ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Part 01 ::Welcome to my life (love)::
01
Welcome to my life (love)
ไม่ล่ะ เขาจะไม่รับงานนี้...ไม่อย่างเด็ดขาด!!
ไม่!!!
(ฟังเราให้ดีนะซองมิน)
“ฮยอกแจ นายหลอกเรา”
(เราหวังดีกับนายต่างหาก คิดดูว่านายจะหางานที่ได้เงินดีและได้เงินง่ายไปกว่างานนี้มันไม่มีอีกแล้วนะเว้ย) ซองมินหยุดมือที่กำลังวุ่นกับการเก็บอุปกรณ์การสอนลงเป้ กลีบปากสีแดงจัดเม้มเข้าหากันจนแทบเป็นเส้นตรง เจ้าของดวงตากลมใสที่ตอนนี้ขุ่นเข้มไม่ลืมว่าภายในห้องนั้นยังมีร่างของคนตัวสูงหน้าหล่ออีกคนอยู่ด้วย คนที่แม้จะอยากคิดว่าเป็นแค่คนนอกแต่ในความเป็นจริงเขาคือผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
โจคยูฮยอนลอบถอนหายใจลึก คิดว่าโชคยังเข้าข้างในเมื่อว่าที่อาจารย์สอนพิเศษยังไม่รู้ว่าสาเหตุสำคัญรวมไปถึงเจ้าความคิดของเรื่องทั้งหมดคือคนที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่ในห้องเดียวกัน ไม่ใช่คนที่ซองมินกำลังเค้นเสียงใส่ผ่านทางโทรศัพท์เครื่องบาง
(เราไม่ได้หลอก)
“แต่นายก็ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด นายเว้นส่วนที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ไว้เพราะนายต้องการหลอกเรา นาย...” ซองมินเว้นประโยคไว้แค่นั้นเพราะเพิ่งรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวจากใครอีกคน นักศึกษาปริญญาโทและว่าที่อาจารย์หนุ่มของมหาวิทยาลัยชื่อดังเงยหน้าขวับ ร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้ามีแค่โต๊ะไม้ขวางกั้นระหว่างคนทั้งสอง
“คุณต้องการอะไร” มือกลมลดโทรศัพท์ลงกดไว้กับแนวไหล่ ใคร่รู้ในพฤติกรรมของคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
“ผมอยากคุยกับฮยอกแจ ถ้าซองมินชี่ไม่ว่าอะไรขอผมพูดกับฮยองหน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มดังลึกอยู่ในลำคอ ซองมินกลืนน้ำลายยามเห็นสันจมูกโด่งสวยลอยวนอยู่ไม่ห่าง เป็นสันจมูกที่น่าอิจฉามาก
“แต่ผมยังคุยกับฮยอกแจไม่จบ” แม้ว่าระยะห่างของคนสองคนจะมีโต๊ะไม้ขวางกั้นแต่เพราะนักร้องหนุ่มโน้มร่างลงมาหาทำให้ช่องว่างระหว่างทั้งสองลดเหลือแค่ไม่เกินหนึ่งไม้บรรทัด ซองมินได้กลิ่นหอมเจือกลิ่นแปลกปลอมของบุหรี่จางๆ กลิ่นของสิ่งเสพติดที่ดูไม่เข้ากันเลยกับภาพลักษณ์ของผู้ชายตรงหน้า
“ขอผมคุยกับฮยอกแจก่อนแล้วจะอธิบายทุกอย่างให้ซองมินชี่เข้าใจด้วยตัวเองครับ” เจ้าของแก้มขาวเอียงคอมองเด็กหนุ่มรุ่นน้อง หัวคิ้วคมขมวดมุ่นดวงตากลมยิ่งเข้มจัด เป็นกริยาที่ไม่ควรจะน่ามองเอาเสียเลยหากมันไม่ได้เกิดขึ้นกับอีซองมิน คยูฮยอนถอนหายใจลึก มือหนากำเข้าหากันในขณะที่กรามแกร่งบดเบียดจนขึ้นเป็นสันนูน...การหักห้ามความรู้สึกเริ่มยากขึ้นทุกวินาทีที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
“คุณรู้หรือว่าผมกำลังคุยเรื่องอะไรกับฮยอกแจ” คนตาคมไม่ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ เป็นกริยาที่ดูไม่สุภาพนักสำหรับคนที่อายุน้อยกว่า หากแต่ลักษณะที่ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมดกดำค้อมลงนั้นเป็นไปอย่างนุ่มนวลบวกกับรอยยิ้มบางที่เหน็บมาบนริมฝีปากสีจัดทำให้ซองมินยอมยื่นโทรศัพท์ให้แต่โดยดี
“ถึงยังไงผมก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ขอตัวสักครู่นะครับ” เสียงเดิมเอ่ยประโยคออกตัวได้น่าฟัง มองตามร่างสูงเดินผ่านประตูออกไปด้านนอกแล้วเจ้าของโทรศัพท์มือถือจึงได้ทิ้งร่างลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจหนักหน่วงโดยที่ความอึดอัดนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ถูกฮยอกแจหลอกแม้แต่น้อย
“นายพูดอะไรกับซองมินไปบ้าง” เสียงทุ้มกดเสียงต่ำไม่ได้ห้วนแต่คนใกล้ตัวก็รู้ดีว่ามันเป็นสัญญาณของอารมณ์บางชนิดที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นในตัวคุณชายโจคยูฮยอน นักร้องหนุ่มพิงร่างกับบานประตูมือหนึ่งยังจับอยู่ที่ลูกบิดราวกับกลัวว่าใครอีกคนจะพรวดพราดผ่านออกมาจากประตูนั้น
(เรียก ‘ฮยอง’ ก่อนสิแล้วจะบอก) โจคยูฮยอนร้ายกาจแค่ไหนเป็นที่รู้กันดีในหมู่คนสนิทและญาติพี่น้อง ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมหวาน กับภาพลักษณ์เงียบขรึมนั้นซุกซ่อนความดุดันทั้งทางฝีปากและอารมณ์ไว้ได้มิดชิด ในเมื่อบริษัทเลือกที่จะนำเสนอภาพของของเขาในฐานะผู้ชายอบอุ่น สุขุมนุ่มลึกออกสู่สายตาประชาชนคยูฮยอนก็จะถือว่ามันเป็นเรื่องสุดวิสัย ถ้าเขาสามารถประพฤติตัวได้ถูกต้องเหมาะสมเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่ามันจะเข้าข่ายหลอกลวง
แต่เรื่องนั้นน่ะช่างแม่งมันเถอะ สิ่งที่เขาต้องรีบจัดการคือเรื่องของคนหน้าหวานที่รออยู่ในห้องต่างหาก
“อย่าเพิ่งกวนฮยอกแจ ไหนนายบอกว่าจัดการทุกเรื่องเรียบร้อยแล้วทำไมถึงยังมีปัญหา” เสียงแหบหัวเราะมาตามสาย คนที่รู้เช่นเห็นชาติกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แม้จะเกิดช้ากว่าสองสามปีแต่คยูฮยอนรู้ว่าน้ำเสียงแบบนั้นมันหมายความว่าคนที่มีตัวเลขอายุมากกว่ากำลังสนุกเต็มที่ เป็นความสนุกบนความทุกข์ของญาติผู้น้องอย่างเขาเสียด้วย
(นายแค่บอกให้ฉันติดต่อหว่านล้อมซองมินให้ยอมรับงาน แต่ไม่ได้จำกัดนี่หว่าว่าฉันจะทำด้วยวิธีไหน) เสียงทุ้มสบถดุเดือดในคอ ถ้าไม่ติดว่าการลงแรงกับประตูจะทำให้ซองมินตกใจจนสงสัยเขาคงระบายอารมณ์กับเนื้อไม้หนาหนักแทนญาติผู้พี่ไปแล้ว
“แต่นาย...”
