วนมากันครบหน้าครบตาในเวลามื้อเย็นต่างได้ยินคำอวยพรจากเมียใหม่เจ้านายกันถ้วนหน้าถ้วนตา บ้างถึงกับขบขันออกมาเป็นเสียง บ้างก็ส่ายหน้าตากับพฤติกรรมขี้แหย่ของพี่ใหญ่ของเรือ
เจ้าหนุ่มอายุไม่มากนักผู้ง่วนอยู่กับการเก็บซากอารยธรรมหลังมื้ออาหารของเหล่าพี่น้องฉุกคิดคำถามบางอย่างได้จึงเอ่ยออกมา
"พี่ลู่ ข้าว่าเอาเขาไปขังไว้แบบนั้นจะไม่ทรมานกันไปหน่อยหรือ เมียคนก่อนๆของท่านก็เห็นเอาพวกนางมาปล่อยเดินได้นี่นา"
"จะบ้ารึไง จะให้นักบวชชั้นสูงมาเดินเพ่นพ่านบนเรือโจรเนี่ยนะ มีหวังโดนฆ่าตายยกเรือพอดี"
เวรทำความสะอาดอีกคนโพล่งขึ้นแม้จะไม่ละมือจากหน้าที่ เขาลองนึกถึงคราวที่คนของทางการเดินตัวเปล่าไร้ตรวนไปมาบนเรือที่มีแต่เรื่องผิดกฏหมายและศีลธรรมลำนี้แล้วก็ได้แต่ขนลุกขนพอง
"โว้วๆ ไอ้เวรนี่ นี่ข้ากัปตันลู่หานนะเว้ย ใครมันจะมาคว่ำเรือข้าได้วะ เดี๋ยวปั๊ดตบปากฉีก"
"ก็กลัวเพราะท่านนั่นแหละพี่ลู่ กัปตันบ้าอะไรเอาแต่เมาเหล้าหัวราน้ำตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตก"
"พูดหมาๆเดี๋ยวมึงจะไม่มีปากให้หมาเลีย ไปทำงาน!!"
"ไปแล้วจ้า!!"
ลับหลังลูกเรือ ลู่หานกลับมาหน้ามุ่ยอีกครั้งเมื่อสมองกลับไปคิดถึงเรื่องในอดีตบางอย่าง ฝ่ามือเรียวภายใต้ถุงมือหนังถูกยกขึ้นทุบตีศีรษะตัวเองแรงๆก่อนจะคว้าขวดเหล้าใกล้มือออกไปจากห้องอาหาร และไม่ลืมที่จะหยิบขวดสำรองไปเพิ่มด้วยความกลัวว่าเขาจำเป็นต้องพิงพามันอีก
ชายหนุ่มกำลังทำตัวตามที่ลูกเรือเย้าหยอกอีกครั้ง ปากขวดเหล้าในมือถูกยกคว่ำจรดปากขณะที่สองเท้าลากผ่านขั้นบันไดไม้แผ่นไปยังชั้นสองของตัวเรือซึ่งเป็นสถานที่ๆเขาคิดว่ามันสามารถเห็นท้องฟ้า พระจันทร์ และดวงดาวได้สวยงามมากที่สุด
ร่างโปร่งเท้าแขนกับริมระเบียงซี่กั้นของชั้นสองซึ่งเขาถือเป็นดาดฟ้าเรือ เมื่อมองลงไปจะเห็นลูกเรือกำลังทำกิจกรรมหลากหลายกัน บางคนกำลังพักผ่อนในขณะที่บางคนยังคงทำหน้าที่ หนี่เมินเต็มไปด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของลูกเรือ เช่นเดียวกับลมทะเลพัดโกรกผ้าใบและลูกทะเลทั้งหลายราวกับอวยพรให้หลับสบาย พระมารดาผู้เต็มไปด้วยความอารียังคงรักเขาและลูกเรือของเขาเฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา กัปตันเรืออมยิ้มน้อยๆให้กับสิ่งรอบข้าง
ทว่าเมื่อลองเงยหน้ามองท้องนภาที่ถูกถักทอด้วยเส้นด้ายที่ดำ แซมด้วยแสงสว่างจากดวงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับภายในใจของเขากลับโหวงเบาและกลวงโบ๋ ลู่หานรู้ว่ามันเกิดจากอะไรแต่เขาก็โง่พอที่จะไม่รู้วิธีจัดการนอกเสียจากว่าอุดมันด้วยขวดเหล้าในมือก็พอแล้ว ถึงแม้มันจะไม่เคยเต็มไม่ว่าจะผ่านไปขวดแล้วขวดเล่าก็ตามที
ร่างโปร่งทรุดตัวลงกระแทกกับพื้นโดยไม่ยั้งแรงจนชวนปวดก้นกบ ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังจะครึ้มเคราเชิดสูงเพื่อรับรสขมปร่าจากน้ำเมาที่ไหลลงลำคอไม่ขาดสาย
อึก.... อึก... อึก....
