คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ELISABETH 04 : ราชองครักษ์ (100%)
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งจางอี้ชิงและอู๋อี้ฟานต่างก็เปิดประตูห้องออกมาอย่างตกใจ ทหารวังที่ล้อมทั่วบริเวณของโรงแรมไว้ อีกทั้งยังยืนเฝ้าหน้าห้องของทั้งสองคนไว้อีก ทันทีที่เปิดออกมาก็ถูกล็อคตัวเข้าทันใด
“ปล่อยข้า ข้าเดินเองได้พวกเจ้าไม่ต้องล็อคตัวถึงขนาดนี้ก็ได้” เป็นจางอี้ชิงที่โวยวาย โดนทหารล็อคตัวแล้วอุ้มแบบนี้ก็รู้สึกไม่ชอบอยู่บ้าง
“ไม่ได้หรอกพะยะค่ะ ... พวกกระหม่อมทำตามรับสั่งของพระราชา”
“ก็รู้ว่าทำตามรับสั่ง แต่นี่ ไม่ต้องล็อคตัวก็ได้ พวกเจ้าแค่ยืนล้อมข้าเอาไว้แล้วเดินไปพร้อมกันข้าก็ไปไหนไม่ได้แล้ว ... ข้าไม่ได้บินได้นะถึงจะฝ่าวงล้อมของพวกเจ้าออกไปได้!”
“ไม่ได้จริงๆพะยะค่ะพระชายา ... พระราชากำชับมาว่า ยิ่งพระชายาก็ต้องยิ่งรัดกุมให้หนัก พระชายาเล่ห์กลเยอะนัก ... อ่า นี่เป็นคำตรัสของพระราชานะพะยะค่ะ กระหม่อมไม่ได้พูดออกมาเอง” อี้ชิงฮึดฮัดก่อนจะมองไปยังอู๋อี้ฟานที่เดินธรรมดาไม่มีใครล้อมหน้าล้อมหลังอย่างขอความช่วยเหลือ
ทำไมถึงทำเหมือนเธอเป็นนักโทษหนีมาแบบนี้!!!
“พอเถอะ ปล่อยพระชายาให้มาหาข้าดีกว่า” อู๋ฟานเดินเข้ามาช่วย ยื่นมือไปฉุดร่างบางให้มาเดินข้างๆตนเอง บรรดาทหารวังทั้งหลายมองหน้ากันเลิ่กลั่กทำหน้าไม่ถูก
“เอาเถอะน่า ... พระชายาไม่หนีหรอก มีข้าอยู่ทั้งคน อ่อ ยังมีคิมจงอินอีก ต่อให้หนีข้าก็คิดว่าจงอินน่าจะตามทัน” อู๋ฟานเอ่ยยิ้มก่อนจะหันหลังไปมององครักษ์ของตน จงอินค้อมหัวให้เล็กน้อยก่อนจะเดินต่อ ใบหน้านั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาทั้งสิ้น
นิ่งมาก ... นิ่งจนเหมือนรูปปั้น
“พิลึกคน” อี้ชิงพูดออกมาเมื่อเข้าไปเดินข้างๆแล้วมองคิมจงอินที่สายตาแน่วแน่มองไปแต่ข้างหน้า ไม่ได้สนใจจางอี้ชิงที่เดินมาข้างๆตัวเลย
“พระชายามีอะไรกับกระหม่อมหรือพะยะค่ะ” คิมจงอินเอ่ยถาม
“ไม่หรอก ข้าไม่มีอะไรกับเจ้าหรอก เพียงแค่ข้าสงสัย เจ้าไม่เมื่อยหน้าบ้างหรืออย่างไร ข้าไม่เห็นเจ้าทำสีหน้าอย่างอื่นบ้างเลยนอกจากนิ่งแบบนี้...” ว่าแล้วอี้ชิงก็ทำเลียนแบบตาม อู๋ฟานที่หันมามองก็ได้แต่ขำ ไม่สิ ... ทุกคนที่เห็นก็ต่างขำกันต่างหาก
“เอ่อ...” คิมจงอินไม่รู้จะพูดอะไร
“ข้าเคยเห็นเจ้าในวังอยู่ไม่กี่ครั้ง เจ้าเดินตามเจ้าชายตลอด ... เป็นองครักษ์ประจำพระองค์หรือ?” อี้ชิงว่าชวนคุย แต่คิมจงอินยังดูเหมือนเกร็งๆ ร่างสูงขององครักษ์เพียงแต่พยักหน้าตอบเท่านั้น
“ชิ๊! คุยกับเจ้าเหมือนคุยกับก้อนหิน ... นิ่งแบบนี้ไม่มีสาวที่ไหนชอบหรอกนะ ให้ข้าเดา เจ้าคงยังไม่มีคู่แน่นอน”
“อี้ชิง...” อู๋ฟานปรามเมื่อรู้สึกว่าอี้ชิงเริ่มจะเสียมารยาทกับองครักษ์ของเขามากไปแล้ว ถึงแม้ที่จริงมันจะไม่ใช่เรื่องผิดที่อี้ชิงจะพูดแบบนี้กับคนที่ยศต่ำกว่าได้ ... แต่ถ้ามองในฐานะที่คิมจงอินคือเพื่อน อี้ชิงก็เสียมารยาทไม่น้อย
“อะไรเพคะ ... หม่อมฉันแค่อยากผูกมิตรกับองครักษ์ของพระองค์บ้าง” ร่างบางทำหน้ามุ่ยเมื่ออู๋ฟานดึงมือให้เดินกลับมาเดินข้างกายตนเหมือนเดิม
“ผูกมิตรหรือ? คำพูดของเจ้าที่พูดกับจงอินเมื่อสักครู่เรียกว่าผูกมิตรหรือ ข้าว่ามันเหมือนกับการทำลายมิตรมากกว่า”
“เหอะ ... คำพูดแบบนี้ของพระองค์ต่างหากถึงเรียกว่าการทำลายมิตร ปล่อยมือหม่อมฉันเลยเพคะ หม่อมฉันอยากคุยกับจงอิน” อู๋ฟานไม่ยอมปล่อยซ้ำยังกระชับไว้แน่นกว่าเดิม
“พระองค์!”
“เชื่อข้าเถอะ ต่อให้เจ้าพูดมากมายอย่างไร คิมจงอินก็ตอบกลับเจ้ามาเพียงแค่พยักหน้า หรือไม่ก็คำพูดสั้นๆเพียงเท่านั้น”
“ทำไม...”
