ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Exo] ราชินีบัลลังก์ทอง (KrisLay,HunHan)

    ลำดับตอนที่ #5 : ELISABETH 03 : เปิดใจยอมรับ (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 56

















    ข้าคือคนรักของเจ้า คนที่เจ้าสัญญาว่าจะรักจะไม่ลืมกัน ... ข้าคือคนที่เจ้าต้องแต่งงานอยู่กินด้วยกัน ไม่ใช่กับไอ้มนุษย์หน้าโง่นั่นที่ชื่อ อู๋อี้ฟาน!!”


              “ไม่...”


              เห็นได้ชัดว่าจางอี้ชิงไม่มีกำลังจะตอบโต้ พลังของวิญญาณที่โดนพรากความตายมาก่อนเวลาอันควรมักจะมีพลังวิญญาณน้อยอย่างนี้อยู่เสมอ แต่เซฮุนก็ยังพยายามไล่ต้อน ใบหน้าที่เข้าไปใกล้ชิดมากขึ้น ริมฝีปากที่กำลังจะประกบติดกัน


              ปึก!
     

    ผลั่ก!


              ยังไม่ทันที่เซฮุนจะได้จุมพิตที่ปากนุ่มๆนั่น แรงมหาศาลที่มาจากด้านหลังกระชากตัวของเขาให้ลอยหวือออกไปกระทบกับกำแพงห้องเสียจนเสียงดัง


              “อย่าเล่นขี้โกงกันแบบนี้สิ โอเซฮุน!


              “ลู่หาน!


              “อย่างที่ท่านพ่อบอกข้าไม่มีผิด เจ้ามันพวกเจ้าเล่ห์ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ... เจ้าน่าจะเกิดเป็นพวกซาตานมากกว่าที่จะมาเป็นยมทูตผู้กุมชีวิตหลังความตายของคนเช่นนี้!


              “เรื่องของข้า!” เซฮุนค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แรงเมื่อสักครู่ที่ลู่หานเหวี่ยงมามันน้อยเสียเมื่อไหร่ มันมากพอที่จะทำให้เขาเจ็บตัวได้มากเลยทีเดียว


              ธรรมะย่อมชนะอธรรมฉันใดพลังด้านสว่างอย่างลู่หานก็มักจะชนะพลังด้านมืดอย่างเซฮุนฉันนั้น


              “เจ้าอย่ามายุ่งกับจางอี้ชิงอีก ไม่เช่นนั้นคราวหน้าข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!” ลู่หานว่าเสียงดัง เซฮุนค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาใกล้จนได้มายืนประจันหน้า


              “อี้ชิงเป็นคนรักของข้า!


              “อี้ชิงไม่ใช่คนรักของเจ้า! อี้ชิงไม่มีวันเป็นคนรักของเจ้า ชะตาของเจ้ากับอี้ชิงไม่ได้กำหนดมาให้เพื่อรักกัน แต่ทุกอย่างที่เป็นอย่างนั้นเพราะเจ้าฝืนชะตานั่นเองทั้งหมด!


              “ไม่! เพราะเจ้าต่างหากที่เป็นคนขัดขวาง”


              “ไม่! ข้าไม่ได้ขัดขวาง ข้าทำเพื่อต้องปกป้องจางอี้ชิงต่างหาก ... ข้าเป็นเทวดาประจำกายของอี้ชิง ข้าต้องปกป้องอี้ชิงจากสิ่งชั่วร้ายเช่นเจ้า มันถูกต้องแล้ว!


              “เจ้าขัดขวางความรักของข้า คนอย่างเจ้าสมควรตายด้วยน้ำมือของข้า มาเป็นวิญญาณทาสของข้าให้ข้าโขกสับมันถึงจะสาสมใจ!!


              ปึก!


                ผลั่ก!


              แรงกระแทกที่กำแพงเกิดขึ้นอีกครั้งกับเซฮุนอีก คราวนี้แรงกระแทกมันรุนแรงมากกว่าครั้งที่แล้วอยู่หลายเท่าตัว เซฮุนกระอักเลือดออกมาเป็นก้อน ไหล่ซ้ายที่กระแทกเข้ากำแพงเมื่อสักครู่ไม่รู้ว่ามันจะหักแตกละเอียดไปหรือเปล่า


              “อย่าคิดจะใช้จุมพิตดูดวิญญาณวิธีชั่วๆนั่นกับข้า!” ลู่หานเอ่ยว่าพลางบีบคางของเซฮุนให้เงยหน้าขึ้นมามองตัวเองแน่น


              “ถุย!” เซฮุนถ่มเลือดใส่หน้าของลู่หาน ร่างบางเช็ดมันออกก่อนจะเพิ่มแรงบีบให้มากขึ้น เซฮุนใบหน้าบิดเบี้ยวนึกแค้นอยู่ในใจ


              อย่าให้ถึงทีของเขาบางแล้วกัน เขาจะขอเป็นคนฆ่าลู่หานด้วยมือของเขาเอง ... เซฮุนสาบาน!!!


              “ครั้งนี้ข้าแค่มาเตือนเจ้า ... อย่าทำอะไรอี้ชิงให้ถึงแก่ชีวิตเหมือนเช่นคราวนี้อีก ข้าไม่ยอมให้เรื่องราวเหล่านี้มันเกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สองอีกแน่ สองปีที่ผ่านมานั้นข้ายอมให้เจ้ามามากพอแล้ว ถึงคราวที่ข้ากับเจ้าต้องเป็นศัตรูกันจริงๆแล้ว!” ลู่หานปล่อยมือจากคางของเซฮุนอย่างแรงก่อนเดินหันหลังไปอย่างไม่สนใจ ครั้งนี้แค่จะมาเตือนแล้วก็กลับไป
     

    เซฮุนพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง


              “ระวังตัวเจ้าเอาไว้บ้างแล้วกันลู่หาน ครั้งที่แล้วเจ้าก็บอกชานยอลเพื่อนของข้าไว้แบบนี้เช่นกัน ... แล้วไหนหละ เจ้าปกป้องพยอนเบคฮยอนของเจ้าจากเพื่อนของข้าได้หรือไม่? หึ! เทวดาหน้าอ่อนอย่างเจ้า คิดจะชนะยมทูตที่มีแต่ความแค้นและเชี่ยวชาญในการฆ่าคนเช่นพวกข้า ... เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรมากอีกมากมายนะ ลู่หาน .. อั่ก!” โดนซัดเข้าให้อีกหนึ่งทีเต็มๆ คราวนี้เซฮุนแทบไม่มีแรงให้ขยับร่างกายไปไหนได้อีกเลย

              “ข้าไม่มีวันให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยได้อีกแน่ ข้าเรียนรู้กลโกงเลวๆจากชานยอลเพื่อนของเจ้ามามากแล้ว ข้าไม่มีทางเสียจางอี้ชิงไปให้เจ้าอีกแน่ ... ไม่มีวัน
    !!” นิ้วบางจิกเข้ากับเนื้อของเซฮุนอย่างแรงทำให้เซฮุนสะดุ้งเฮือกก่อนจะร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสงสาร หากแต่ลู่หานก็ยืนนิ่งมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเซฮุนสลบไป

     

    “หึ! พลังด้านมืดเช่นพวกเจ้า ไม่มีทางเอาชนะพลังด้านสว่างอย่างข้าไปได้ ... ไม่มีทาง!!!


     

              
     

              หลายสัปดาห์แล้วที่อี้ชิงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังอย่างปกติสุข ตั้งแต่วันนั้นเธอไม่เคยได้เห็นเซฮุนอีกเลย อยากจะเข้าข้างตัวเองไปว่าสิ่งที่ได้เจอมามันเป็นเพียงแค่ความฝัน


              มันคงยังไม่ถึงคราวตายของเจ้า เจ้าเลยมองไม่เห็นข้า!’


              คำพูดนี้ดังวนเวียนเหมือนตอบคำถามที่คาในใจ อี้ชิงสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ความคิดถึงฝันร้ายในวันนั้นออกก่อนจะค่อยๆหลับตา เวลาคิดมากๆแบบนี้สู้นอนหลับไปเลยน่าจะดีเสียกว่า


              กุกกัก กุกกัก~


              เสียงดังมาจากทางหน้าต่างห้องทำให้อี้ชิงที่กำลังหลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา ความฝันในวันนั้นเข้าหลอกหลอนในจิตใจอีกครั้ง ร่างบางรวบรวมความกล้าก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปดู


              “ใคร...” เสียงสั่นถามออกไป กลัวเหลือเกินว่าคนคนนั้นจะตอบกลับมาว่าข้าคือเซฮุน ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย ให้เป็นโจรเสียยังจะน่ากลัวน้อยกว่า


              “ข้าถามว่าใคร!” เห็นแล้ว! เงาตะคุ่มสีดำที่ยืนอยู่ตรงข้างหน้าต่างนั่น อี้ชิงรีบวิ่งกลับไปเอาตะเกียงไฟที่อยู่หัวนอนกลับมาส่องดู รูปร่างลักษณะสูงใหญ่เช่นนี้ดูคุ้นสายตาอยู่ไม่น้อย


              “หึ!” เสียงของคนนั้นตอบมาแค่นี้ แต่นั้นก็พอที่จะทำให้อี้ชิงหยุดชะงักเท้าที่จะก้าวได้ไม่ยาก เสียงทุ้มต่ำแบบนี้จะเป็นใครไม่ได้ นอกเสียจาก...


              “เจ้าชายอู๋อี้ฟาน!!!!


              “ว๊า ... ข้าโดนจับได้แล้วหรอ เร็วจังเลย” อู๋ฟานค่อยๆเดินออกมาจากมุมมืดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางเหมือนคนหมดสนุกนั่นทำให้อี้ชิงยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ... ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะเล่นอะไรน่ากลัวแบบนี้ได้อีกหรือ!


              “โอ๊ยๆๆ ... ตีเบาๆสิข้าเจ็บนะอี้ชิง!” ร่างบางวิ่งระดมเข้าทุบที่อกกว้างอย่างรัวมือไม่สนใจทั้งสิ้นว่าคนตรงหน้าจะเป็นถึงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์หรือเป็นใคร มาทำให้เธอตกใจกลัวจนแทบจะบ้าแบบนี้มันต้องเอาคืน!


              “ฮึก อย่างพระองค์ทุบให้ตายก็ไม่เจ็บหรอกเพคะ!” น้ำตาแห่งความกลัวที่เก็บกักเอาไว้ค่อยๆไหลออกมา อู๋ฟานยืนนิ่งให้อี้ชิงทุบตัวอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อยๆรวบตัวเข้ามากอดไว้ ร่างบางดิ้นอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเปลี่ยนจากมือที่ทุบเป็นกอดร่างหนาเอาไว้แน่น


              “ฮึก ฮือ ... พระองค์รู้หรือไม่ หม่อมฉันกลัวมากแค่ไหน หม่อมฉันกลัวว่าคนคนนั้นจะเป็นคนในฝันที่มาพรากชีวิตหม่อมฉันไปอีก ... ฮึก ทำไมต้องเล่นอะไรอย่างนี้ด้วยเพคะ แกล้งอะไรก็แกล้งได้ แต่อย่าแกล้งหม่อมฉันอย่างนี้อีกนะเพคะ” ร่างบางซุกหน้าเข้ากับอกกว้างอย่างอย่างหาที่พึ่ง ความกลัวเมื่อสักครู่สลายหายไปกว่าครึ่งเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆนี้


              ไม่อยากจะปล่อยเลย...


              “ขอโทษ ... ข้าขอโทษนะอี้ชิง ข้าคิดว่าจะแกล้งเจ้าเล่นเฉยๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะกลัวขนาดนี้” ว่าพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น หวังว่าคำขอโทษจะส่งผ่านไปปลอบโยนร่างบางให้หายกลัวได้
     

    อี้ชิงยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของอู๋อี้ฟานสักพักก่อนจะเป็นฝ่ายผลักตัวเองออกมา ปาดน้ำตาแล้วเริ่มตั้งสติหันมาสนทนากับอู๋ฟานเหมือนเดิม


              “พระองค์มาหาหม่อมฉันกลางดึกเช่นนี้ ... มีเรื่องธุระอะไรสำคัญหรือไม่เพคะ” เสียงสะอื้นยังพอมีให้เห็น ร่างสูงอดยิ้มเอ็นดูกับอาการนั้นไม่ได้ จะว่าไปเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ดูเหมือนนับวันเขาจะยิ่งรู้สึกหลงพระชายาตัวน้อยคนนี้มากขึ้นไปทุกที อยากเห็นหน้าตั้งแต่ตื่นนอน เช้า กลางวัน เย็น อยากเอาไว้ข้างกายไม่ให้ห่างไกล


              “ไม่มี” โดยเฉพาะเวลาเห็นพระชายาร้องไห้สะอึกสะอื้นได้น่ารักแบบนี้ ก็อดจะแกล้งให้พระชายามีน้ำโหเล่นไม่ได้


              “ไม่มีแล้วมาทำไมเพคะ! ... แล้วมาอย่างกิริยาเช่นโจรแบบนี้ด้วย ผู้ใดในวังสอนพระองค์มาเพคะ” เศร้าได้แค่ครู่เดียวจางอี้ชิงก็กลับมาเป็นคนเดิม อู๋ฟานแทบอยากจะขำดังๆแต่ก็อดเอาไว้ เกรงว่าถ้าขำออกไปเขาคงจะถูกร่างบางนี่เรียกทหารให้ลากคอออกไปแน่ๆ


              “เจ้าชายเพคะ ยิ้มอะไรอยู่ได้ ... หม่อมฉันว่าพระองค์นะเพคะ ไม่ได้ชม!