"คิดถึงใครอยู่รึไง"
ชายหนุ่มชะงักกับเสียงกังวานของคนสนิท เต๋ออิงหรือเจ้าคนครัวจอมปีนเกลียวประจำเรือลากพาสารร่างผอมๆขึ้นมาจากแนวบันได ดวงตาสีเปลือกไม้เข้มตามภูมิลำเนาใกล้เคียงกันทอดมองคนที่เคยครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกขานว่าเจ้าแห่งท้องทะเลกำลังนั่งโงนเงนพิงระเบียงซี่กอดขวดเหล้าราวกับพวกไร้บ้านข้างถนนในภาวะป่วยใกล้ตายจากโรคสุราเรื้อรัง
เขาและลูกเรือต่างก็รู้ดี ว่ากัปตันน่ะไม่ได้ป่วยแค่สุราเรื้อรังหรอก
"ทำเป็นปากร้ายแต่สุดท้ายก็ยังไม่ลืม หือ กัปตันลู่นี่หน่อมแน้มกว่าที่คิดแฮะ"
"จะให้บอกอีกกี่ครั้งข้าไม่ได้ชอบมัน"
"ตอแหล"
"ไอ้เวรนี่"
"โถ่กัปตัน เรื่องฉาวของท่านน่ะขนาดพระมารดาผู้รักสงบยังรู้เลย"
"เหอะ! มันผ่านไปแล้วก็ช่างมันสิวะ ตอนนี้สิ่งที่ต้องจัดการมีแค่เจ้าเด็กนั่น พรุ่งนี้ก็เป็นวันคืนจันทร์เต็มดวงแล้ว หวังว่างานคราวนี้จะไม่ล่มนะ"
ด่าเสร็จผู้เป็นนายก็หันหน้าหนีเข้าซี่ระเบียง แผ่นหลังแอบแบบบางเอนน้อยๆเป็นเชิงว่าใบหน้าที่ตั้งตรงกำลังผินมองท้องฟ้าราตรีอยู่ เต๋ออิงส่ายหน้าแล้วล่วงยาสูบมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนแสนมอมแมม
"แน่นอน เราทั้งหมดมารวมกันที่นี่ ก็เผื่องานของท่านกับเจ้าหนุ่มนั่น"
"ดี หลังจากนั้นจงนำเขาไปปล่อยที่อาณาจักรตอนใต้นั่นเสีย น่าจะถ่วงเวลาไปได้อย่างน้อยซักฤดูกาล"
"ตอนใต้เชียวรึ? ไม่เลือดเย็นไปหน่อยรึไง เขาไม่ใช่ลูกทะเลเหมือนเราๆนะท่าน ถึงจะเก่งแค่ไหนแต่ท่าทางแบบนั้น น่ากลัวจะถ่วงได้เป็นปี"
"ชิ จะอะไรนักหนากะอีแค่เหยื่อน่ะ ยังไงข้าก็จับมันมาเพื่อสังเวยอยู่แล้ว ถ้าเป็นห่วงกันนักเจ้าก็ลงไปอยู่กับมันเลยไป"
"กลายเป็นคนแล้งน้ำใจตั้งแต่เมื่อใดเล่ากัปตัน"
"ข้าเปล่า!"