“มันเป็นธรรมชาติของจงอินหนะ อยู่ด้วยกับข้ามาตั้งแต่ข้า 5 ขวบ จงอินก็ไม่ใช่คนที่พูดมากมายอะไรนัก มักจะเป็นข้าเสียมากกว่าที่พูดให้จงอินฟัง”
“จริงหรือเพคะ ... แล้วเขาจะไม่รู้สึกอึดอัดบ้างหรือเพคะ หากหม่อมฉันเป็นจงอิน หม่อมฉันคงจะอกแตกตาย แบบนี้คนอยู่ด้วยเครียดตายแน่ๆ” ว่าพลางหันกลับไปมองจงอินที่ยังคงหน้านิ่งเดินตามเจ้าชายอย่างไม่วอกแว่กอะไร
“ไม่เครียดหรอก ... จงอินหนะถึงจะนิ่งแบบนี้ แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีมากๆ เขามักจะอยู่ข้างข้าตลอด มีคำพูดปลอบใจและสอนข้าเสมอมา” อี้ชิงพยักหน้าตาม
“แต่จงอินยังไม่แต่งงานหรือเพคะ หากอยู่กับพระองค์มาตั้งแต่เด็ก ป่านนี้ก็น่าจะอายุประมาณพระองค์แล้วนะเพคะ” อี้ชิงถามอย่างสงสัย อู๋ฟานส่ายหน้า
“ไม่หรอก จงอินไม่ได้แต่งงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนรักนะ”
“หืม ... คนรัก? คิมจงอินคนนิ่งๆแบบนั้นมีคนรักด้วยหรือเพคะ ใครกันเพคะบอกหม่อมฉันที หม่อมฉันอยากทราบ” อี้ชิงว่าอย่างกระตือรือร้น อู๋ฟานอดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้
พระชายาของเขานี่เหมือนเด็กตัวเล็กๆจริงๆ
“ให้ข้าพูดแล้วเจ้าจะตกใจเสียเปล่าๆ ... คนรักของจงอินเป็นผู้ชาย”
“ผู้ชาย!!!” อี้ชิงอุทานเสียงดังจนอู๋อี้ฟานยกมือขึ้นปิดปากบางแทบไม่ทัน ร่างสูงก้มลงเอ็ดเบาๆให้เงียบอี้ชิงพยักหน้ารับก่อนอู๋อี้ฟานจะยอมปล่อยมือ
“ผู้ชาย ... พระองค์เล่าให้หม่อมฉันฟังได้หรือไม่เพคะ เอ่อ หม่อมฉันเคยอ่านนิยายชายรักชายมาเยอะอยู่บ้าง หม่อมฉันอยากรู้ว่าเรื่องจริงกับเรื่องในนิยายมันเหมือนกันหรือไม่” อี้ชิงว่า อู๋ฟานมองซ้ายมองขวาก่อนจะหันหลังไปบอกคิมจงอินบอกให้ถอยไปเดินอยู่ห่างๆที่ด้านหน้า หากคุยกับพระชายาเสร็จแล้วจะเรียกให้กลับมาเดินข้างหลังเหมือนเดิมอีกที จงอินค้อมหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินนำหน้าทั้งสองคนไป
“แหม ... จะนินทาใครสักคนพระองค์ทรงทำไม่เนียนเลยนะเพคะ เป็นหม่อมฉันเป็นคิมจงอิน ป่านนี้หม่อมฉันก็รู้แล้วว่าพระองค์จะทรงนินทา”
“แล้วเจ้าจะฟังข้านินทาหรือไม่”
“ฟัง! ฟังเพคะ นินทามาเลยเพคะหม่อมฉันพร้อมแล้ว”
หลังจากที่ทั้งอู๋อี้ฟานและจางอี้ชิงถูกนำตัวกลับมาที่พระราชวังอย่างปลอดภัยก็ถูกพระราชาเรียกให้เข้าเฝ้าในทันที ริ้วรอยความกังวลพระทัยบนใบหน้าของพระราชาและพระราชินีหายมากไปกว่าครึ่งเมื่อรับรู้ว่า ทั้งสองพระองค์ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่ก็อดที่จะดุและเพิ่มความปลอดภัยให้กับสองพระองค์อย่างรัดกุมขึ้นไม่ได้
การที่เจ้าชายและพระชายาออกไปเที่ยวนอกวังกันตามลำพังมันปลอดภัยที่ไหนกัน หากโจรผู้ร้ายรู้เข้าแล้วจับตัวหรือฆ่าเอาเล่า จะทำอย่างไร!
“พระชายา ข้าจำเป็นจะต้องให้เจ้ามีองครักษ์ติดตามเจ้า ... หากคราวหน้าเจ้าอยากจะออกไปนอกวัง ก็ได้โปรดพาเขาไปด้วย อย่างน้อยข้าจะได้เบาใจว่าเจ้าต้องปลอดภัย” หลังจากที่โดนดุว่ามานาน อยู่ดีๆพระราชาก็ทรงตรัสขึ้น ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองพระราชาอย่างแปลกใจนัก
“ฝ่าบาทหมายความว่า ... ต่อไปหม่อมฉันก็ยังสามารถหนีเที่ยวนอกวังได้อีกหรือเพคะ”
“ใช่ แต่เจ้าต้องบอกข้าก่อน ข้าจะได้จัดขบวนและบรรดาทหารให้ไปกับเจ้าด้วย” ใจที่ปริติยินดีเหมือนลูกโป่งลอยกลับถูกจิ้มให้แตกอีกครั้ง หากจัดขบวนและให้ทหารพาออกไป จะเรียกว่าหนีเที่ยวได้อย่างไร ... ไม่สนุกแน่ๆ!
“เพคะ” แต่ก็อดรับคำไม่ได้ พระราชาแย้มสรวลอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสั่งให้ทหารวังที่เฝ้าอยู่หน้าประตูโถงให้เรียกองครักษ์ประจำตัวของพระชายาเข้ามาเพื่อที่จะถวายงาน
“ต่อไปนี้ องครักษ์ของเจ้าคือคยองซู โดคยองซูนะ จางอี้ชิง ... องครักษ์ผู้นี้ถึงจะตัวเล็กไปบ้างแต่ความสามารถรอบด้านไม่แตกต่างจากคิมจงอินองครักษ์ของเจ้าชายเลยสักนิด” อี้ชิงพยักหน้ารับพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าขาวหวานราวกับอิสตรีขององครักษ์ของตนตรงหน้า
หวา ... เพราะน่ารักน่าทะนุถนอมแบบนี้ถึงทำลายกำแพงน้ำแข็งของคิมจงอินได้สินะ!
!!!!
“ที่เจ้าไม่โวยวาย คงเป็นเพราะถูกใจที่ได้คยองซูมาเป็นเพื่อนใหม่สินะ” อู๋อี้ฟานเอ่ยขึ้นแทบจะในทันทีที่ออกจากการเข้าเฝ้าพระราชา อี้ชิงหันมายิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปพูดจาทักทายกับคยองซูต่อ ... แทบจะไม่ได้สนใจอู๋อี้ฟานเลย
“อี้ชิง...”
“ฮี่อ พระองค์ ... หม่อมฉันคุยกับคยองซูอยู่นะเพคะ พระองค์จะไปทำอะไรก็ไปทำเถิดเพคะ” อี้ชิงว่าก่อนจะพาคยองซูเดินหลีกไปทางห้องนอนของตนเอง
“เอ่อ พระชายา คือ กระหม่อมว่า พระชายาไปหาเจ้าชายก่อนดีหรือไม่กระหม่อม ดูเหมือนเจ้าชายจะมีเรื่องอยากคุยกับพระองค์” คยองซูว่าด้วยสีหน้ากล้าๆกลัวๆ เขายังไม่คุ้นชินกับพระชายาเท่าไหร่ แม้ว่าพระชายาจะค่อนข้างเป็นกันเองแต่คยองซูก็ยังต้องการเวลาปรับตัว การสัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันแบบรวดเร็ว ทำให้เขายังเคอะเขินอยู่บ้าง
“อ๋า ... ที่เจ้าจะให้ข้าไปหาเจ้าชาย นั่นหมายความว่าเจ้าจะได้ไปหาคิมจงอินด้วยใช่หรือไม่” จางอี้ชิงเอ่ยแซวขึ้นอย่างสนุกปาก คยองซูหน้าแดงขึ้นเป็นริ้วๆพยายามหลบหน้าไม่ให้พระชายาเห็นแล้ว แต่พระชายาก็ยังพยายามหันมามองจนเขาต้องยืนนิ่งเฉยๆให้พระชายาเอ่ยแซวให้สาแก่ใจ
“เอ่อ พระชายา กระหม่อมขอร้อง หากอยู่ต่อหน้าจงอิน พระองค์อย่าทรงพูดอะไรแบบนี้ออกไปนะพ่ะย่ะค่ะ...”
