ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ]:: with...All My Heart ::|KyuMin|

    ลำดับตอนที่ #1 : Part Intro ::From This Moment On ::

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 54


      







    Intro







    From This Moment On…








     
    “สอนพิเศษหรอ”




    บรรยากาศของห้องสมุดประจำมหาวิทยาลัยเงียบสงัดและยังคงความศักดิ์สิทธิ์ไม่เปลี่ยน ผู้ที่กล่าวประโยคคลางแคลงใจเป็นเด็กหนุ่มผิวขาว รูปร่างสมส่วนเจ้าของดวงหน้าขาวและดวงตากลมดำจัด เจ้าตัวขมวดคิ้วน้อยๆ แววตาบอกว่ายังไม่ค่อยแน่ใจกับข้อเสนอที่กำลังได้รับ อีฮยอกแจผู้ที่นำข่าวมาบอกถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดราวกับไม่เคยทำงานนี้มาก่อน เขาอุตส่าห์หางานมาป้อนให้ถึงปากก็นึกว่าเพื่อนรักจะยินดีเสียอีก


    “นายชื่ออีซองมินหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ถูกคนแล้ว...พูดเหมือนไม่เคยทำ”


    “เคยน่ะเคยแต่ก็ไม่ได้สอนใครแบบจริงจังมานานแล้ว...นายพูดจริงดิ”


    “เออ รุ่นนี้ไม่มีเวลาล้อเล่นหรอก พูดจริง” คนพูดจริงแต่ถูกกล่าวหาว่าล้อเล่นทำเสียงจริงจัง(มากกว่ายามปกติ) มองเจ้าของมือขาว ปลายนิ้วกลมที่กำลังยกปากกาขึ้นเคาะกับปลายคางอย่างครุ่นคิดทั้งที่ฮยอกแจไม่เห็นว่าซองมินจะมีอะไรให้ต้องคิดสักนิด


    “นายอยากได้งาน อยากได้เงินสมทบทุนโครงการมินิคูปเปอร์เพื่อเด็กหนุ่มผู้โหยหาอยู่ไม่ใช่หรอ งานนี้ได้เงินนะ เงินดีด้วย” คำว่าเงินและชื่อโครงการยาวเหยียดที่เป็นคนตั้งขึ้นมาเองส่งผลให้ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น อาการอย่างนี้ไม่ต้องเป็นเพื่อนฝูงที่คบหากันมาตั้งห้าหกปีอย่างอีฮยอกแจก็สามารถบอกได้ทันทีว่าอีซองมินกำลังพุ่งความสนใจทุกอย่างไว้ที่เรื่องเดียว รถในฝันที่อยากมีไว้ในครอบครอง...


    “เงินดี...อืมม น่าสนใจนะ แต่ว่าปีนี้เราเรียนโทปีสุดท้ายแล้วกลัวจะไม่มีเวลา” ทั้งที่สนใจอยากได้งาน(เงิน)ใจแทบขาดแต่ก็ยังคิดนั่นคิดนี่ ลำพังถ้าไม่ฝันสูงเกินตัวแถมยังทิฐิซองมินคงไม่ต้องลำบากลำบนเก็บหอมรอมริบทำงานพิเศษทั้งที่ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ย่ำแย่ เงินรายปีที่ได้รับก็ไม่ได้น้อยเลย


    “มันสมองระดับนี้ หนำซ้ำยังเป็นขวัญใจอาจารย์แทบทุกวิชายังมีอะไรต้องห่วง” คนพูดไม่พูดเปล่าแต่ใช้ปลายนิ้วเคาะลงข้างขมับที่ปกคลุมด้วยเรือนผมดำขลับ และเพราะเจ้าตัวยังไม่ยอมคลายสีหน้าครุ่นคิดเลยยีหัวแถมให้อีกกรณี

    ซองมินคำรามในคอปัดมือฮยอกแจออกแล้วใช้มือตัวเองจัดผมให้กลับเข้าทรงด้วยการปัดๆ แค่สามครั้ง


    “เพราะงั้นถึงยิ่งต้องระวัง วันก่อนอาจารย์ดงวานเปรยๆ ว่าอยากชวนเราไปทำงานผู้ช่วยสอนหาประสบการณ์ไว้”
    “แล้วไง นายคิดจะยึดอาชีพอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยหรือวะ” ซองมินวางปากกาในมือ กวาดตามองไปรอบห้องสมุด ชั้นนี้นักศึกษาค่อนข้างบางตาเพราะส่วนใหญ่เป็นตำราของระดับปริญญาโท เขาตั้งใจมาหาข้อมูลสำหรับงานวิจัยในขณะที่ฮยอกแจนั้นเลือกเสี่ยงกับการสอบแทนการต้องจมอยู่กับข้อมูลกองโต


    “ยังไม่แน่ใจ ถึงคิดอยู่ว่าจะลองหาประสบการณ์ดูก่อนถ้าเวิร์ค...”