เต๋ออิงหัวเราะขันเบาๆ เขาเหลือบมองเส้นไปจากยาสูบแล้วตัดสินใจนั่งลงบนถังใกล้ตัว
"แล้วมนตร์เสน่ห์ของท่านมันขึ้นสนิมไปแล้วรึไงถึงไม่งัดมาใช้แล้วคราวที่แล้วๆมาเล่า"
"ใช้ไม่ได้ต่างหาก ไม่รู้มีสิ่งใดคุ้มกันอยู่ แต่ขืนปล่อยกลับเมืองใหญ่มีหวังพวกระยำตามล่าค่าหัวข้ากันอีก มันน่ารำคาญ"
"ก็พาเขาไปด้วยซะซี่ ถือว่าตัดปัญหาไป"
"จะพาเขาไปให้มันปวดหัวทำไมเล่า ยิ่งคนมากก็ยิ่งวุ่นวาย"
คนครัวหน้าแหยเมื่อลู่หานทุบพื้นเสียงดังปึ้กอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความงอแงของกัปตันหนี่เมิน ใช่ เจ้านั่นมักทำตอนไม่ได้ดั่งใจมากๆน่ะแล้วก็ชอบหลุดมาตอนสติไม่ค่อยอยู่กับตัว ซึ่งนั่นก็ตีความหยาบได้ว่าเขาเมาแล้วนั่นเอง
"อีกอย่าง...ข้าแค่ต้องการพลังไม่ได้ต้องการความรักความผูกพันธ์!!"
"หมายความว่ายังไง?"
"หือ?"
"เฮ้ย!! เจ้า โอ๊ย!"
ลู่หานตาเหลือกจนเผลอกระชากตัวขึ้นมากระทันหันแต่ก็ล้มเหลวเพราะฤทธิ์เหล้าที่เข้าสมองที่ทำโลกเขาโคลงเคลงยิ่งกว่าเรือตัวเอง ซิ่วหมินอาศัยจังหวะเข้าประชิดตัวพ่อครัวคนเดียวของเรือพร้อมจ่อคอหอยของอีกฝ่ายด้วยมีดทำครัวที่เขาแอบไปขโมยมาก่อนหน้านี้และกดข้อมือสองข้างไว้ด้วยพลังกายทั้งหมดที่สามารถเค้นได้ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่แม่ทัพของอาณาจักรยังต้องพยายามพอดูกว่าจะแกะออก
ซิ่วหมินดูจะเป็นต่ออย่างมากเมื่อลู่หานปล่อยเนื้อปล่อยตัวแถมพ่อครัวหนุ่มก็ดูจะเข้าตาจนเกินกว่าจะสู้
"เจ้าหลุดมาได้ไงเนี่ย"
"แกล็อคกุญแจผิดที่ ไอ้โง่!"
"ห๊ะ โหย ไอ้โง่! ไอ้กัปตันโง่!!!"
เหยื่อใกล้มือเขาถึงกับคำสรรเสริญมาชุดหนึ่งด้วยอารามตกใจไม่แพ้กัน คนเป็นกัปตันทุบศีรษะตัวเองสองสามทีแล้วเถียงกลับมา
"โอ๊ย จะด่าทำไม เรื่องมันแล้วก็แล้วไปสิ"
"แล้วบ้านแกซิ! เห็นไหมมีดที่ข้าจ่อคอปลาให้พวกแกกินทุกวันมันจี้คอข้าอยู่เนี่ย! ถ้าข้าตายนะ พวกแกทั้งหมดต้องอดตายเป็นผีเฝ้าทะเลแน่คอยดู!!"