“ทำไมหละ”
“กะ ก็ ... กระหม่อมอาย ละ แล้วก็คิดว่า จงอินเองก็คงจะไม่พอใจหากได้ยินอะไรแบบนั้นแล้วจะพาลไม่พอใจกระหม่อมไปเสียเปล่าๆ” คยองซูว่า
เป็นอย่างที่อู๋อี้ฟานว่าไว้ไม่มีผิด ... เพราะคิมจงอินเป็นคนที่นิ่งและไม่ค่อยแสดงความรู้สึกที่ตัวเองมีออกไปเท่าไรนัก ทำให้โดคยองซูคนของเธอ(?) มักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองไม่มีที่ยืนในความรู้สึกดีๆของคิมจงอิน หรือไม่ถ้ามีก็คงอยู่ในที่ลึกสุดใจ ลึกมากๆจนคยองซูเองก็หาแทบไม่เจอ
“เจ้าน้อยใจจงอินหรือคยองซู?” เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยขององครักษ์ของตนแล้วก็อดสงสารขึ้นมาไม่ได้ ... อยู่แบบไม่รู้ว่าสถานะของตนคืออะไร
“กระหม่อมไม่บังอาจน้อยใจราชองครักษ์อย่างท่านจงอินหรอกพ่ะย่ะค่ะ ... กระหม่อมเป็นแค่ แค่...” คยองซูพูดไม่ออก ใบหน้าหวานก้มแทบจะชิดติดอก ยิ่งคิดถึงคิมจงอินผู้เป็นที่รักของตนก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ
บางทีก็ทำเหมือนรัก บางทีก็ทำเหมือนไม่สนใจ ... แต่ก็บอกว่าเขาพิเศษกว่าใคร
“ให้ข้าช่วยไหม ข้าเต็มใจนะ ... เดี๋ยวข้าจะไปเค้นถามจากจงอินให้เจ้าเอง” อี้ชิงว่าพลางหันหลังทำท่าจะวิ่งไปหาจงอิน แต่คยองซูกลับคว้าแขนเอาไว้ได้ ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อสำนึกได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“กระหม่อมของประธานอภัย กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจจะแตะต้องพระองค์ กระหม่อมเพียงแค่อยากหยุดพระองค์ไม่ให้ไปหาท่านจงอินเท่านั้น” คยองซูละล่ำละลัก ต่อให้เป็นองครักษ์ของพระชายา ก็แตะต้องตัวพระชายาไม่ได้นอกจากเวลามีภัยเท่านั้น!
“ฮื่อ ข้าไม่เอาเรื่องหรอก ... ว่าแต่เจ้า จะปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้หรือ เท่าที่ข้าฟังมาจากเจ้าชายมา คิมจงอินนั่นก็รักเจ้าไม่แพ้ที่เจ้ารักหรอกนะ” อี้ชิงพูดพลางยื่นปากไปทางคิมจงอินที่ก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน คยองซูเงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะรีบก้มหน้าและหันไปคนละทาง
เหอะ! คิมจงอิน ... หน้าแข็ง ใจเข็ง แล้วยังปากแข็งอีกนะ!
“นั่นไงเห็นหรือไม่ เขายังมองเจ้าอยู่ตลอดเลย”
“ท่านจงอินไม่ได้มองกระหม่อมหรอกพ่ะย่ะค่ะ ท่านจงอินมองพระชายาต่างหาก” คยองซูพยายามเถียงทั้งๆที่เมื่อกี้เพิ่งได้สบตามา เพราะถ้าจะสบตาได้ อีกฝ่ายก็ต้องเป็นฝ่ายมองมาเหมือนกัน
“เอาเถอะๆ พูดกับเจ้าไปก็ป่วยการณ์ ... ถ้าข้าเป็นเจ้านะ ข้าไม่ปล่อยให้สถานการณ์อึดอัดมันผ่านไปแบบนี้หรอก ข้าจะเดินเข้าไปถามเลยว่าคิดอย่างไรกับข้ากันแน่!”
“กระหม่อมไม่กล้าถามอีกแล้ว...” คยองซูครางตอบเสียงเบาในลำคอ ใจกระหวัดนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาเคยใจกล้าเดินเข้าไปถามคิมจงอิน คนรักของเขาอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม
‘ท่านคิดอย่างไรกับข้ากันแน่ท่านจงอิน ... ในหัวใจของท่าน ท่านให้ข้าอยู่ที่ส่วนใด’
ในวันนั้นคยองซูไม่รู้คิดอย่างไร หรือไม่รู้ว่าไปรวบรวมเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าเอ่ยถามถึงความรู้สึกที่คิมจงอินจะมีให้ไปตรงๆแบบนั้น จงอินเองก็ดูอึ้งไปอยู่ไม่น้อย แต่ใบหน้าก็ยังเรียบเฉย เวลาตอบคำถามก็ไม่ยอมสบตา และทำเป็นเหมือนอยากจะเดินหนีไปไกล
‘เจ้าคือคนที่ข้า ... คิดถึงตลอดเวลา’
‘ท่านหมายความว่าอย่างไร?’
‘หมายความตามที่ข้าพูด ... จะ เจ้าทำให้ข้าเสียเวลา ข้าจะไปถวายงานแก่เจ้าชาย’
คยองซูจำได้ว่าหลังจากนั้นจงอินก็รีบเดินหนีห่างออกจากเขา มองหน้าก็ไม่มอง เรียกก็ไม่หัน ... แบบนี้หนะหรือ ที่เขาจะเป็นคนที่จงอินคิดถึงตลอดเวลา แล้วที่คิดถึงกันตลอดเวลา จงอินจะคิดว่าอย่างไร...
คิดว่าจะต้องหนีและหลบหน้ากันอย่างไรอย่างนั้นหรือ?!
“ซู ... คยองซู .. โดคยองซู!” เสียงร้องเรียกดังจากพระชายาทำให้คยองซูสะดุ้งตัว ค้อมหัวของประธานอภัยก่อนจะเดินตามพระชายาเข้าไปทางห้องบรรทม ใบหน้าหวานที่เศร้าลงไปทำให้จงอินที่มองมาจากที่ไกลได้แต่มองตามด้วยสายตาที่เป็นห่วง
“ห่วงเขามากขนาดนั้นแต่ก็ยังทำตัวแข็งทื่อเป็นหินอยู่ได้” อู๋ฟานที่แอบมองทั้งจงอินและคยองซูมาตลอดเอ่ยค่อนขอดขึ้น จงอินเงยหน้าขึ้นมองก่อนบอกปฏิเสธ
“ไม่ใช่กระหม่อม”
“ไม่ใช่ได้อย่างไร ... ข้าเห็นเจ้ามองคยองซูตั้งแต่เดินเข้ามาหาพ่อข้า แล้วก็จนเดินลับไปกับพระชายาของข้าเนี่ย!”
“ข้า...”
“หรือเจ้าจะบอกว่าไม่ได้มองคยองซู แต่มองพระชายาของข้า...” อู๋ฟานแกล้งทำเสียงต่ำ จงอินก้มลงคุกเข่าอย่างตกใจกับความคิดของผู้เป็นนาย
“กระหม่อมไม่บังอาจหรอกพะย่ะค่ะ กระหม่อมขออภัย แต่กระหม่อมไม่ได้มองพระชายาของพระองค์จริงๆ” คำสารภาพยาวเหยียดทำให้อู๋อี้ฟานแทบจะอยากหัวเราะดังๆ
“เอาเถิดลุกขึ้น ... ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้มองพระชายาของข้าแน่ๆ ว่าแต่ ... หลังจากนี้เจ้าก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”
“ระวังตัว?...”
“ใช่! ก็ตอนนี้คยองซูยอดรักยอดดวงใจของเจ้าไปอยู่กับพระชายาของข้าแล้ว หากเจ้าทำอะไรให้คยองซูเศร้า หรือเสียใจ ข้าคิดว่าพระชายาต้องมาอะลาวาดใส่เจ้าแน่ๆ”
“กระหม่อม...” จงอินทำท่าจะปฏิเสธอีกครั้งอู๋ฟานเลยขัดไว้
“พอเลย ... ข้าแค่เตือนด้วยความหวังดี เจ้าก็รู้ว่าหากพระชายาของข้าเข้ามายุ่งเรื่องความรักของพวกเจ้าเมื่อไร เรื่องยุ่งต้องเกิดแน่ๆ” อู๋ฟานตบบ่าจงอินอย่างให้กำลังใจ
“แต่เอาเถอะ ข้าจะพยายามปรามๆให้แล้วกัน ... แต่ตอนนี้ ข้าว่าเราไปฝึกซ้อมยิงธนูกันก่อนเถิด ในเดือนหน้าก็จะเป็นเดือนแห่งการล่าสัตว์แล้วข้าคิดว่าถ้าข้ายังยิงพลาดไปเหมือนคราวที่แล้วอีก เสด็จพ่อจะต้องกริ้วจนปลดข้าออกจากตำแหน่งแน่ๆ” อู๋ฟานว่าอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินนำไป จงอินมองเจ้าชายผู้เป็นนายของตนอย่างอดถอนหายใจไม่ได้ ... คนที่นิสัยขี้แกล้ง ชอบทำเรื่องวุ่นวายยอย่างเจ้าชายมีหรือที่จะคิดปรามมิให้พระชายาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องความรักเขา
มีแต่จะยุให้วุ่นหละสิไม่ว่า!