              “ฮะๆ ข้ารู้ ... แต่ข้าชอบ” ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ อู๋ฟานนั่งลงบนเตียงนุ่มของอี้ชิงก่อนเอื้อมมือเกี่ยวแขนให้ร่างบางลงมานั่งด้วยกันที่บนตัก


              “อย่าคิดจะดิ้นหนีนะ เจ้าสู้แรงข้าไม่ได้หรอก” คางแหลมล็อคไว้ที่ไหล่กันดิ้นด้วยอีกทาง และมันก็เป็นอย่างที่อู๋อี้ฟานว่าจริงๆอี้ชิงสู้แรงอู๋อี้ฟานไม่ได้เลย


              “จิ๊! ถ้ามีใครเข้ามาเห็นมันจะไม่ดีนะเพคะ” ถึงแม้จะไม่ดิ้นก็ใช่ว่าอี้ชิงจะไม่ขัดขืน


              “หึ! ใครมันจะกล้าเข้ามาในห้องพระชายาของข้า อีกอย่างประตูก็ปิดอยู่”


              “แต่หน้าต่างก็เปิดนะเพคะ ขนาดพระองค์ยังปีนเข้ามาได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นจะปีนเข้ามาไม่ได้!


              “ก็ลองปีนเข้ามาดูสิ ได้มีเรื่องกับข้าแน่!


              “ก่อนจะมีเรื่องกับพระองค์คงจะได้มีเรื่องกับหม่อมฉันไปก่อนหละเพคะ ... อย่าพูดลีลาให้เสียเรื่องเลย พระองค์มาหาหม่อมฉันยามดึกเช่นนี้ มีเรื่องอะไรเพคะ”


              “แล้วถ้าข้าบอกว่าไม่มี”


              “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญพระองค์กลับไปเลยเพคะ หม่อมฉันเปลืองตัวจะแย่ นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งนะเพคะ!” อี้ชิงว่าพลางจะสะบัดตัวออกแต่ก็ไม่พ้นถูกเกี่ยวเข้ามาไว้บนตักใหญ่อีกรอบ


              “เจ้าหมายความว่าแต่งแล้วข้าจะได้มากกว่านี้งั้นหรือ?” อู๋ฟานแกล้งเย้า อี้ชิงหันหน้ามามองก่อนจะหันกลับไป


              “แน่สิเพคะ ถ้าหม่อมฉันแต่งกับพระองค์แล้ว พระองค์ก็สามารถที่จะทำอะไรหม่อมฉันก็ได้ มากกว่ากอดมากกว่าจูบพระองค์ก็ทำได้!” พูดไปเหมือนจะอาย แต่ไม่เลย อี้ชิงกลับชินกับเรื่องอะไรแบบนี้เสียแล้ว


              นิยายประโลมโลกก็เคยอ่านมาเป็นตั้งๆ เห็นกับตาตอนเมื่อแอบเข้าไปในหอนางโลมนั่นก็เคย...


              “แล้วไอ้ที่มากกว่ากอดกว่าจูบนี่ มันคืออะไร ข้าไม่เข้าใจ” อู๋ฟานแกล้งซื่อลองใจหวังว่าจะได้เห็นร่องรอยความอายบนใบหน้าขาวนั่นบ้าง


              “อย่ามาทำเป็นไขสือเลยเพคะ ถ้าให้หม่อมฉันพูดออกมาเดี๋ยวพระองค์จะหัวใจวายตายไปเสียเปล่าๆ ... หม่อมฉันไม่ใช่เด็กน้อยนะเพคะ ที่จะไม่รู้ว่าสามีภรรยาถ้าหากเขาจะกระชับความสัมพันธ์กันต้องทำอย่างไร” ถ้าเกิดคำนี้เปลี่ยนเป็นคุณพระนมมาได้ยินเข้าก็คงจะหัวใจวายตายตามที่อี้ชิงบอกไปจริงๆ แต่นี่เพราะเป็นอู๋อี้ฟาน ร่างสูงเลยอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหอมแก้มร่างบางอย่างหมั่นเขี้ยวไปสักครั้งไม่ได้


              “ฮื่อ! ... เอาใหญ่แล้วนะเพคะ หม่อมฉันจะฟ้องพระราชาว่าพระองค์แอบย่องเข้ามา!"”อี้ชิงขู่


              “ดีเลย รีบไปฟ้องเลยสิ ... นอกจากเสด็จพ่อจะไม่ทรงกริ้วแล้ว ข้าคิดว่าพระองค์น่าจะทรงเลื่อนงานอภิเษกให้เร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ”


              “เจ้าชาย!!!


              “โอ๋ๆ ... อย่าเพิ่งโมโหข้าไปเลย เข้าเรื่องธุระของข้าเลยก็ได้” เมื่อเห็นว่าอี้ชิงเริ่มจะโมโหแล้วจริงๆแล้ว อู๋ฟานก็รีบตะล่อมเข้าเรื่องที่มาหาในวันนี้ทันที


              “อีกไม่นาน ทหารวังก็จะเปลี่ยนเวรเฝ้าประตูแล้ว” เรื่องที่ถูกเปลี่ยนกะทันหันทำให้อี้ชิงรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง เจ้าชายจะมาหาเธอเพียงเพื่อบอกว่าทหารวังจะเปลี่ยนเวรเท่านั้นหรือ


              “หม่อมฉันไม่เข้าใจ”


              “ก็เจ้าเคยบอกข้าว่าเจ้าอยากท่องเที่ยว ข้าเองก็ชอบท่องเที่ยวเหมือนกัน” อู๋ฟานหยุดชะงักไปนิด อี้ชิงคิดตาม แต่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก


              “พระองค์จะบอกอะไรหม่อมฉันกันแน่เพคะ”


              “ข้าก็แค่อยากมาชวนเจ้าออกไปเที่ยวนอกวัง เดี๋ยวสองถึงสามวันนี้คนในวังจะวุ่นวายมากเพราะเตรียมตัวจัดงาน ข้าคิดว่า....”


              “พระองค์จะพาหม่อมฉันหนีเที่ยวหรือเพคะ!” ไม่รอให้อู๋ฟานพูดจบอี้ชิงหันมาจับมืออู๋อี้ฟานอย่างดีใจ


              “ใช่ เราจะหายไปกันสัก 2 วัน”


              “แล้วจะไม่เป็นที่สงสัยหรือเพคะ?”


              “ไม่หรอก คุณพระนมรู้เรื่องนี้ดี คุณพระนมจะช่วยเราปกปิดเรื่องเหล่านี้ได้”


              “แล้วพระราชา...”


              “เสด็จพ่อจะไม่รู้ ถ้าคุณพระนมไม่บอก ... เร็วเข้าอย่ามัวแต่กังวลอยู่เลย หากพลาดเวลาไป จะอดออกไปเที่ยวนะ” อู๋ฟานจูงมืออี้ชิงออกไป ร่างบางขืนตัวเองไว้ อู๋ฟานหันมองอย่างไม่เข้าใจ


              “ทำไม?”


              “แล้วจะให้หม่อมฉันไปทั้งชุดนอนอย่างนี้หรือเพคะ ขอหม่อมฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิเพคะ แล้วจะออกไปตั้งสองวันพระองค์จะไม่เตรียมอะไรไปหน่อยเลยหรือ?” อี้ชิงร่ายยาว ร่างสูงยืนรอร่างบางเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เพียงครู่


              “ข้าวของอย่างอื่น ข้าว่าเราไม่ต้องเตรียมไปหรอก ซื้อเอาในตลาดก็ได้” อู๋ฟานออกความเห็น


              “ก็ดีเพคะ ... ไปสิเพคะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา คิกๆ หม่อมฉันตื่นเต้นจะแย่ หนีออกจากวังครั้งแรก!” อี้ชิงว่าอย่างตื่นเต้น ก่อนที่ทั้งสองจะพากันปีนออกจากห้องไปทางหน้าต่างได้โดยไม่ให้ใครเห็น


     

     

     

    ตุบ!


              อี้ชิงกระโดดลงมาจากกำแพงวังมาอยู่ในอ้อมกอดของอู๋ฟานพอดี ทั้งสองจับมือพากันวิ่งหนีไปในที่ที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดก่อน ช่วงเวลาแบบนี้จะให้ทหารที่ตรวจตรานอกวังมองเห็นไม่ได้


              “แฮ่กๆ ... ต้องวิ่งหนีอีกไกลเท่าไหร่เพคะ” อี้ชิงดึงตัวอู๋ฟานให้วิ่งช้าลงก่อนทั้งสองจะหยุดพักเหนื่อย อี้ชิงหอบแฮ่กพร้อมทั้งบ่นว่าคงให้วิ่งไปต่อไม่ไหว


              “จริงๆก็ไม่ต้องวิ่งหละนะ ... ข้าแค่แกล้งให้เจ้าเหนื่อยเล่นเฉยๆ” อี้ชิงฟาดมือลงบนไหล่ของอู๋ฟานดังป๊าบ!


              “ถ้าพระองค์ยังคงแกล้งหม่อมฉันอยู่อย่างนี้ เราแยกกันตรงนี้ดีกว่าเพคะ แล้วอีกสองวันเราค่อยมาเจอกันตรงนี้เวลานี้อีกที!” อี้ชิงประชด


              “ก็ดี ... ถ้าเช่นนั้นก็โชคดีนะ”


              “เจ้าชาย!!” อี้ชิงร้องเสียงดัง อู๋ฟานกุมท้องหัวเราะตัวงอลงไปนอนกับพื้น การได้แกล้งพระชายาของตนช่างเป็นเรื่องที่น่าสนุกสนานมากเสียนี่กระไร


              “หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะเพคะ! มาช่วยกันคิดเลยว่าคืนนี้เราจะไปพักค้างคืนที่ใดดี ... พระองค์ออกมาเที่ยวบ่อยไม่ใช่หรือเพคะ คิดสิเพคะว่าจะพักที่ใด” เมื่อได้ยินน้ำเสียงห้วนๆกับใบหน้านิ่งๆของอี้ชิงแบบนี้ อู๋ฟานก็ยอมหยุดหัวเราะแล้วลุกขึ้นมาช่วยกันคิดหาที่พักอย่างจริงจัง


              “ปกติข้าก็ไปหาที่พักที่หอนางโลม...”


              “หอนางโลมหรือเพคะ!” อี้ชิงร้องเสียงดัง หันมามองหน้าอู๋ฟานก่อนจะค่อยๆขยับตัวห่างไม่ให้ใกล้กัน


              “โถ่ ... มันก็ต้องมีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่บ่อยหรอกนะ ข้าอายุ 25 แล้วนะจะให้อยู่นิ่งๆเฉยๆก็คงเป็นไปไม่ได้ ... แต่ต่อไปนี้ข้าคงไม่ต้องไปที่หอนางโลมแล้ว พอแต่งงานไปข้าก็จะมีแต่เจ้าแค่คนเดียว” ว่าพลางเข้าใกล้กอดเอวอ้อน อี้ชิงทำหน้ารำคานก่อนจะผลักหน้านั้นออกไกล


              “ทำเป็นพูดไปเถอะเพคะ ... หม่อมฉันจะคอยดู หากวันนั้นพระองค์ออกมาที่หอนางโลมอีก โดนดีแน่เพคะ!” อี้ชิงว่าพลางยกกำปั้นขู่


              “โอ๊ะโอ พระชายาข้าโหดจริงๆ ... นี่ยังไม่ได้แต่งงานกันเลยนะนี่” อู๋ฟานยิ้มแกล้งหากแต่ก็เป็นยิ้มที่แก้มจะปริเสียแล้ว
     

    พระชายาน่ารัก!


              “หม่อมฉันไม่ใช่คนที่ชอบใช้ของร่วมกันกับใคร ... หากพระองค์จะทำอย่างนั้นหม่อมฉันขอเตือนเลยนะเพคะ หม่อมฉันไม่ยอมแน่ๆ  ไม่พระองค์ก็หญิงสาวอีกคนต้องอยู่ไม่เป็นสุขแน่!


              “หืม เจ้าตัวเล็กแค่นี้จะทำอะไรได้!


              “ก็รอดูสิเพคะ อ๊ะ นอกเรื่องมาเสียนานพระองค์คิดได้หรือยังเพคะว่าจะพักที่ใด หม่อมฉันก็เริ่มง่วงแล้วนะเพคะ” อี้ชิงวกเข้าเรื่องอีกที ร่างสูงส่ายหน้า เขาไม่เคยออกไปพักที่ไหนสักทีนอกจากหอนางโลมนี่นา


              “อา ... หม่อมฉันก็ไม่เคยจะไปพักที่ไหนเสียด้วย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่เพคะ ไปที่บ้านหม่อมฉัน”


              “ไม่เอา!


              “ฟังให้จบก่อนสิเพคะ ... ที่บ้านหม่อมฉัน ที่ทุ่งดอกไม้หลังบ้าน ตรงนั้นเป็นห้องของหม่อมฉัน หม่อมฉันเอาไว้พักทุกทีที่มาปลูกดอกไม้ที่นั่น”


              “เดี๋ยวพ่อกับแม่เจ้าจะรู้”


              “ไม่รู้แน่เพคะ ... ตรงนั้นไม่มีใครกล้าไป มีก็แต่พวกคนสวนที่จะมาเฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น หม่อมฉันรับรองได้!


              “เอาอย่างนั้นหรือ?”


