ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : suffer of the noble
The Planet ;OFFLINE
| Suffer of the Noble |
ตึก ตึก
พื้นหินอ่อนสีขาวดังก้องเมื่อกระทบกับรองเท้าสีน้ำตาล ผ้าคลุมสีขาวกับสายคล้องคอสีชาดลวดลายทองอร่ามหยุดลงตรงหน้ารูปปั้นผู้เป็นศูนย์กลางแห่งศาสนจักร เข่าทั้งสองทรุกลงกับพื้นเย็นเยียบพรางยกมือขึ้นมากุมจรดหน้าผาก จี้ไม้กางเขนห้อยไปมาและแน่นิ่งไปในที่สุด แสงจันทราลอดสอดเกล็ดหน้าต่างหลากสีเข้ามาสะท้อนกับดวงหน้าขาวกระจ่าง
กลีบปากบางขยับเพื่อเปล่งบทสวดสรรเสริญแด่พระผู้เป็นเจ้าที่เขานับถือ บทสวดที่เบาหวิวแต่กลับก้องไปทั่วหัว ลุ่มลึก หลงใหลจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง จนกระทั่งดวงตาเรียวเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
"ท่านพ่อ...วันนี้ข้าพเจ้าได้พบกับข่าวร้าย น้องชายของข้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าจะซอกใดรูใดของเมืองก็มิอาจมองเห็นเขาได้ นั่นหมายถึงว่าเขาไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้เสียแล้วมิใช่หรือ"
เขากล่าวกับรูปปั้นด้วยแววตาโทมนัส ผิวใต้ตาคล้ำเด่นชัดว่าได้รับการพักผ่อนน้อยเพียงใด ยิ่งหวนนึกถึงคำกล่าวเมื่อตอนกลางวันที่ชวนลมจับใบหน้ากลมก็ซุกลงกับอุ้งมือที่ถือสร้อยกางเขน
"โลกภายนอกช่างอันตรายนัก เช่นนั้นน้องชายที่รักของข้าจักเป็นเยี่ยงไร ปีศาจตัวใดชี้นำทางเขาเช่นนั้นกัน"
พระผู้เป็นเจ้าที่ถูกสนธนาด้วยยังคงนิ่งเงียบอย่างที่ควรจะเป็น ใช่ คงไม่มีรูปปั้นที่ไหนตอบได้หรอกตัวเขาเองก็รู้ดีอยู่ายหนุ่มปาดน้ำตาที่รื้นออกจากดวงตาและเพ่งตรงต่อรูปปั้นเดิม
"ข้าพเจ้า...จักออกไปตามหาเขา น้องชายคนเดียวของข้า และจนกว่าเราจะได้เจอกันด้วยโชคชะตาฟ้าลิขิต ได้โปรด...."
"ช่วยปกปักษ์รักษาไค....ดั่งบุตรในสายเลือดของท่านด้วยเถิด"
รองเท้าบูทสีน้ำตาลค่อยๆยันตัวขึ้นจากพื้นหินอ่อนชั้นดี เขาเผลอสบตากับดวงดาราผ่านช่องเกล็ดหน้าต่างเหนือหัวที่หายไปช่องหนึ่งก่อนจะยกสายสร้อยกางเขนขึ้นจุมพิตและแตะไว้บริเวณหน้าผาก หยดน้ำเม็ดหนึ่งร่วงกลิ้งลงมาตามแนวแก้มพร้อมคำสรรเสริญที่ก้องกังวานดุจเสียงระฆัง
"ขอพระองค์ทรงประทานพร"
"ย่า!!!"
ตือดือดือตึ้ง!