ความเย็นที่โรยตัวลงมาอย่างรวดเร็วในตอนกลางคืนทำให้จางอี้ชิงที่ยืนรับลมเล่นเพื่อใหอาหารย่อยหลังจากเข้าร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นมาไม่กี่ชั่วโมง ต้องกระชับผ้าคลุมไหล่เข้ามาให้แนบชิดกับลำตัวตน
“คืนนี้ลมเย็นนะ คยองซู”
“หืม? ... พระชายาว่ากระไรนะพะย่ะค่ะ”
“ข้าบอกว่าลมเย็น ... เย็นจนหนาวเลย เจ้าไม่หนาวบ้างหรือข้าเห็นเจ้ายืนนิ่งเลย” คนโดนถามถึงกับงงไปพักใหญ่ พระชายาไปหนาวลมมาจากไหน ตอนนี้ที่เขายืนอยู่ก็ร้อนจนเหงื่อออกจะแย่อยู่แล้ว
“เอ๊ะ เจ้าเหงื่อออก ... เป็นไข้ไม่สบายรึ” อี้ชิงเอามืออังหน้าผากคยองซูดูอย่างแปลกใจ แต่ตัวก็ไม่ร้อน
“เอ ... หรือข้าเองนะที่ไม่สบาย” เอามืออังหน้าผากของตัวเองแต่มันก็ปกติ ร่างบางยักไหล่ไม่ใส่ใจก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าที่มีดาวประกายพร่างพรายเหมือนเดิม
“คืนเดือนมืดแบบนี้ เห็นดาวชัดจังเลยนะ” อี้ชิงเอ่ยพูด คยองซูได้แต่เพียงพยักหน้า แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองด้วย
“เจ้าก็มองด้วยกันกับข้าสิคยองซู ... ให้ข้าดูคนเดียวไม่สนุกหรอกนะ อยู่กับข้าทำตัวให้เป็นปกติเถิด เวลาอยู่ด้วยกันสองคนเจ้าคือเพื่อนข้า ไม่ใช่องครักษ์ข้า”
“พระชายา...”
“เฮ้อ ... ข้าพูดเรื่องจริงนะ การมาอยู่ในที่แห่งนี้จะให้หาเพื่อนก็ยาก ตำแหน่งพระชายาอย่างข้าใครไหนเลยจะกล้าเข้าใกล้ ขนาดพวกบรรดานางกำนัลนั่น ยังไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ข้า” บอกพลางชี้ไปยังพวกธารกำนัลที่นั่งรอห่างออกไปด้านหลังเฉยๆ
“แต่พระชายา”
“ข้าถูกชะตากับเจ้านะ คยองซู ... เจ้าเป็นคนไว้ใจได้ ข้ารู้ แล้วข้าก็รู้ว่าเจ้าชาย พระราชา พระราชินี ก็ไว้ใจเจ้า ถึงกล้าให้เจ้าที่เป็นชายมาอยู่ข้างกายข้าเช่นนี้”
“พระชายา...”
“เรียกข้าว่าอี้ชิงสิ ... อี้ชิง จางอี้ชิง นั่นเป็นชื่อของข้า ไม่ใช่พระชายา”
“พระ ... เอ่อ ท่านหญิงอี้ชิง” คยองซูยังเติมทำว่าท่านหญิงให้ดูสุภาพ อี้ชิงส่ายหัว
“ไม่เอาเรียกอี้ชิงเฉยๆไปเลย ไม่เอาเท่าหญิง ไม่เอาคุณหนู ... เอาแบบที่เจ้าเรียกเพื่อนของเจ้า”
“กระหม่อม เอ่อ กระหม่อมไม่ค่อยมีเพื่อนพะย่ะค่ะ” คยองซูพูดความจริง ภายในพระราชวังนี้เขาไม่ค่อยมีเพื่อนมาเสียเท่าไหร่ อาจจะมีก็แค่คนที่พอคุยด้วยได้บ้างเท่านั้น ถ้าให้สนิทที่สุดก็มีเพียงแค่ ‘คิมจงอิน’ คนที่เป็นคนรักของตัวเอง
“อ่อ ข้าลืมไป ... เจ้าหนะมีเพื่อนแค่คนเดียวก็คือ ราชองครักษ์คิมจงอิน เอ๊ะ ไม่สิข้าต้องพูดว่าเจ้ามีเพียงแค่เขาคนเดียวที่เป็นทุกอย่างสำหรับเจ้า ... ใช่หรือไม่” รอยยิ้มล้อเลียนถูกปั้นขึ้นมาบนใบหน้าสวยของพระชายาอีกแล้ว คยองซูก้มหน้าต่ำเก็บซ่อนความอาย
“จะว่าไป ... ข้าจะไปหาเจ้าชายดีหรือไม่ เพราถ้าข้าไปเจ้าก็ได้ไป ข้าได้เจอเจ้าชาย เจ้าก็ได้เจอคิมจงอิน”
“พระชายา...”
“ข้าบอกให้เรียกอะไร!”
“อี้ชิง...”
“ดีมาก! ... ในฐานะที่เจ้าทำให้ข้าพึงพอใจมาก ข้าจะให้รางวัลเจ้า!” อี้ชิงเอ่ยอย่างดีใจ แต่คยองซูนี่สิต้องตกใจเมื่อพระชายาเดินลากแขนตัวเขาไปแบบไม่สนใจอะไรเลย มุ่งตรงไปยังห้องของเจ้าชายอู๋อี้ฟานอย่างเดียว
“พระชายานี่มันดึกมากแล้วนะพะย่ะค่ะ ... กลับห้องบรรทมเถิด การมาห้องของเจ้าชายยามดึกแบบนี้ไม่สมควรนะพะย่ะค่ะ” คยองซูยื้อมือที่จับเอาไว้ อี้ชิงหันหน้ามองอย่างไม่พอใจ
“ไม่เป็นไร ... ข้ากับเจ้าชายอีกไม่กี่วันก็อภิเษกสมรสกัน ให้มีเรื่องเสียหายไปก่อนสักวันสองวันก็ไม่เป็นไร”
“พระชายา!” คยองซูหัวใจแทบวายเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้น แต่ก็ยังอดคิดในใจไม่ได้ว่า ... เจ้าชายอู๋อี้ฟานที่ชอบทำเรื่องวุ่นนั่นได้พระชายาแสบซนเกินหญิงแบบนี้ไปแหละ สมน้ำสมเนื้อดีแล้ว
ร่างบางลากมือองครักษ์มาจนถึงข้างห้องบรรทมเจ้าชาย ก่อนจะจัดการทำท่าจะปีนขึ้นไปแต่คยองซูห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนพระชายา ... กระหม่อมว่ามันไม่เหมาะ ไปทางด้านหน้าเถิดพะย่ะค่ะ”
“ไม่ ... ข้าอยากลองปีนเข้าทางหน้าต่างดูบ้าง คราวที่แล้วข้าเห็นเจ้าชายก็ทำตอนไปหาข้า ข้าว่าน่าสนุกดี”
“ห๊า! เจ้าชายปีนเข้าห้องพระชายา!” คยองซูร้องอย่างตกใจ อี้ชิงกระโดดเข้าตะครุบปากคยองซูแทบไม่ทัน
“นั่นใคร!!!” เสียงทุ้มดังจากทางหน้าต่างห้องก่อนเงาดำๆจะกระโจนออกมาด้านนอกวิ่งออกมาเอาดาบชี้หน้าจ่อคอ เล่นเอาอี้ชิงตกใจจนร้องเสียงหลง
เพล้ง...