              “ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละเพคะ ไปเถอะอย่าชักช้าเสียเวลาเลยเพคะ หม่อมฉันง่วงนอน แล้วก็คิดถึงทุ่งดอกไม้จะแย่แล้ว~” อี้ชิงว่าอย่างดีใจก่อนจะเป็นฝ่ายจับมืออู๋ฟานให้วิ่งตามตัวเองไป รอยยิ้มหวานที่ฉาบลงบนใบหน้าของอี้ชิงตอนนี้ทำให้อู๋อี้ฟานรู้สึกว่ามันสดใสและเป็นธรรมชาติมาก .. ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากจะยิ้มตาม อยากจะวิ่งไปเก็บรอยยิ้มนั่นเอาไว้ให้เขาได้มองเห็นคนเดียว


              รู้สึกหวงแหนเหลือเกิน...
     

    หวนแหนมากจนอู๋อี้ฟานอดคิดไม่ได้ว่า หากเสด็จพ่อกับเสด็จแม่เลือกพระชายาคนนี้มาให้ตั้งแต่แรก ในตอนนั้นเขาอาจจะตอบตกลงยอมแต่งงานไปตั้งแต่อายุ 20 แล้วก็เป็นได้


              ^^


     



              เช้าวันต่อมา ...


              อู๋ฟานลืมตาขึ้นมาเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามากระทบสายตา มือหนาเอื้อมไปข้างกายควานหาร่างบางที่นอนอยู่ด้วยกันเมื่อคืนทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา แต่ก็ไม่พบ


              ร่างสูงทำท่าจะลุกขึ้นไปตามแต่ก็ต้องนั่งลงนิ่งยิ้มกว้างเมื่อบทสนทนาน่ารักของพระชายาเมื่อคืนหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ ถ้าเกิดเป็นน้องสาวของเขาพูดอย่างนี้บ้างเขาต้องจับมาตีเป็นแน่


              นอนด้วยกันที่เตียงนี่แหละเพคะ เดี๋ยวแต่งงานกันไปก็ต้องนอนเตียงเดียวกันอยู่ดี หม่อมฉันถือว่าเป็นการซ้อม


              คิดดูว่าน่าตีมากแค่ไหน คำพูดที่อู๋อี้ฟานยังไม่เคยคิดว่าจะได้ยินมาจากปากหญิงสาวโสดคนใด นอกจากจะเคยอ่านเจอผ่านๆในนิยายที่นางเอกกร้านโลกเพียงเท่านั้น


              แต่คำพูดประโยคถัดมากลับน่าตีเสียกว่า...


              แต่ถ้าพระองค์ไม่พอพระทัยก็นอนพื้นได้นะเพคะ หม่อมฉันไม่เสียสละที่จะนอนพื้นแทนพระองค์แน่ๆ ... ในเมื่อริจะเป็นสามีหม่อมฉัน ก็ต้องเชื่อฟังคำกันนะเพคะ ถือว่าเป็นการซ้อม


              ยิ่งคิดอู๋อี้ฟานก็ยิ่งยิ้มกว้าง สงสัยจะจับพระชายาคนนี้มาตียังไม่พอ สงสัยต้องมอบรางวัลเป็นจุมพิตที่ปากบางนั่นเพิ่มให้อีกกระมัง


              ^^


              “ตื่นสายแล้วยังมานั่งยิ้มอมขี้ฟันอะไรอีกเพคะ ... ไปอาบน้ำได้แล้วเพคะ หม่อมฉันเตรียมน้ำแล้วก็เสื้อผ้าให้กับพระองค์ไว้หมดแล้ว” อี้ชิงที่เดินเข้ามาเอ่ยขึ้น อู๋ฟานหันไปมองอี้ชิงที่แต่งตัวแบบใหม่แล้วนึกชม ใส่กางเกงแล้วดูทะมัดทะแมงเข้ารูปดี


              ...??


              “เจ้าทำหน้าที่ภรรยาได้ดีนะ” อู๋ฟานแกล้งเย้าเมื่อเห็นอีกคนกำลังพับผ้าเก็บที่นอนให้ อี้ชิงตวัดตาขึ้นมอง


              “ถ้านี่คือหน้าที่ภรรยาจริงๆ ... เช่นนั้นพวกแม่บ้าน หรือคนใช้คนอื่นๆก็ถือว่าเป็นภรรยาพระองค์หมดทุกคนหรือเพคะ? ตื่นสายแล้วไม่ยอมเก็บที่นอนเอง ยังจะมาพูดแกล้งคนอื่นเล่นอีก” อี้ชิงพูดเหมือนบ่น อู๋ฟานเอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กที่เชิดรั้นอย่างนึกหมั่นเขี้ยว


              “พูดจาน่ารักอีกแล้ว”


              “พระองค์ก็ทำตัวน่าเกลียดอีกแล้วนะเพคะ ... ไปเลยเพคะไปอาบน้ำ วันนี้เราต้องเข้าปในเมืองกัน ต้องไปที่ที่หนึ่งก่อน คนที่นั่นไว้ใจได้แน่นอน ... ตอนนี้หม่อมฉันคิดได้แล้วว่าอยากจะไปเที่ยวที่ใด” อี้ชิงยิ้มก่อนจะจัดการคลุมเตียงให้เสร็จ แต่หันกลับมาอู๋ฟานก็ยังยืนนิ่ง


              “ไปสิเพคะ หากเลยเที่ยงพวกคนสวนจะมาทำงานกัน เดี๋ยวโดนจับได้นะเพคะ!” อี้ชิงพยายามดันให้ร่างสูงให้เดินออกไปจากห้อง อู๋ฟานแกล้งยืนทำตัวแข็งอยู่นานจนอี้ชิงขู่ว่าหากไม่ยอมไปจะแกล้งกรี๊ดให้คนมาช่วย อู๋ฟานถึงได้ยอม


              ทำไมพระชายาจางอี้ชิงของเขาถึงได้น่ารักมากมายขนาดนี้กันนะ


              !!!


              เมื่อเวลาผ่านไป ... อู๋อี้ฟานเดินเข้ามาในห้องของจางอี้ชิงด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ อี้ชิงหันไปมองก็แทบจะหลุดขำ เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ที่มานอนค้างที่นี่เมื่อวาน ตอนนี้กลับกลายเป็นคนสวนที่ดูภูมิฐานไปเสียแล้ว


              “นี่เจ้าเอาเสื้อผ้าอะไรให้ข้าใส่!


              “คิกๆ ... ก็เสื้อผ้าของคนสวนเท่าที่หม่อมฉันจะหาได้อย่างไรเล่าเพคะ”


              “แต่ข้า ...”


              “คนทั้งเมืองรู้จักและเคยเห็นหน้าพระองค์เป็นอย่างดีตั้งแต่พระองค์มีประกาศงานดูตัว หากหม่อมฉันหาเสื้อผ้าที่ดีให้แก่พระองค์แล้วพาเดินเข้าไปในตลาด ขี้คร้านคนจะเข้ามามุงและจำหน้าพระองค์ได้กันหมดสิเพคะ” อี้ชิงอธิบายยืดยาว อู๋ฟานทำหน้าเบ้


              “แต่ข้าไม่อยากใส่มันตลอดการไปเที่ยว”


              “หม่อมฉันไม่ใจร้ายกับพระองค์ถึงขนาดนั้นหรอกเพคะ ... เดี๋ยวหม่อมฉันจะพาพระองค์ไปที่ที่นึง หลังจากนั้นเราจะไปเที่ยวในที่ที่เราต้องการจะไป โดยไม่มีผู้ใดจำได้อย่างแน่นอน”


              “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”


              “ก็ปลอมตัวไงเพคะ ... หม่อมฉันว่าตอนนี้พระองค์อย่าเพิ่งถามมากจะดีกว่า นี่ก็ได้เวลาที่ต้องออกจากบ้านหม่อมฉันแล้ว เอาเป็นว่าเดินทางไปคุยไปนะเพคะ หม่อมฉันจะตอบคำถามพระองค์ทุกเรื่องเลย” อี้ชิงเอ่ยว่าก่อนจะเดินนำหน้าให้อู๋ฟานเดินตามมา


              ในระหว่างการเดินทาง อู๋อี้ฟานที่อยู่ในคราบของคนสวนที่เดินตามหลังอี้ชิงได้รับความสนใจจากคนในตลาดที่เดินผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนไม่น้อย ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่และผิวที่ขาวสะอาด การมาอยู่ในเสื้อผ้าที่ดูจะเลอะเทอะมอมแมม ก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
     

    อู๋ฟานกระชับหมวกและผ้าคลุมหน้าตาของตนเอาไว้แน่นพยายามที่จะไม่สบตากับใครที่เดินผ่าน บังคับให้สายตามองเพียงแต่แผ่นหลังของคนข้างหน้าเพียงอย่างเดียว


              “อี้ชิง ... อีกนานหรือไม่ถึงจะถึงที่ที่เจ้าว่า” อู๋ฟานเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าเดินมานานแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะถึงที่หมายของจางอี้ชิงเลย และการที่ให้เขามาสวมหมวกและคลุมหน้าตาให้มิดชิดในวันเวลาที่แดดร้อนเช่นนี้ ก็ตัดทอนกำลังในการอดทนไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


              “ถึงพอดี ... นั่นอย่างไรเล่าเพคะ โรงละครที่หม่อมฉันบอก อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย รีบเดินเข้าไปข้างในเถิดเพคะ พี่จีอาที่หม่อมฉันนัดเอาไว้คงรอพวกเราอยู่นานแล้ว” ว่าแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปด้านในจากทางด้านหลัง อู๋อี้ฟานยอมเดินตามจางอี้ชิงเข้าไปโดยไม่เถียงหรือพูดอะไรทั้งสิ้น


              ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะหนีออกมาท่องเที่ยวกับจางอี้ชิงพระชายาที่แสบซนคนนี้แล้ว เขาก็ต้องทำใจยอมรับ ... การหนีเที่ยวครั้งนี้คงจะเป็นการหนีเที่ยวที่เข้าไม่มีวันลืมมันลงได้เลย




     



     


                “เสร็จแล้วเพคะเจ้าชาย” เสียงของช่างแต่งหน้าประจำโรงละครเอ่ยขึ้น อู๋ฟานค่อยๆลืมตาขึ้นมองกระจกตรงหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวอีกคนที่ยังคงนั่งหลับอยู่ข้างๆตัวเอง


                แทบจำไม่ได้!


                อู๋ฟานสบถออกมาที่ในใจทันทีที่ได้เห็น ผมคำที่เคยดำขลับตอนนี้ถูกเปลี่ยนสีให้กลายเป็นบอร์นประกายทองเหมือนกับสีผมของชาวต่างเมืองทางตะวันตกไม่มีผิด ทั้งหนวดปลอม ไฝปลอม และแว่นตากลมปลอมๆ ทำให้อู๋ฟานมองตัวเองในกระจกด้วยสายตาไม่น่าเชื่อ


                ขนาดตัวเองยังจำตัวเองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนทั่วไป คงจำเขาไม่ได้อย่างแน่นอน


                อื้อ” เสียงจากพระชายาที่ยังคงนอนหลับตาให้ช่างแต่งหน้าแต่งให้ดังขึ้น จนทำให้อู๋ฟานต้องหันกลับไปมอง ทางอี้ชิงก็ไม่ได้ต่างจากเขามากนักถูกแต่งให้เหมือนกับชาวต่างชาติเหมือนกัน


              “เสื้อคลุมเพคะ” ช่างแต่งหน้าคนเดิมเดินเอาเสื้อคลุมสีดำยาวมาให้อู๋ฟานสวมใส่ ก่อนจะหยิบหมวกทรงสูงตามมาให้ทีหลัง


              “สำหรับการปลอมตัวของพระองค์ เสร็จเรียบร้อยแล้วนะเพคะ เพียงแค่พระองค์ปรับเปลี่ยนคำพูดให้ดูไม่ชัดถ้อยชัดคำเหมือนกับคนต่างประเทศอีกนิดก็คงจะพอ”


              “แล้วอี้ชิง...”


              “อ๋อ ... รายนี้คงต้องขอเวลาอีกสักครู่นะเพคะ การแต่งตัวของหญิงออกจะลำบากไปหน่อย เชิญพระองค์ประทับรอสักครู่ที่ด้านในดีกว่านะเพคะ” ช่างแต่งหน้าคนเดิมพูดพลางผายมือให้อู๋ฟานเดินตามไป แต่อู๋ฟานห้ามไว้


              “ไม่เป็นไร ข้าจะรออยู่ตรงนี้ ... นานเท่าไรข้าก็รอได้”


              “เพคะ” ช่างแต่งหน้าตอบรับเพียงเท่านี้ ก่อนจะขอตัวออกไปทำหน้าที่ประจำของตนเองต่อ อู๋ฟานนักพักของีบหลับตาสักครู่ กว่าอี้ชิงจะเสร็จเขาก็คงจะตื่นขึ้นมาพอดี


              !!!!