(ลองดูสิคยูฮยอน ถือเสียว่านี่เป็นบททดสอบขั้นแรก ถ้านายพูดให้ซองมินยอมรับสอนพิเศษให้นายได้ก็ถือเป็นความสำเร็จแรกเริ่มเลยนา) ฮยอกแจกล้าพูดท้าทายประโยคนั้นเพราะรู้ดีถึงความต้องการในใจของญาติผู้น้อง รู้ดีด้วยว่าคยูฮยอนนั้นมีความตั้งใจมากแค่ไหนกับการเรียนพิเศษครั้งนี้
“ฉันถือว่านายผิดสัญญา ถือว่านายล้มเหลวกับงานครั้งนี้นะฮยอกแจ” เอาสิ ในเมื่อฮยอกแจกล้าเล่นตุกติกกับเขา คยูฮยอนก็จะวกกลับไปใช้วิธีเดียวกันกับตอนเริ่มเรื่องนี้
(เฮ้ย ได้ไงวะ! นายบอกว่าให้ฉันชวนซองมินมาเป็นอาจารย์สอนพิเศษฉันก็จัดการให้แล้ว นายห้ามไม่ให้ฉันบอกความจริงทั้งหมดฉันก็ทำ แล้วจะมาบอกว่าฉันผิดสัญญาได้ไง) ได้ยินเสียงปลายสายโวยวายกลับมาคนที่กุมความลับของอีกฝ่ายไว้ในกำมือก็เหน็บยิ้มร้าย เอาสิ ในเมื่อฮยอกแจกล้าตุกติกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่จะยกเรื่องไดอารี่หวานแหววขึ้นมาแบล็คเมลล์ว่าที่คอลัมนิสต์ของค่ายเหมือนกัน
“ถือซะว่านายโชคร้ายที่ถูกฉันรู้ความลับเข้าก็แล้วกันนะพี่ชาย”
(เฮ้ย ไม่ได้นะเว้ย...ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำ คยูฮยอนได้ยินไหมวะ) คยูฮยอนได้ยินแต่ไม่ตอบโต้คำใดอีก นักร้องหนุ่มกดวางสาย เขาใช้ช่วงเวลาระหว่างที่รอให้แสงไฟบนหน้าจอสี่เหลี่ยมดับลงชื่นชมความชอบส่วนตัวของคนที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์ในมือ
ไม่อยากทำเลย คยูฮยอนไม่ต้องการให้การเริ่มต้นระหว่างเขากับซองมินต้องมีความทรงจำแย่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาอยากให้ว่าที่อาจารย์ตัวเล็กประทับใจแต่...ฮยอกแจก็ทำให้เกิดรอยด่างพร้อยในความสัมพันธ์ครั้งนี้เสียแล้ว
ซองมินมองชายหนุ่มตัวสูงเดินผ่านประตูเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือที่ถูกยื่นมาตรงหน้า เสียงทุ้มกล่าวคำขออภัยที่ถือวิสาสะกดวางสายแต่เมื่อคยูฮยอนให้เหตุผลว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายตัดบทการสนทนาไปก่อนจึงไม่รู้จะทำอย่างไรซองมินก็แค่พยักหน้าแต่หัวคิ้วยังมุ่นเข้าหากัน สรุปว่าฮยอกแจจะปล่อยให้เขาคุยกับคนที่เพิ่งเคยพบหน้าเป็นครั้งแรกอย่างนั้นหรือ
“ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ซองมินชี่ไม่พอใจ”
“ครับ?” โจคยูฮยอนยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ระยะห่างพอสมควรแต่ในเมื่อซองมินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ให้ยังไงก็ยังรู้สึกได้ถึงความเสียเปรียบเล็กๆ สีหน้าของเด็กรุ่นน้องราบเรียบอ่านไม่ออก ดวงตาดำลึกมองตรงมาอย่างไม่มีการหลบเลี่ยงแสดงออกถึงความมั่นใจชนิดที่คงไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ ซองมินเองเสียอีกที่รู้สึกราวกับตัวเล็กลงๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาทั้งมากด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ คิดได้ดังนั้นเพื่อนรักของฮยอกแจก็ยืดหลังนั่งตัวตรง จะมาเสียความมั่นใจกับคนที่เพิ่งพบกันได้ยังไง
“คุณหมายถึงอะไร แล้วทำไมคุณถึงต้องขอโทษ” ใช่แล้ว ในเมื่อคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องเข้าใจผิดโดยตั้งใจคืออีฮยอกแจ ไอ้ไก่ตัวดีนั่นต่างหากที่สมควรพูดประโยคนี้
“เพราะผมเป็นต้นเหตุทำให้ซองมิน เอ่อ คุณซองมินกับฮยอกแจทะเลาะกัน”
“เราไม่ได้ทะเลาะกันแต่ฮยอกแจมัน...แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวคุยกันก็เข้าใจเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเลยสักนิด” ประโยคที่ซองมินคิดว่ามันสุดแสนจะธรรมดาแต่กลับจุดประกายวูบวาบขึ้นมาในหน่วยตาดำจัด แน่นอนว่ามีแค่คยูฮยอนที่รู้ว่าสาเหตุมันมาจากอะไร คุณซองมินคงไม่ได้รู้สึกรู้สาด้วยหรอก
“ผมคิดว่าเกี่ยวนะครับ เพราะผมเป็นสาเหตุสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะผมต้องมีอาจารย์สอนพิเศษคุณซองมินก็คงไม่ต้องมีเรื่องผิดใจกับเพื่อนสนิท อย่าโทษฮยอกแจเลยนะครับ ฮยองแค่หวังดีกับผมเลยพยายามจะช่วยก็เท่านั้นเอง” คนที่เพิ่งได้สรรพนามนำหน้าอันทรงเกียรติมามาดๆ เลิกคิ้วสูง มองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มรุ่นน้องในหูยังมีเสียงทุ้มต่ำน่าฟังดังกึกก้อง
“ถึงฮยอกแจจะอยากช่วยคุณแต่มันก็เป็นคนผิดอยู่ดีที่กล้ามาหลอกผม คุณรู้ไหมว่าฮยอกแจไม่ยอมบอกรายละเอียดอะไรกับผมเลย ผม...” ว้า พูดไปก็ชักจะเข้าเนื้อ พอมีเวลาลองคิดทบทวนดูดีๆ ถึงได้รู้ตัวว่าพลาดเพราะความอยากได้ใคร่มีของตัวเองโดยแท้ ซองมินจิ๊ปากเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิดพาลพาโลถึงเพื่อนตัวแสบขึ้นมาอีกแล้ว
“ขอโทษครับ แต่คุณซองมินพอจะบอกผมได้ไหมว่าฮยอกแจบอกอะไรกับคุณซองมินบ้าง” คุณซองมินเม้มปากคิดทบทวนถึงสิ่งที่คุยกันกับเพื่อนสนิท คยูฮยอนมองอาการนั้นชนิดไม่คลาดสายตาเช่นกัน นักร้องหนุ่มมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปตามสภาพอารมณ์ของว่าที่อาจารย์สอนพิเศษแล้วก็ได้แต่พึงพอใจอยู่ลึกๆ อ่า...สิ่งที่ต้องการอยู่ตรงหน้านี่แล้วถ้าปล่อยให้หลุดมือไปเขาคงถูกฮยอกแจประณามหยามเหยียดไปอีกสิบปีเป็นแน่ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือคิดให้รอบคอบว่าสมควรเดินหมากตัวไหน จะรุกหรือจะรอเป็นฝ่ายรับแล้วค่อยรุกฆาตในภายหลัง
“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมคิดมาตลอดว่านักเรียนที่ต้องสอนคือเด็กประถมหรืออย่างมากก็ไม่เกินมัธยมต้น และฮยอกแจมันก็ปล่อยให้ผมเข้าใจผิดๆ โดยที่ไม่คิดจะแก้ไข นั่นแหละคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงโมโห” มีเสียงครางลึกมาจากลำคอของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ซองมินเงยหน้ารอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแล้วก็เลยได้เห็นสายตาที่ทอดมองมาก่อนแล้ว...นักศึกษาปริญญาโทกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก รอยยิ้มสว่างเจิดจ้ากับดวงตาพราวระยับมีแววเว้าวอนอยู่ในที เกิดมาก็เพิ่งจะรู้สึกถึงอาการเนื้อตัวสั่นเทาเพราะสีหน้าผู้ชายด้วยกันเป็นครั้งแรก!