ดาบในมือที่กำลังจ่อคอของพระชายาร่วงหล่นไปจากมือของเจ้าของดาบทันที ก่อนดาบอันใหม่ในมือของคยองซูอีกอันจะยกขึ้นมาจ่อคอไปที่อีกฝ่ายแทน
“ท่านไม่มีสิทธิ์ใช้ดาบมาข่มขู่พระชายาเช่นนี้ ท่านจงอิน!” คยองซูว่าพลางหันหน้ามองสีหน้าตกใจของพระชายาที่ด้านหลัง
“เจ้า!” จงอินเสียงดังก่อนจะเข้าประชิดตัวแย่งดาบในมือของคยองซูมาชี้ดาบคืน คยองซูทำท่าจะก้มหยิบดาบของจงอินที่พื้นแต่ร่างสูงก็เตะไปไกล
“ท่าน!” ท่าทางโอหังของจงอินทำให้คยองซูตะโกนร้องอย่างโมโห นี่ต่อหน้าพระชายาจงอินกล้ามากขนาดนี้เลยหรือ!
“ต่อให้เป็นพระชายา แต่บุรุกเข้ามาแบบนี้ ข้าก็ต้องจัดการ ... ถือว่าพวกท่านมาแบบเจตนาไม่ดี”
“ท่านจงอิน! ท่านบังอาจมากนะ ... ข้ากับพระชายาไม่ได้มา...”
“เอะอะเสียงดังอะไรกันจงอิน!”
เหมือนเสียงสวรรค์มาหย่าศึกให้กับจงอินและคยองซู ทันทีที่อี้ชิงเห็นว่าเป็นอู๋อี้ฟานที่ออกมาก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที ... ปล่อยให้คู่รักองครักษ์เขาเคลียร์กันเองดีกว่า
“ผิดแผนเยอะนะเพคะ ... พระองค์มาช้า ถ้าคยองซูกับจงอินฟาดฟันกันจริงๆ หม่อมฉันจะโทษพระองค์!” เสียงกระซิบเง้างอนของพระชายาทำเอาอู๋อี้ฟานยิ้มหนัก ก่อนจะตีหน้าขรึมหันไปหาจงอินและคยองซู
“พระชายามาหาข้า ... เจ้าก็อย่าอะไรมากนักเลยจงอิน ครั้งที่แล้วข้าเองก็เพิ่งจะปีนเข้าห้องพระชายาไป”
“แต่ว่า...”
“เอาน่า ... ข้าบอกไม่ผิดก็คือไม่ผิด หรือเจ้าจะว่าผิดแล้วลงโทษแต่คยองซูก็ได้นะ ข้าไม่ว่าอะไร”
“พระองค์!” มีไม่กี่ครั้งที่จงอินที่ขึ้นเสียงกับอู๋อี้ฟานแบบนี้ ร่างสูงหัวเราะร่าก่อนจะลากร่างบางของพระชายาเข้าห้องไป ร้อนถึงองครักษ์ที่ต้องรีบตาม ... แต่คยองซูก็คว้ามือจงอินไว้
“ท่านจะไปที่ใด ... ท่านไม่เอาโทษกับข้าแล้วหรือ”
“ข้า...” จงอินพูดไม่ออก เห็นแววตาเจ็บปวดในดวงตานั้นความรู้สึกผิดก็แล่นปรี่เข้ามากัดกินหัวใจ เมื่อจงอินไม่พูดอะไร มือข้างที่คยองซูจับแขนอยู่ก็ตกลง
“ข้าขอดาบของข้าคืน” เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่น ดวงตาวาววับด้วยน้ำตาทำเอาจงอินใจอ่อน
“คยองซู คือข้า...”
“ข้าขอดาบข้าคืน ... ข้าต้องรีบตามเสด็จพระชายาไป”
“ข้า...” จงอินยังอึกอัก ในใจอยากจะยกมือขึ้นตบปาก แค่คำว่า ‘ขอโทษ’ เพียงคำเดียวทำไมถึงพูดออกมาไม่ได้เสียที!
“ข้าทำตามหน้าที่!” พูดออกไปแล้วก็ยิ่งอยากจะยกมือขึ้นตบปากตัวเองหนักกว่าเก่า จากคำขอโทษทำไมถึงกลายเป็นคำนี้ไปได้! “เจ้าเองก็ยกดาบขึ้นจ่อหน้าข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“แล้วมิใช่ท่านหรือที่ทำอย่างนั้นก่อน ... ท่านบังอาจขู่พระชายาข้าให้กลัว”
“พระชายาของเจ้า? ... พูดไม่อายปากเจ้าเลยนะคยองซู!”
“ท่าน!!!” คยองซูแทบจะดิ้นเร่าๆ เขาหมายถึงพระชายาเป็นเจ้านายของเขาต่างหาก ร่างบางโมโหมากจนทำอะไรไม่ถูก หันขวับไปเห็นดาบของจงอินที่วางไกลจากพื้นก็เดินไปหยิบมา
“ท่านไม่คืนดาบข้า ... ข้าก็จะเอาดาบของท่านไป ท่านราชองครักษ์คิมจงอิน!” พูดจบก็โค้งตอกย้ำความห่างเหิน จงอินมองตามคยองซูที่เดินจากไปด้วยสายตาปรอย ก่อนจะยกมือขึ้นทุบหัวตัวเองแรงๆอย่างขัดใจ
“ไอ้บ้าจงอินเอ้ย! ... แค่พูดว่าขอโทษ แค่พูดว่าอยากเห็นหน้าชัดๆเลยทำแบบนั้น ... แค่นี้ทำไมพูดยากจังวะ!!!”
...เฮ้อ~
ท่าทางของคยองซูที่เดินตามเข้ามาในห้องด้วยดวงตาแดงๆทำให้อู๋ฟานและอี้ชิงมองหน้ากันอย่างพอเข้าใจ ที่จริงอี้ชิงอยากจะพุ่งไปทุบกระโหลกของคิมจงอินที่คอยหันมองด้วยสายาห่วงหาอาธรนั้นแทบใจจะขาด แต่อู๋อี้ฟานก็รั้งไว้
“เรื่องของพวกเขา ให้พวกเขาจัดการเอง”
“แต่คยองซูเป็นเพื่อนของหม่อมฉัน ... เรื่องของคยองซูมันก็เหมือนเรื่องของหม่อมฉันนะเพคะ”
“อ่อ ... นี่เจอกันแค่ไม่ถึง 1 วันเจ้าก็กลายเป็นเพื่อนกันแล้วหรือ?” พูดเหมือนแง่งอน
“ก็ไม่เห็นแปลกนี่เพคะ ขนาดหม่อมฉันกับพระองค์เจอกันวันเดียว ยังกลายเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันได้เลย แล้วนี่ก็จะได้เป็นสามีภรรยาอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้วด้วย ... ฮื่อ!” คำพูดน่ารักของอี้ชิงทำให้อู๋อี้ฟานอดใจไม่ไหว ก้มลงหอมแก้มขาวของพระชายาเป็นรางวัลไปที แต่ผลที่ได้ตอบกลับคือรอยแดงลอยเด่นเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้าอยู่บนหน้า
“เจ้าชาย / พระชายา” ทั้งจงอินและคยองซูร้องเสียงดังตกใจ จงอินแทบจะพุ่งเข้าไปดูใกล้ๆแต่อู๋อี้ฟานยกมือห้ามไว้
“พระชายาข้านี่ มือหนักดีแท้”
“ก็พระองค์อยากเล่นอะไรไม่รู้เรื่องเอง คยองซูกับจงอินก็อยู่!” ก้มหน้าอุบอิบบ่นอย่างเขินอาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าอู๋อี้ฟานด้วยดวงตาแวววาว
“หม่อมฉันขอโทษนะเพคะ ... เป็นรอยแดงชัดเชียว” พูดพลางไล้มือไปตามรอยข้างแก้มอู๋อี้ฟานอย่างเบามือ
“กระหม่อมจะเรียกหมอให้” จงอินรีบวิ่งเข้ามา
“ไม่ต้อง! ข้าจะพาเจ้าชายไปหาหมอที่เรือนหมอเอง เจ้ากับคยองซูก็อยู่เฝ้าที่นี่ไปเสียก่อนเถิด เดี๋ยวข้ากลับมา จะถือโอกาสเดินเล่นด้วย”
“แต่พระชายา” คยองซูจะแย้งแต่อี้ชิงส่ายหน้าขัด คยองซูเลยทำได้แค่เพียงก้าวกลับไปยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิม ... แต่กับจงอินไม่ใช่ร่างสูงโปร่งเดินตามเสด็จพระชายาและเจ้าชายไปต่อหน้าต่อตาคยองซู
“เจ้าตามข้ามาทำไมจงอิน ข้าไม่ได้บอกให้อยู่รอที่ห้องหรอกหรือ” อี้ชิงหันมาพูดอย่างไม่พอใจ
“กระหม่อมไม่ได้ตามเสด็จพระชายา แต่กระหม่อมตามเสด็จเจ้าชายอู๋อี้ฟาน ... กระหม่อมรับคำสั่งจากเจ้าชายเพียงพระองค์เดียว”
ฟู่ว์!!!!! ...