    “งั้นก็ไม่ต้องลองแล้ว ไปสอนพิเศษให้นักเรียนพิเศษที่เราแนะนำดีกว่า ได้ประสบการณ์แถมยังได้เงินดีด้วย ไม่ต้องคิดมากแล้ว” อีฮยอกแจไม่ชอบเรื่องเยิ่นเย่อเสียเวลาถ้าตัดเข้าประเด็นได้ก็จะรีบทำในทันที ซองมินยังไม่ได้ตัดสินใจก็ถูกเพื่อนสรุปให้เสร็จสรรพ จนแล้วจนรอดคนที่(นานๆ ที)ไม่ค่อยขัดใจเพื่อนฝูงก็ยอมตามน้ำอีกครั้ง


    “แล้วนักเรียนพิเศษของนายนี่ใคร เรารู้จักมั้ย” แวบหนึ่งซองมินเห็นรอยยิ้มประหลาดผ่านมาบนใบหน้าของเพื่อน ดวงตาเรียวรีเมื่อประกอบกับรอยยิ้มเต็มปากก็ช่วยส่งให้คนมองใจอ่อนลงกว่าครึ่งลืมความรู้สึกแปลกๆ ที่ถูกกระตุ้นเตือนนับตั้งแต่ได้ยินเรื่องสอนพิเศษครั้งนี้


    “ไม่น่าจะรู้จักมั้ง”


    “ทำไมต้องมี มั้ง ด้วย” พอถูกย้อนถามฮยอกแจก็ยกไหล่ไม่คลายข้อข้องใจแต่รวบรัดตัดความทันที


    “เป็นอันว่านายตกลงแล้วนะ ส่วนเรื่องวัน เวลา สถานที่เราจะโทรมาบอกอีกที โอเคไหม”


    “ไม่โอเค”


    “อ๊าว!” เจ้าของร่างเพรียวร้องเสียงดังจนซองมินต้องรีบเตือนให้เงียบเสียงลงก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ห้องสมุดเขม่นมองลอดแว่น


    “เราขอประวัตินักเรียนพิเศษแบบคร่าวๆ รวมไปถึงประวัติการศึกษาและวิชาที่ต้องสอนก่อนเริ่มงาน”


    “โธ่เอ้ย เรื่องแค่นี้เอง”


    “ทางที่ดีขอคุยกับผู้ปกครองเด็กก่อนจะดีมาก” จากประสบการณ์การทำงานสอนพิเศษที่ผ่านๆ มา ซองมินพบว่าบุคคลที่มักจะมีปัญหากับการเรียนการสอนไม่ใช่เด็กแต่คือผู้ปกครองผู้หวังผลเลิศให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียต่างหาก


    “ผู้ปกครอง? อ๋ออออ...ไม่มีหรอก”


    “อ้าว นายจะให้เราไปสอนเด็กกำพร้าหรอ” อีฮยอกแจขำพรืดทันทีที่ได้ยินประโยคพาซื่อของคนเป็นเพื่อน นึกถึงใบหน้าของคนที่ซองมินเพิ่งยัดเยียดตำแหน่งเด็กกำพร้าให้ด้วยอารมณ์ชื่นบาน เพื่อนเขาเรียกว่าที่นักเรียนพิเศษของตัวเองว่า “เด็ก” ใช่ไหม?