วงแหวนใต้เท้าสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับภาพกราฟฟิคของปีกสีขาวแฟ่สยายออกจากหลัง คิมจงอินปล่อยมือจากดาบเล่มใหญ่แล้วล้มตัวลงกับพื้นหญ้าสีเขียวตามมอนสเตอร์ที่เขาเพิ่งตีมันจนHPหมดไปก่อนหน้านั้น เหงื่อไคลไหลเต็มหน้าพร้อมเสียงหายใจหอบ เขาไล่เก็บค่าประสบการณ์มาตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ตะวันชี้ลูกตาแทบบอดแล้วกว่าเลเวลจะยอมอัพถึง20เสียที
นี่มันไม่ง่ายเลยที่ต้องมาแกว่งดาบยักษ์อย่างกับพวกเบอร์เซิร์กมาไล่ฟันไอ้สิ่งมีชีวิตประหลาดที่แค่สบตาก็รีบกรูกันเข้ามาตีเขา แค่เห็นในเกมปกติก็ว่าน่ารำคาญมากแล้ว พอเจอกับตัวเองก็อดฟิวส์ขาดผึงๆไปหลายรอบอยู่
ท้องฟ้าสีครามประดับดวงอาทิตย์ที่ถูกเมฆก้อนแล้วก้อนเล่าลอยผ่านจนตัดเป็นแสงแดดทีหรือเงาร่มที คิมจงอินยังนอนอยู่ตรงนั้นเคียงข้างกับดาบยักษ์ของตนแม้จะแอบกระเถิบเข้าใต้ต้นไม้แล้วก็ตาม ดวงตานิลเฝ้ามองปุยเมฆขาวฟุ้งล่องลอยอิสระไหลเอื่อยไปเรื่อย เขาชอบช่วงเวลาอันแสนสงบเพียงลำพังเช่นนี้ที่สุด ปล่อยให้สมองได้ว่างแล้วไม่ต้องคิดอะไร
อา.... เหมือนได้กลับไปสูบกัญชาอีกรอบเลยแฮะ....
"โย่! เก็บเวลครบรึยังไอ้หนู"
แทบทุกครั้งที่ช่วงเวลานี้ต้องพังลงเพราะมัน....
นักเวทย์นามเซฮุน เพื่อนร่วมปาร์ตี้เขาชะโงกหน้าตัดกับแสงแดดมายักคิ้วกวนอารมณ์ใส่ จงอินเบ้หน้าแล้วยกขาหมายจะถีบเข้าที่เข่าอีกฝ่ายแต่กลับถูกรู้ทัน เขาได้แต่มองมันตาขวาง ไอ้ห่านี่แม่งรู้มันตลอดเวเลยว่ะ เซ็ง!
"อ่ะๆๆ อย่าซนน่าเดี๋ยวปั๊ดถีบหน้ายุบเลย"
"พูดมากน่าไอ้นักเวทย์ตุ๊ด"
"คนที่ได้แต่แกว่งดาบเล่นอย่างแกก็ไม่ต่างจากพวกอารยันเท่าไหร่หรอกน่าไอ้หนู"
"หมายความว่าไง?"
"ก็.....ไม่รู้สิ"
เซฮุนลอยหน้าลอยตาแล้วยื่นมือให้อีกฝ่ายได้จับเพื่อพยุงตัวขึ้น โชคดีที่จงอินไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของมัน คนถูกตีหน้าว่าเป็นอารยันชนจึงยอมรับความช่วยเหลือนั้นโดยดีโดยที่ไม่ต้องมีใครหัวร้างข้างแตกไปก่อนกัน
"ไหนดูซิ ลูกชายของฉันเลเวลเท่าไหร่แล้วน้าาาา"
"มีพ่อแบบแกยอมตกม้าตายดีกว่าว่ะ"
คำเหน็บแหนมลอยมาในอากาศและเซฮุนก็ปล่อยให้มันลอยต่อไป หน้าต่างDATAจากเหรียญผจญภัยถูกเปิดขึ้นกลางอากาศ นิ้วยาวถูกคลุมด้วยถุงมือหนังจิ้มตามหน้าจอด้วยความชำนาญจนมันขึ้นเป็นข้อมูลของจงอินหรืออีกชื่อคือไคในที่สุด จอมเวทย์หนุ่มดูแล้วพยักหน้าคล้ายจะพออกพอใจพอสมควรอยู่
"เจ๋งเหมือนกันนี่หว่า แค่ระยะเวลาเกือบสามสัปดาห์ได้เลเวล20แล้ว"
"แน่นอน นี่ใคร?"
"ก็คนที่แพ้พี่ตัวเองแล้วสอบคัดเลือกไม่ผ่านไง"
"ไอ้......"
เขาได้แต่ชี้หลังหัวอีกฝ่ายเมื่อถูกด่ากลับมาจนสะอึก แค่ประโยคเดียวที่คนพูดไม่ใส่ใจช่างเหมือนยาพิษสำหรับเขา จงอินจิกผมจิกหน้าตัวเองแล้ววิ่งปรี่ไปกระทืบหญ้าเร่าๆเหมือนคนไร้สติ เกลียดมัน! เกลียดมันนนน!!