“คุณซองมินคงผิดหวังมากที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอผม” เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ถูกคนที่เพิ่งรู้จักตัดพ้อเอาซึ่งๆ หน้า ว่าที่อาจารย์หนุ่มยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ซองมินไม่ชินกับการทำร้ายทำลายความรู้สึกคนอื่นเสียด้วยสิ ยิ่งเป็นคนที่ไม่สนิทสนมยิ่งไม่เคยมีในประวัติ
“ก็ไม่เชิง คือ...ไม่ใช่ว่าผมผิดหวังหรืออะไร เพียงแต่ผม...ไม่ชอบให้แพลนต่างๆ ในชีวิตมันรวน ผมมาที่นี่เพราะคิดว่าจะได้สอนเด็กเล็กๆ ไม่ใช่นักศึกษามหาวิทยาลัย” เป็นใครจะไม่ช็อค แทนที่จะได้สอนเด็กอย่างที่คิดเตรียมตัวไว้กลับมาเจอผู้ชายตัวสูงหน้าตาจัดว่าดีมาก ต่อให้เป็นเด็กรุ่นน้องหลายปีแต่จุดนี้ซองมินก็ไม่ขอตกกระไดพลอยโจนไปด้วยหรอก...ต่อให้ได้ยินเสียงถอนหายใจผะแผ่วหรือเห็นใบหน้าคมคายหมองลงไปต่อหน้าก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้(หรอ)
“แล้วถ้าหากผมจะเป็นฝ่ายขอร้องให้คุณซองมินรับหน้าที่นี้ละครับ” คยูฮยอนไม่รู้ว่าซองมินรับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขามากแค่ไหน แต่เท่าที่เฝ้าจับตามองดูเหมือนอีกฝ่ายจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย บางทีในหัวสมองของซองมินคงไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวพื้นที่ความทรงจำไว้สำหรับไอดอลที่กำลังมาแรงอย่างโจคยูฮยอนเลยด้วยซ้ำ
คยูฮยอนไม่ใช่มนุษย์ที่วันๆ เอาแต่ภาคภูมิหรือหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ไม่ว่าสถานะของเขาจะเป็นคนดังหรือเป็นแค่คนธรรมดาๆ (ซึ่งก็แน่นอนว่าลูกชายที่เกิดในตระกูลโจย่อมไม่เคยธรรมดาอยู่แล้ว)ชายหนุ่มก็ไม่เคยเก็บเอามาเป็นประเด็นใส่ใจ ใครจะรู้จักหรือไม่รู้จัก จะจำได้หรือไม่ได้จำเขาไม่สน...แต่ไม่ใช่กับคนตรงหน้า คยูฮยอนมองใบหน้าขาวใส ดวงตากลมที่มักจะเปล่งประกายพราวระยับอยู่เสมอ ซองมินไม่ได้ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้ง คนหน้าหวานเม้มกลีบปากเต็มอิ่มเข้าหากัน แม้จะยังไม่เคยใช้เวลาใกล้ชิดสนิทสนมแต่คยูฮยอนก็เดาลักษณะนั้นได้ไม่ยาก ว่าที่อาจารย์สอนพิเศษของเขากำลังมีเรื่องให้คิด และแน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำขอร้องของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
คยูฮยอนจะปล่อยให้ซองมินละเลยความทรงจำของการพบกันในช่วงสั้นๆ ทิ้งไปก่อน แล้ววันหนึ่งเมื่อเขาได้ทุกสิ่งตามที่หวัง เมื่อวันนั้นมาถึงคยูฮยอนจะไม่ยอมให้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของลมหายใจที่ซองมินจะไม่คิดถึงเขา
“คำขอของผมทำให้คุณลำบากใจมากหรือครับ” เมื่อซองมินเงยหน้าสิ่งที่ได้รับกลับไปคือรอยยิ้มบางแต่ดวงตาคมหวานยังแฝงแววเว้าวอนอยู่เงียบๆ ซองมินไม่รู้หรอกว่าคยูฮยอนเป็นใครแต่ก็เดาเอาเองว่าคงไม่พ้นศิลปินหรือไม่ก็เด็กฝึกหัดในค่าย รูปโฉมที่ดูดีตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดรองเท้าทำให้ซองมินรู้สึกว่าตัวเองช่างผิดที่ผิดทางเสียเหลือเกิน อ่า...แต่ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่คำขอร้องของผู้ชายตรงหน้านี่นา
“ก็ไม่เชิงครับ คือ...ตอนนี้ผมยัง บอกตรงๆ ว่ายังโกรธฮยอกแจมากๆ แล้วถ้าผมตอบตกลงกับคุณก็เท่ากับว่าผมยอมให้ฮยอกแจหลอกต้มแบบเต็มใจ ซึ่งผมไม่ชอบความคิดนั้นเท่าไหร่” คนพูดเบือนสายตาไปทางผนังห้องใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วก็กัดปากเบาๆ
“แล้วคุณซองมินคิดจะทำยังไงครับ จะไม่ยอมสอนผมจริงๆ หรือ” คุณซองมินกรอกตากลับมามองคนพูดอีกครั้ง คราวนี้มองตรงๆ อย่างให้เห็นว่ากำลังสำรวจตรวจตราระหว่างนั้นก็ใช้ความคิดไปด้วย เขาต้องคิดมากเชียวล่ะ
“ผมไม่ได้มีปัญหาที่ต้องสอนคุณ เหตุผลทั้งหมดก็อย่างที่บอกไปแล้ว ขอเวลาให้ผมคิดอีกหน่อยได้ไหม” คยูฮยอนยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบไว้ได้ทั้งที่ภายในใจนั้นกำลังระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ได้โกรธความลังเลของซองมินแต่โกรธสถานการณ์ความจำเป็นที่ทำให้ต้องปั้นหน้ายิ้มเป็นคนดี ปีศาจร้ายที่ถูกกักขังอยู่ในร่างกำลังกรีดร้องอยากแสดงตัวตนที่แท้จริงของมัน
กระหาย ใคร่ที่จะลิ้มลองครอบครองเป็นเจ้าของคนตรงหน้า!