    “ไม่ใช่หรอก รายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ เราจะบอกอีกที...ตอนนี้ต้องไปก่อนล่ะมีงานแถลงข่าวอัลบั้มใหม่ของบิ๊กแบง” ว่าที่คอลัมนิสต์ที่ควบตำแหน่งช่างภาพฝึกหัดของนิตยสารประจำค่ายดังยกนาฬิกาขึ้นมองเวลาก่อนจะบอกลาแบบง่ายๆ นึกจะมาก็มานึกจะไปอีฮยอกแจก็ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องยากแม้แต่น้อย


    “นายต้องทำข่าวของศิลปินค่ายอื่นด้วยหรือ นึกว่าทำแค่ของศิลปินในค่ายซะอีก” คนไม่ค่อยคุ้นเคยกับวงการบันเทิงแต่ก็ยังสู้อุตส่าห์จำได้ว่าศิลปินชื่อดังที่ฮยอกแจกำลังจะไปทำข่าวไม่ใช่ศิลปินในค่ายที่เพื่อนรักทำงานให้ 


    “นิตยสารต้องเป็นกลางสิ ถึงจะเชียร์ศิลปินในค่ายมากหน่อยแต่ก็ทิ้งศิลปินค่ายอื่นไม่ได้หรอก...ไปก่อนนะแล้วจะโทรหา” ดวงตาเรียวตวัดมองไปยังชั้นหนังสือสูงท่วมหัวทางซ้ายมือก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ซองมินไม่ได้ทันสังเกต
    แหม


    ถ้าเขาบอกประวัติส่วนตัวรวมไปถึงประวัติการศึกษาของคนที่ต้องสอนพิเศษจริงๆ ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าซองมินจะยอมรับงานไหม เกิดพี่ท่านคลางแคลงใจจนกลายเป็นประเด็นมีหวังบอกเลิกงานได้ง่ายๆ เห็นทีจะต้องเพิ่มค่าตอบแทนให้สูงลิบชนิดเสียใจไปจนตายถ้าไม่รับงานนี้


    แน่นอนว่าถ้าเงินนั้นไม่เดือดร้อนกระเป๋าของอีฮยอกแจ...เท่าไหร่ก็คุ้มค่า!
     

     
    “เรียบร้อยหรือเปล่า” เสียงทุ้มดังแทบเป็นกระซิบแต่เจ้าของร่างเพรียวที่ยืนอยู่ตามลำพัง มีแค่ชั้นวางหนังสือสูงท่วมหัวก็ยังได้ยินคำถามนั้นชัดเจน ฮยอกแจยกยิ้มมุมปากเหลือบมองกลับไปยังโต๊ะที่เพิ่งผละมาก่อนจะแค่นเสียงตอบกลับเสียงของบุคคลปริศนา


    “ฝีมือระดับนี้...ว่าแต่ เห็นผลลัพธ์ชัดเจนกับตาแล้วยังจะมาเก๊กเสียงถามอีกทำไม กลัวหรือยังไง” ได้ยินเสียงหัวเราะผ่านลำคอครั้งเดียวก่อนเจ้าของร่างที่ซ่อนตัวอยู่หลังชั้นหนังสือจะหายไปโดยไม่สนใจตอบคำถามที่ทิ้งท้ายไว้ของอีฮยอกแจ


    “ทำเป็นเก๊กเสียงขรึม ที่จริงก็กลัวถูกปฏิเสธอยู่เหมือนกันละว้า” เสียงแหบพูดไล่หลังเงาร่างโปร่งที่ทันเห็นแค่ชายเสื้อโค้ทสะบัดไปตามจังหวะก้าวเดิน คอลัมนิสต์และช่างภาพฝึกหัดประจำนิตยสารชื่อดังหัวเราะลงคอ นับตั้งแต่รู้ตัวว่ามีเจ้านั่นเป็นน้องชายร่วมโลกอีฮยอกแจสามารถยิ้มเยาะและรู้สึกเหนือกว่าโจคยูฮยอนได้เป็นครั้งแรก
     
     





     
    เทพธิดาแห่งโชคลาภเลือกยืนอยู่ข้างซองมินเมื่อเขายังไม่ได้ตัดสินใจตอบรับคำชวนของอาจารย์ดงวาน 
    เด็กหนุ่มผลักประตูกระจกเปิดกว้างหันกลับไปโค้งต่ำให้เหล่าคณาจารย์ในห้องอีกครั้งก่อนจะปิดประตูอย่างเบามือ รอยยิ้มบาง ท่าทีนอบน้อม กริยามารยาทสุภาพละมุนละไมจนใครต่อใครพากันออกปากชื่นชม...นั่นคืออีซองมินที่ใครๆ รู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี ธรรมชาติของอีซองมินเป็นเช่นนั้น เหมือนซองมินคนที่กำลังวิ่งหน้าตื่นหอบหิ้วหนังสือตั้งใหญ่เพื่อไปขึ้นรถซิตี้คาร์ขับปราดออกจากลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว...นั่นก็คืออีซองมินคนเดียวกัน ไม่ผิดหรอก