เซฮุนปิดDATAลงแล้วหันหน้าหล่อๆไม่เข้ากับปากของมันกลับมา ในมือมันมีผลแอปเปิ้ลที่ไม่รู้เอามาจากไหนเอาไว้ปรนเปรอท้องไส้ กัดเข้าไปคำนึงก่อนจะเอ่ยบทสนทนากับจงอิน แหม่ จะคุยกับกูก่อนแดกก็ไม่ได้นะ ต้องแดกแล้วค่อยคุย....
"เห็นแก่ความพยายาม.... พรุ่งนี้กูจะพามึงไปเที่ยวที่ๆนึง เอาป่ะ"
"เที่ยว?"
"ท่านสุภาพบุรุษขอรับ ท่านถึงจุดหมายแล้วนะขอรับ"
เสียงเตือนจากทางด้านหน้าเรียกให้ดวงตารีปรือขึ้น ชายหนุ่มชันกายจากกองฟางรอบขึ้น ทันใดสายลมแห่งทะเลก็ได้พัดเข้าเต็มหน้า ถึงกระนั้นตัวเขาก็ไม่สามารถเสียเวลาไปกับการชมธรรมชาติมากนัก ร่างเล็กในชุดคลุมสีน้ำตาลมอๆกระโดดลงจากรถเกวียนก่อนจะยื่นถุงของกำนัลเล็กๆใส่มือชายแก่ที่เป็นเจ้าของรถม้า
"ขอบพระคุณมากนะท่าน"
ชายชรายิ้มกว่าพลางกล่าวขอบคุณในสิ่งตอบแทนที่เขาไม่ได้คาดหวังมาตั้งแต่ต้น ผู้ชายในชุดคลุมยืนส่งอำลาและกล่าวคำอวยพรให้แด่สารถีน้ำใจงามที่ช่วยพาเขามาถึงจุดหมาย นิ้วยาวกดลงที่เหรียญนักผจญภัยของตนเพื่อกางแผนที่ออกมา
เมืองอัสโทรอยด์ เมืองท่าแห่งอาณาจักรพลาเน็ต สถานที่ๆเป็นศูนย์รวมทั้งความศิวิไลซ์และความเสื่อมทรามอยู่ในที่เดียวกัน ท้องทะเลที่พัดพาผู้มีความทะเยอทะยานแห่งความฝันเข้ามาหาผลประโยชน์จากดินแดนแห่งเรา และเช่นเดียวกัน ทะเลก็ได้พัดพาเหล่าคนผู้ปรารถนาจะเป็นหนึ่งในท้องน้ำ เหล่าคนที่บ้าคลั่งในอำนาจและเงินตรา คนที่หลงใหลในการต่อสู้แล้วครอบครอง
หรืออีกชื่อหนึ่งที่พวกเขาถูกเรียก ' ไพเรท '
พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดจงอภัยแด่คนบาปเหล่านั้น....
"นี่ๆ พี่ชาย"
แรงกระตุกตรงปลายเสื้อคลุมมาพร้อมกับร่างเล็กของเด็ก....ผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่า ผิวกายเข้มคล้ำดุจลูกแห่งทะเลทว่ากลับมีจุดแดงม่วงเขียวหลากสีสรรค์คล้ายรอยฟกช้ำ ริมฝีปากเล็กฉีกรอยยิ้มกว้างมีรอยสีแดงติดอยู่จางๆแต่ดวงตาที่ควรจะบริสุทธิ์และสว่างใสกลับมืดมนอย่างน่าสงสาร นักบวชย่อเข่าลงไปมอบอ้อมกอดแด่ลูกแกะที่น่าสงสาร สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงนี้แหละ
"ว่าอย่างไรหรือ"
"ท่านดูไม่เหมือนคนที่นี่เลย ไม่ทราบว่ากำลังหาที่พักอยู่รึเปล่า"
"ใช่แล้วเด็กน้อย ข้าเพิ่งได้มาที่แห่งนี้ครั้งแรก มิทราบว่าเจ้าพอจะแนะนำข้าได้ไหม"
"แน่นอนพี่ชาย"
ดวงตาสีเขียวตะไคร่หมองหม่นที่ปลายสายตาจบลงตรงมุมๆหนึ่งของตึกอาคารที่ถูกเงามืดทาบทับ เด็กหนุ่มในอ้อมกอดเอ่ยตอบรับเสียงแผ่ว
"แน่นอน...."
"อัพแรงค์เหรอ?"