“ถ้าคุณซองมินต้องการอย่างนั้น ผมก็คง...” มีเสียงถอนหายใจแรงๆ ดังแทรกขึ้นมากลางประโยคทำให้นักร้องหนุ่มหยุดคำพูดลง คยูฮยอนมองซองมินที่กำลังเดาะลิ้นโดยที่สายตาไม่ได้คลาดไปจากใบหน้าของเขาเช่นกัน
“พูดตามตรงคือผมอยากได้งานนี้มาก เอาแบบนี้ดีไหม...เรามาตกลงกันดีกว่า เป็นอันว่าผมจะสอนพิเศษให้คุณอย่างที่เคยคุยไว้ แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับฮยอกแจจนกว่าผมจะหาทางจัดการกับเจ้านั่นให้สาสมกับความผิดที่กล้ามาหลอกผมเสียก่อน” อ่า...ตอนนี้คยูฮยอนเองกลับเป็นฝ่ายอยากถอนหายใจดังๆ เพื่อระบายความอึดอัดทั้งหมดทั้งมวลในอก นักร้องหนุ่มกดยิ้มที่มุมปากแน่นอนว่ามันเป็นยิ้มที่สามารถละลายความมั่นใจของคนมองได้ในระดับหนึ่ง ซองมินหรุบตาลงต่ำแสร้งทำเป็นยกมือถือขึ้นเช็คเวลา ที่จู่ๆ ก็หมดความมั่นใจลงได้ง่ายๆ คงต้องโทษว่าเป็นเพราะไม่ค่อยคุ้นกับรอยยิ้มบาดจิตของมนุษย์ที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้วล่ะกัน
“แล้วผมต้องทำยังไงบ้างครับ”
“หา? อ๋อ...ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ถ้าเจ้านั่นมาถามก็ไม่ต้องพูดหรือตอบอะไร บอกว่าผมโกรธมากที่ถูกหลอกก็ได้” คยูฮยอนเลิกคิ้วแล้วก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าน้อยๆ ความหมายของนักร้องหนุ่มก็คือเข้าใจและยินดีที่จะให้ความร่วมมือ
“แสดงว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะ งั้นผมต้องขอตัวกลับซะที” หัวใจกระตุกวูบเมื่อได้ยินว่าอาจารย์ตัวเล็กกำลังขอตัวกลับ ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นสำรวจเวลาโดยอัตโนมัติและก็เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอาการให้อีกฝ่ายตรวจจับความรู้สึกได้ในที่สุด
“ถ้าอยากให้แผนการเอาคืนฮยอกแจสำเร็จลุล่วงด้วยดีวันนี้ผมคงอยู่เต็มเวลาไม่ได้ ไม่งั้นเจ้าไก่จะสงสัยเอาได้”
“อ่า จริงด้วย...แล้วคุณซองมินพร้อมจะมาสอนเมื่อไหร่” เจ้าของเสียงทุ้มยังคงใช้ภาษาแสนสุภาพทุกคำ ซองมินเริ่มชินกับการเป็นคุณซองมินเพราะจังหวะในการลงน้ำหนักชื่อน่าฟังจนไม่ได้สนใจจะทักท้วงหรือแก้ไข เขาชอบและมันก็ฟังดูดีมากเลยเถอะ
“วันนี้วันพุธ...อย่างนั้นสักวันศุกร์ได้ไหม? ตามตารางที่จัดไว้คร่าวๆ ก็คือจันทร์ พุธ ศุกร์ อาจจะมีเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับตารางวันว่างของคุณ ถูกไหม?” เอ...อันที่จริงถ้าซองมินจะฉุกใจคิดสักหน่อยก็น่าจะเดาได้ไม่ยาก เด็กประถมที่ไหนจะต้องคอยตรวจดูตารางวันว่างหรือวันไม่ว่างบ้างเล่า โถ่เอ้ยอีซองมิน อยากได้เงินจนหน้ามืดเลยหรือเนี่ย!
“วันศุกร์ แต่ว่า...ผมไม่แน่ใจเรื่องตารางงาน บางทีอาจจะมีงานด่วนเข้ามา”
“อ่อ คุณเป็นศิลปินของค่ายนี้จริงๆ สินะ ตอนแรกผมนึกว่า...”
“นึกว่าอะไรครับ”
“ก็นึกว่ายังเป็นเด็กฝึกหัดหรือไม่ก็...ช่างมันเถอะครับ” หน้าแตกเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้วมั้งซองมิน บางทีนายควรหยุดความสงสัยไว้ก่อนที่จะทำตัวเองขายหน้ามากไปกว่านี้ คิดแล้วก็โมโหไปถึงไอ้ตัวต้นเหตุ ฝากไว้ก่อนนะฮยอกแจ ฝากไว้ก่อน...
“อย่างนั้น ผมคงต้องขอเบอร์โทรศัพท์คุณซองมินไว้ เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่หรือว่าเวลาเรียน”
“อ่อ ได้สิ...เบอร์ เดี๋ยวนะขอนึกก่อน พอดีผมเป็นพวกจำเบอร์โทรศัพท์ตัวเองไม่ค่อยได้”
“ให้ผมบอกเบอร์ตัวเองแล้วคุณซองมินโทรมาดีไหมครับ” ข้อเสนอของนักร้องหนุ่มได้รับการอนุมัติในทันที ซองมินกดหมายเลขตามเสียงทุ้มจนครบแล้วจึงกดปุ่มโทรออก รอไม่เกินสามวินาทีเสียงสั่นครืดคราดก็ดังขึ้นบนโต๊ะตัวเดียวกับที่คยูฮยอนฟุบหน้าหลับ จากนั้นก็เกิดเป็นความเงียบกระทั่งซองมินนึกได้ว่าควรเมมเบอร์โทรที่ได้รับมาก่อนที่จะลืม นิ้วกลมจิ้มลงบนหน้าจอทัชสกรีนไม่นานก็เงยหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ผมเมมเบอร์คุณด้วยชื่อโจคยูฮยอนเลยนะ” เจ้าของชื่อไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธเป็นคำพูด หากแต่รอยยิ้มละมุนที่ฉาบบนใบหน้ารวมไปถึงดวงตาคมหวานบอกแทนทุกคำพูดได้ดี ว่าที่อาจารย์สอนพิเศษ ไม่สิ ตอนนี้เขากลายเป็นอาจารย์สอนพิเศษของหนึ่งในไอดอลจากค่ายดังเต็มตัวแล้ว ซองมินคว้ากระเป๋าที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะเตรียมพร้อมที่จะออกจากห้องนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนตัวสูงเอ่ยเสียงทุ้ม
“แล้วคุณซองมินอยากให้ผมเมมเบอร์โทรศัพท์คุณด้วยชื่อไหนดีครับ”
“อ่า...ผมยังไงก็ได้ครับ” อาจารย์พิเศษเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงเกรงใจหากจะบันทึกเบอร์เขาไว้ด้วยชื่อห้วนๆ จึงเปิดยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวอย่างเป็นกันเองที่สุด โจคยูฮยอนยิ้มละมุนตอบแทนความใจดีของอาจารย์ตัวเล็ก
ดวงตาสีดำจัดวาดตามจังหวะการก้าวเดินของร่างเล็ก ความจริงก็คือ คยูฮยอนไม่ได้มีความลังเลเหมือนอย่างที่แสดงออกสักนิด รอยยิ้มที่ซองมินมองว่าเกิดขึ้นจากความเกรงใจนั้นก็มีแค่เจ้าตัวที่รู้ว่ามันไม่ใช่เลย รอยยิ้มของคยูฮยอนคือยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมาดมั่นต่างหาก
นักร้องหนุ่มมั่นใจ...วันหนึ่งเขาจะต้องได้ซองมินมาเป็นของตัวเอง
TBC...
----------------------------------
ตอนหนึ่งมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนนี้ยังคงไม่ได้เฉลยอะไรมากนัก คิดว่าหลายคนคงกำลังอยากรู้ความหลังของพ่อนักร้องเขา เอาไว้ได้รักได้ครอบครองเป็นเจ้าของคุณซองมินเมื่อไหร่พ่อนักร้องเขาคงยอมเฉลยให้ฟังเองล่ะว่าไปเกิดความประทับจิตประทับใจว่าที่อาจารย์สอนพิเศษตั้งแต่เมื่อไหร่...เนาะ
แล้วพบกันใหม่นะคะทุกคน ^^
Welcome to my life (love)
ไม่ล่ะ เขาจะไม่รับงานนี้...ไม่อย่างเด็ดขาด!!