    “ฮยอกแจๆ เราเกือบถึงแล้วแต่รถติดมากกลัวจะไปสายจัง” เน้นเสียงออดอ่อยลงท้ายเพื่อบรรเทาความผิด ก็เขาเล่นมาสายตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานเลยต้องทำตัวดีหน่อยเพื่อรายได้ก้อนโตจะได้ไม่บินหนีไปต่อหน้าต่อตา(เกือบถึงแล้วจะสายได้ยังไง) ปลายสายแม้จะแอบกัดเล็กๆ แต่น้ำเสียงเรียบเรื่อยแสดงว่าซองมินยังอยู่ในระยะปลอดภัย


    “เราติดอยู่แยกไฟแดงใกล้ๆ ตึกมาเกือบสิบนาทีแล้ว ฝนทำท่าจะตกด้วย อากาศแปรปรวน สภาพการจราจรก็เลยเป็นอัมพาต” ไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไหร่แต่หาเรื่องมาอ้างไว้ก่อน ตอนนี้ยังไม่ได้เซ็นสัญญาทำงานมีเหตุผลข้อไหนที่พอจะแถได้ก็ต้องทำไว้ก่อนเพื่อรักษาสถานภาพทางการเงิน(ที่กำลังจะได้รับในอนาคต)


    (อืมๆ รีบมาละกันเดี๋ยวเราจะบอกทางนี้ให้)


    “ขอบใจมากมายมายเลิฟลี่เฟรนด์” ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะคว้าคอฮยอกแจมาฟัดแก้มสักที แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือพยายามไม่รู้สึกผิดกับความจริงที่ว่าเขายังอยู่ไกลจากสี่แยกไฟแดงที่โม้ไว้หลายกิโลเมตรนักสุดท้ายอีซองมินก็เซฟเวลาไว้ได้ที่สายแค่สี่สิบห้านาที...อาเมน





     
     
    “นักเรียนนายนั่งรออยู่ในห้อง อยากรู้ประวัติส่วนตัวหรือประวัติการศึกษาก็สัมภาษณ์กันเอาเอง อ่อ ไม่ต้องห่วงเรื่องผู้ปกครองเด็กเพราะท่านยกทุกอย่างให้เป็นหน้าที่เราทั้งหมด เราจะให้ฝ่ายกฎหมายจัดการเรื่องสัญญาทำงานกับเรื่องรายได้โดยเร็วที่สุด...ขอให้โชคดีกับการสอนวันแรก” ก่อนว่าที่ติวเตอร์คนเก่งจะได้เข้าพบนักเรียนคนใหม่ก็ต้องพบกับชั่วโมงโฮมรูมกับเพื่อนสนิทเสียก่อน 


    อีฮยอกแจเพื่อนผู้แสนดีสู้อุตส่าห์หางานที่มีรายได้แสนงามมาให้แล้วยังจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ทั้งหมด ซองมินยิ้มเต็มแก้ม สัญญากับตัวเองไว้ว่าถ้าเขามีเงินพอถอยรถในฝันออกมาเมื่อไหร่จะยอมให้ฮยอกแจเป็นตุ๊กตาหน้ารถคนแรกเลยเอ้า!


    ติวเตอร์คนใหม่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ทำการควบคุมสติและเรียกสมาธิมาอยู่กับตัวให้มากที่สุด เขาถือเสมอเรื่องเฟิร์สอิมเพรสชั่นคือสิ่งสำคัญ เด็กจะประทับใจและให้ความไว้วางใจในตัวครูผู้สอนหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพบกันครั้งแรก ถ้าซองมินทำได้ดีงานที่เหลือก็จะง่ายขึ้น...อวยพรให้ผมด้วยนะครับคุณพ่อร่างสมส่วนก้าวผ่านประตูห้องเข้ามาด้านใน 


    สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือความเย็น...