เสียงอี้ชิงพ่นไฟใส่ตัวคิมจงอินดังขึ้นในความคิด ...
อดนึกไปถึงคยองซูที่รออยู่ในห้องนั่นไม่ได้ว่าหลงชอบคนนิ่งเงียบเป็นตอไม้ไร้ชีวิตชีวาแบบนี้ไปได้อย่างไร ... ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“เจ้ากลับไปเถิดจงอิน ... ข้าอยากไปกับพระชายา ข้าอยากมีอารมณ์ส่วนตัวกับพระชายาบ้าง ... เจ้าเองก็ยากนักไม่ใช่หรือ ที่จะหาเวลาส่วนตัวแบบนี้กับคยองซูได้”
“เจ้าชาย...”
“ไปเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าต้องอยากคุยกับคยองซูแน่ๆ” จงอินยังมีท่าทีลังเล จนอี้ชิงอดจะพูดเสริมไม่ได้
“เจ้าเลิกทำขรึมนิ่งเป็นตอไม้ที่โดนตัดแบบนี้เสียทีเถิด ... หากเจ้าไม่เลิกข้าจะยุให้คยองซูมีใหม่ ทหารในวังหนะ ข้ารู้นะว่าหลายคนก็หมายปองคยองซู”
“พระชายา...” จงอินเอ่ยเสียงอ่อย
“ไปเร็วเข้า ยามที่ข้าให้โอกาสเจ้า สนับสนุนเจ้าออกนอกหน้าเช่นนี้เจ้าก็ต้องรีบตักตวงโอกาสนั่นเอาไว้ เพราะถ้าเมื่อใดที่ข้าเลิกสนับสนุนเจ้า แล้วสนับสนุนคยองซูให้คนอื่น เจ้าก็รู้ว่าข้าจัดการทุกอย่างได้ไม่ยากแน่ๆ”
“...”
“เร็วเข้า ... ถ้าข้ากลับมาเจ้ายังทำให้คยองซูยิ้มไม่ได้ ข้าจะสนับสนุนคยองซูให้คนอื่นจริงๆด้วย"
“พระชายา...”
“เจ้าก็รู้นะว่าข้าพูดจริงทำจริงได้แค่ไหน ... ดูจากแผลที่แขนของเจ้านายของเจ้าเอาแล้วกัน เวลาข้าเอาจริงเรื่องใดข้าไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆหรอกนะ” อี้ชิงชี้ให้ดู จองอินกลืนน้ำลายฝืดใหญ่ลงคอ ไม่ใช่ว่าเขากลัวคำขู่ของพระชายา แต่หากกลัวความโมโหร้ายของพระชายาแทนเจ้าชายต่างหาก...
แบบนี้หละมั้ง ถึงจะเรียกว่า สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย...
“หึๆ พระชายาข้านี่หลักแหลมนัก รู้จักหาเรื่องมาขู่องครักษ์ของข้าได้” หลังจากที่จงอินเดินกลับไปอู๋อี้ฟานก็หันกลับมาหาอี้ชิงทันที
“แน่สิเพคะ คนอย่างคิมจงอินหนะ จะให้พูดความรู้สึก ... คงยาก!”
“แต่ข้าไม่ยากนะ ... อยากพูดอะไรก็พูด รู้สึกอย่างไรก็พูด เหมือนตอนนี้...”
“คำพูดของคนเจ้าชู้ ... หม่อมฉันไม่อยากฟังหรอกเพคะ!”
!!!
เมื่อเห็นคิมจงอินเดินกลับมาในห้อง คยองซูที่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นก็รีบหันหน้าหนีปาดน้ำตาออกลวกๆ จงอินยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเดิม ยืนนิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าคยองซูกำลังร้องไห้อยู่อย่างนั้น
“ทะ ท่าน ท่านไม่ตามเจ้าชายไปหรือ” จงอินตอบกลับเพียงแค่ส่ายหน้า คยองซูเห็นท่าทีตอบกลับอย่างนั้นก็หันหน้าหนีไปเช็ดน้ำตา
พระชายากำลังทำร้ายเขาโดยแท้ ... ทำไมถึงคิดปล่อยเขาไว้กับคนใจร้ายแบบนี้!
“อะ ... ข้าคืนให้” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมๆกับด้ามดาบที่ส่งมาตรงหน้า คยองซูหันไปมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมรับมาก่อนจะยื่นดาบที่มันเป็นของจงอินคืน
“ข้าเองก็ไม่อยากเก็บของท่าน ... ไว้นาน” กว่าจะกลั่นกรองคำพูดไม่ให้สั่นได้คยองซูก็ทำใจอยู่นาน จงอินที่ได้ยินคำพูดตัดพ้อแบบนั้นก็อยากจะคว้าตัวคยองซูมากอดปลอบเสียให้ได้
เข้าใจความหมายและการกระทำของเขาผิดไปงั้นหรือ?
“ข้าไม่ได้...”
“ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลยท่านจงอิน ... แค่นี้ แค่นี้ข้าก็กลั้นน้ำตาที่จะไม่ให้มันไหลไม่ได้อยู่แล้ว” คยองซูพูดพร้อมกับเบือนหน้าหนี ... เจ็บปวดใจสุดขีด ทำไมคนที่เขารักถึงได้ทำตัวห่างเหิน เย็นชา รังเกียจกับเขาได้มากขนาดนี้
“ข้าทำ ฮึก ข้าทำอะไรผิด ... ทะ ท่าน ท่านโกรธอะไรข้า” ฟังได้แทบจะไม่เป็นคำเพราะเสียงสะอื้น คยองซูหันมองดวงหน้าจงอินอย่างเจ็บปวด
ความรักของเขามันเหมือนรักข้างเดียวมาเสมอ ต่อให้เหมือนบางครั้งที่จงอินก็ดูจะเหมือนรักเขาบ้าง แต่มันก็แค่เขาคิดไปเอง ... จงอินก็แค่ห่วงในฐานะคนเป็นองครักษ์เหมือนกัน หวงในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน
ไม่เคยมากกว่านั้นเลย ...
“คยองซูข้า ... เอ่อ ... อย่าร้องไห้” จงอินพยายามเดินเข้าไปใกล้แต่คยองซูถอยหนี
“ท่านอย่าเข้ามาใกล้ข้าเลยท่านจงอิน ... ข้าจะร้องไห้อย่างไรก็เรื่องของข้า” ปาดน้ำตาแล้วสะบัดหน้าหนี จงอินเอื้อมมือไปคว้าตัวมาไว้ใกล้ๆ พยายามบังคับให้คยองซูหันมามองตรงๆ
“อย่าอ่อนโยนกับข้าถึงขนาดนี้ได้หรือไม่” พูดขณะที่จงอินกำลังปาดน้ำตาบนใบหน้าออกให้ แม้อยากจะผลักไส แม้อยากจะขัดขืน ... แต่คยองซูก็โหยหาความอ่อนโยนแบบนี้จากคิมจงอินมากเหลือเกิน
“ข้าเองไม่ใช่คนพูดมาก” คำพูดของจงอินสวนกันคนละทาง คยองซูเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ ยิ่งเห็นแววตาอ่อนโยนใกล้ๆน้ำตาก็พาลจะไหลลงมาเรื่อยๆ
“ข้า ... ขอโทษนะคยองซู”
“ทะ ท่าน ฮือ...” คยองซูโผเข้ากอดจงอินอย่างเต็มรัก แม้จะไม่รู้ว่าคำขอโทษที่มาจากปากจงอินเมื่อสักครู่หมายความว่าอะไร แต่ไม่บ่อยนักที่คิมจงอินจะเอื้อนเอ่ยคำอะไรแบบนี้
“ข้าไม่เคยโกรธท่าน...”