"อือใช่ ตอนนี้นายนั่นแรงค์โคตรกาก เพราะฉะนั้นเวลก็ตั้ง20แล้ว ไปอัพแรงค์เถอะ"
"เฮ้ยใจเย็นดิ อธิบายกูหน่อยว่ามันคืออะไร"
เซฮุนตวัดตามามองแรงมากเหมือนกับคนที่ถูกถามเป็นรอบที่ร้อยล้านแต่ตัวคนถามกลับไม่เข้าใจซักที นักเวทย์ร่างสูงปาถุงมือใส่หน้าเพื่อนร่วมปาร์ตี้พลางส่งสายตาประมาณว่า 'พี่มึงไม่สงไม่สอนอะไรมามั้งรึไง' เอ๊า ไอ่ห่า ถ้ากูฟังพี่กู กูคงไม่หนีมากับมึงให้เมื่อยหัวหรอกสัดดดด
พูดไปก็เหมือนด่าตัวเองว่าสอนไม่จำ เพราะงั้นไม่พูดดีกว่า *ปิดปาก*
"มันก็เหมือนกับการสอบวัดระดับเพื่อจะก้าวไปในสิ่งที่เหนือกว่านั่นแหละ สมมติว่ามึงเจอนักผจญภัยที่เลเวลเดียวกันแต่แรงค์สูงกว่า อีกฝ่ายจะซัดมึงหมอบง่ายๆเพียงเพราะทักษะที่สูงมากกว่าไปอีกขั้นหนึ่ง ยิ่งแรงค์มากเท่าไหร่มึงก็จะถูกยกย่องมากขึ้น แต่ขณะหนึ่งการอัพแรงค์มันก็ยากจนแทบกระอัก ขนาดว่ามีคนเลเวลสูงมากแต่ดันแรงค์ต่ำจนไม่น่าเชื่อก็มี"
คำบอกเล่าของเซฮุนมันทำให้จงอินตกอยู่ในห้วงจินตนาการกับการ์ตูนอภินิหารจอมเวทย์นักรบอะไรซักอย่างที่เขาเคยอ่านในหอสมุดหรือไม่ก็ขโมยเอา น่ากลัวว่าเขาต้องไปสู้กับมังกรมือเปล่าซะล่ะมั้งเนี่ย เหอะๆๆๆ
"ว่ากันว่า แรงค์ SS ที่มีระดับสูงสุดเองก็เหลืออยู่เพียงสองคนบนโลก.... หรืออาจจะแค่คนเดียวแล้วตอนนี้"
"แล้วอย่างพี่ซิ่วหมินล่ะ?"
"หา พี่แกน่ะเหรอ นี่แกเป็นน้องชายประสาอะไรถึงไม่สำเหนียกเรื่องของพี่ตัวเองบ้างวะ"
........มึงก็ถามแปลกๆนะสัด ขนาดพี่กูเป็นนักบวชสูงสุดแห่งอาณาจักรกูยังไม่รู้เลย
"ตำแหน่งนั้นของอาณาจักร.... น่าจะซัก A+ ล่ะม้างงง"
"ทำไมถึงมี + ด้วยวะ"
"เพราะระดับเกินAแต่ไม่ถึงSไงมึง ง่ายแค่เนี้ยคิดหน่อยมึง คิดสิคิด ไม่ใช้สมองนานๆเดี๋ยวมันหดนะเว้ย กูเป็นห่วง"
ขอบใจแต่ไม่ต้องก็ได้นะสัด....
"เออๆๆๆๆๆ เข้าใจแล้ว แล้วจะไปกันวันไหนล่ะ"
"พรุ่งนี้"
"อ่าว ไหนมึงบอกจะพากูไปเที่ยวไง ไอ้เซฮุนมึงอย่ามาหลอกกูให้ดีใจเก้อดิสาด พากูไปเที่ยวเลยยยยย"
"เฮ้ย"
"มึงพากูไปเที่ยวก่อนดิ มึงสัญญาแล้วนะเว้ย ทำไมมึงทำแบบนี้ว้า"
"ไค"
"กูเสียใจว่ะแม้แต่มึงก็ยังหลอกกู ไอ้ห่า ไอ้เวร ไอ้.."
ผัวะ!
"หุบปากสัด! กูกำลังจะบอกว่ามันเป็นที่เดียวกัน!!"