    อากาศเย็นจัดอันเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานเต็มประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศราคาแพงสมฐานะบริษัทใหญ่ยักษ์ ซองมินกวาดตามองไปรอบห้องประชุมขนาดเล็กที่ถูกปรับพื้นที่ให้โล่งด้วยการนำโต๊ะออกไปจนหมด เก้าอี้ก็ไม่มีให้เห็นสักตัวแต่มีโต๊ะไม้ตัวเล็กกับเบาะรองนั่งอย่างหนาแทนที่


    ว่าที่อาจารย์สอนพิเศษสืบเท้าตรงไปยังโต๊ะที่คิดเอาเองว่าน่าจะเตรียมไว้สำหรับเขา แล้วสายตาจึงสะดุดเข้ากับร่างอีกร่างที่ฟุบหน้าหลับอยู่กับโต๊ะเล็ก...ใครกัน


    ร่างเล็กสืบเท้าเข้าใกล้ทีละน้อย  อีกนิด  แล้วก็อีกนิด...


    “คุณ...อ่า...” ซองมินใช้ข้อนิ้วเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะไม้ตัวนั้นพร้อมกับส่งเสียงเรียก ออมม่าเคยบอกว่าการปลุกคนหลับถือเป็นบาปแต่เวลานี้เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ


    “คุณครับ...” เสียงเรียกเริ่มเบาลงสวนทางกับความไม่แน่ใจที่พุ่งสูง...คิดอีกที หรือฮยอกแจพามาผิดห้อง ดวงตากลมกวาดมองไปรอบห้องราวกับจะขอความช่วยเหลือจากผนังหนา...เอายังไงดีวะ!


    ยังไม่ทันได้บทสรุปของความคิดร่างที่ฟุบอยู่บนโต๊ะก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อเสียงเรียก ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมดำขลับตัดกับผิวขาวจัด นิ้วเรียวยาวปลายเล็บเจียนมนสะอาดสะอ้านขยับเข้าหาเส้นผมดกหนาพร้อมกับเสยแรงๆ อย่างไม่กลัวว่าจะเสียรูปทรงเดิม เสียงทุ้มดังผ่านลำคอหนา ลักษณะอาการของคนตรงหน้าคล้ายจะหงุดหงิดที่โดนรบกวน ซองมินมองแล้วก็กลืนน้ำลายลงคออย่างคนที่รู้ตัวว่าทำผิด อ่า เขาไม่น่าบุ่มบ่ามปลุกคนนอนจริงๆ ด้วย


    “คือ ผมขอโทษที่รบกวน แต่ว่า...ฮยอกแจ...” ซองมินคล้ายจะสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อได้เห็นวงหน้าของคนที่เผลอปลุกเต็มตา คิ้วคมที่ตวัดปลายเฉียงนิดๆ อย่างที่ตำราโหวงเฮ้ง(หรือใครสักคนนี่แหละ)เรียกว่าคิ้วมังกร จมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูปสีแดงจัด และเหนือสิ่งอื่นใดคือดวงตาคมเจือแววหวานที่กำลังมองตอบกลับมาคือสิ่งที่ทำให้ผู้บุกรุกเช่นเขาต้องหยุดทุกคำพูดไว้แค่นั้น...ทุกส่วนที่ประกอบเป็นใบหน้าคมคายดูดีไปหมด ผู้ชายคนนี้หล่อมาก หล่อจนน่าอิจฉาทีเดียว!


    “ครับ?” ซองมินกลืนน้ำลายลงคอ นอกจากหน้าตาดีมากผู้ชายที่เขาเผลอปลุกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ยังมีสุ้มเสียงทุ้มต่ำที่ยิ่งส่งให้ระดับความริษยาในใจซองมินพุ่งพรวด สมบูรณ์แบบเกินไปไหม?


    “เอ่อ คือผม...ต้องขอโทษด้วยนะครับที่เข้ามาโดยพละการ” เพิ่งรู้ตัวว่าได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับอีกคนเกินพอดีก็ตอนที่สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจสะอาดที่เป่ารดลงมาเหนือไรผม ซองมินถอยเท้ายืดตัวเต็มความสูง(ที่มีไม่มาก)ปรับท่าทีให้กลับมาสงบนิ่งทั้งที่ใจเต้นระทึกอย่างไม่รู้สาเหตุ