              เวลาผ่านไปไม่นาน แต่ก็อาจจะนานพอสำหรับคนที่นอนรออยู่เกือบสองตื่นอย่างอู๋ฟาน ร่างสู่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปรบมืออันดังของอี้ชิงที่ปรบมือให้กับฝีมือของช่างแต่งหน้าแต่งตัวให้กับตัวเองอย่างถูกใจ


              “ข้าแทบจำตัวเองไม่ได้เลย พี่จีอา”


              “หม่อมฉันก็จำพระชายาแทบไม่ได้เหมือนกันเพคะ” จีอาตอบยิ้มๆ หากแต่อี้ชิงหน้ามุ่ยลง


              “พี่จีอา ... ข้าบอกพี่กี่ครั้งแล้ว เรียกข้าเหมือนเดิมเถิด คำพูดนั้นเอาไว้ให้กับพวกคนในวังพูดกับข้าก็พอ” อี้ชิงค้าน จีอาหันมองทางอู๋ฟานทีหันมองทางอี้ชิงที


              “ไม่ได้หรอกเพคะ เจ้าชายอยู่ตรงนี้ หากเจ้าชายได้ยินคงไม่ใช่เรื่องดี” อี้ชิงหันไปมองอู๋ฟานที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาอยู่ด้านหลัง ท่าทางสะลึมสะลือนั่นมันดูน่าแกล้งน้อยเสียเมื่อไหร่


              “เพียงเท่านี้ข้ากับเจ้าชายก็สามารถเดินออกไปข้างนอก เที่ยวได้ตามใจโดยไม่มีใครจำได้แล้วใช่หรือไม่” อี้ชิงพูดพร้อมกับวิ่งเข้าควงแขนอู๋ฟานแทบจะในทันที ท่าทีแตกตื่นของคนที่อยู่ในห้องนั้นพอจะมีให้เห็นบ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามอง


              “ฮ่าๆ จะก้มหน้ากันทำไม ตอนนี้ไม่มีเจ้าชายอู๋อี้ฟาน ไม่มีพระชายาจางอี้ชิง มีเพียงชาวตะวันตกต่างเมืองที่ชื่อ คริสแล้วก็ เลย์เท่านั้น” อี้ชิงพูดพร้อมกับผายมือไปทางอู๋ฟานและตนตามลำดับชื่อ


              “หืม ข้าไปชื่อคริสตอนไหน” อู๋ฟานถามอย่างไม่เข้าใจ


              “ก็ตอนนี้แหละเพคะ เป็นชาวตะวันตกแล้วก็ต้องตั้งชื่อให้คล้าย จะปลอมตัวทั้งทีก็ต้องทำให้เนียนๆ ถ้าโดนจับได้หละยุ่งเลย”


              “แล้วเจ้าเอาชื่อมาจากไหน”


              “หม่อมฉันต้องบอกด้วยหรือเพคะ? จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะเพคะ เราใช้ชื่อนี้อยู่แค่ 2 วันเท่านั้นเอง” อี้ชิงว่า อู๋ฟานกรอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย เห็นแววตาซุกซนบนใบหน้าของจางอี้ชิงแล้วก็รู้สึกปลงตกขึ้นมาทันที หวังว่าคงจะไม่มีเรื่องอะไรให้ปวดหัวไปมากกว่านี้แล้วนะ...


              !!!!


              ตกบ่าย ณ ท่าเรือขนส่งสินค้าของเมืองเวโรน่าวิลล์เต็มไปด้วยผู้คนเสียงดังคับแน่นสับสนอลหม่าน คนงานจำนวนมากกำลังวุ่นวายกับการขนส่งสินค้าขึ้นเรือโน้นทีเรือนี้ที นอกจากจะมีสินค้าวางมากมายบนเรือสินค้าลำใหญ่หลายลำแล้ว ก็ยังมีกลุ่มพ่อค้าหาบเร่ รถม้าของผู้มาเที่ยวชม และกลุ่มของทหารลาดตระเวน เดินทางเข้าออกไปมาอย่างไม่ขาดสาย


              นอกจากนั้นด้านตรงข้ามกับท่าเรือยังมีร้านสุราอาหาร ร้านค้า และโรงแรมที่จัดไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้มาพัก ย่านนี้ถือว่าเป็นย่านธุรกิจที่ค่อนข้างคึกคักมากติดหนึ่งในสามอันดับย่านที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในเมืองเลยก็ว่าได้


              “ข้ายังไม่เคยมาเที่ยวแถวนี้เลยสักครั้ง” เสียงของอู๋ฟานดังขึ้น สายตาคมลอบมองวิวด้านนอกจากทางหน้าต่างรถม้าด้วยความสนใจ


              “ข้าเคยมาเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อนานมาแล้ว”


              “มาเที่ยวหรือ?”        


              “เปล่า ... หม่อม เอ่อ ข้ามาดูธุรกิจกับครอบครัวของข้า” อี้ชิงปรับคำพูดใหม่ เมื่อปลอมตัวแล้วก็ต้องทำให้เนียนที่สุด ไม่มีเจ้าชายอู๋อี้ฟาน ไม่มีพระชายาจางอี้ชิง ตอนนี้มีเพียงแค่คู่แต่งงานใหม่ชาวต่างเมืองที่ชื่อ คริสและ เลย์เท่านั้น


              >////<


              ทันทีที่รถม้าคันงามเดินทางมาถึง บรรดาพวกที่มีอาชีพบริการนักท่องเที่ยวต่างวิ่งลุกขึ้นกันให้คึกคักไปทั่วรถม้า อี้ชิงชะโงกหน้ามามองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างตื่นเต้น ครั้งหนึ่งเธอก็เคยแอบพ่อกับแม่มาทำงานช่วยแบกของจากนักท่องเที่ยวพวกนี้ ยิ่งชาวต่างชาติยิ่งให้เงินหนัก ช่วยแบกแค่สองสามคนก็มีเงินซื้อเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ไปปลูกในสวนได้เกือบครึ่ง!


              ประตูรถม้าเปิดออก ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพบุตรค่อยๆก้าวลงมาจากรถม้าช้าๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายยื่นมือไปรับหญิงสาวอีกคนให้ลงมายืนเคียงข้างกัน การแต่งตัว หน้าตา และสีผมที่ไม่เหมือนคนทั่วไปในเมืองเวโรน่าวิลล์นี้ทำให้ทุกคนรู้ในทันทีว่า เป็นชาวต่างเมืองฝั่งตะวันตกแน่นอน!


              “ตายจริงชาวต่างเมืองนี่นา ... ทำไมถึงรูปงามกันได้ถึงขนาดนี้นะ”


              “รถม้าที่มาส่งก็ดูมีราคามากเหลือเกิน คงจะเป็นเศรษฐีต่างเมืองแน่ๆ”


              “ดูนั่นควงแขนกันมาแบบนี้ ข้าว่าสามีภรรยากันแน่นอน! ... โอ้ หนุ่มหล่อกับสาวงามช่างเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างจริงๆ”


              คนบนท่าเรือต่างเอียงหน้ากระซิบกระซาบกันอย่างสนุกปาก บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างรีบพุ่งเข้ามาทักทาย พร้อมกับแนะนำสินค้าโน้นนี่ รวมทั้งที่พักมากมายให้ได้ตัดสินใจกัน


              “อ่า ... ข้าต้องขอโทษพวกท่านด้วย พอดีว่าพวกข้าอยากจะท่องเที่ยวด้วยตัวเองของตัวเองหนะ” อี้ชิงตอบกลับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังแย่งชิงกันโฆษณาสินค้าด้วยสีหน้ารู้สึกผิด บรรดาพ่อค้าพวกนั้นต่างทำหน้าสีหน้าเสียดายแต่ก็ยอมล่าถอยออกไปหาลูกค้าคนใหม่ที่เพิ่งจอดรถเข้าเทียบตามมาแทน


              อี้ชิงกระชับปีกหมวกกว้างยาวของตนให้ต่ำลงปิดหน้าพร้อมทั้งเอาผ้าตาข่ายสีดำที่พี่จีอาให้มาติดหมวกเพื่อกันแดดที่กำลังส่องแสงแรงในยามบ่ายมาบดบังด้วย อู๋ฟานเห็นอย่างนั้นก็อมยิ้ม


              “เอาผ้ามาปรกหน้าตาแบบนี้ ข้าจะมองหน้าเจ้าชัดได้อย่างไร”


              “ไม่ชัดก็ไม่ต้องมอง ข้าไม่ได้อยากให้ท่านมองมากมายนักหนาหรอก ... โน้น เจ้าเห็นทหารที่กำลังมองมาทางเราหรือไม่ ต่อให้ปลอมตัวมาแล้วแต่ก็หลบหน้าบ้างก็แล้วกัน หากอยู่ดีๆเกิดถูกจับได้มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ” อี้ชิงเตือนพลางชี้ให้ดูพวกทหารลาดตระเวนที่มองมาทางเขาทั้งสองอย่างสงสัย


              “พวกนั้นมองเจ้าต่างหาก ไม่ได้มองข้า!” อู๋ฟานสบถออกอย่างมาพอใจ สายตาโลมเลียที่บรรดาทหารเหล่านั้นมองมาทำไมเขาจะไม่เข้าใจ ร่างสูงจัดการถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกก่อนจะคลุมทับให้กับร่างบางไว้ปกปิดเรือนร่าง


              นึกอยากจะต่อว่าคนหาเสื้อผ้าให้อี้ชิงขึ้นมาตงิด ก็รู้อยู่ว่าถ้าหากปลอมตัวเป็นคนฝั่งตะวันตกฝ่ายหญิงต้องแต่งตัวอย่างไร กระโปรงยาวบานนี่ไม่เท่าไหร่ แต่เสื้อรัดรูปที่ด้านบนนี่สิ ทำไมต้องดันทรวงอกให้โผล่พ้นออกมามากมายขนาดนั้น!


              “ข้าว่าแดดมันร้อน เดี๋ยวผิวเจ้าจะเสีย” อู๋ฟานอ้างเหตุผลนี้ก่อนจะจับประคองเอวให้อี้ชิงเดินเข้าไปที่ร้านน้ำชาข้างหน้าด้วยกัน อี้ชิงพยายามที่จะเอาเสื้อคลุมนั้นออกจากตัวเองหลายครั้งแต่อู๋ฟานก็ไม่ยอม


              “ข้าร้อนนะ เสื้อคลุมนี้สีดำนี่ดูดแสงและความร้อนจะตายไป” ร่างบางเถียงอู๋ฟานส่ายหน้า


              “กินชาเย็นนี่เดี๋ยวก็หายร้อน” อู๋ฟานยื่นแก้วน้ำชาผสมน้ำแข็งไปให้ อี้ชิงสะบัดหน้าหนี อู๋ฟานพยายามชวนพูดชวนคุยอยู่หลายครั้งแต่อี้ชิงก็ไม่ยอมหันกลับมาเลย


              “อี้ชิง...” อู๋ฟานเรียกอย่างอ่อนใจ


              “ข้ารู้ว่าท่านหวงข้า ... แต่ก็ทำให้แนบเนียนหน่อยไม่ได้หรือ หากเป็นคนฝั่งตะวันตกจริงๆเขาไม่อายไม่หวงกันด้วยเรื่องแบบนี้หรอกนะ” อี้ชิงหันมาค้อน


              “ก็ข้าไม่ใช่...”


              “จิ๊! พระองค์ไม่เข้าใจหรือเพคะ ว่าเรากำลังเล่นละคร หากพระองค์ยังคงทำแบบนี้อยู่ คนพวกนี้ก็จะสงสัยเอาได้นะเพคะ แล้วอีกอย่างในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ใครเขาจะใส่เสื้อคลุมหนาๆทับอีกชั้นกัน!” อี้ชิงกระซิบให้ได้ยินเบาๆเพียงแค่สองคน คำพูดและสรรพนามที่กลับมาเรียกขานกันเหมือนเดิม ทำให้อู๋ฟานรู้ว่าอี้ชิงกำลังจริงจังกับคำพูดมากแค่ไหน ร่างสูงได้แต่สบถอย่างไม่พอใจอยู่ข้างใน ก่อนยื่นมือไปรับเสื้อคลุมนั่นออกมาจากตัวของอี้ชิง


              “ที่ข้าทำเพราะไม่อยากโดนจับได้ ไม่ใช่เพราะว่ายอมเจ้าหรอกนะ!” อู๋ฟานเข่นเขี้ยว


              “อ๋อหรอเพคะ ... หม่อมฉันเคยบอกพระองค์มารอบหนึ่งแล้วนะเพคะ ว่าหากริจะเป็นสามีหม่อมฉัน ก็ต้องเชื่อฟังหม่อมฉัน ถือว่าเป็นการซ้อม ^^” ร่างบางเอ่ยยิ้มข้างหูเบาๆ ก่อนจะผละออกมาคว้าแก้วน้ำชามาดื่มให้ชื่นใจ


              “เจ้านี่มัน...” อู๋ฟานไม่รู้จะสรรหาคำใดมาว่าให้อี้ชิงหุบยิ้มล้อเลียนเขาได้ ร่างสูงได้แต่นั่งกระฟัดกระเฟียดกับบรรดากลุ่มผู้ชายที่ชอบหันมามองพระชายาของตน ทั้งขาวทั้งสวยแบบนี้ ใครกันเล่าจะไม่อยากมอง


              แม้แต่ตัวเขาก็เถอะ ยังละสายตาไม่ได้!


              พอให้ได้นั่งพักกินอะไรเย็นๆให้หายเหนื่อยอู๋ฟานรีบเรียกเถ้าแก่ของร้านให้มาเก็บตัง แม้แต่เถ้าแก่ที่ดูจะอายุเกิน 70 แล้วยังหันมามองทั้งหน้าทั้งตัวของพระชายาเขาอย่างสนใจ


              อย่าให้เขาได้กลับไปอยู่ในฐานะเจ้าชายนะ เขาจะสั่งให้ท่านพ่อมาสั่งปิดกิจการคนที่นี่ให้ไม่มีเงินทำมาหากินกันให้หมดเลย!


              อี้ชิงก้าวออกจากร้านน้ำชาด้วยอาการควงแขนอู๋อี้ฟานเดินไปด้วยกันอย่างอ้อนๆ ดวงหน้าขาวหวานที่ปกติไม่ได้แต่งแต้มอะไรก็ดูน่าดูน่าชมมากพออยู่แล้ว มาตอนนี้ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางหนาแทบจะเต็มใบหน้า ริมฝีปากบางก็ถูกทาทับด้วยสีแดงฉูดฉาด รวมๆแล้วก็ยิ่งดูน่ามองเข้าไปใหญ่ ... แม้อู๋อี้ฟานจะออกอาการหึงหวงมากเพียงไร ก็ไม่ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอดละสายตาจากจางอี้ชิงได้เลย


              “บางทีข้าอาจจะต้องซื้อผ้าแถวนี้มาคลุมใบหน้าของเจ้า!