“แต่เจ้าน้อยใจข้า”
“ท่านรู้?” ตากลมเบิกโตเท่าไข่ห่าน อดแปลกใจไม่ได้ว่าคิมจงอินรู้ได้อย่างไร แต่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าคมนั่น ความสงสัยก็หายไปเปลี่ยนเป็นความดีใจเข้ามาแทน ... ไม่บ่อยนักที่จงอินจะยิ้มออกมาแบบนี้
รอยยิ้มที่เขาคิดว่า...
เขาอยากจะเห็นแค่คนเดียว ... ให้มากที่สุด
“ข้าบอกเจ้าแล้ว ... เจ้าคือคนที่ข้าคิดถึงตลอดเวลา”
“...”
“เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายอีกหรือ?” นับว่าเป็นประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยรู้จักกันมา สายตาอ่อนโยนนั่นก็ด้วย นับว่ามากที่สุดแล้วเท่าที่เคยได้
“ขะ ข้า ... ข้าไม่เข้าใจ”
“ข้ารู้เจ้าเข้าใจ”
“ท่านไม่มีทางรู้ดีมากไปกว่าข้า ... ทำไมหรือท่านจงอิน คำพูดคำนั้น มันยากนักหรือ คำพูดที่ทำให้ข้ามั่นใจ คำพูดที่ทำให้ข้าไม่รู้สึกว่าคิดอะไรไปเองคนเดียว ... คำพูดที่จะทำให้ข้าเชื่อใจท่านได้เสมอ”
“....”
“ท่านพูดตรงๆไม่ได้หรือ?”
“....”
“ท่านจงอิน...”
“....”
“ท่านรักข้าบ้างหรือไม่ ... รักเหมือนกับที่ข้ารักท่านมาตั้งแต่เด็กๆบ้างหรือไม่”
คำถามที่ถามออกมาหากใครมาเห็นก็คงจะบอกว่าคยองซูนั้นน่าสงสารอยู่พอควร ร่างบางเกาะแขนจงอินถามอย่างอ้อนวอน แววตาวาววามด้วยน้ำตามองมาอย่างมีความหวัง
ถึงในใจจะรู้คำตอบแล้วว่า ‘รัก’
แต่ก็ยังอยากได้คำยืนยัน ...
“ขะ ข้า...” จงอินอึกอัก แม้ในใจจะตอบออกไปแล้วว่า ‘คยองซูข้ารักเจ้ามากเหลือเกิน’ หากแต่ก็แปลกใจในตัวเอง ทำไมปากมันถึงแข็งไม่ยอมพูดคำนั้นออกไปเสียที
บรรยากาศอึดอัดระหว่างคนสองคนเงียบไปอยู่นาน หนึ่งคนพยายามจะพูดแต่ไม่กล้า หนึ่งคนพยายามจะรอฟังแต่ไม่ได้ยิน...
สุดท้ายก็ต้องปล่อยมือออกจากันอย่างผิดหวัง
“ขะ ข้าพอเข้าใจท่านแล้ว” คยองซูปิดเสียงสะอื้นไว้ไม่มิด ความผิดหวังโจมตีเข้าในหัวใจอย่างรุนแรง สองครั้งแล้วที่เขาพยายามรวบรวมความกล้าถามขอความรู้สึกจากคิมจงอิน แต่มันก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนกลับมาสักครา
สงสัยต้องยอมแพ้...
“ข้าคงต้องเลิก ... ฮึก ... หลอกตัวเอง”
“คยองซู”
“ข้าจะเลิกหลอกตัวเอง ... ว่าท่านก็รักข้า เหมือนกับที่ข้ารักท่านเหมือนกัน”
“คยองซู!!!” จงอินเอ่ยเรียกคยองซูที่วิ่งออกไปอย่างตกใจ แม้เอื้อมมือจะคว้าเอาไว้ก็ไม่ทัน อยากจะก้าวขาตามก็ไม่ได้ ... เหมือนความเย็นตั้งใจโรยตัวลงมาเป็นเพื่อน ตอนนี้คิมจงอินชาไปทั้งร่าง ทั้งความรู้สึกทางกาย ทั้งความรู้สึกทางใจ
“คยองซู ... ข้ารักเจ้ามากนะ” ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนใจ เขาไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมตอนอยู่ต่อหน้าคยองซูเขาถึงไม่กล้าพูด พยายามมากแล้วที่จะง้างปากตัวเองให้พูด แต่มันก็ยาก เหมือนลิ้นมันแข็ง มันชาไปหมด
“คยองซู ... ข้ารักเจ้า”
หึ! ไร้ประโยชน์เสียจริง ... พูดตอนนี้แล้วคยองซูจะได้ยินอย่างนั้นหรือคิมจงอิน ... ไม่มีทาง!!!!
ภาพของร่างสูง ‘คิมจงอิน’ ที่นั่งทรุดตัวลงกอดเข่าอย่างทรมานใจ อยู่ในสายตาของผู้ที่เฝ้าดูอยู่ตลอดมา รอยยิ้มแห่งชัยชนะยกขึ้นแทบจะเต็มใบหน้า ไฟแค้นในใจที่ปะทุอย่างดุเดือดค่อยๆดับลงไปทีละน้อยแต่ก็ยังมอดไหม้ ร้อนน้อยๆพอเป็นเชื้อไฟให้ไฟแค้นต่อไปปะทุขึ้นมาง่ายๆอีกครั้ง
“โทษของคนที่ทำให้ข้าเจ็บเจียนตาย ... มันเป็นแบบนี้แหละ คิมจงอิน!”
“เซฮุน!”
“ชานยอล!” เซฮุนหันมาหาเพื่อนที่โผล่มาทางข้างหลังไม่ให้สุ้มให้เสียงอย่างตกใจ
“ยมทูตแข็งแกร่งเช่นเจ้า ขวัญอ่อนเป็นด้วยหรือ?” น้ำเสียงยียวนของชานยอล หากไม่ติดว่าเซฮุนกำลังพอใจกับผลงานที่เพิ่งสร้างตรงหน้า ชานยอลคงจะโดนต่อยที่หน้าไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง
“หากลู่หานตามมาทัน ... คราวนี้เจ้าได้เจ็บตัวหนักกว่าเดิมแน่ๆ” ชานยอลเอ่ยเหมือนจะต่อว่าแต่ก็มีแว่วเสียงเป็นห่วงอยู่ในที
“ไม่มีทาง”
“คราวที่แล้วเจ้าก็พูดเช่นนี้กับข้า แล้วเป็นอย่างไรหละ ... ต้องนอนนิ่งๆอยู่เป็นเดือนกว่าลู่หานจะยอมรามือ ... นี่เจ้าก็ยังไม่หายดี เจ้านี่มันดื้อเกินเพื่อนอย่างข้าจะควบคุมเจ้าได้จริงๆ”
“ก็ข้ามีงานที่ข้าต้องมาทำ...”
“ยมทูตเช่นเรามีงานอย่างอื่นที่ต้องทำมากมายขนาดนั้นเชียว? ... เท่าที่ข้าจำได้เรามีหน้าที่แค่เก็บวิญญาณในรายชื่อของตัวเอง หรือเจ้ารับงานอย่างอื่นเอาไว้เพิ่มหรือ?” ถามไปทั้งๆที่รู้ ชานยอลแค่อยากจะต่อว่าเพื่อนทางอ้อมแค่เท่านั้น
“เจ้าก็รู้ ข้าต้องมาสะสางความแค้นของข้า”
“ความแค้นที่ทุกคนลืมเลือนไปกันหมดแล้วหนะหรือ ... ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไร”
“มีสิ!” เสียงเกรี้ยวกราดแทบจะในทันที ไฟแค้นที่เพิ่งจางเมื่อครู่ ถูกจุดขึ้นให้ปะทุอีกครั้ง
“ดูมันสิชานยอล ... ข้าว่าสะใจดีออก ความเจ็บปวดของมัน ยังไม่เท่าความเจ็บปวดของข้าในตอนนั้นเลย!”