ไม่!!!
(ฟังเราให้ดีนะซองมิน)
“ฮยอกแจ นายหลอกเรา”
(เราหวังดีกับนายต่างหาก คิดดูว่านายจะหางานที่ได้เงินดีและได้เงินง่ายไปกว่างานนี้มันไม่มีอีกแล้วนะเว้ย) ซองมินหยุดมือที่กำลังวุ่นกับการเก็บอุปกรณ์การสอนลงเป้ กลีบปากสีแดงจัดเม้มเข้าหากันจนแทบเป็นเส้นตรง เจ้าของดวงตากลมใสที่ตอนนี้ขุ่นเข้มไม่ลืมว่าภายในห้องนั้นยังมีร่างของคนตัวสูงหน้าหล่ออีกคนอยู่ด้วย คนที่แม้จะอยากคิดว่าเป็นแค่คนนอกแต่ในความเป็นจริงเขาคือผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
โจคยูฮยอนลอบถอนหายใจลึก คิดว่าโชคยังเข้าข้างในเมื่อว่าที่อาจารย์สอนพิเศษยังไม่รู้ว่าสาเหตุสำคัญรวมไปถึงเจ้าความคิดของเรื่องทั้งหมดคือคนที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่ในห้องเดียวกัน ไม่ใช่คนที่ซองมินกำลังเค้นเสียงใส่ผ่านทางโทรศัพท์เครื่องบาง
(เราไม่ได้หลอก)
“แต่นายก็ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด นายเว้นส่วนที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ไว้เพราะนายต้องการหลอกเรา นาย...” ซองมินเว้นประโยคไว้แค่นั้นเพราะเพิ่งรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวจากใครอีกคน นักศึกษาปริญญาโทและว่าที่อาจารย์หนุ่มของมหาวิทยาลัยชื่อดังเงยหน้าขวับ ร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้ามีแค่โต๊ะไม้ขวางกั้นระหว่างคนทั้งสอง
“คุณต้องการอะไร” มือกลมลดโทรศัพท์ลงกดไว้กับแนวไหล่ ใคร่รู้ในพฤติกรรมของคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
“ผมอยากคุยกับฮยอกแจ ถ้าซองมินชี่ไม่ว่าอะไรขอผมพูดกับฮยองหน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มดังลึกอยู่ในลำคอ ซองมินกลืนน้ำลายยามเห็นสันจมูกโด่งสวยลอยวนอยู่ไม่ห่าง เป็นสันจมูกที่น่าอิจฉามาก
“แต่ผมยังคุยกับฮยอกแจไม่จบ” แม้ว่าระยะห่างของคนสองคนจะมีโต๊ะไม้ขวางกั้นแต่เพราะนักร้องหนุ่มโน้มร่างลงมาหาทำให้ช่องว่างระหว่างทั้งสองลดเหลือแค่ไม่เกินหนึ่งไม้บรรทัด ซองมินได้กลิ่นหอมเจือกลิ่นแปลกปลอมของบุหรี่จางๆ กลิ่นของสิ่งเสพติดที่ดูไม่เข้ากันเลยกับภาพลักษณ์ของผู้ชายตรงหน้า
“ขอผมคุยกับฮยอกแจก่อนแล้วจะอธิบายทุกอย่างให้ซองมินชี่เข้าใจด้วยตัวเองครับ” เจ้าของแก้มขาวเอียงคอมองเด็กหนุ่มรุ่นน้อง หัวคิ้วคมขมวดมุ่นดวงตากลมยิ่งเข้มจัด เป็นกริยาที่ไม่ควรจะน่ามองเอาเสียเลยหากมันไม่ได้เกิดขึ้นกับอีซองมิน คยูฮยอนถอนหายใจลึก มือหนากำเข้าหากันในขณะที่กรามแกร่งบดเบียดจนขึ้นเป็นสันนูน...การหักห้ามความรู้สึกเริ่มยากขึ้นทุกวินาทีที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
“คุณรู้หรือว่าผมกำลังคุยเรื่องอะไรกับฮยอกแจ” คนตาคมไม่ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ เป็นกริยาที่ดูไม่สุภาพนักสำหรับคนที่อายุน้อยกว่า หากแต่ลักษณะที่ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมดกดำค้อมลงนั้นเป็นไปอย่างนุ่มนวลบวกกับรอยยิ้มบางที่เหน็บมาบนริมฝีปากสีจัดทำให้ซองมินยอมยื่นโทรศัพท์ให้แต่โดยดี
“ถึงยังไงผมก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ขอตัวสักครู่นะครับ” เสียงเดิมเอ่ยประโยคออกตัวได้น่าฟัง มองตามร่างสูงเดินผ่านประตูออกไปด้านนอกแล้วเจ้าของโทรศัพท์มือถือจึงได้ทิ้งร่างลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจหนักหน่วงโดยที่ความอึดอัดนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ถูกฮยอกแจหลอกแม้แต่น้อย
“นายพูดอะไรกับซองมินไปบ้าง” เสียงทุ้มกดเสียงต่ำไม่ได้ห้วนแต่คนใกล้ตัวก็รู้ดีว่ามันเป็นสัญญาณของอารมณ์บางชนิดที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นในตัวคุณชายโจคยูฮยอน นักร้องหนุ่มพิงร่างกับบานประตูมือหนึ่งยังจับอยู่ที่ลูกบิดราวกับกลัวว่าใครอีกคนจะพรวดพราดผ่านออกมาจากประตูนั้น
(เรียก ‘ฮยอง’ ก่อนสิแล้วจะบอก) โจคยูฮยอนร้ายกาจแค่ไหนเป็นที่รู้กันดีในหมู่คนสนิทและญาติพี่น้อง ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมหวาน กับภาพลักษณ์เงียบขรึมนั้นซุกซ่อนความดุดันทั้งทางฝีปากและอารมณ์ไว้ได้มิดชิด ในเมื่อบริษัทเลือกที่จะนำเสนอภาพของของเขาในฐานะผู้ชายอบอุ่น สุขุมนุ่มลึกออกสู่สายตาประชาชนคยูฮยอนก็จะถือว่ามันเป็นเรื่องสุดวิสัย ถ้าเขาสามารถประพฤติตัวได้ถูกต้องเหมาะสมเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่ามันจะเข้าข่ายหลอกลวง
แต่เรื่องนั้นน่ะช่างแม่งมันเถอะ สิ่งที่เขาต้องรีบจัดการคือเรื่องของคนหน้าหวานที่รออยู่ในห้องต่างหาก
“อย่าเพิ่งกวนฮยอกแจ ไหนนายบอกว่าจัดการทุกเรื่องเรียบร้อยแล้วทำไมถึงยังมีปัญหา” เสียงแหบหัวเราะมาตามสาย คนที่รู้เช่นเห็นชาติกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แม้จะเกิดช้ากว่าสองสามปีแต่คยูฮยอนรู้ว่าน้ำเสียงแบบนั้นมันหมายความว่าคนที่มีตัวเลขอายุมากกว่ากำลังสนุกเต็มที่ เป็นความสนุกบนความทุกข์ของญาติผู้น้องอย่างเขาเสียด้วย
(นายแค่บอกให้ฉันติดต่อหว่านล้อมซองมินให้ยอมรับงาน แต่ไม่ได้จำกัดนี่หว่าว่าฉันจะทำด้วยวิธีไหน) เสียงทุ้มสบถดุเดือดในคอ ถ้าไม่ติดว่าการลงแรงกับประตูจะทำให้ซองมินตกใจจนสงสัยเขาคงระบายอารมณ์กับเนื้อไม้หนาหนักแทนญาติผู้พี่ไปแล้ว
“แต่นาย...”