              “ข้าก็เหมือนกัน ข้าคงต้องเอามาคลุมทั้งตัวของท่าน ... ผู้หญิงที่ผ่านไปผ่านมามองท่านน้อยเสียเมื่อไหร่ แล้วดูสิ ยิ่งเป็นหญิงกลุ่มนั้นหากข้าผละออกไปจากท่านตอนนี้ ขี้คร้านจะรีบวิ่งเข้ามาเกาะแขนเกาะขาของท่านแน่นอน!” อี้ชิงมองตรงไปยังกลุ่มหญิงสาวที่แต่งตัวด้วยสีฉูดฉาด เสื้อผ้าเนื้อบางเช่นนี้ จะเป็นหญิงจากที่ใดได้เล่า หากไม่ใช่หญิงจากหอนางโลม!


              “เจ้าก็หวงข้าหรือ?”


              “ก็หวงสิเพคะ!” อี้ชิงเผลอพูดเสียงดังจนอู๋ฟานต้องรีบเอามือมาปิดปาก ร่างบางเองก็เหมือนจะรู้ว่าหลุดพูดอะไรออกไป


              “กะ ก็หวงหนะสิ!” ร่างบางแก้คำใหม่


              “หึ ... คิดว่ามีข้าแค่คนเดียวเสียแล้วที่หวง” อู๋ฟานก้มลงมองหน้าอี้ชิงที่ถูกผ้าตาข่ายปิดล้อมอย่างล้อๆ


              “ท่านหวงข้าได้ ข้าก็หวงท่านได้ ... เราเป็นคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่นะ จะไม่ให้หึงหวงเลยก็คงแปลก!” อี้ชิงตั้งใจกระแทกเสียงดังให้หญิงสาวที่ยืนมองอยู่ตรงนั้นโดยเฉพาะหญิงงามที่ดูจะอายุมากที่สุดในกลุ่มให้ได้ยินก่อนจะแสดงความเป็นเจ้าของเดินโอบกอดอู๋ฟานให้รีบเดินผ่านไป


              “ต๊ายพี่แชยอนดูสิคะ แม่หญิงผู้นั้นช่างหน้าไม่อาย เดินโอบกอดชายในที่สาธารณะเช่นนี้ได้อย่างไร!


              “นั่นสิคะ ท่าทางดูเหมือนม้าดีดกะโหลกแบบนั้น น่าเกลียดจริงๆ” เหล่าบรรดาหญิงนางโลมที่ตามมาเอ่ยและมองตามทั้งอี้ชิงและอู๋อี้ฟานเดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ แชยอนเองก็มองตามชาวต่างชาติทั้งสองที่กำลังจะเดินลับไปเหมือนกัน


              “พวกเจ้ากลับไปที่ร้านก่อนเถิด ข้ามีธุระที่จะต้องไปทำ วันนี้ข้าอาจจะกลับดึก หรือไม่ก็ไม่กลับเลย”


              “ได้ไงคะพี่แชยอน หากพี่ไม่กลับ แล้วมีพวกแขกสูงศักดิ์เล่าเพคะ”


              “ก็ช่างสิ ให้คนอื่นรับหน้าที่แทนไป ... เอาเป็นว่าวันนี้ข้าลางานแล้วกัน” พูดจบเพียงเท่านั้นแชยอนก็รีบเดินตามก่อนจะหายจากสายตาของพวกน้องๆลับไป

     


              หึ! เจ้าชายอู๋อี้ฟาน คิดหรือเพคะว่าแค่การปลอมตัวแค่นี้ หม่อมฉันจะจำพระองค์ไม่ได้!!!

     

     


              ตกเย็นอี้ชิงกับอู๋อี้ฟานต่างก็พากันเดินทางเข้าหาที่พัก วันนี้เขาทั้งสองพากันเดินเที่ยวไปตามถนนหนทางในเมืองท่าทุกตรอกซอกซอย จึงรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้างพอหาที่พักได้ก็รีบเปิดห้องเข้านอนทันที


              “ทำไมต้องแยกห้องกันด้วย” อู๋ฟานเอ่ยถามขณะที่อี้ชิงกำลังไขกุญแจประตูห้อง ร่างบางหันมายิ้ม


              “แล้วทำไมต้องอยู่ห้องเดียวกันด้วย”


              “ข้ากับเจ้า...”


              “เพราะข้าต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อคืนก็นอนด้วยกันมาแล้วเบียดกันจนทำข้าปวดเมื่อยจะแย่ คืนนี้ข้าขอแยกกับท่านนะ” คำพูดอ้อนวอนของอี้ชิงทำให้เด็กที่ยกกระเป๋าตามมาได้แต่ก้มหน้าทำหน้าแดง เห็นอย่างนั้นอี้ชิงก็ได้แต่หัวเราะ


              “เอาอย่างนั้นก็ได้ ... อีกไม่กี่วันเราก็จะได้อยู่ห้องเดียวกันตลอดไปแล้วข้าทนได้” อี้ชิงหัวเราะร่าเมื่อได้ยินก่อนจะเป็นฝ่ายผลักประตูเข้าไป อู๋ฟานรอจนประตูบานนั้นปิดลง จึงไขประตูห้องของตัวเองเข้าไปบ้าง


              อู๋ฟานเดินสำรวจภายในห้องนอนนั้นอย่างสนใจ เป็นโรงแรมไม้บรรยากาศดี ดูแล้วการจัดวางสิ่งของต่างๆภายในห้องคล้ายกับการจัดในห้องบรรทมของเขาไม่น้อย


              บรรยากาศไม่แตกต่างแบบนี้สินะ สงสัยคืนนี้จะนอนสบาย


              “ของใช้เหล่านี้จะให้ข้าวางมันไว้ที่ใดดีเพคะ ... เจ้าชาย” เสียงหวานดังมาจากข้างหลังเอ่ยพร้อมกับสัมผัสที่บริเวณเอวหนาด้วยการกอดแน่นอ้อน


              “แชยอน...” อู๋ฟานครางออกมาอย่างไม่เชื่อหูตนเอง


              “ดีใจจังเพคะ ที่เพียงแค่เสียงและสัมผัสของข้าเจ้าชายก็ทรงจำได้” หญิงสาวผละออกมาก่อนจะดึงตัวให้เจ้าชายหันมามองตน มือบางไล้ไปตามแนวสันกรามด้วยสีหน้าเย้ายวน


              “หนีออกมาเที่ยวนอกวังครั้งนี้ มาเสียไกลเลยนะเพคะ” มือบางยังคงปัดป่ายไปตามอกแกร่งที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเนื้อหนานั่น


              “ดูเหมือนคราวนี้ พระองค์จะไม่ได้ตั้งใจออกมาหาข้าเลย ... ข้านั่งรอพระองค์อยู่ทุกวัน รอด้วยใจจดจ่อ รอด้วยใจคิดถึง ... หม่อมฉันคิดถึงพระองค์เหลือเกินเพคะ” อู๋ฟานยืนนิ่งมองหญิงสาวร่างสวยที่กำลังแกะกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ดด้วยท่าทีนิ่งงัน


              คนที่เคยๆมือกัน แตะเพียงนิดเดียวทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร


              “หม่อมฉันอุตส่าห์เดินตามพระองค์มาทั้งวัน จะตอบแทนหม่อมฉันด้วยการยืนมองเฉยๆอย่างนี้หรือเพคะ” ดาวตากลมหวานสบขึ้นมอง อู๋ฟานเหมือนต้องมนต์สะกดค่อยๆก้มหน้าชิดเข้ามาเรื่อยๆ


              “เจ้าคิดถึงข้ามากหรือ ... แชยอน” อู๋ฟานหยุดเอ่ยถามเมื่อริมฝีปากกำลังจะประกบกัน หญิงสาวจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน


              “คิดถึงมากแค่ไหนหม่อมฉันพูดตอบพระองค์ได้ไม่ถูกหรอกเพคะ ... นอกจากจุมพิตนี้จะเป็นคนบอกพระองค์เองว่าหม่อมฉันคิดถึงพระองค์มากแค่ไหน” หญิงสาวขืนตัวเป็นคนพาร่างสูงขยับกายไปบนเตียง ร่าวอวบอิ่มในเสื้อผ้าโปร่งบางเบียดอกอวบเข้าหาแผ่นอกแกร่งที่ตนเฝ้าถวิลหามานาน ก่อนจะเหยียดกายขึ้นจูบไปตามแผงอกแกร่ง ไล้ตามใต้คางเรื่อยไปจนเกือบถึงริมฝีปาก


              อู๋ฟานกระชากร่างบางที่กำลังยั่วยวนตรงหน้าให้ขึ้นไปรับจูบที่กดลงมาอย่างรุนแรง ดูดดุนริมฝีปากนั่นนานกว่าจะยอมสอดลิ้นผ่านโพรงปากนั่นเข้าไป ฝ่ายแชยอนเองก็ไม่น้อยหน้าเผยอปากส่งลิ้นร้อนของตนให้ออกมาหลอกล่อกับอู๋ฟานอย่างรู้งาน


              ร้อนแรง ..

     

    หากแต่ไม่มีความอ่อนหวานลึกซึ้งเหมือนอี้ชิง


              “อะ อื้อ เจ้าชายเพคะ” หญิงสาวปรือตาขึ้นมาอย่างขัดอารมณ์เมื่ออยู่ดีๆอู๋ฟานก็ถอนจูบออกไปเสียดื้อๆ


              “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคิดถึงข้ามากเพียงไร แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาทำอะไรกับข้าเหมือนอย่างแต่ก่อนได้” แชยอนชักสีหน้าแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้กดตัวอู๋อี้ฟานให้ลงนอนราบอยู่ใต้ตัวเธออีกครั้ง


              “หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์กำลังจะมีพระชายา ... หากแต่ตอนนี้ก็ทางสะดวกนะเพคะ จูบเร่าร้อนเมื่อครู่นี้พระองค์ก็ได้บอกความรู้สึกของพระองค์ออกมาหมดแล้วว่าพระองค์เองก็คิดถึงสัมผัสของหม่อมฉันมากแค่ไหน” ว่าพลางถอดเสื้อที่ปลดกระดุมออกอย่างหมิ่นเหม่ด้วยฝีมือตัวเองออกไป เมื่อร่างสูงอยู่ในสภาพที่เปลือยท่อนบน แชยอนก็ถอดเสื้อตัวบางของตัวเองออกบ้าง


              “หยุดเถิดแชยอน ข้ายังไม่ได้เรียกใช้เจ้า ... เจ้าไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับข้า!” อู๋ฟานเอ่ยอย่างไม่สบ
    อารมณ์ก่อนจะลุกขึ้น มือหนาช่วยหยิบเสื้อผ้าแบบบางขึ้นมาสวมใส่ให้ แชยอนได้แต่นิ่งมองมาด้วยสายตาละห้อยปนยั่วยวน


              “พระองค์ใจร้าย” มือบางยกขึ้นจับหยุดมือที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าให้ตน “หากพระองค์ไม่ทรงอยากทำก็นอนอยู่เฉยๆสิเพคะ ให้หม่อมฉันได้เป็นฝ่ายปรนนิบัติพระองค์บ้าง” แชยอนไม่ยอมแพ้แก้เสื้อของตนออก เบียดกายเข้าหาอกแกร่งอย่างเต็มที่


              “แช ... ยอน” อู๋ฟานเบี่ยงหลบสัมผัสที่กำลังหลอกล้อกับริมฝีปากของตนด้วยความไม่สบอารมณ์ แชยอนเองก็ใช่จะไม่รู้ว่าอู๋อี้ฟานไม่สมยอมกับสัมผัสที่มอบให้ในครั้งนี้ แต่เธอก็ยังดื้อด้าน


              เมื่อไฟแห่งความริษยามันสุมอยู่เต็มอก ตลอดทั้งวันที่เธอเดินตามเจ้าชายอู๋อี้ฟานและพระชายามาจนถึงช่วงเย็น หลายฉากหลายตอนที่ทำเอาเธออยากจะกรีดร้องและเข้าไปกระชากตัวพระชายาคนนั้นออกมาสั่งสอน!


              เจ้าชายจะหลงใครไม่ได้นอกจากข้า!!!


               “อื้อ~...” มือเรียวยกขึ้นโอบรอบคอคนตัวสูงไว้แน่น ก่อนขยับกายอวบอั๋นเข้าแนบชิดเพื่อหยอกล้อ ท่าทีขัดขืนที่โอนอ่อนลงบ้างของอู๋อี้ฟานทำให้เธอได้ใจส่งลิ้นร้อนเข้าไปหยอกล้อภายในโพรงปากก่อนจะไล้ไปตามซอกคอและไหล่กว้างอย่างรู้งาน


              “คืนนี้ขอหม่อมฉันปรนนิบัติพระองค์ให้มีความสุขนะเพคะ ... คืนนี้หม่อมฉันอนุญาตให้พระองค์คิดถึงแต่หม่อมฉันคนเดียวนะเพคะ” ว่าพร้อมกับก้มลงจะจุมพิตอู๋อี้ฟานอีกที


     

              “ไม่มีทาง!!!!!” ร่างเพียวบางที่เปิดประตูผางเข้ามาในห้อง ทำเอาคนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่บนเตียงต้องผละตัวออกจากกันทันที


              “ว๊าย” แชยอนร้องเสียงหลงอย่างตกใจก่อนจะหยิบเสื้อผ้าของตนขึ้นมาคลุมกาย ต่างจากอู๋อี้ฟานรีบลุกรุดเข้าไปหาจางอี้ชิงทันที


              “หยุด! ... พระองค์ยังไม่ต้องพูดอะไรหรอกเพคะ เรายังต้องได้พูดกันอีกยาวหลังจากนี้แน่!