“เขาน่าสงสาร...”
“ชีวิตมันอยู่ในกำมือข้า!!”
“เจ้าทำแบบนี้มันไม่ถูก หากลู่หานรู้เข้า เจ้าแย่แน่ๆ”
“ข้ารู้ ... ลู่หานก็ปกป้องมันมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็เพราะลู่หานต้องปกป้องมัน หากข้าทำให้มันเจ็บได้มากเท่าไหร่ ข้าก็จะได้ชำระแค้นมากคืนเป็นสองเท่าเท่านั้น!”
“แต่โดคยองซูนั่น ไม่เกี่ยว...”
“ก็ช่วยไม่ได้ อยากเข้ามายุ่งกับวงจรความแค้นของข้าเอง”
“เซฮุน!” ชานยอลอุทานเสียงดังตกใจ ความแค้นที่กัดกินหัวใจของเพื่อนเขามากว่า 100 ปี มันมากเสียขนาดจนทำให้เพื่อนเขากลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ!
“ทั้งลู่หาน ทั้งคิมจงอิน ... ต่อให้ข้าต้องฝืนชะตาเพื่อฆ่าพวกมัน ทรมานพวกมัน ... ข้าก็ยอม”
“....”
“ที่พวกมันเจ็บ ... ยังไม่เท่าที่ข้าเจ็บเลยด้วยซ้ำ!!” แววตาสั่นระริกอย่างเจ็บปวดของเซฮุนทำเอาชานยอลรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ ... เขารู้ดี ว่าความเจ็บปวดที่เซฮุนได้รับในครั้งนั้นมันเป็นอย่างไร
มันแทบจะทำให้โอเซฮุนในตอนนั้นอยากกลั้นใจตาย ... แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้โอเซฮุนในตอนนั้นมีชีวิตอยู่ต่อมาได้จนถึงทุกวันนี้
อยู่เพื่อความแค้น...
อยู่เพื่อรอวันชำระ...
อยู่เพื่อรอ ... รอว่าสักวันว่าความแค้นในใจนั้นมันจะถูกเติมเต็ม!!!
“โอเซฮุน!!!! คราวที่แล้วที่แทบตายเจ้ายังไม่สะใจพอใช่หรือไม่ ... คราวนี้เจ้าจะมายุ่งกับคิมจงอินของข้าทำไมอีก”
“ลู่หาน...” เสียงที่คุ้นเคยของคนที่เพิ่งจะโผล่มาทำให้เซฮุนรู้สึกใจเต้นอย่างลิงโลด ... มาแล้วสินะ มาปกป้องคนของเจ้าแล้วสินะ
“แค้นข้าก็ลงที่ข้า ... อย่าลงที่คิมจงอินของข้า คนที่ข้าต้องปกป้อง!”
“หึ!”
“ยุ่งแค่กับอี้ชิงคนเดียวเจ้ายังไม่พอหรือ ... ทำไมต้องมายุ่งกับคิมจงอินเพิ่มด้วย!!”
“...”
“เจ้าอยากให้ข้าบ้าตายใช่หรือไม่!!” เสียงหวานว่าดังพลางปล่อยพลังความโกรธจากตัวหวังให้มันกระทบกายเซฮุน ... แต่เปล่าเลยเซฮุนแทบจะไม่สะเทือน
“เจ้าอ่อนแรงมากนะลู่หาน ... คราวนี้จะสู้ข้าได้หรือ?” เซฮุนได้ทีก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ชานยอลที่เริ่มจะเข้าใจอะไรๆยอมถอยออกห่างไม่เข้าใกล้ทั้งสองคน
“เจ้ามันเล่นไม่ซื่อ! ... เจ้าหลอกให้ข้าใช้พลังนั่นกับเจ้าจนหมด เจ้ามันทุเรศ!” ลู่หานแผดเสียงใส่อย่างทำอะไรไม่ได้ เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อกี้ว่าโดนหลอกเข้าให้ก็สายไปแล้ว
เคยโดนชานยอลหลอกลักษณะเช่นนี้มาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอะใจ ... ดันโง่ให้โอเซฮุนได้หลอกแบบนี้อีกครั้งจนได้
เจ็บใจนัก!
“ที่เจ้าแกล้งทำเป็นเจ็บหนักเพราะพลังของข้ามาตลอด เจ้าหลอกข้างั้นหรือ!” ลู่หานถามหน้าตรง จากที่เคยเป็นคนเดินหน้าเข้าหา ตอนนี้ลู่หานกลายเป็นคนที่ต้องเดินถอยหลังหนีไปเสียแล้ว
ยามที่ต้องโดนอีกฝ่ายข่ม ...
... มันน่ากลัวอย่างนี้นี่เอง
“กลัวหรือ?” น้ำเสียงคุกคามพร้อมทั้งมือที่โอบรอบเอว ทำให้ลู่หานดิ้นอย่างตกใจ ความเยือกเย็นที่ค่อยๆคลืบคลานเข้ามาในร่างกายทำเอาลู่หานต้องนิ่งแข็งทื่อเป็นท่อนไม้อยู่ในมือของเซฮุน
“ไหน ... ข้าอยากรู้นักว่ายมทูตคนไหนกันหนอ ที่จะได้วิญญาณของเจ้าไปเชยชม”
“....”
“ข้าจะแย่งมันมา!!!!”
ร่างสูงจับใบหน้าของร่างบางให้หันมามองหน้ากันตรงๆ ดวงตาเข้มดำสนิทมองลึกเข้าไปในตากลมโตที่ถูกสะกดให้แข็งค้างนั่น ริมฝีปากเริ่มพูดขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรบางอย่าง ฉับพลันดวงตากลมก็จะกลับกลายเป็นสีแดงฉาน เลือดในกายพุ่งพล่าน ก่อนควันสีดำจางจะค่อยๆลอยออกมาจากกายบางช้าก่อนลอยหายไป ...
มือหนาแตะตรงบริเวณหัวใจของลู่หานอีกครั้ง กายบางเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ ดิ้นหนีหาทางรอดสุดชีวิต แต่ก็ไม่พ้น ...
“อื้อ!” ร่างบางกระตุกกายอย่างตกใจเมื่อริมผีปากหนาประทับลงมา ราวกับกำลังดูดพลังชีวิตก็ไม่ปาน ความรู้สึกประหลาดเริ่มตีกันให้วุ่นวายในกาย เหมือนร่างกายบางส่วนของลู่หานกำลังจะแบ่งเป็นส่วนหนึ่งให้กับเซฮุน!!
ฟุบ!
ร่างบางกระตุกอีกครั้งก่อนจะตัวอ่อนสลบลงในอ้อมแขนแข็งแรงของเซฮุน ร่างสูงมองผลงานล่าสุดตรงหน้าของตัวเองอย่างพอใจ
แค่นี้ ... ชีวิตของลู่หานก็อยู่ในกำมือของเขาอีกคนแล้ว
“ตอนนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปลู่หาน ... ข้าจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่เจ้าจะวิ่งเข้ามาสู่อ้อมกอดของข้าด้วยตัวของเจ้าเอง ...”
“....”
“...วิญญาณทาสของข้า!”
!!!
TBC*
ครั้งนี้ไม่มีอะไรจะคุย แหะๆ ... เม้นให้กันบ้างเน้อ ^^
ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนนะคะ ^^
คู่คริสเลย์นี่ปล่อยเค้าหวานแหววตามประสาคนกลังจะข้าวใหม่ปลามัน(?)
ส่วนฮุนฮานก็หวาน(?)ตรงไหน ให้มันงงกันแบบนี้ไปก่อน แต่เราว่าน่าจะเดาได้แล้วหละเนอะ ^^
ตอนหน้าจะแต่งงานแล้ว ^^
ความคิดเห็น