    “คุณคือ...” ดูเหมือนการจู่โจมของซองมินจะสร้างความหงุดหงิดให้กับคนตรงหน้าไม่มากก็น้อย หัวคิ้วสวย(ที่เขาแอบชมอยู่ในใจ)ถึงได้ขมวดมุ่น ดวงตาคมสีจัดก็หมดแววหวานลงตอนนั้นเอง


    “ผมชื่ออีซองมิน ฮยอกแจพาผมมาที่ห้องนี้เพราะนึกว่าเป็นห้องที่เตรียมไว้สำหรับเรียนพิเศษ...ต้องขอโทษอีกครั้งที่รบกวนครับ” เสียงแหบกล่าวโดยเร็ว ไม่อยากเห็นความขุ่นมัวในดวงตาคู่สวยของคนตรงหน้า เสียดายน่ะ


    “อ่า คุณคือซองมินชี่...” เสียงนั้นพึมพำกับตัวเอง ดวงตาที่ซองมินชมว่าสวยพลอยหรุบต่ำไม่ยอมให้อ่านความคิดที่ยังมีหลงเหลืออยู่หลังจากประโยคนั้น ริมฝีปากสีจัดกดยิ้มด้วยความพึงใจ...แน่นอนว่าถ้าซองมินรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มคงเสียดายเป็นอย่างมากที่ไม่มีโอกาสได้เห็น


    “เห คุณรู้จักผมหรือครับ” พอใบหน้าคมคายเงยขึ้นทุกอารมณ์ความรู้สึกก็ถูกปิดกั้นไว้หลังความราบเรียบกับรอยยิ้มบางที่เจืออยู่บนริมฝีปาก...นิดนึง


    “ครับ ถ้าคุณคืออีซองมินเพื่อนของฮยอกแจ...คุณทำงานสอนพิเศษวันนี้วันแรกใช่ไหม” คนพูดไม่ได้นอบน้อมแต่ก็สุภาพอยู่ในที ซองมินเกาท้ายทอยแกรกกรากออกเก้อนิดๆ ที่คนแปลกหน้ารู้ที่มาที่ไปของตัวเองเป็นอย่างดี


    “ทำไมคุณรู้ว่าผมเป็นใคร ผม...เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ” ให้ตายสิ ซองมินถามเพราะไม่รู้ ที่เผลอปลุกเขาขึ้นมาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ขอโทษไปแล้ว(หลายครั้ง) เมื่อกี้ก็ยังยิ้มๆ อยู่ แค่ชั่วอึดใจผู้ชายตรงหน้าก็เปลี่ยนอารมณ์จนตามไม่ทัน ดวงตาคู่นั้นวาววับถึงจะแค่แวบเดียวแล้วก็แกล้งหรุบตาต่ำแต่ซองมินก็ยังเห็นนา


    “ผมขอโทษถ้าทำให้คุณไม่พอใจ บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจรบกวน” นิสัยลูกโทนชักจะเต้นเป็นริ้วๆ เออนะ ก็ลองโดนใครไม่รู้มาทำหน้าตาไม่พอใจใส่เป็นใครก็กริ้วเถอะ เผลอๆ จะอาการหนักกว่าซองมินหลายเท่า


    “ผมไม่ได้ไม่พอใจ แค่งงๆ เพราะกำลังหลับแล้ว...อ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณขอโทษไปแล้วตั้งหลายครั้ง” ทำไมประโยคที่บอกว่าไม่เป็นไรของหมอนี่ถึงฟังแปร่งๆ หูนัก แต่เอาเถอะเห็นแก่ที่เจ้าตัวเขายอมขอโทษแถมยังยกยิ้มดูดี(มากๆ)ปิดท้ายซองมินจะยอมเชื่อละกันว่าอีกฝ่ายพูดทุกคำจากใจจริง


    “อย่างงั้นถือว่าเลิกแล้วต่อกันนะ ผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดที่ปลุกคุณ...ขอตัวก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็หันหลังเตรียมตัวไปเหวี่ยงเพื่อนรักเต็มที่ เสร่อมากอีฮยอกแจพาเขาเข้ามาส่งผิดห้องแล้วยังเกือบมีเรื่องกับคนแปลกหน้าอีก แย่มาก!