              “อี้ชิง...” อู๋ฟานทอดเรียกเสียงอ่อน รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ ถึงเขาจะไม่ได้สมยอมแชยอนแต่เพราะหญิงสาวเล้าโลมด้วยท่าทางยั่วยวนอย่างนั้น จะไม่ให้เขาเริ่มมีอารมณ์ร่วมได้อย่างไร


              อารมณ์คนหนุ่มมันขึ้นง่ายลงยากนะ ...


              “เจ้าเป็นใคร!” แชยอนที่จัดการแต่งตัวของตัวเองเสร็จ ลุกขึ้นจ้องหน้ามองอี้ชิงที่ค่อยๆเดินเข้ามาด้วยแววตาวาวโรจน์


              “อย่ามาทำใสซื่อไขสือต่อหน้าข้าเลย ... ข้ารู้ว่าเจ้ารู้จักข้าดี” อี้ชิงว่าเสียงต่ำ ทั้งแววตาและท่าทางคุกคามของอี้ชิงทำให้แชยอนกลัวอยู่ไม่น้อย ร่างอวบอั๋นพยายามจะขยับกายเข้าไปใกล้อู๋ฟานแต่อี้ชิงกลับจับเอาไว้


              “ข้าเองก็รู้จักเจ้าดี อีแชยอน นางโลมผู้โด่งดังและมีรูปโฉมที่งามที่สุดในเมืองนี้ ... หึ! แต่ก่อนข้าคิดว่าเจ้ามีหน้าที่แค่เล้าโลมลูกค้าด้วยการแสดงดนตรี และร้องเพลง แต่ตอนนี้ข้าคงต้องคิดใหม่” แรงบีบที่ข้อมือของแชยอนเพิ่มมากขึ้นหญิงสาวเบ้หน้าอย่างเจ็บปวด


              “จะ เจ้าชายเพคะ ฮึก ช่วยหม่อมฉันด้วย” แชยอนน้ำตาคลอหันมองอู๋อี้ฟานที่ช่วยอะไรไม่ได้


              “ทีอย่างนี้มาเรียกให้คนอื่นช่วย ทีก่อนทำไมเจ้าไม่รู้จักคิด! ... ข้ารู้สึกมาตั้งแต่บ่ายแล้วว่ามีคนเดินตามมา แล้วก็คิดอยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องเป็นนางโลมคนนั้น คนที่เจ้าชายของข้าไปหาทุกครั้งที่หนีเที่ยวด้วย!” อี้ชิงว่ายาว แชยอนหันมองอี้ชิงอย่างตกใจ


              รู้ตัวว่าเธอเดินตามตั้งแต่แรกเลยหรือ!


              “นี่ถ้าข้าไม่เอะใจว่า ใครกันที่จ้องมองมาตลอดเมื่อเดินเข้าโรงแรม ป่านนี้เจ้าชายก็คงจะเสร็จเจ้าเรียบร้อยไปแล้วสินะ ... อ่อ ไม่สิ ข้าต้องพูดว่า ทั้งสองคนคงได้เสร็จสมอารมณ์หมายไปแล้ว!” ว่าแล้วก็อดขุ่นใจกับอู๋อี้ฟานไม่ได้ ร่างบางยืนฟังอยู่หน้าห้องมาตั้งแต่ต้น ทั้งๆที่ทีแรกก็ผลักไสออกไปแล้ว แต่สุดท้ายก็สู้มารยาของอีกคนไม่ได้อยู่ดี


              จางอี้ชิงเคยบอกแล้ว ว่าไม่ชอบใช้ของร่วมกันกับใคร!!


              “ข้าให้เวลาเจ้าคิดแค่ข้านับ 1-10 ว่าเจ้าจะยอมเดินออกไปดีๆ หรือเจ้าอยากจะเดินออกจากที่นี่ไปทั้งน้ำตา” อี้ชิงยื่นคำขาด แชยอนหันมามองดวงตาแข็งกร้าวของอี้ชิงอีกครั้งอย่างนึกกลัว กิตติศัพท์ของจางอี้ชิงลูกสาวคนเล็กแห่งบ้านตระกูลจางเป็นอย่างไรเธอเองก็รู้ดี


              “พระชายาคือหม่อมฉัน...”


              “หนึ่ง ... สอง ...”


              “หม่อมฉันขอประธานอภัยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว”


              “สาม ... สี่ ... ห้า ...”


              “พระชายา...”


              “หก ... เจ็ด ... แปด ... เก้า ... สะ”


              “พระชายาหม่อมฉันยอมเดินออกไปแล้วเพคะ!” แชยอนรีบตะโกนบอกสุดเสียงด้วยความกลัว เธอรู้ดีพระชายาจางอี้ชิงผู้นี้มีความคิดไม่เหมือนปกติอย่างคนอื่นมากเสียเท่าไรนัก ถ้าเกิดอยู่ดีๆเธอไม่ยอมเดินออกไปแล้วโดนโทษจริงๆ เธอเองก็ไม่อยากจะคิดว่าพระชายาจะลงโทษเธออย่างไร


              สู้กลับไปตั้งหลักแล้วกลับมาใหม่ในโอกาสที่เหมาะกว่านี้จะดีกว่า...


              “ดี ... ถ้าเช่นนั้นก็เชิญ!” อี้ชิงผายมือให้แชยอนเดินออกไปนอกห้อง แต่อู๋อี้ฟานกลับรั้งมืออี้ชิงเอาไว้ คำพูดขอร้องของอู๋อี้ฟานทำให้แชยอนลอบยิ้มขึ้นมาได้


              “อี้ชิง ข้าว่านี่ก็มืดมากแล้ว หากให้แชยอนเดินกลับเพียงคนเดียวมันคงจะอันตราย” อี้ชิงตวัดสายตากลับมา


              “พระองค์หมายความว่าอยากลงไปส่งแชยอนหรือเพคะ? ... หรือว่าอยากจะขอให้แชยอนได้พักที่นี่สักคืนในห้องนี้กับพระองค์!


              “ไม่ใช่นะอี้ชิง ข้าแค่...”


              “ในเมื่อนางมาเองได้หม่อมฉันก็คิดว่านางกลับเองได้”


              “แต่ไม่ควรเป็นเวลานี้”


              “เช่นนั้นหรือเพคะ?” อี้ชิงหันมองอู๋ฟานอย่างตัดพ้อ ลองอู๋ฟานพยายามจะช่วยแชยอนเช่นนี้ ต้องการจะหักหน้ากันหรือ!!


              “เอาสิเพคะ ... หากพระองค์อยากให้นางอยู่ข้าก็จะให้อยู่ แต่พระองค์ทรงจำได้หรือไม่เพคะที่หม่อมฉันเคยบอก ... หากพระองค์ยุ่งกับพวกนางโลมอีก ไม่พระองค์ก็หญิงนางโลมผู้นั้นจะอยู่ไม่เป็นสุขแน่!’ หม่อมฉันจะทำคำของหม่อมฉันให้เป็นจริงให้ได้ คอยดู!” อี้ชิงว่าเพียงเท่านั้นแล้วก็วิ่งสะบัดตัวหลบเข้าห้องไป กลายเป็นอู๋ฟานต้องยืนหนักใจอยู่เพียงคนเดียวแทน


              “เจ้าชายเพคะ หม่อมฉันทำเรื่องหรือเปล่าเพคะ” แชยอนเดินเข้ามาก่อนจะช่วยประคองเจ้าชายให้กลับไปนั่งที่เตียง


              “ขอบพระทัยเจ้าชายมากนะเพคะ ที่ช่วยหม่อมฉันไว้ ... พระชายานี่ก็กระไร ใจดำจริงๆ จะให้หม่อมฉันผู้เป็นหญิงสาวตัวเล็กๆเดินกลับในยามวิกาลเช่นนี้ได้อย่างไร มีแต่สิ่งอันตราย” แชยอนบ่นอยู่ข้างกาย


              “เจ้ากลับไป”


              “ห๊ะ ... พระองค์ตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ หม่อมฉันได้ยินไม่ถนัด” แชยอนถามทวนอีกครั้ง


              “ข้าบอกให้เจ้ากลับไป!” อู๋ฟานเพิ่มความดัง


              “แต่เจ้าชาย...”


              “กลับไป!!” ตวาดครั้งสุดท้ายก่อนจะจับตัวแชยอนผลักให้ออกไปนอกห้องแล้วปิดประตูลงกลอนใส่หน้านางอย่างแรง


              “เจ้าชาย!!” แชยอนได้แต่สบถกระทืบเท้าอย่างขัดใจอยู่เพียงด้านนอกก่อนจะยอมเดินออกไปจากโรงแรมนั่นด้วยความไม่เต็มใจ


              เอาเถิด เพียงแค่ได้มาสร้างความร้าวฉานให้กับพระชายาและเจ้าชายแค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ว ... เธอรู้จักทั้งนิสัยผู้ชายและผู้หญิงดี หากต่อไปทั้งสองพระองค์มีเรื่องกันแล้วพระชายาไม่ยอม(ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่ยอมจริงๆ) ขี้คร้านเจ้าชายจะรีบดิ่งมาหาเธอเพื่อให้เธอปลอบใจ


              เมื่อนั้นหละ เจ้าชายจะต้องเป็นของเธอโดยสมบูรณ์!!!


              “ตำแหน่งพระชายาต้องเป็นข้า อีแชยอน ไม่ใช้เจ้า จางอี้ชิง!


              !!!


              หลังจากที่อี้ชิงวิ่งปิดประตูปังเข้าไปในห้องแล้ว ร่างบางก็เอาแต่นอนคว่ำซบหน้าอยู่กับเตียงโดยเอาหมอนที่นอนมาปิดหน้าปิดหูไม่ให้ได้รับรู้และได้ยินเสียงที่เรียกจากข้างนอกอย่างต่อเนื่องเลยสักเพียงนิด


              ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งเจ็บใจ อีกไม่กี่วันเธอกับอู๋อี้ฟานก็จะได้แต่งงานอยู่กินกับแบบสามีภรรยาแล้ว แต่วันนี้กลับต้องมาทนเห็นฉากที่เธอเกลียดมากที่สุดในนิยายที่เธอเคยอ่านมาเสียได้!!


              “อี้ชิงเปิดประตูให้ข้า!” ยิ่งได้ยินเสียงก็ยิ่งหงุดหงิด ในใจก็พลางต่อว่าอู๋อี้ฟานไปต่างๆนานา คนบ้าบ้าง คนใจร้ายบ้าง คนไม่มีสัจจะบ้าง


              “พระองค์ก็กลับไปหาอีแชยอนของพระองค์สิเพคะ!” ร่างบางตะโกนออกไปหลังจากเงียบมานาน


              “เปิดประตูให้ข้าแล้วเราจะได้คุยกัน”


              “จะให้ข้าเปิดประตูให้พระองค์เอานางโลมผู้นั้นมาหยามหน้าหรือเพคะ หักหน้าหม่อมฉันเมื่อสักครู่ให้มันได้เยาะเย้ยพระองค์ยังไม่สาแก่ใจหรือเพคะ!” อี้ชิงกรีดร้อง ยิ่งคิดถึงตอนนั้นก็อดจะกลั่นน้ำตาออกมาไม่ได้


              สิ่งที่เจ็บใจยิ่งกว่าคือรอยยิ้มเย้ยหยันที่แชยอนมอบกลับมาให้!


              “ข้าขอโทษอี้ชิง ข้าไม่ได้มีเจตนาจะทำแบบนั้น ... ข้าพูดไปตามสถานการณ์เท่านั้น"


              ผ่าง...!


              พอได้ยินว่าอู๋อี้ฟานพูดไปตามสถานการณ์อี้ชิงก็หมดความอดทน ลุกขึ้นกระชากประตูมายืนประจันหน้ากับอู๋อี้ฟานพร้อมด้วยกับรอยน้ำตา


              “พูดตามสถานการณ์ ... หมายความว่าพระองค์ห่วงใยความรู้สึกของแชยอนที่เป็นเพียงนางโลม มากกว่าความรู้สึกของหม่อมฉันที่เป็นพระชายาอย่างนั้นหรือเพคะ!!” ความน้อยใจตีตื้นขึ้นมาหมด อยากจะทุบ อยากจะตีคนตรงหน้าให้ตายคามือแต่อี้ชิงก็ทำไม่ได้ เลยได้แต่ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นเพียงเท่านั้น


              “อี้ชิงข้าขอโทษ” อู๋ฟานรีบคุกเข้าลงโอบกอดอี้ชิงที่ทรุดร้องไห้อย่างหมดแรงขึ้นมากอดในอ้อมกอด ร่างสูงกอดอีกฝ่ายแน่นเมินน้ำตาที่ไหลออกมาหยดแล้วหยดเล่าเพราะฝีมือของตัวเองอย่างเจ็บปวด


              “หม่อมฉัน ฮึก อยากทุบพระองค์ อยากทุบพระองค์ให้ตายให้พระองค์รู้สึกเจ็บให้ได้เท่าหม่อมฉันตอนนี้มากเลย!” อี้ชิงกรีดร้องออกมาอีกครั้ง มือบางยกขึ้นทุบไหล่กว้างอย่างไม่แรงนักเท่าคำที่พูด


              “ข้าขอโทษ ... ขอโทษจริงๆอี้ชิง” ยิ่งพูดก็ยิ่งกอดแน่น อี้ชิงส่ายหน้าขัดขืนแต่อู๋ฟานก็ไม่ยอม


              “ขอโทษหรือ ... ได้หม่อมฉันจะให้โทษพระองค์เสียตอนนี้เลย!!” อี้ชิงผลักอู๋อี้ฟานออกจากตัวอย่างแรงก่อนจะหันกลับไปที่เตียงคว้ากระเป๋าใบเล็กของตนออดก่อนจะชักกริชที่พกเป็นอาวุธติดกายขึ้นมาชี้หน้าขู่คนตรงหน้า


              “อี้ชิง!