สายไปแล้วสำหรับคำสั่งนั้น จงอินรู้สึกจุกจนหน้าเกือบซีดตอนเท้าเปล่าของเซฮุนซัดเข้าเต็มท้องข้อหาทำตัวน่ารำคาญชวนเส้นประสาทขาดผึง บอกกูดีๆก็ได้ป่ะเพื่อน นายไม่เห็นต้องใช้ความรุนแรงเยยย *ร้องไห้*
"สัด........ มึงบอกกู.....ดีๆก็ได้"
"กูจะพูดแล้วมึงฟังบ้างไหมฮะ มาๆๆลูกชาย เดี๋ยวป๊ะป๋าจะสั่งสอนมารยาทแกเอง~~"
"ไอ้ฮุน อย่า โอ๊ย สัด มันเจ็บนะเว้ยยยยยย"
ว่าแล้วคุณพ่อสุดหล่อก็ลงมือสอนมารยาททางฝ่าเท้าทันที เพียงแค่บทเรียนขั้นต้นก็ทำเอาคนที่เป็นลูกชายถึงกับกรีดร้องยิ่งกว่าจะโดนดาบเชือด จงอินไม่ยอมเขาดึงข้อขาแล้วกระชากให้อีกคนล้ม ตั้งใจจะขึ้นคร่อมแล้วซัดแต่เซฮุนยื้อขัดแล้วยกเท้าเตะตอบโต้ ต่างฝ่ายต่างก็ฟัดกันมันเขี้ยวซ้ำยังส่งเสียงด่ากันจนกลัวว่าเจ้าของที่พักจะขึ้นมาด่าด้วยซ้ำ
หนุ่มร่างสูงทั้งคู่นอนแผ่ราบกับพื้นพลางหอบเสียงดังก้องทั่วห้อง สภาพไม่ต่างกับหมาที่เพิ่งกัดกันเสร็จ เสื้อผ้ายับเยิน ผมเผ้ากกระจุยกระจายและใบหน้าที่แดงๆที่เกิดจากทั้งความเหนื่อยและแรงตีกัน หมาบ้าทั้งสองหันหน้ามามองกันสักพักจากนั้นทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
"หัวมึงทุเรศเหมือนถังขยะเปียกเลยว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ!!"
"หน้ามึงก็อย่างเหี้ยอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!"
"....."
"จะเอาเหรอสัด!"
และแล้วคืนนั้นของทั้งคู่ก็จบลงด้วยเสียงโวยวายอีกตามเคย
อีกแล้ว...
ซิ่วหมินดึงผ้าคลุมหน้าลงต่ำเมื่อรู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในใจเขา หลายครั้งที่มันกู่ร้องขึ้นมาว่าใครบางคนกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ มันอาจจะเป็นคนของอาณาจักรพลาเน็ตที่กำลังตามหาตัว(อันที่จริงเขาแอบหนีมาและไม่ได้ขออนุญาตกับใครทั้งนั้น) หรืออาจจะเป็นคนพื้นเมืองที่เห็นคนแปลกหน้า จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเขาคิดว่าสายตาคู่นั้นมันอันตราย
อาหารตรงหน้าดูจะหมดรสชาติไปทันทีเมื่อสัญชาติญาณโดนปลุกให้ตื่น เขาไม่มีอารมณ์จะเเตะต้องมันอีกและคิดว่าควรจะกลับที่พักให้เร็วที่สุด
"ขอบคุณมากขอรับ"
มือเรียววางค่าอาหารลงบนเคาน์เตอร์แล้วก็รีบก้าวเท้าออกมา แม้มันสามารถใช้เงินในเหรียญผจญภัยจ่ายได้แต่สำหรับคนของอาณาจักจะถูกบันทึกทะเบียนของเหรียญผจญภัย ซิ่วหมินที่ไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนระบุตัวตนเขาได้ทั้งนั้นจึงจำต้องใช้เงินสดในการแลกเปลี่ยนแทน
อีกทั้งการควักเหรียญแรงค์สูงๆออกมาต่อหน้าโจรพวกนั้น......จะต่างอะไรกับการหาเรื่องใส่ตัว
ตึก ตึก ตึก
สายลมแรงจากคลื่นทะเลพัดตีเส้นผมที่ยาวกว่าชายทั่วไปพัดติดข้างแก้ม เขาชอบทะเลก็จริงแต่ไม่ได้ชอบลมของทะเล มันทำให้เขารู้สึกเหนียว ซิ่วหมินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำพราวแสงประกายดุจของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้ามอบมาประโลมจิตใจของเขา เมืองท่าหลักของอาณาจักรในยามกลางคืนนี้ช่างมืดมิดเพราะไร้แสงไฟแต่กลับงดงามได้ด้วยแสงดาว
ตึ้งตึงตือดึงง....