    “เดี๋ยวก่อน คุณจะไปไหน” ว่าที่ติวเตอร์(ที่คิดเอาเองว่าเข้าผิดห้อง)ได้ยินเสียงทุ้มชัดเจน เจ้าของเสียงไม่พูดเปล่าแต่เอื้อมมือออกมารั้งแขนหยุดจังหวะก้าวเดินของซองมินไว้ ร่างสมส่วนหันกลับมายังร่างที่เดาจากลักษณะกายภาพแล้วคงตัวสูงไม่น้อย เห็นคนหล่อวางมือหนึ่งยันโต๊ะ ส่วนอีกมือยึดข้อแขนซองมินไว้โดยที่ร่างนั้นแค่เปลี่ยนจากท่านั่งขัดสมาธิเป็นคุกเข่าลงบนเบาะเท่านั้นเอง


    “ผมจะไปหาฮยอกแจ หมอนั่นพามาส่งผิดห้อง”


    “ไม่ผิดหรอกครับ ห้องนี้ถูกแล้ว” เหหหห...คนหล่อไม่ได้ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึง สีหน้าแววตาของคนที่ซองมินบุกรุกพื้นที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ นอกเหนือจากความราบเรียบที่เดาทิศทางลมไม่ได้เลย ถึงนาทีนี้ว่าที่ติวเตอร์ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดในอก ราวกับความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ค่อยๆ ไหลวนเข้ามาเหมือนสายน้ำ แม้จะอืดเอื่อยแต่ก็สม่ำเสมอ ดวงตากลมจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตาชนิดที่ถ้าออมม่าเห็นเข้าคงโดนเหน็บเนื้อแล้วตำหนิว่าไม่สุภาพเอาเสียเลย


    “แต่ว่า...” ถึงจะเป็นผู้ใหญ่ที่โตๆ แล้วแต่เมื่อมีความเป็นไปได้สูงว่ากำลังจะประสบกับสภาพหน้าแตกยับเยิน เป็นใครก็คงหน้าร้อนๆ ได้เหมือนกัน...ขอให้ไม่ใช่ ขอให้ฮยอกแจเสร่อพามาผิดห้อง ขอให้ซองมินเข้าใจผิด ขอให้ผู้ชายตรงหน้ากับเขาจงเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน ตลอดไป...


    “ผมกำลังรออยู่ แต่ซองมินชี่มาช้ามากก็เลย...เผลอหลับไปก่อน” อะนะ ชัดเจนขนาดนี้คงไม่ต้องเรียกหาคำแปลหรือว่าตัวช่วยที่ไหนอีกแล้ว ผู้ชายตัวสูง หน้าหล่อ แถมยัง...ตัวโตเกินกว่าจะใช้คำว่า ‘เด็ก’ แทนสรรพนามในการเรียกขาน แล้วซองมินต้องสอนผู้ชายคนนี้เนี่ยนะ สอนอะไร ยังไงละทีนี้!


    “เอ่อ คือ ผมคิดว่าคงเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้นแล้วล่ะ ผม...ฮยอกแจบอกว่า...” แต่อีฮยอกแจไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่ารายละเอียดที่เคยคุยกันคร่าวๆ ในห้องสมุด ไม่มีประวัติส่วนตัว ไม่มีประวัติการศึกษาอย่างที่ซองมินต้องการ มีเพียงตัวเลขของรายได้ที่ซองมินจะได้รับทุกๆ สิบชั่วโมงของการสอน และแค่นั้นก็ทำให้เขายอมตกปากรับคำอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ...พระเจ้าช่วยลูกด้วยเถอะ ดูคล้ายกับว่าซองมินถูกอีฮยอกแจหลอกต้มแล้วล่ะ!


    “ไม่ผิดหรอกครับ ผมคือคนที่ซองมินชี่ต้องสอนนับจากวันนี้เป็นต้นไป” มีความเด็ดขาดในน้ำเสียงทุ้มชวนฟัง ซองมินก้มต่ำมองใบหน้าของว่าที่ลูกศิษย์(แล้วไปยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?)แล้วก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ


    เขาเรียนจบอักษรฯ เอกภาษาเกาหลี เคยทำงานสอนพิเศษเด็กนักเรียนตั้งแต่ประถมไปจนถึงมัธยมปลาย เด็กเตรียมสอบ เตรียมเอ็นฯ เข้ามหาวิทยาลัย เด็กหัวช้า หรือแม้แต่ฝึกสอนในโรงเรียนเอกชนชื่อดังระดับประเทศก็เคยมาแล้ว แต่ว่านะ...ซองมินยังไม่เคยสอน เอ่อ เขารู้อะไรเกี่ยวกับคนตรงหน้าบ้างไหมเนี่ย!


