ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Exo] ราชินีบัลลังก์ทอง (KrisLay,HunHan)

    ลำดับตอนที่ #4 : ELISABETH 02 : งานเต้นรำ (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 10 เม.ย. 56














     

     

    พระชายา ได้โปรดอยู่นิ่งๆเถิดเพคะ พวกหม่อมฉันจะได้ขัดตัวให้ง่ายๆ”

    เสียงแหบติดจะแหลมของหญิงล่วงวัยชราเอ่ยขึ้นร้องขอพระชายาให้นั่งอยู่นิ่งๆ ตอนนี้สาวใช้ที่ทำหน้าที่ขัดตัวต่างก็ต้องเข้าไปนั่งอยู่ในอ่างใหญ่ด้วยทั้งนั้น เพราะพระชายาของพวกเธอไม่ยอมให้ขัดตัวได้ง่ายๆ ดิ้นพล่านเสียจนน้ำกระชอกออกไปด้านนอกจนหมด

    ที่จริงแล้วตามกฎในพระราชวังสาวใช้เหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เข้าร่วมการขัดตัวให้พระราชวงศ์ในอ่างอาบน้ำ

    แต่กับพระชายาแสนดื้อ ถือเป็นข้อยกเว้น!


                    “ไม่ อ๊ะ อย่ามาถูสิ ... โอ้ยเจ็บ! เบามือหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร!


                    “ไม่ได้เพคะ หม่อมฉันเคยขัดให้เจ้าหญิงเช่นนี้ เจ้าหญิงยังไม่บ่นสักคำเลยนะเพคะสาวใช้คนหนึ่งว่า


                    “แต่ข้าไม่ใช้เจ้าหญิง! ผิวข้ายังบอบบางนัก รับความเจ็บขนาดที่เจ้าถูไม่ได้หรอก!อี้ชิงยังดิ้น


                    “แต่ถึงอย่างไร พระชายาก็ต้องทนนะเพคะ ท่องไว้ว่าเพื่อเจ้าชาย เพื่อเจ้าชายนะเพคะ วันงานเลี้ยงเต้นรำพระชายาจะสวยน้อยกว่าคนในงานไม่ได้นะเพคะพอสาวใช้พูดจบอี้ชิงก็ถลึงตาใส่ทันที


                    “ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้าชาย! แล้วข้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสวยเพื่องานเต้นรำครั้งนี้ด้วย โอ๊ย หยุดขัดสักที!!!” อี้ชิงตวาดว่าเสียงดัง สาวใช้ทุกคนมองอี้ชิงอย่างหวาดๆก่อนจะหันมามองกันอย่างยิ้มๆ

    ก่อนหน้านี้คุณพระนมได้บอกพวกเธอว่า เจ้าชายกับพระชายามีเรื่องให้เข้าใจผิดกันนิดหน่อย ดังนั้นพวกเธอเลยสงสัยว่าที่พระชายาโมโหคงจะเป็นเพราะไปพูดอะไรเรื่องเจ้าชายให้ไม่ถูกหูกระมัง

    พระชายาของพวกเธอ น่ารักที่สุดเลย ^^

    บรรดาสาวใช้ช่วยกันนั่งขัดตัวปะทินผิวของอี้ชิงอยู่สักพัก คุณพระนมก็เข้ามาและบอกให้พวกเธอพาพระชายาไปแต่งตัวเพราะต่อไปต้องไปเรียนมารยาทบนโต๊ะอาหาร อี้ชิงอิดออดอยู่เล็กน้อย

    วันทั้งวันนี้เธอยังไม่ได้อยู่เฉยๆเพื่อได้พักบ้างเลยนะ!

    ร่างบางเดินจ้ำๆออกมาจากห้องตามคุณพระนมที่เดินนำหน้าคุมไม่ให้เธอได้แอบหนีไปไหน นี่ยังมีสาวใช้เดินคุมข้างซ้าย ข้างขวา และข้างหลังด้วยอีกนะ!