(ลองดูสิคยูฮยอน ถือเสียว่านี่เป็นบททดสอบขั้นแรก ถ้านายพูดให้ซองมินยอมรับสอนพิเศษให้นายได้ก็ถือเป็นความสำเร็จแรกเริ่มเลยนา) ฮยอกแจกล้าพูดท้าทายประโยคนั้นเพราะรู้ดีถึงความต้องการในใจของญาติผู้น้อง รู้ดีด้วยว่าคยูฮยอนนั้นมีความตั้งใจมากแค่ไหนกับการเรียนพิเศษครั้งนี้
“ฉันถือว่านายผิดสัญญา ถือว่านายล้มเหลวกับงานครั้งนี้นะฮยอกแจ” เอาสิ ในเมื่อฮยอกแจกล้าเล่นตุกติกกับเขา คยูฮยอนก็จะวกกลับไปใช้วิธีเดียวกันกับตอนเริ่มเรื่องนี้
(เฮ้ย ได้ไงวะ! นายบอกว่าให้ฉันชวนซองมินมาเป็นอาจารย์สอนพิเศษฉันก็จัดการให้แล้ว นายห้ามไม่ให้ฉันบอกความจริงทั้งหมดฉันก็ทำ แล้วจะมาบอกว่าฉันผิดสัญญาได้ไง) ได้ยินเสียงปลายสายโวยวายกลับมาคนที่กุมความลับของอีกฝ่ายไว้ในกำมือก็เหน็บยิ้มร้าย เอาสิ ในเมื่อฮยอกแจกล้าตุกติกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่จะยกเรื่องไดอารี่หวานแหววขึ้นมาแบล็คเมลล์ว่าที่คอลัมนิสต์ของค่ายเหมือนกัน
“ถือซะว่านายโชคร้ายที่ถูกฉันรู้ความลับเข้าก็แล้วกันนะพี่ชาย”
(เฮ้ย ไม่ได้นะเว้ย...ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำ คยูฮยอนได้ยินไหมวะ) คยูฮยอนได้ยินแต่ไม่ตอบโต้คำใดอีก นักร้องหนุ่มกดวางสาย เขาใช้ช่วงเวลาระหว่างที่รอให้แสงไฟบนหน้าจอสี่เหลี่ยมดับลงชื่นชมความชอบส่วนตัวของคนที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์ในมือ
ไม่อยากทำเลย คยูฮยอนไม่ต้องการให้การเริ่มต้นระหว่างเขากับซองมินต้องมีความทรงจำแย่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาอยากให้ว่าที่อาจารย์ตัวเล็กประทับใจแต่...ฮยอกแจก็ทำให้เกิดรอยด่างพร้อยในความสัมพันธ์ครั้งนี้เสียแล้ว
ซองมินมองชายหนุ่มตัวสูงเดินผ่านประตูเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือที่ถูกยื่นมาตรงหน้า เสียงทุ้มกล่าวคำขออภัยที่ถือวิสาสะกดวางสายแต่เมื่อคยูฮยอนให้เหตุผลว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายตัดบทการสนทนาไปก่อนจึงไม่รู้จะทำอย่างไรซองมินก็แค่พยักหน้าแต่หัวคิ้วยังมุ่นเข้าหากัน สรุปว่าฮยอกแจจะปล่อยให้เขาคุยกับคนที่เพิ่งเคยพบหน้าเป็นครั้งแรกอย่างนั้นหรือ
“ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ซองมินชี่ไม่พอใจ”
“ครับ?” โจคยูฮยอนยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ระยะห่างพอสมควรแต่ในเมื่อซองมินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ให้ยังไงก็ยังรู้สึกได้ถึงความเสียเปรียบเล็กๆ สีหน้าของเด็กรุ่นน้องราบเรียบอ่านไม่ออก ดวงตาดำลึกมองตรงมาอย่างไม่มีการหลบเลี่ยงแสดงออกถึงความมั่นใจชนิดที่คงไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ ซองมินเองเสียอีกที่รู้สึกราวกับตัวเล็กลงๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาทั้งมากด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ คิดได้ดังนั้นเพื่อนรักของฮยอกแจก็ยืดหลังนั่งตัวตรง จะมาเสียความมั่นใจกับคนที่เพิ่งพบกันได้ยังไง
“คุณหมายถึงอะไร แล้วทำไมคุณถึงต้องขอโทษ” ใช่แล้ว ในเมื่อคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องเข้าใจผิดโดยตั้งใจคืออีฮยอกแจ ไอ้ไก่ตัวดีนั่นต่างหากที่สมควรพูดประโยคนี้
“เพราะผมเป็นต้นเหตุทำให้ซองมิน เอ่อ คุณซองมินกับฮยอกแจทะเลาะกัน”
“เราไม่ได้ทะเลาะกันแต่ฮยอกแจมัน...แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวคุยกันก็เข้าใจเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเลยสักนิด” ประโยคที่ซองมินคิดว่ามันสุดแสนจะธรรมดาแต่กลับจุดประกายวูบวาบขึ้นมาในหน่วยตาดำจัด แน่นอนว่ามีแค่คยูฮยอนที่รู้ว่าสาเหตุมันมาจากอะไร คุณซองมินคงไม่ได้รู้สึกรู้สาด้วยหรอก
“ผมคิดว่าเกี่ยวนะครับ เพราะผมเป็นสาเหตุสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะผมต้องมีอาจารย์สอนพิเศษคุณซองมินก็คงไม่ต้องมีเรื่องผิดใจกับเพื่อนสนิท อย่าโทษฮยอกแจเลยนะครับ ฮยองแค่หวังดีกับผมเลยพยายามจะช่วยก็เท่านั้นเอง” คนที่เพิ่งได้สรรพนามนำหน้าอันทรงเกียรติมามาดๆ เลิกคิ้วสูง มองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มรุ่นน้องในหูยังมีเสียงทุ้มต่ำน่าฟังดังกึกก้อง
“ถึงฮยอกแจจะอยากช่วยคุณแต่มันก็เป็นคนผิดอยู่ดีที่กล้ามาหลอกผม คุณรู้ไหมว่าฮยอกแจไม่ยอมบอกรายละเอียดอะไรกับผมเลย ผม...” ว้า พูดไปก็ชักจะเข้าเนื้อ พอมีเวลาลองคิดทบทวนดูดีๆ ถึงได้รู้ตัวว่าพลาดเพราะความอยากได้ใคร่มีของตัวเองโดยแท้ ซองมินจิ๊ปากเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิดพาลพาโลถึงเพื่อนตัวแสบขึ้นมาอีกแล้ว
“ขอโทษครับ แต่คุณซองมินพอจะบอกผมได้ไหมว่าฮยอกแจบอกอะไรกับคุณซองมินบ้าง” คุณซองมินเม้มปากคิดทบทวนถึงสิ่งที่คุยกันกับเพื่อนสนิท คยูฮยอนมองอาการนั้นชนิดไม่คลาดสายตาเช่นกัน นักร้องหนุ่มมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปตามสภาพอารมณ์ของว่าที่อาจารย์สอนพิเศษแล้วก็ได้แต่พึงพอใจอยู่ลึกๆ อ่า...สิ่งที่ต้องการอยู่ตรงหน้านี่แล้วถ้าปล่อยให้หลุดมือไปเขาคงถูกฮยอกแจประณามหยามเหยียดไปอีกสิบปีเป็นแน่ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือคิดให้รอบคอบว่าสมควรเดินหมากตัวไหน จะรุกหรือจะรอเป็นฝ่ายรับแล้วค่อยรุกฆาตในภายหลัง
“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมคิดมาตลอดว่านักเรียนที่ต้องสอนคือเด็กประถมหรืออย่างมากก็ไม่เกินมัธยมต้น และฮยอกแจมันก็ปล่อยให้ผมเข้าใจผิดๆ โดยที่ไม่คิดจะแก้ไข นั่นแหละคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงโมโห” มีเสียงครางลึกมาจากลำคอของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ซองมินเงยหน้ารอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแล้วก็เลยได้เห็นสายตาที่ทอดมองมาก่อนแล้ว...นักศึกษาปริญญาโทกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก รอยยิ้มสว่างเจิดจ้ากับดวงตาพราวระยับมีแววเว้าวอนอยู่ในที เกิดมาก็เพิ่งจะรู้สึกถึงอาการเนื้อตัวสั่นเทาเพราะสีหน้าผู้ชายด้วยกันเป็นครั้งแรก!