              “นี่แหละคือโทษที่พระองค์สมควรจะได้รับ!” ร่างบางถือกริชชี้ไปที่ตำแหน่งหัวใจอย่างไม่คลาดเคลื่อน มือบางสั่นระริกความคิดความแค้นมากมายตีสุมอยู่ในอก สองมือกำกริชสวยแน่น อดคิดโมโหคนตรงหน้าไม่ได้ว่าทำไมต้องยืนนิ่งไม่ยอมหลบไปทางไหนอย่างนั้น


              “เอาเลยถ้าเจ้าฆ่าข้าแล้วเจ้าจะสบายใจขึ้น” ไม่ว่าปล่อยอู๋อี้ฟานขยับเข้ามาจับมือเล็งตำแหน่งให้กริชตรงกับหัวใจให้แม่นเสียเองด้วย


              “พระองค์!


              “จะรอช้าอะไรอยู่เล่า เจ้ารีบๆฆ่าแล้วก็รีบๆหนีออกไป อย่างไรเสียก็ไม่มีใคนตามหาเจ้าเจอเพราะ
    เจ้าปลอมตัวมา” เสียงทุ้มกล่าวขึ้น สายตาคมกล้ามองคนตรงหน้าอย่างสั่นไหวหากแต่ก็แน่วแน่ แววตาที่จางอี้ชิงไม่เคยเห็นมากก่อนตั้งแต่ได้รู้จักกับอู๋อี้ฟาน


              แววตาแห่งความเจ็บปวด...


              “ฮึก” ร่างบางกลั้นสะอื้นก้อนใหญ่ ความคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้แทรกเข้ามาในหัวใจอีกครั้ง


              ฉึก!


              ร่างบางเบี่ยงเปลี่ยนเป้าหมายจากแทงที่หัวใจกลายเป็นบาดกริชนั่นลงบนแขนล่ำๆให้เป็นรอยลึก


              เพล้ง!


              กริชด้ามสวยร่วงหล่นลงพื้นแทบจะในทันที ร่างบางรีบเข้าประคองร่างสูงและขอดูแผลที่ตัวเองเป็นคนทำด้วยอาการตกใจ และภาพแผลที่เห็นก็ยิ่งทำให้ร่างบางตกใจมาก ที่ต้นแขนขวานั้นมีแผลลึกยาว เลือดสีแดงก็ไหลออกมาไม่น้อย บางส่วนก็หยดลงบนเสื้อจนเปื้อนเป็นวงกว้าง


              “หม่อมฉัน ... ฮึก ... ทำแผลให้” ร่างบางเอ่ยว่าก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องลงไปขออุปกรณ์ทำแผลแล้วรีบขึ้นมา


              “ไม่เป็นไร ข้าทำเอง” ท่าทีหวาดกลัวและมือสั่นๆของร่างบางทำให้ร่างสูงเดาได้ไม่ยากว่าคงเกิดจากอาการที่กลัวเลือดเป็นแน่ “แผลแค่นี้ ไกลหัวใจจะตาย ข้าทำเองได้เจ้าไม่ต้องห่วง”


              “ไม่ได้! หม่อมฉันต้องรับผิดชอบ ฮึก ... หม่อมฉันเป็นคนทำให้พระองค์เจ็บแบบนี้” อี้ชิงยิ่งร้องไห้หนัก ใบหน้าขาวซีดลงมากกว่าครึ่ง ท่าทางจับยาผิดจับยาถูกนั่นทำให้อู๋อี้ฟานต้องรวบมือขึ้นมา


              “เจ้าไม่ได้เป็นคนทำให้ข้าเจ็บ ข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าเจ็บ และทำให้ข้าเจ็บเอง ... เจ้าอยู่เฉยๆเถิด ข้าจัดการทำแผลเองได้”


              “แต่...”


              “แค่เจ้านั่งอยู่ข้างๆก็พอแล้ว” ร่างบางพยักหน้าตอบรับช้า พยายามจ้องมองไปที่บาดแผลทุกครั้งเวลาที่อู๋ฟานแตะมัน แต่พอมีเลือดไหลออกมาเพิ่มก็ต้องเบือนหน้าหนี รู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียน


              “เสร็จแล้ว” อู๋ฟานเอ่ยบอกกับอีกคนที่หนีออกไปนั่งไกลๆให้เดินเข้ามา ร่างบางรีบเข้ามาจับดูบาดแผลนั่นเมื่อเห็นว่ามันไม่มีเลือดซึมออกมาให้เห็นแล้วก็โล่งใจ


              “พระองค์เห็นหม่อมฉันจ่อกริชจะฆ่าพระองค์เช่นนั้น ทำไมไม่ถอย เจ็บตัวเลยนะเพคะ” ร่างบางเอ่ยพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองอู๋อี้ฟานให้ชัดๆ น้ำเสียงติดสะอื้นกับน้ำตาที่ไหลออกมาอีกระรอกทำให้อู๋ฟานต้องยกมือขึ้นปาดมันทิ้งไป


              “ร้องไห้ทำไม” เอ่ยถามพร้อมกับเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน


              “เพราะพระองค์ต้องเจ็บเพราะหม่อมฉัน แล้วพระองค์ก็ไม่ได้โกรธหม่อมฉัน” ร่างบางก้มหน้าเอ่ยตอบเสียงเบา


              “ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะตัวข้าเอง” ร่างสูงเชยคางให้ร่างบางเงยหน้าขึ้นมาสบตากันชัดๆ ท่าทางร้องไห้สะอึกสะอื้นของร่างบางทำให้ร่างสูงรู้สึกว่าร่างบางตรงหน้าดูน่ารักน่าทะนุถนอมมากเข้าไปอีกขั้น


              “ไม่ ... หากข้าไม่โกรธจนระงับสติตัวเองไม่ได้ พระองค์ก็จะไม่...”


              “ไม่หรอก อย่างน้อยวันนี้เจ้าก็ทำให้ข้ารู้ว่าทุกสิ่งที่เจ้าพูดมา เจ้าทำได้จริงทั้งสิ้น ... รู้หรือไม่เจ้าหนะเป็นพระชายาในฝันของข้าเลยนะ” อู๋ฟานพูดปลอบอี้ชิงเงียบนิ่งไปสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับอู๋อี้ฟานอย่างจริงจัง


              “หม่อมฉันก็เป็นคนพูดจริงทำจริงอย่างนี้หละเพคะ ... หม่อมฉันบอกแล้วว่าหม่อมฉันจะทำให้ไม่อยู่เป็นสุข หม่อมฉันก็ทำจริงๆ”


              “ข้ารู้...”


              “แต่ต่อไป พระองค์อย่าทรงทำแบบนี้อีกได้หรือไม่เพคะ ... อย่าทรงพบเจอนางโลมนั่น อย่ามาพลอดรักให้หม่อมฉันได้เห็น แล้วอย่ามาแสดงความเป็นห่วงใครมากกว่าหม่อมฉันต่อหน้าหม่อมฉันอีก”


              “....”


              “ถ้ามีคราวหน้าหม่อมฉันไม่ยอมแล้วนะเพคะ ... ครั้งนี้ถือว่าหม่อมฉันจะอภัยให้”


              “....”


              “หม่อมฉันยอมเปิดใจให้กับพระองค์แล้วนะเพคะ อย่าทำให้หม่อมฉันต้องผิดหวังอีกเลยนะเพคะ ... ถือว่าหม่อมฉันขอร้อง”


              !!!

     

     
     

    “อั่ก” เสียงครวญจากคนที่พยายามลุกขึ้นจากเตียงนอนดังขึ้น ทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาต้องรีบวิ่งมาประคอง
     

    “เจ้ายังไม่หายดี” ว่าเอ็ดให้ทีจนคนถูกประคองนั่นปัดมือออกและพยายามลุกขึ้นด้วยตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผล บาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ครั้งที่แล้วหนักเอาการ ไม่รู้จะต้องพักฟื้นตัวนานเท่าใดถึงจะหายเป็นปกติเหมือนเดิม
     

    “แล้วจะให้ข้ารอให้หายดี แล้วปล่อยให้คนที่ข้ารักเริ่มมอบความรักให้กับไอ้มนุษย์บ้านั่นอย่างนั้นหรือ!
     

    “เซฮุน...”
     

    “ชานยอล! ปล่อยข้า ข้าไม่มีวันยอมนั่งนิ่งมองอี้ชิงมีความสุขกับมันแบบนี้แน่ๆ” เซฮุนพยายามปัดมือของชานยอลสหายคนเดียวในโลกแห่งความมืดนี่ออก
     

    “เอาเลย!” ชานยอลตวาดอย่างหมดความอดทน เซฮุนเป็นคนดื้อแค่ไหนเขารู้ดี ยิ่งเวลามีความแค้นที่สุมอกร้อนรนจนทนไม่ได้แบบนี้แล้วเซฮุนก็จะยิ่งดื้อคูณสอง!
     

    “อั่ก!” ฝืนตัวเองให้เดินออกห่างจากเตียงเพียงนิดก็กระอักเลือดขึ้นมาจนต้องล้มลง ร้อนถึงชานยอลต้องมาประคองให้เซฮุนมานอนอยู่ที่เตียงเหมือนเดิม
     

    “เจ้ามันดื้อ ข้าบอกเท่าไหร่ถึงจะฟัง ... พลังนี้ของลู่หานข้าเองก็เคยโดน มันไม่มีทางหายได้ในเร็ววันแน่ๆ”
     

    “แต่ข้าต้องหาย!
     

    “ยิ่งฝืนก็จะยิ่งไม่หาย ... พลังมืดเช่นเจ้าไม่มีทางสู้พลังสว่างอย่างลู่หานได้! คนที่มีความคิดแต่จะทำลายกับคนที่มีความคิดแต่จะปกป้อง พลังมันต่างกันมากแค่ไหนเจ้าย่อมรู้ดี”
     

    “แต่ข้า....”
     

    “ฝืนไปก็เท่านั้น สู้เจ้านอนลงนับวันรอที่อาการเจ้าจะดีขึ้นดีกว่า” ชานยอลเอ่ยบอกเพื่อนอย่างมีประสบการณ์ คราวที่แล้วที่เขาพยายามจะไปแย่งวิญญาณของบยอลเพคฮยอนคนรักของเขามาจากลู่หาน เขาเองก็เคยโดนพลังปกป้องเช่นนี้ของลู่หานเหมือนกัน เรียกได้ว่าสภาพสะบักสะบอมแย่ไม่ต่างจากเซฮุนมากเท่าไร นอนนิ่งรักษาตัวเองอยู่นานกว่าจะหายดีเป็นปกติ
     

    การที่ยมทูตเช่นพวกเขาจะชนะพลังของเทวดาอย่างลู่หานมันเป็นไปไม่ได้เลย การที่จะเอาชนะลู่หานได้มันมีแค่เพียงเล่ห์กลที่ต้องหลอกให้ลู่หานหลงกลเท่านั้น!
     

    เช่นเดียวกันกับเขา กว่าจะได้พยอนเบคฮยอนมา ก็ต้องหลอกล่อลู่หานจนแทบทุกกลวิธี ... กว่ามันจะสำเร็จ!
     

    “ข้าจะฆ่ามัน!” ยิ่งพูดเซฮุนก็ยิ่งเจ็บปวด เลือดสีดำค่อยๆไหลออกมาจากปาก จมูก และบาดแผลเหวอะหวะที่มือ ยืนยันได้เป็นอย่างดีกว่าพลังปกป้องที่ลู่หานฝังอยู่ในตัวเซฮุนเริ่มทำงานขึ้นอีกแล้ว
     

    “ก่อนที่เจ้าจะได้ฆ่าลู่หาน เจ้าต้องตายก่อนแน่ๆ”
     

    “ข้าไม่มีวันตาย!
     

    “เหอะ! อะไรๆมันก็ไม่แน่นอน เจ้าอย่านอนใจมากไปเลยเซฮุน คนเป็นยมฑูตใช่ว่าจะไม่มีวันตาย”
     

    “ข้ารู้ ... แต่ข้าจะไม่มีวันตายก่อนมัน ถ้าข้ายังไม่ได้ฆ่ามันแล้วเอามันมาเป็นทาสของข้า ... อ๊าก!!!” เซฮุนร้องดังด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ชานยอลส่ายหัวด้วยจนปัญญา
     

    “หยุดพูดถึงลู่หานเถิดเซฮุน พลังที่ลู่หานฝังอยู่ในตัวเจ้า มันทำให้ลู่หานทั้งได้ยินและได้รู้ความคิดของเจ้าทั้งหมด ลู่หานจะสั่งให้เจ้าเจ็บปวด ให้เจ้าทุรนทุรายเมื่อไหร่ก็ได้” ชานยอลเตือนอย่างนึกห่วง เห็นเซฮุนดิ้นไปดิ้นมาแบบนี้ก็อดคิดที่ถึงความเจ็บปวดที่ตัวเคยได้รับไม่ได้

     

    มันทรมานเหมือนร่างกายจะแตกสลาย


              “ถือว่าข้าขอร้องนะเซฮุน เจ้าดับความโกรธแค้นในใจที่มีต่อลู่หานตอนนี้เถิด เทวดาผู้นั้นข้าเองก็รู้จักดี หากเจ้ารู้สึกสำนึกผิด เขาก็จะไม่เอาโทษเจ้า”


              “ไม่มีทาง!!!