"โอ้ๆๆ ใจเย็นพ่อครัว ....นี่ที่รัก เป็นเด็กดีแล้ววางมีดลงก่อนนะ"
"ย่อมได้ แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าที่ข้าอยากรู้จนกว่าจะพอใจแล้วข้าจะปล่อยเขา ตกลงไหม"
"แหมๆ เจ้ายังมีเรื่องที่อยากรู้ด้วยเหรอ สามีภรรยากันเค้ามีความลับต่อกันทีไหนละจ๊ะ~"
"โอ๊ยๆๆ ไอ้กัปตัน!!"
ด้วยลีลายียวนทำเอานักบวชหนุ่มเส้นเลือดร้อนระอุตรงหน้าผากแบบไม่รู้ตัวจนเผลอกดใบมีดใส่คอหอยคนครัวแรงขึ้นอีกนิดนึงเท่านั้น สายตาอาฆาตจากพ่อครัวทำเอากัปตันปิดปากฉับ ซึ่งถ้าเต๋ออิงมีมีดในมือมันคงบินใส่หัวลู่หานแล้วเป็นแน่แท้ล่ะ
"อ่ะๆ ตามที่เจ้าต้องการ อยากรู้อะไรก็ว่ามา"
"จับข้ามาทำไม"
"เมีย"
"จับตัวข้ามาทำไม"
"โอ๊ย ก็บอกว่าเมียไงเจ้าจะถามทำไมนักเนี่ยยยย"
ซิ่วหมินถอนหายใจ ตัวเขาก็นะ จะอุตสาหะที่จะคุยกับคนเมาอีกทั้งจิตวิปราศไปให้มันได้อะไรขึ้นมากันเล่า? สู้ถามอีกคนใกล้มือนี่พูดรู้เรื่องกว่าเป็นไหนๆ
"เขาจับข้ามาทำไมท่านพ่อครัว"
"อ๋อ จับมาเป็นวัตถุดิบในการฟื้นพลังไง พลังของเจ้าแกร่งกล้าและสามารถเข้ากับเขาได้ ซวยเนอะ"
"ฟื้นพลัง? ด้วยเหตุผลใด"
"เฮ้ มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า--"
"เมื่อหลายปีก่อนเรือเราเป็นโจรสลัดที่ล่องไปทุกน่านน้ำ แล้ววันนึงเจ้าเซ่อนี่มันดันไปแตะคำสาปเข้าจนไม่สามารถสร้างเวทมนต์ในตัวเองได้ ไม่มีใครแก้คำสาปให้ได้แม้แต่รักแท้เพราะมันไม่ใช่นิยาย สมน้ำหน้ามันใช่ไหม"
กัปตันยังอ้าปากห้ามไม่ทันจบ นิยายก่อนนอนซึ่งเป็นฝันร้ายของเขากลับถูกเล่าใหม่ด้วยฝีมือคนสนิทเขาเองเสียอย่างนั้นไป
ไอ้พ่อครัวมึ๊ง!!!!
"แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่คนละโมบโลภมากจะหยุดชีวิตคาวนี้ได้ง่ายๆ ลู่หานเลยเลือกเดินสายมืดกว่าเก่า มันลักพาตัวคนที่มีพลังเวทย์สูงๆมาเพื่อส่งพลังผ่านพิธีกรรม ถ้าอธิบายง่ายๆก็เหมือนคนๆนั้นคือเหยือกน้ำที่มีน้ำเต็มและลู่หานคือภาชนะว่างๆใบนึง ต่อให้ได้มาแต่ไม่มีการทดแทนไม่นานมันก็ต้องหมด เราจึงต้องจับตัวเจ้ามาไง"
"นี่ยังมีคนอื่นอีกเหรอ?"
"โว้ว แต่ข้าไม่ได้นอกใจเจ้าหรอกนะ ก็เจ้ามาทีหลังนี่นา"
"โทษนะ เรื่องผัวเมียข้าขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก แต่อย่าห่วงไป หลังจากเสร็จพิธีกรรมเราจะใช้มนตร์สะกดใจให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วพากลับไปส่งที่เดิม ช่วงแรกก็อาจจะอ่อนเพลียหรือเจ็บป่วยบ้างแต่ไม่นานพลังก็จะฟื้นคืนเอง "
"งั้น.... ที่จับข้ามาก็แค่พิธีกรรมถ่ายพลังนั้นเฉยๆใช่ไหม"
"อ่าหะ ถึงจะทำตัวขี้ม่อแต่ว่าอกหัก โอ่ย!"