เสียงดนตรีจำเพาะของเครื่องสายเรียกความสนใจของนักบวชร่างเล็กกลับไปด้านหลัง ภาพของชายวนิพกกับผ้าคลุมเก่าๆขาดเป็นรูและเปื้นคราบคนหนึ่งปรากฏขึ้นเต็มสองแก้วตา
ข้อนิ้วยาวไล่ไปตามสายเครื่องดนตรีเชื่องช้าอย่างมีสุนทรีรมณ์สร้างท่วงทำนองอันไพเราะและอ้างว้างในเวลาเดียวกัน เขาได้แต่กล่าวชื่นชมอยู่ในใจก่อนจะหันหลังกลับไปในเส้นทางที่มุ่งหมาย
ลับหลังของคนที่เดินจากไป หารู้ไม่ว่าดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับต้องตนตลอดสายตา ผ้าคลุมผืนเก่าถูกดึงลงมาหยุดอยู่ตรงลำคอขาวที่ถูกล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีบลอนด์ ปากซีดกรีดออกข้างเป็นรอยยิ้มเหยียดเช่นเดียวแววตาสีเทาเข้มดุจสีของโลหะที่แวววับเป็นประกาย
"งดงามยิ่งนัก"
เจ้าผู้นั้น .....ผู้สวยงามยิ่งกว่าดาราดวงไหน หอมหวานยิ่งกว่าดอกไม้งามใดๆ อา หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าผู้โลภมากคนนี้จะอดใจได้ได้อย่างไรกัน อยากจะได้มายิ่งนัก
อยากจะครอบครอง
ห้องพักสี่เหลี่ยมขนาดกลางอยู่ในความเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกของคนหนึ่งในห้องเเละเสียงลมลำนำจากท้องทะเล แสงจันทราคืนเพ็ญเจิดจ้าบางส่วนหลุดลอดเข้ามาในห้องผ่านทางหน้าต่างไม้ที่เปิดกว้างจนเกิดเงาทอดยาวสุดปลายเตียงของผู้อยู่ในห้องนิทรา เช่นกันกับบางสิ่งอย่างบนกรอบหน้าต่าง รองเท้าหนังค่อยๆหย่อนกายลงมาที่พื้นห้องและก้าวเดินอย่างระมัดระวัง
เอี๊ยด.... เอี๊ยด
ทุกย่างก้าวแม้จะเกิดเสียงลั่นของไม้แต่มันก็เบาจนต้องเงี่ยหูฟัง เงาดำหยุดลงตรงข้างเตียงก่อนจะค่อยโน้มลงจนเกือบชิดใกล้กับบุคคลในห้องฝัน มือเรียวล้วงไปในผ้าคลุมเพื่อหยิบดอกไม้สีขาวออกมาประทับรอยจูบลงไปแล้วเกลี่ยลงบนริมฝีปากบางของอีกฝ่าย แผ่วเบาและอ่อนโยน
ฉัวะ!
"........ตื่นเสียแล้วเหรอ น่าเสียดาย"
ดวงแก้วเหล็กจ้องมองร่างกายเล็กที่กระโดดหนีไปชิดผนังห้อง ดวงตารีจ้องเขม็งกลับมาโดยมิเกรงกลัว ร่างกายตั้งอยู่ในท่าที่พร้อมจะต่อสู้กลับทุกเวลา สีแดงเข้มติดวัตถุปลายคมเป็นหลักฐานของความปวดร้าวข้างล่างแก้ม ผู้บุกรุกใช้ลิ้นเลียของเหลวรสสนิมและแสยะยิ้มเหมือนเพียงแค่ถูกแมวข่วน
"สายตานั่น....คุณจริงๆด้วยสินะ"
ซิ่วหมินไม่ตอบคำถามแต่กลับเบี่ยงคำถามกลับ ตั้งแต่ได้มองดวงตาคู่นั้นก็ต้องขนลุกทั่วร่าง นานมากแล้วที่เขาเลือกทางรับใช้พระผู้เป็นเจ้าจนไม่ค่อยได้เพิ่มทักษะการต่อสู้ ฝีมือต่างๆก็อาจจะตกหล่น แต่กับคนๆนี้มันฟ้องออกมาทั้งหมดทางแววตา
....ว่าอันตรายและไม่ควรเข้าใกล้
"โอ้.....นี่เจ้ารับรู้ความรักของข้าได้ด้วยหรือ น่าชื่นชมเหลือเกิน"
"รู้บ้างไหมว่ามันน่าขยะแขยง"
"ซักวันหนึ่งเจ้าจะเสียใจที่พูดแบบนี้เองล่ะ"
ซิ่วหมินถูกเข้าประชิดตัวในช่วงวินาที เขาพยายามจะหนีแต่มือยาวยื่นออกจากผ้าคลุมกระชากข้อมือเขาเอาไว้จนเกือบหน้าคะมำ อาวุธใกล้ตัวตวัดออกหมายเล็งเข้าที่ลำคอแต่อีกฝ่ายก็หลบได้ทันท่วงที เขาอาศัยช่วงที่คนๆนั้นให้ความสนใจกับมีดตวัดท่อนขารัดแขนยาวแล้วใช้เท้าอีกข้างถีบเข้ากลางอก
ผัวะ!