“คุณซองมินคงผิดหวังมากที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอผม” เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ถูกคนที่เพิ่งรู้จักตัดพ้อเอาซึ่งๆ หน้า ว่าที่อาจารย์หนุ่มยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ซองมินไม่ชินกับการทำร้ายทำลายความรู้สึกคนอื่นเสียด้วยสิ ยิ่งเป็นคนที่ไม่สนิทสนมยิ่งไม่เคยมีในประวัติ
“ก็ไม่เชิง คือ...ไม่ใช่ว่าผมผิดหวังหรืออะไร เพียงแต่ผม...ไม่ชอบให้แพลนต่างๆ ในชีวิตมันรวน ผมมาที่นี่เพราะคิดว่าจะได้สอนเด็กเล็กๆ ไม่ใช่นักศึกษามหาวิทยาลัย” เป็นใครจะไม่ช็อค แทนที่จะได้สอนเด็กอย่างที่คิดเตรียมตัวไว้กลับมาเจอผู้ชายตัวสูงหน้าตาจัดว่าดีมาก ต่อให้เป็นเด็กรุ่นน้องหลายปีแต่จุดนี้ซองมินก็ไม่ขอตกกระไดพลอยโจนไปด้วยหรอก...ต่อให้ได้ยินเสียงถอนหายใจผะแผ่วหรือเห็นใบหน้าคมคายหมองลงไปต่อหน้าก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้(หรอ)
“แล้วถ้าหากผมจะเป็นฝ่ายขอร้องให้คุณซองมินรับหน้าที่นี้ละครับ” คยูฮยอนไม่รู้ว่าซองมินรับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขามากแค่ไหน แต่เท่าที่เฝ้าจับตามองดูเหมือนอีกฝ่ายจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย บางทีในหัวสมองของซองมินคงไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวพื้นที่ความทรงจำไว้สำหรับไอดอลที่กำลังมาแรงอย่างโจคยูฮยอนเลยด้วยซ้ำ
คยูฮยอนไม่ใช่มนุษย์ที่วันๆ เอาแต่ภาคภูมิหรือหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ไม่ว่าสถานะของเขาจะเป็นคนดังหรือเป็นแค่คนธรรมดาๆ (ซึ่งก็แน่นอนว่าลูกชายที่เกิดในตระกูลโจย่อมไม่เคยธรรมดาอยู่แล้ว)ชายหนุ่มก็ไม่เคยเก็บเอามาเป็นประเด็นใส่ใจ ใครจะรู้จักหรือไม่รู้จัก จะจำได้หรือไม่ได้จำเขาไม่สน...แต่ไม่ใช่กับคนตรงหน้า คยูฮยอนมองใบหน้าขาวใส ดวงตากลมที่มักจะเปล่งประกายพราวระยับอยู่เสมอ ซองมินไม่ได้ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้ง คนหน้าหวานเม้มกลีบปากเต็มอิ่มเข้าหากัน แม้จะยังไม่เคยใช้เวลาใกล้ชิดสนิทสนมแต่คยูฮยอนก็เดาลักษณะนั้นได้ไม่ยาก ว่าที่อาจารย์สอนพิเศษของเขากำลังมีเรื่องให้คิด และแน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำขอร้องของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
คยูฮยอนจะปล่อยให้ซองมินละเลยความทรงจำของการพบกันในช่วงสั้นๆ ทิ้งไปก่อน แล้ววันหนึ่งเมื่อเขาได้ทุกสิ่งตามที่หวัง เมื่อวันนั้นมาถึงคยูฮยอนจะไม่ยอมให้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของลมหายใจที่ซองมินจะไม่คิดถึงเขา
“คำขอของผมทำให้คุณลำบากใจมากหรือครับ” เมื่อซองมินเงยหน้าสิ่งที่ได้รับกลับไปคือรอยยิ้มบางแต่ดวงตาคมหวานยังแฝงแววเว้าวอนอยู่เงียบๆ ซองมินไม่รู้หรอกว่าคยูฮยอนเป็นใครแต่ก็เดาเอาเองว่าคงไม่พ้นศิลปินหรือไม่ก็เด็กฝึกหัดในค่าย รูปโฉมที่ดูดีตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดรองเท้าทำให้ซองมินรู้สึกว่าตัวเองช่างผิดที่ผิดทางเสียเหลือเกิน อ่า...แต่ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่คำขอร้องของผู้ชายตรงหน้านี่นา
“ก็ไม่เชิงครับ คือ...ตอนนี้ผมยัง บอกตรงๆ ว่ายังโกรธฮยอกแจมากๆ แล้วถ้าผมตอบตกลงกับคุณก็เท่ากับว่าผมยอมให้ฮยอกแจหลอกต้มแบบเต็มใจ ซึ่งผมไม่ชอบความคิดนั้นเท่าไหร่” คนพูดเบือนสายตาไปทางผนังห้องใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วก็กัดปากเบาๆ
“แล้วคุณซองมินคิดจะทำยังไงครับ จะไม่ยอมสอนผมจริงๆ หรือ” คุณซองมินกรอกตากลับมามองคนพูดอีกครั้ง คราวนี้มองตรงๆ อย่างให้เห็นว่ากำลังสำรวจตรวจตราระหว่างนั้นก็ใช้ความคิดไปด้วย เขาต้องคิดมากเชียวล่ะ
“ผมไม่ได้มีปัญหาที่ต้องสอนคุณ เหตุผลทั้งหมดก็อย่างที่บอกไปแล้ว ขอเวลาให้ผมคิดอีกหน่อยได้ไหม” คยูฮยอนยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบไว้ได้ทั้งที่ภายในใจนั้นกำลังระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ได้โกรธความลังเลของซองมินแต่โกรธสถานการณ์ความจำเป็นที่ทำให้ต้องปั้นหน้ายิ้มเป็นคนดี ปีศาจร้ายที่ถูกกักขังอยู่ในร่างกำลังกรีดร้องอยากแสดงตัวตนที่แท้จริงของมัน
กระหาย ใคร่ที่จะลิ้มลองครอบครองเป็นเจ้าของคนตรงหน้า!