คนปากมากถลึงตาใส่เจ้าของจุกไม้คอร์กที่ดีดใส่ศีรษะเขาได้แม่นยำเกินความจำเป็นของคนเมา เจ้ากัปตันหน้าบูดบึ้งขึ้นเต็มที่ทีเดียวเชียว
"เออใช่! พอใจรึยัง พอใจก็ปล่อยพ่อครัวข้าได้แล้ว"
"....ปลดโซ่ให้ข้าก่อน"
"นั่นไม่อยู่ในข้อตกลง และข้าไม่ขอเสี่ยงชีวิตลูกเรือของข้ากับสุนัขของทางการอย่างเจ้า"
"โอเค"
ตัวประกันในมือถูกปล่อยเพื่อการประนีประนอม ซิ่วหมินไม่โต้เถียงเพราะคิดว่าความคิดนั้นมันสมเหตุสมผลในตัวมันเอง คนที่ไว้วางใจศัตรูได้ย่อมมีแผนสำรองร้อยพันหรือไม่ก็เป็นคนโง่เท่านั้น
"แต่อันดับแรกเลย เจ้าควรจะขอร้องข้าดีๆ มิใช่มาลักพาตัวกันเช่นนี้"
"มันเป็นวิสัยโจร แล้วก็อย่ามาเสียงอ่อนเสียงหวานกับข้าอย่างนี้ ระวังจะอดใจไม่ไหว"
ว่ากันว่าคนเมาจะปากกล้าปากไวต่อการหยอกเย้าเช่นนี้ ถือสาไปเขาจะเหนื่อยเปล่าเสียเอง
"พิธีอะไรจะเริ่มได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ ข้าต้องการกลับไปที่แผ่นดินให้เร็วที่สุด ข้าต้องไปตามหาน้อง"
"เมื่อจันทร์เต็มดวงครั้งหน้าเราจะทำพิธีกันได้เร็วที่สุด แล้วเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นข้าจะพาเจ้ากลับไปส่งเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน อืมมม ที่เมืองสตาร์ลิทละกัน ที่นั่นเป็นพื้นที่เวทมนต์ระดับกลาง นักผจญภัยที่พอมีฝีมือแล้วมักจะไปที่นั่นกัน"
"ขอบใจ เอ่อ ว่าแต่จะไม่ปลดโซ่ให้ข้าจริงๆหรือ นี่เราก็อยู่กันกลางทะเล ข้าจะหนีไปไหนก็ไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องความผิดของพวกเจ้าข้ามิใช่ทหาร จะทำเป็นไม่รู้เห็นสักครั้งก็ได้"
"โอ้ ที่รัก..."
ลูกทะเลลากรองเท้าหนังผ่านแผ่นไม้กระดานเรือเข้ามาใกล้จนกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้ง แม้จะประคองสติไม่ดีนักทว่าดวงตาคู่สวยกลับแผ่บรรยากาศดุดันออกมาจนสัมผัสได้ ร่างเล็กกว่าไม่ได้หันหน้าหนี ซิ่วหมินยืนประจันหน้าและทนสู้กับสัมผัสหยาบของถุงมือหนังบนปรายนิ้วที่ไล้ไปตามรูปหน้า จ้าวโจรสลัดยกยิ้มน่าชมพลางเอ่ย
"อย่ามาเล่นมารยากับข้า.... ข้าไม่เชื่อ....พวกเจ้ามันจอมโกหกตอแหล"
"..."
"กลับเข้าห้องไปซะ"
ท่านนักบวชชั้นสูงยังคงนิ่งงันราวกับประมวลผลบางอย่างอยู่ ทว่าคนหยาบไม่ต้องการให้ใครขัดคำพูดเขาไปมากกว่านี้ เสียงทุ้มตะโกนก้องดาดฟ้าเรือ
"พ่อครัวพาเขากลับไป!!!"