"ฝีมือดีกว่าที่คิดมาก...."
"!!"
"แต่ก็ยังล้มข้าไม่ได้หรอก"
ร่างเล็กถูกกดหน้าลงกับเตียง หลังจากถูกบางสิ่งกระแทกเข้าตรงท้ายทอยด้วยแรงมหาศาลจนเกือบสลบหากเขาร่ายพรคุ้มกันไม่ทัน เขากัดฟันกรอดพลางส่งสายตาอาฆาตแค้นให้แก่เจ้าคนน่าขยะแขยง พัดเหล็กหลายกิโลในมือมันกดลงกล้ามเนื้อด้านหลังจนเขาชาหนึบไปทั่วตัว เสียงหัวเราะเยาะปนกับเสียงหอบฟังจากเจ้าคนวิปริตดูไม่น่าพิศมัยแม้แต่น้อย
"หึๆๆ อีกไม่นาน ข้าก็จะได้ครอบครอง....เจ้า"
สัมผัสเย็นของเหล็กถูกลากจากแผ่นหลังมาหยุดที่ปลายคาง ลิ้นยาวมันเลียตวัดปากที่แย้มยิ้มช่วยกระตุ้นสารอะดินาลีนของเขาจนเนื้อเต้น ซิ่วหมินใช้แรงสุดท้ายสปรินช่วงท้ายลำตัวขึ้นเพื่อซัดสะบัดอีกฝ่ายออกและกระโดดหนีไปตั้งหลักตรงที่โล่ง นิ้วยาวแตะตรงหัวคิ้วที่ชื้นก็พบเลือดไหลออกมา เพียงแค่เวลาสั้นๆนั้นยังโจมตีกลับมาได้อีกงั้นเหรอ
เขานึกขอบคุณครูฝึกที่มักจะทรมานเขาเพื่อทำให้ร่างกายอ่อนและยืดหยุ่น เพราะซิ่วหมินนั้นตัวเล็กกว่านักรบทั่วไป การเคลื่อนไหวและเทคนิคจึงเป็นสิ่งสำคัญกว่าพลังกาย โอเคแต่ตอนนี้เขาควรจะสวดมนต์ต่อพระเจ้าว่าให้ทำยังไงถึงจะรอดก่อนดีกว่า
ชายในชุดคลุมเซหลังจากโดนคลื่นกระแทกแต่ริมฝีปากกลับยังคงยิ้มแสยะ เล็บคมยาวแตะตรงตาด้านขวาที่ถูกผ้าคลุมไว้ ข้างแก้มขวามีของเหลวคล้ายเลือดไหลย้อยลงมาเป็นแนวแคบๆ ซิ่วหมินเองก็สังเกตตั้งแต่เริ่มสู้กัน เขายังไม่สามารถมองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้เลย....
"เปิดเผยตัวของแกมาซะไอ้สารเลว"
"ฮึ.... ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะปรารถนาถึงข้าขนาดนี้"
คำพูดหยอกล้อเชิงชู้สาวไม่ทำให้เขาหวั่นไหวแต่กลับต้องระวังตัวขึ้นไปอีก อีกฝ่ายคล้ายจะมีแผลแต่ในใจซิ่วหมินคัดค้านว่านอกจากแผลถากข้างแก้มนั้นแล้วรอยเลือดนั้นเขามิได้เป็นคนทำ ถ้าเทียบกันกับตนผุ้เป็นนักบวชสูงสุดแล้ว บาดเจ็บและความปวดทั่วกายคล้ายจะบอกผลลัพธ์ว่าเขากำลังสู้กับสิ่งที่ไม่ควร
นักรบขี้แพ้....ก็ยังเป็นได้แค่นักรบขี้แพ้กระนั้นหรือ?