“ถ้าคุณซองมินต้องการอย่างนั้น ผมก็คง...” มีเสียงถอนหายใจแรงๆ ดังแทรกขึ้นมากลางประโยคทำให้นักร้องหนุ่มหยุดคำพูดลง คยูฮยอนมองซองมินที่กำลังเดาะลิ้นโดยที่สายตาไม่ได้คลาดไปจากใบหน้าของเขาเช่นกัน
“พูดตามตรงคือผมอยากได้งานนี้มาก เอาแบบนี้ดีไหม...เรามาตกลงกันดีกว่า เป็นอันว่าผมจะสอนพิเศษให้คุณอย่างที่เคยคุยไว้ แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับฮยอกแจจนกว่าผมจะหาทางจัดการกับเจ้านั่นให้สาสมกับความผิดที่กล้ามาหลอกผมเสียก่อน” อ่า...ตอนนี้คยูฮยอนเองกลับเป็นฝ่ายอยากถอนหายใจดังๆ เพื่อระบายความอึดอัดทั้งหมดทั้งมวลในอก นักร้องหนุ่มกดยิ้มที่มุมปากแน่นอนว่ามันเป็นยิ้มที่สามารถละลายความมั่นใจของคนมองได้ในระดับหนึ่ง ซองมินหรุบตาลงต่ำแสร้งทำเป็นยกมือถือขึ้นเช็คเวลา ที่จู่ๆ ก็หมดความมั่นใจลงได้ง่ายๆ คงต้องโทษว่าเป็นเพราะไม่ค่อยคุ้นกับรอยยิ้มบาดจิตของมนุษย์ที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้วล่ะกัน
“แล้วผมต้องทำยังไงบ้างครับ”
“หา? อ๋อ...ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ถ้าเจ้านั่นมาถามก็ไม่ต้องพูดหรือตอบอะไร บอกว่าผมโกรธมากที่ถูกหลอกก็ได้” คยูฮยอนเลิกคิ้วแล้วก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าน้อยๆ ความหมายของนักร้องหนุ่มก็คือเข้าใจและยินดีที่จะให้ความร่วมมือ
“แสดงว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะ งั้นผมต้องขอตัวกลับซะที” หัวใจกระตุกวูบเมื่อได้ยินว่าอาจารย์ตัวเล็กกำลังขอตัวกลับ ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นสำรวจเวลาโดยอัตโนมัติและก็เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอาการให้อีกฝ่ายตรวจจับความรู้สึกได้ในที่สุด
“ถ้าอยากให้แผนการเอาคืนฮยอกแจสำเร็จลุล่วงด้วยดีวันนี้ผมคงอยู่เต็มเวลาไม่ได้ ไม่งั้นเจ้าไก่จะสงสัยเอาได้”
“อ่า จริงด้วย...แล้วคุณซองมินพร้อมจะมาสอนเมื่อไหร่” เจ้าของเสียงทุ้มยังคงใช้ภาษาแสนสุภาพทุกคำ ซองมินเริ่มชินกับการเป็นคุณซองมินเพราะจังหวะในการลงน้ำหนักชื่อน่าฟังจนไม่ได้สนใจจะทักท้วงหรือแก้ไข เขาชอบและมันก็ฟังดูดีมากเลยเถอะ
“วันนี้วันพุธ...อย่างนั้นสักวันศุกร์ได้ไหม? ตามตารางที่จัดไว้คร่าวๆ ก็คือจันทร์ พุธ ศุกร์ อาจจะมีเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับตารางวันว่างของคุณ ถูกไหม?” เอ...อันที่จริงถ้าซองมินจะฉุกใจคิดสักหน่อยก็น่าจะเดาได้ไม่ยาก เด็กประถมที่ไหนจะต้องคอยตรวจดูตารางวันว่างหรือวันไม่ว่างบ้างเล่า โถ่เอ้ยอีซองมิน อยากได้เงินจนหน้ามืดเลยหรือเนี่ย!
“วันศุกร์ แต่ว่า...ผมไม่แน่ใจเรื่องตารางงาน บางทีอาจจะมีงานด่วนเข้ามา”
“อ่อ คุณเป็นศิลปินของค่ายนี้จริงๆ สินะ ตอนแรกผมนึกว่า...”
“นึกว่าอะไรครับ”
“ก็นึกว่ายังเป็นเด็กฝึกหัดหรือไม่ก็...ช่างมันเถอะครับ” หน้าแตกเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้วมั้งซองมิน บางทีนายควรหยุดความสงสัยไว้ก่อนที่จะทำตัวเองขายหน้ามากไปกว่านี้ คิดแล้วก็โมโหไปถึงไอ้ตัวต้นเหตุ ฝากไว้ก่อนนะฮยอกแจ ฝากไว้ก่อน...
“อย่างนั้น ผมคงต้องขอเบอร์โทรศัพท์คุณซองมินไว้ เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่หรือว่าเวลาเรียน”
“อ่อ ได้สิ...เบอร์ เดี๋ยวนะขอนึกก่อน พอดีผมเป็นพวกจำเบอร์โทรศัพท์ตัวเองไม่ค่อยได้”
“ให้ผมบอกเบอร์ตัวเองแล้วคุณซองมินโทรมาดีไหมครับ” ข้อเสนอของนักร้องหนุ่มได้รับการอนุมัติในทันที ซองมินกดหมายเลขตามเสียงทุ้มจนครบแล้วจึงกดปุ่มโทรออก รอไม่เกินสามวินาทีเสียงสั่นครืดคราดก็ดังขึ้นบนโต๊ะตัวเดียวกับที่คยูฮยอนฟุบหน้าหลับ จากนั้นก็เกิดเป็นความเงียบกระทั่งซองมินนึกได้ว่าควรเมมเบอร์โทรที่ได้รับมาก่อนที่จะลืม นิ้วกลมจิ้มลงบนหน้าจอทัชสกรีนไม่นานก็เงยหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ผมเมมเบอร์คุณด้วยชื่อโจคยูฮยอนเลยนะ” เจ้าของชื่อไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธเป็นคำพูด หากแต่รอยยิ้มละมุนที่ฉาบบนใบหน้ารวมไปถึงดวงตาคมหวานบอกแทนทุกคำพูดได้ดี ว่าที่อาจารย์สอนพิเศษ ไม่สิ ตอนนี้เขากลายเป็นอาจารย์สอนพิเศษของหนึ่งในไอดอลจากค่ายดังเต็มตัวแล้ว ซองมินคว้ากระเป๋าที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะเตรียมพร้อมที่จะออกจากห้องนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนตัวสูงเอ่ยเสียงทุ้ม
“แล้วคุณซองมินอยากให้ผมเมมเบอร์โทรศัพท์คุณด้วยชื่อไหนดีครับ”
“อ่า...ผมยังไงก็ได้ครับ” อาจารย์พิเศษเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงเกรงใจหากจะบันทึกเบอร์เขาไว้ด้วยชื่อห้วนๆ จึงเปิดยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวอย่างเป็นกันเองที่สุด โจคยูฮยอนยิ้มละมุนตอบแทนความใจดีของอาจารย์ตัวเล็ก
ดวงตาสีดำจัดวาดตามจังหวะการก้าวเดินของร่างเล็ก ความจริงก็คือ คยูฮยอนไม่ได้มีความลังเลเหมือนอย่างที่แสดงออกสักนิด รอยยิ้มที่ซองมินมองว่าเกิดขึ้นจากความเกรงใจนั้นก็มีแค่เจ้าตัวที่รู้ว่ามันไม่ใช่เลย รอยยิ้มของคยูฮยอนคือยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมาดมั่นต่างหาก
นักร้องหนุ่มมั่นใจ...วันหนึ่งเขาจะต้องได้ซองมินมาเป็นของตัวเอง
TBC...
----------------------------------
ตอนหนึ่งมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนนี้ยังคงไม่ได้เฉลยอะไรมากนัก คิดว่าหลายคนคงกำลังอยากรู้ความหลังของพ่อนักร้องเขา เอาไว้ได้รักได้ครอบครองเป็นเจ้าของคุณซองมินเมื่อไหร่พ่อนักร้องเขาคงยอมเฉลยให้ฟังเองล่ะว่าไปเกิดความประทับจิตประทับใจว่าที่อาจารย์สอนพิเศษตั้งแต่เมื่อไหร่...เนาะ
แล้วพบกันใหม่นะคะทุกคน ^^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น