"ไปเถอะ"
เต๋ออิงกระชากไหล่เชลยพาลงบันไดไปก่อนที่กัปตันเขาจะแผลงฤทธิ์มากกว่านี้ อย่างว่าแหละ ถึงบางครั้งลู่หานจะดูไร้พิษสงไปบ้าง แต่ฉายาระดับเอสย่อมไม่ได้มาเพิียงเพราะจับฉลากหรือโชคช่วย ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากเจอไอ้ร่างนักแผลงฤทธิ์นั้นในวันดีคืนดีแบบนี้หรอก
"โทษที เขามีแผลใจนิดหน่อยน่ะ"
พ่อครัวหนุ่มเริ่มบทสนทนาเล็กน้อยระหว่างทางเดินกลับเพื่อไม่ให้บรรยากาศน่าอึดอัดเกินไป เชลยผิวขาวมองหน้าเขาด้วยคำถาม จากนั้นปากอันไร้หูรูดก็ทำงานของมันไปตามระเบียบ
"พวกเจ้าคนเมืองอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อกัปตันลู่หาน โจรสลัดแรงค์เอสนักหรอก แต่กับวงการเรามักจะรู้ดีว่าไอ้หมอนี่แม่งโคตรเลว เรื่องตอแหลก็ที่หนึ่งทุกน่านน้ำ"
"ข้าพอจะนึกภาพตามได้"
"ฮ่าๆ ก็นะ ....เรือหนี่เมินนี่ก็ด้วย เราแทบไม่เคยจอดท่าไหนเกินสัปดาห์ แต่ว่าเราหุบเรือใบกันเป็นปีเพราะกัปตันมันเกือบตาย...เพราะเจ้าคนนั้น เหยื่อคนก่อนหน้าเจ้า"
"..."
"..."
"พิษรักกระนั้นหรือ"
"พวกเราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นความรักหรือความหลง แต่รู้แค่เด็กนั้นสร้างแผลใจไว้ยิ่งใหญ่นัก...ใหญ่มากจริงๆ"
ทั้งสองหยุดลงที่หน้าประตูห้องกัปตันที่เดิมอันคุ้นตา เต๋ออิงบริการเปิดประตูให้อย่างดี ซิ่วหมินอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาจึ่งยินยอมกลับมาอยู่อีกครั้งด้วยเท้าของตัวเองทั้งที่กว่าโอกาสหลบหนีจะมาถึงได้ก็ช่างยากเย็นนัก
"อย่าห่วงเลย ขอแค่เจ้าทนให้คืนนั้นผ่านพ้นไปได้ เราจะทำตามที่ได้สัญญาไว้ เจ้าจะได้อิสระคืน"
"เราจะลองเชื่อใจแล้วกัน"
พ่อครัวหนุ่มพยักหน้ารับก่อนบานประตูจะปิดกั้นเขาทั้งสองลง ในคืนนั้นซิ่วหมินคล้ายจะผลอยหลับได้ลึกกว่าเก่าด้วยความกังวลหรือความขุ่นมัวในใจได้สร่างซาลงไปบ้างจากเรื่องของจ้าวโจรสลัดในวันนี้ ถ้ามองโลกในแง่ดีหน่อยก็คิดเสียว่าจ่ายพลังเวทย์แก่เรือหนี่เมินในฐานะค่าโดยสารสู่เมืองสตาร์ลิทเสียละกัน
และในคืนนั้นจนสติสัมปชัญญะสุดท้ายของเขาหลุดลอยไป ลู่หานก็ไม่ได้กลับเข้ามานอนที่ห้องนี้
.
.
.
.
ทว่าในเช้าต่อมา ซิ่วหมินก็ได้พบว่าโซ่ที่คล้องข้อเท้าตนไม่ได้ถูกเหนี่ยวรั้งกับสิ่งใดอีกแล้ว
(60%)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น