"แต่จะเอาเช่นนั้นก็ได้ เผื่อว่าจะยอมเป็นของข้าง่ายขึ้น"
ผ้าคลุมเก่าค่อยๆไหลลงตามโค้งศีรษะเพราะฝ่ามือที่รูดมันลง เส้นผมแห้งแตกสีอ่อนถูกลดปล่อยจากพันธนาการสีดำเวลาเดียวกับที่สายลมพัดหวนมาวูบใหญ่ เเสงจันทร์สาดลงมาเพียงเสี้ยวหน้าสะท้อนให้ดวงตาสีเหล็กวาวเป็นประกายกับดวงหน้าที่หวานหยดยวดยิ่งกว่าสตรีงามในอาณาจักร มันก็ทำให้ซิ่วหมินนิ่งค้างดุจถูกคำสาป
ไม่ ไม่ใช่คำสาป....
พลั่ก!
"แก.... แกทำอะไร"
เสียงสั่นถามอย่างไร้แรง ร่างกายเขาปวดร้าวคล้ายคนใกล้ตาย เรี่ยวแรงทั้งหมดมลายหายเพียงแค่หายใจยังเจ็บปวด การต่อสู้สิ้นสุดลงเมื่อซิ่วหมินถูกช้อนตัวขึ้นหลังจากบางสิ่งอย่างทำให้เขาตัวชาคล้ายอัมพาตลงไปนอนกับพื้น ดวงตาสีสนิทมองต่ำมายังเขาเหมือนเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงในมือ
"ไม่รู้จักยาชากระนั้นหรือ เจ้าควรจะออกจากอาณาจักรไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้างนะยอดรัก ไม่สิ ข้าจะพาเจ้าไปเองดีไหมล่ะ ถือเป็นของขวัญฮันนีมูลของเรา"
"แก....เป็นใครกันแน่"
เสียงหัวเราะดังขึ้นจมูกเวลาเดียวกับที่รองเท้าหนังขึ้นไปยืนบนขอบหน้าต่างไม้ นัยน์ตามุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงต่อความสูงแม้พวกเขาจะยืนหมิ่นเหม่นอยู่ตรงอาคารชั้นสอง มือหยาบวิสาสะเข้ามาช้อนอุ้งมือขึ้นไปชิดกับริมฝีปากซีด รอยจูบเย็นชืดชิดฝ่ามือสร้างความปั่นป่วนในช่วงท้องของซิ่วหมินจนอยากจะสำรอก
ท่าทางไม่ต่างอันใดกับสุภาพบุรุษแต่ดวงตาแห่งปีศาจนั้นถูกปิดไม่มิด ตัวเขาฝีมืออาจจะตกลงมากก็จริงแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงทักษะที่ยังคงอยู่และเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน สิ่งนั้นคือสัญชาตญาณที่มันกู่ร้องว่าผู้ชายคนนี้.....
"ยินดีที่ได้แนะนำตัวแก่เจ้า.... นามของข้าคือลู่หาน หรืออีกนามหนึ่งคือกัปตันลู่แห่งกองเรือลู่หนี่เหมิน"
...
" ไพเรท ....ระดับ S "
คนนี้ๆอันตราย.....
white candle (Game Master) : พักเรื่องฮามาเรื่องเครียดแป๊ปปปป แม่ขา หนูรักโจรสลัดดดด ////q//// *เลียจอ*
เขาและนักโทษของเขาช่างร้อนแรงจริงๆค่ะ *แนบรูป*
#uksp #uksp #uksp #uksp #uksp #uksp #uksp #uksp
### สอบเสร็จตั้งแต่ศุกร์แล้วนะคะ ที่อัพวันนี้เพราะเพิ่งเขียนตอนวันศุกร์ไงล่ะ!
วิทย์เหี้ยมากกกกกก หมายถึงเรานะ วิทย์เหี้ยมาก 5555555555555555555
คุณ BabyKai หรือใครที่สอบอยู่ก็สู้ๆนะคะ เจอกันอีกที6เดือนหน้าค่า 555555 รักกกกก ###
◊
SQWEEZ
เขาและนักโทษของเขาช่างร้อนแรงจริงๆค่ะ *แนบรูป*
#uksp #uksp #uksp #uksp #uksp #uksp #uksp #uksp
### สอบเสร็จตั้งแต่ศุกร์แล้วนะคะ ที่อัพวันนี้เพราะเพิ่งเขียนตอนวันศุกร์ไงล่ะ!
วิทย์เหี้ยมากกกกกก หมายถึงเรานะ วิทย์เหี้ยมาก 5555555555555555555
คุณ BabyKai หรือใครที่สอบอยู่ก็สู้ๆนะคะ เจอกันอีกที6เดือนหน้าค่า 555555 รักกกกก ###
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น