              “เจ้าจะได้คลายทรมาน ... ข้าขอร้อง”


              “ไม่! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะ ฆ่ามันให้ได้ ด้วยมือของข้า ... อ๊าก!!!” เซฮุนร้องดิ้นหนักอีกครั้ง ร่างที่ส่ายไปส่ายมาของเพื่อนทำให้ชานยอลทำอะไรไม่ถูก เรื่องแบบนี้ไม่มีใครช่วยเซฮุนได้นอกจากตัวเซฮุนเอง หากไม่รู้จักระงับความแค้นภายในใจที่มีต่อลู่หาน ลู่หานเองก็จะไม่ยอมปล่อยสั่งสอนเซฮุนอยู่อย่างนี้จนเจ็บเจียนตาย


              “อึก!” เสียงครวญครางดังออกมาครั้งสุดท้ายก่อนที่เซฮุนจะสลบไป ชานยอลอดมองดูอย่างอดเวทนาไม่ได้ ค่อยๆประคองตัวเพื่อนให้กลับมานอนอยู่ที่เดิม สภาพบนเตียงของเซฮุนตอนนี้เรียกว่าเข้าขั้นดูไม่ได้ สภาพที่นอนที่ยับยุ่งเหยิง คราบเลือดสีดำที่เปรอะเปื้อนผ้าปูเป็นวงกว้าง


              แอ๊ดดด...


              เสียงประตูเปิดทำให้ชานยอลต้องหันไปมอง ปรากฏเป็นร่างบางตัวขาวซีดที่คุ้นตา สายตาเหม่อลอยนั้นไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ดูแล้วคล้ายตุ๊กตาไร้ชีวิตก็ไม่ปาน สองขายาวสวยค่อยๆก้าวเข้ามาหาชานยอลที่นั่งอยู่ที่เตียงช้าๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้า

     

    “เบคฮยอน”

     

    “....” ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากสายตาที่หันมามองเพียงครู่เท่านั้น

              “เจ้าไม่ควรเดินเข้ามาที่นี่” ละออกจากเพื่อนแล้วเข้าประคองร่างบางที่กำลังจะล้มพับลงในไม่ช้า

     

    “ขอบ...” เสียงตอบกลับมีเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบลงพร้อมกับแรงหอบหายใจ ชานยอลเองก็พอเดาๆได้ว่าเบคฮยอนต้องการที่จะบอกกับเขาว่าขอบคุณ


              ตลอดเวลา 5 ปีที่เขาแย่งชิงดวงวิญญาณของเบคฮยอนคนรักของเขาจากลู่หานมา มันทำให้เขาพอที่จะได้เรียนรู้ว่า การกระทำ หรือคำพูดเพียงคำเดียวของเบคฮยอนมันหมายความว่าอย่างไร


              สำหรับตัวชานยอลเอง เขาก็เคยเป็นเหมือนกับเซฮุน เป็นยมทูตที่มีแต่ความแค้น เป็นยมทูตที่มีแต่ความหลงงมงายอยู่แต่กับความรักที่ต้องการเป็นเจ้าของ ชีวิตในตอนนั้นของเขาช่างต่างกับชีวิตในตอนนี้เสียเหลือเกิน


              ตอนนี้ชานยอลเหมือนเป็นยมทูตที่อยู่เพื่อความรัก อยู่เพื่อการรอคอยคนรัก และอยู่เพื่อการชดใช้ให้กับความรัก ... เขารู้แล้วว่าการได้เป็นเจ้าของโดยฝืนธรรมชาติ ฝืนอายุไขของเบคฮยอนมันเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาได้ตัวของเบคฮยอนมาแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเลยเมื่อเทียบกับแต่ก่อนตอนที่เบคฮยอนยังเป็นมนุษย์ เขาได้ทั้งหัวใจ ได้ทั้งความสุข ได้ทั้งความสดใสร่าเริงของเบคฮยอน ไม่เหมือนตอนนี้ ที่เขาได้มาแต่ตัวที่ไม่มีแม้แต่หัวใจ หรืออาจจะมีแต่เพราะวิญญาณที่ถูกพรากมาก่อนวัยอันควรทำให้เบคฮยอนไม่สามารถที่จะแสดงออกตามใจต้องการได้


              เหมือนชานยอลเอาคนรักมาทรมานก็ไม่ปาน...


              “เซฮุน ... ที่ข้าเตือนเจ้า เพราะข้าไม่อยากให้เจ้ารู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นเหมือนข้า ข้าไม่อยากให้อี้ชิงต้องมาทนทุกข์แบบเบคฮยอน และข้า ... ก็ไม่อยากให้เจ้าทำบาปเพิ่มด้วยการที่ทำร้ายหัวใจของเจ้าเองอย่างลู่หานเลย”


              !!!!


              “อั่ก!” เลือดแดงบริสุทธิ์ค่อยๆไหลหลั่งออกมาจากริมฝีปากบางช้าๆ ความเจ็บปวดแล่นเข้าทั่วสรรพางค์กาย ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดออกมามองภาพเบื้องหน้าช้าๆพอให้ได้เห็นชัดเจน


              “ท่านพ่อ...”


              “เจ้ามันเด็กดื้อลู่หาน!


              “ท่านแม่...”


              “ต้องให้แม่บอกเจ้ากี่ครั้งถึงจะจำ อย่าใช้พลังให้มันพร่ำเพื่อ เจ้าควรเก็บมันทั้งหมดไว้เพื่อต่อพลังชีวิตให้ตัวเจ้าเองมันถึงจะถูก!


              “แต่ข้าต้องปกป้องอี้ชิง...” ร่างบางเอ่ยบอกพ่อกับแม่ด้วยแววตามุ่งมั่น เมื่อสักครู่ลู่หานใช้พลังในการจัดการกับตัวปัญหาอย่างเซฮุนไปมากพอสมควร คนอย่างเซฮุนถ้าไม่จัดการให้เจ็บจนตายก็ไม่มีวันที่จะสำนึกได้!


              “ข้าต้องฆ่ามันให้ตาย ก่อนที่มันจะฆ่าข้าท่านพ่อท่านแม่!” คำบอกกล่าวของลู่หานทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่ถอนหายใจ


              “เฮ้อ ... แม่ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเจ้าดีลู่หาน หากเจ้ากับเซฮุนยังคงเคียดแค้นต่อสู้กันต่อไป เรื่องราวความบาดหมางนี้จะต้องไม่มีวันจบแน่ๆ”


              “ไม่! ท่านแม่ ... ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เซฮุนต่างหากที่เป็นคนหาเรื่องข้า ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจมาถึงปัจจุบันว่าทำไมเซฮุนถึงชิงชังข้านัก” พูดแล้วลู่หานก็ทำหน้ามุ่ยจนคนเป็นแม่อดไม่ได้ที่จะนั่งลงไปกอดและลูบหัวอย่างเอาใจ


              “แม่เคยบอกเจ้าแล้ว คนเราต่อให้เกิดเป็นอะไร เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นสัตว์ หรือเป็นยมฑูต เราก็ต่างไม่ได้เกิดมาเพียงแค่ชาตินี้เพียงชาติแรก หากแต่เราเกิดมากันแล้วหลายภพหลายชาติ เป็นอะไรมาแล้วก็ตั้งมากมาย ... เพียงแค่เราจำมันไม่ได้เลยเท่านั้น” ลู่หานเงยหน้าขึ้นมอง คำสอนนี้เขาจำได้แม่มักจะพูดให้เขาฟังตั้งแต่เล็กๆเสมอ


              “ข้าเข้าใจความหมายของท่านนะท่านแม่ แต่ข้าไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับข้าและเซฮุนอย่างไร” คิดอย่างไรลู่หานก็ยังคิดไม่ออก ท่านแม่อยากจะบอกอะไรทำไมท่านแม่ไม่ยอมพูดตรงๆ ท่านพ่อก็อีกคนพอเขาถามเรื่องนี้ทีไรก็ไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรทั้งสิ้นเลย


              “เอาเถิดมันคงยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าต้องรู้ ... แต่ลู่หานลูกแม่ เจ้าสัญญากับแม่ได้หรือไม่ ว่าต่อไปนี้ เจ้าจะไม่ไปยุ่งกับเซฮุนอีก เจ้าจะเลิกอาฆาตเซฮุนได้แล้ว” พอได้ยินแม่พูดอย่างนั้นลู่หานก็ผลักตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของแม่ ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบ


              “ข้าจะให้สัญญากับท่านแม่เรื่องนี้ไม่ได้หรอก ตราบใดที่เซฮุนยังจ้องที่จะเอาชีวิตข้าและจางอี้ชิงคนที่ข้าต้องปกป้องอยู่”


              “ทำไมหละลูก ทีกับชานยอลลูกยังให้อภัย เขาก็เอาชีวิตของเบคฮยอนคนลูกต้องปกป้องไปเหมือนกัน” ลู่หานส่ายหน้า


              “ไม่เหมือนกันหรอกท่านแม่ จิตใจของชานยอลบริสุทธิ์มากกว่าจิตใจที่มีแต่ความคั่งแค้นของเซฮุน ชานยอลสำนึกผิดและได้ชดใช้ความผิดที่ได้ก่อไปแล้ว ... ข้าเองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องผูกใจเจ็บแค้นกับชานยอลอีก”


              “แต่...”


              “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านทั้งสองเป็นห่วงข้ามากถึงได้มาโน้มน้าวข้าเรื่องนี้ ... แต่ข้าเองก็อยากบอกท่านทั้งสองไว้ด้วยว่า ความแค้นของข้ากับเซฮุนไม่มีทางจบได้สวยงามเหมือนกับความแค้นของข้าและชานยอลแน่ๆ”

              “แต่ลู่หาน ... แม่และพ่อเชื่อว่าลูกทำได้” ลู่หานส่ายหน้าอีกครั้ง


              “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันท่านแม่ ที่ข้าถลำลึกลงไปกับความแค้นที่เซฮุนมอบให้ข้า ... รู้ตัวอีกที ข้าก็รู้แล้วว่า สำหรับข้าและเซฮุนหากไม่มีผู้ใดตายจากไปด้วยน้ำมือของใครอีกฝ่าย ความแค้นเหล่านี้มันจะไม่มีทางจบได้อย่างใจท่านแม่ต้องการแน่ๆ”


              “ลู่หาน...”


              “ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตาที่ลิขิตเถิดท่านแม่ ... ข้าเองก็ไม่รู้จะฝืนมันไปทำไม แต่ท่านทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วงข้านะ ข้าดูแลตัวเองได้ ข้าจะไม่ยอมให้เซฮุนได้ฆ่าข้าก่อนที่ข้าจะฆ่าเขาแน่ๆ ... ข้าไม่ทางยอม!” สิ้นเสียงคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็หันมองกันอย่างหนักใจได้แต่ภาวนาว่าขอให้ความแค้นครั้งนี้ไม่ได้จบลงโดยการให้ลูกของพวกเขาเป็นฝ่ายที่ต้องสละชีวิตจากไปเลย


              ลู่หานกับเซฮุน ความแค้นที่สั่งสมมานานเป็นร้อยกว่าปี



              ความแค้นที่มีเพียงเซฮุนเพียงคนเดียวที่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร


              ความแค้นที่มีเพียงเซฮุนเพียงคนเดียวที่รู้ว่าจะหยุดมันได้


              ความแค้นที่มีเพียงเซฮุนเพียงคนเดียวที่จะตัดสินใจว่าจะทำร้ายหรือจะยอมให้อภัยกับคนที่เคยเป็นดั่งดวงใจของตนเอง!!
     





     







     

    -ครบ-



    TALK :: มาต่อครบ 100 เปอร์แล้วนะคะ ดีใจมั๊ย ^^ (ใครดีใจ) จริงๆชื่อตอนนี้ เปิดใจยอมรับ มันต้องดูหวานๆสิ ไม่ใช่มาเลือดสาด(?)แบบนี้

    ตอนนี้ก็มาครบทั้งฮุนฮานทั้งคริสเลย์เลย ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันมั๊ย รีบๆแต่งพยายามจะลงให้ทันวันนี้ให้ได้ แล้วมันก็ทัน (ฮ่าๆ)

    สำหรับอดีตของฮุนฮาน มันก็จะค่อยๆโผล่มาเรื่อยๆหละนะ คู่นี้ไม่รีบมากช่วงแรกๆ ปล่อยให้คริสเลย์เขาปล่อยของกันไปก่อน 555

    จริงๆตอนแรกจะให้อาอี้โหดกับเจ้าชายอู๋มากกว่านี้นะ แต่ว่าเดี๋ยวมันจะหลุดคอนเซปไม่ได้ๆ ตอนแรกแต่งเล่นตามใจตัวเองมากไปหน่อย แต่อาลู่กับน้องฮุนนี่ ยังแรงใส่กันได้อีก(รึเปล่า) แค่นี้ก็สงสารน้องฮุนจะแย่โดนที่ลู่ทำร้ายให้เจ็บตัวตลอด  ><

    ถ้ามีเขียนผิดยังไงก็บอกได้นะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะกลับมาแก้ ยังไม่ได้ตรวจทานเลย แต่งเสร็จแล้วลงสดๆเลย ^^

    ปล. ช่วยติชมหน่อยนะคะ เราจะได้รู้ว่าอะไรต้องแก้ไข ตรงไหนไม่ดี หรือว่ามันสนุกหรือเปล่า ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×