    “คุณ...ผมต้องขอตัว ยังไงก็ต้องคุยกับฮยอกแจก่อน” แน่นอนว่าคีย์เวิร์ดสำคัญของทุกเรื่องราวอยู่ที่อีฮยอกแจตัวดี หมอนั่นเจ้าเล่ห์นัก มิน่าละถึงได้จงใจปกปิดข้อมูล พอถามก็โยกโย้ท่านั้นท่านี้ สุดท้ายก็บอกให้ค่าตอบแทนสูงลิบ!...เรื่องสุดท้ายนี่เองที่ทำให้ซองมิน ‘เผลอ’ ตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ ภาพรถในฝันที่หามาได้ด้วยเงินตัวเองกำลังใกล้ความจริงเข้ามาทุกที ทุกที...แล้วจู่เขาก็เห็นมันค่อยๆ ระเบิดโผละกลายเป็นอากาศธาตุไปในพริบตา




    ไม่ล่ะ เขาจะไม่รับงานนี้...ไม่อย่างเด็ดขาด!!













    TBC




    -------------------
     




    :: TALK ::


    สวัสดีทุกคนค่ะ Popsical_Kwan นักเขียนน้องใหม่รายงานตัวและยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ(ยิ้มเผล่)

    ที่บอกว่าเป็นนักเขียนน้องใหม่นั้นไม่ได้ขี้จุ๊นะคะ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการประเดิมการแต่งฟิกเกาหลีเรื่องแรก...เติมท้ายไปด้วยว่า "อย่างเป็นทางการ" แถมยังเป็นคู่อภิมหาอมตะนิรันดร์กาลที่อยู่เคียงคู่วงการฟิกชั่นเกาหลีมาเนิ่นนานแล้ว(อย่างน้อยก็นานในความรู้สึกคนแต่งล่ะ) ว่ากันแล้วอันที่จริงคนแต่งไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ชนิดเดนตายถวายหัวของคยูมินหรอกนะคะ เพียงแต่...สาเหตุมันก็มีอยู่ว่า รอบตัวคนเขียนในเวลานี้มีแต่สาวกเดนตายของมนุษย์เขียว-ชมพูคู่นี้! หลายๆ นาทีมันก็เคลิ้มๆ ไปบ้าง(บ้าง?) เอาเป็นว่าออกตัวไว้ก่อนเผื่อว่าต่อไปในอนาคตมีใครสงสัยประเด็นนี้จะได้เคลียร์ใจกันแต่แรกเริ่ม

    ว่ากันด้วยฟิกเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้เพราะอารมณ์ถูกยุและความรู้สึกอยากลองเขียนอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยเขียนมาก่อนดู พล็อตเรื่องนี้จะค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับฟิกชั่นเรื่องหนึ่งของคนเขียนแต่ต้องขอย้ำว่าแค่คล้าย คืออาศัยธีมนั้นมาแต่รายละเอียดปลีกย่อยรวมไปถึงอารมณ์ต่างๆ นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงค่ะ...เป็นสิ่งจำเป็นอีกหนึ่งข้อที่ต้องทำความเข้าใจกันไว้เสียแต่เนิ่นๆ ^^

    เรื่องเนื้อหาคิดว่าจะยังไม่พูดอะไรมากนักเพราะเพิ่งแค่อินโทรเริ่มต้นเท่านั้น ปกติค่อนข้างจะเขียนฟิก(หรืออื่นๆ)ตามอารมณ์มากๆ ค่ะ คือเปลี่ยนได้เสมอ อยากให้ติดตามกันไปในระยะยาว รอลุ้นกับแต่ละตอนไปนะคะว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางไหน แฮร่~


    อยากให้ทุกคนอ่านฟิกชั่นเรื่องนี้ด้วยความสนุกสนาน อ่านแล้วมีข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นอย่างไรก็รบกวนคอมเม้นให้รู้สักนิดก็จะขอบคุณมากเลยค่ะ


    ลาไปก่อนที่บททอล์คจะยาวเท่าอินโทร...



    ปล.คนแต่งค่อนข้างลำเอียงมาทางโจคยูฮยอนเพราะฉะนั้น...ฮ่าๆๆๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×