     “ถวายพระพรเจ้าชายอู๋อี้ฟาน

    เสียงของพระนมทำให้สาวใช้ทุกคนต้องเลิกสนใจพระชายาอี้ชิงและหันมาทำความเคารพให้เจ้าชาย ทุกคนก้มหัวเคารพตามขนบธรรมเนียมในวัง มีเพียงแต่อี้ชิงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนนิ่งไม่ยอมทำตามใคร ร้อนถึงพระนมต้องกระซิบบอก

     “พระชายา ..... ทำความเคารพเจ้าชายสิเพคะ

    เสียงกระซิบแกมบังคับของพระนม ทำให้อี้ชิงต้องหันมาและทำความเคารพไปแบบลวกๆ พระนมเองก็ตีเข้าที่แขนของอี้ชิงอย่างเต็มแรง พลางบอกให้เริ่มทำใหม่ ให้ทำตามแบบที่เพิ่งจะได้สอนมา

    อี้ชิงหันมองอู๋ฟานที่ยืนนิ่งมองอย่างไม่พอใจ น้ำตาที่คลออยู่ที่หน่วยตาเพราะโดนคุณพระนมดุก็เริ่มจะไหลอออกมาอย่างห้ามไม่ไหว

    ความรู้สึกน้อยใจตีตื้นขึ้นมาหมด

    ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!

    ตั้งแต่เข้ามาในวังมาอี้ชิงจำได้ว่าเธอยังไม่ได้หยุดพักผ่อนที่จะเรียนรู้อะไรต่างๆเสียบ้าง เธอต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ตื่นเช้ามา จนถึงเวลาพลบค่ำ เวลาให้พักได้ทำอะไรตามใจอยากก็ไม่เคยมี หนำซ้ำผู้คนที่สามารถจะเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยกับเธอได้ก็ไม่มี บรรดาสาวใช้ที่อยู่ข้างกายของเธอตอนนี้ ก็เอาแต่จ้องบังคับให้เธอทำนั่นทำนี่ ตามอย่างที่คุณพระนมสั่งมา

    อิสระของเธอหายไปไหนกัน!

     “พระชายาคุณพระนมเรียกด้วยเสียงต่ำอีกครั้ง แต่อี้ชิงก็ไม่ยอมทำ ยิ่งมองไปที่คนตรงหน้าอี้ชิงก็ไม่อยากทำ

    ตั้งแต่เข้าวังมา เธอก็ยังไม่เห็นอู๋ฟานจะได้ทำอะไรที่ลำบากอย่างเธอเลย มากที่สุดก็เพียงแค่ได้เดินไปเดินมาภายในรั้ววังเท่านั้นเอง!

    ช่างเถอะพระนม

    ไม่ได้เพคะ จะให้ปล่อยผ่านไม่ได้ หากตามใจแบบนี้ต่อไป พระชายาอาจจะจะถูกนินทาภายในวังได้นะเพคะ

    แต่อี้ชิงเป็นเพียงแต่กับข้า ไม่เป็นไรกระมังอู๋ฟานเถียงให้ ริ้วรอยความไม่พอใจเริ่มปรากฏให้เห็นชัด

    เป็นสิเพคะ!แต่พระนมชัดกว่า

    พระนม!อู๋อี้ฟานเอ่ยเรียกเสียงต่ำ พระนมกำลังจะเงยหน้าขึ้นเถียงต่อ แต่สายตาที่อู๋อี้ฟานส่งมา ทำให้เธอต้องยอมหยุดปากไม่พูดอะไรด้วยความไม่เต็มใจ

     “ข้าขอตัวพระชายาของข้าแล้วกันวันนี้อู๋ฟานเอ่ยขอพร้อมทั้งเอื้อมมือไปดึงให้อี้ชิงมายืนข้างตน

    เดี๋ยวก่อนสิเพคะ พระชายายังไปที่ไหนไม่ได้ พระชายาต้องเรียนมารยาทบนโต๊ะอาหาร และมารยาทการดื่มน้ำชาเสียก่อน บทเรียนของวันนี้ถึงจะจบคุณพระนมค้าน แต่อู๋ฟานก็ยังนิ่งไม่ปล่อยมือ

    บทเรียนนั้นยากเกินไป ข้าคิดว่าพระชายาคงจะเรียนไม่ไหวในวันนี้

    แต่...

    พระนมไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ ข้าบอกว่า วันนี้ พระ-ชา-ยา-ของ-ข้า คงจะเรียนบทเรียนทั้งสองนี่ไม่ไหวอู๋ฟานว่าทั้งเน้นย้ำให้ชัดเจนว่าใครมีสิทธิ์ในตัวอี้ชิงมากกว่าใคร พระนมได้ยินอย่างนั้นก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้ายอมรับให้เจ้าชายอู๋อี้ฟานเดินจูงมือพระชายาเดินจากพวกเธอไป ... คุณพระนมมองตามจนลับตา

    หวังว่าเจ้าชายคงจะปราบพยศของพระชายาได้อย่างราบคาบนะ

    เพราะพวกเธอเหนื่อยแล้วจริงๆ!

    อู๋ฟานกำลังเดินลากคู่หมั้นของตัวเองเดินไปตามทางเดินของพระราชวัง ไม่ว่าจะมองไปทางซ้ายหรือทางขวาก็เจอแต่บรรดาสาวใช้ และทหารเดินกันให้ขวักไขว่เต็มไปหมด อาจจะเป็นเพราะว่าต้องช่วยกันจัดงานเต้นรำที่จะมีขึ้นภายในอาทิตย์หน้า ทั้งดอกไม้ และผ้าตกแต่งสีสัน ถูกติดแปะไปทั่วทิศทาง

    มีอะไรอู๋ฟานหันไปถามเมื่ออี้ชิงพยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุม

     “หม่อมฉันเดินเองได้เพคะ

    ใช่ เจ้าเดินเองได้ แต่เดินไม่ถูกทางหนะสิ .... ให้ข้าจับมือเดินหนะถูกแล้ว

    ไม่ได้ มีแต่คนมองนะเพคะ!อี้ชิงค้าน

    มองก็ช่างปะไร เจ้ากับข้าเป็นคู่หมั้นกัน จับมือกัน กอดกัน มันไม่ใช่เรื่องเสียหายแล้วตอนนี้

    เจ้าชายเข้าใจหม่อมฉันหน่อยสิเพคะ หม่อมฉันไม่ชอบจับมือกับพระองค์!” อี้ชิงว่าเสียงดังอย่างขัดใจ

    รีบเดินเถอะน่า ยิ่งเจ้าเดินช้าคนก็ยิ่งจะมองไม่รู้หรืออย่างไร? ... แต่ข้าจะบอกอะไรให้นะอี้ชิงคนพวกนั้นไม่ได้มองที่ข้ากับเจ้าจับมือกันหรอกนะ

    แล้วมองอะไร?” อี้ชิงถามอย่างสงสัย อู๋ฟานหยุดเดินก่อนจะหันหน้ามามองหน้าของอี้ชิง มือหนายกขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่กำลังไหลออกมาข้างแก้มออกให้เบาๆ

    นี่ไง เหตุผลที่ทำให้คนมอง เจ้ารู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าเจ้ากำลังร้องไห้ รีบเดินตามข้าให้ไปที่ลับสายตาคนเสีย พอถึงที่นั่นแล้วเจ้าจะร้องไห้ได้มากเท่าไหร่ก็ย่อมได้ ..... แต่ไม่ใช่ตรงนี้อู๋ฟานบอกเจือความห่วงใย อี้ชิงตกใจรีบปาดน้ำตาทิ้งหากแต่ยิ่งปาดเท่าไหร่มันก็ยิ่งไหลออกมาก่อนจะเดินตามอู๋ฟานไปอย่างไม่อิดออด

    ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากมือของอู๋อี้ฟานทำให้อี้ชิงเริ่มรู้สึกดีขึ้นกับสิ่งต่างๆรอบตัว ตั้งแต่เข้ามาในวังเธอยังไม่ได้รับคำชื่นชม ความห่วงใย หรือท่าทีให้กำลังใจจากใครสักคนเลย ทุกคนเอาแต่มุ่งจะสอนเรื่องต่างๆให้เธอ มุ่งแต่จะจับผิด มุ่งแต่จะบังคับเธอกันทั้งนั้น

    อู๋ฟานเป็นคนแรกที่มอบความห่วงใยนั้นมาให้!

    แต่เดี๋ยวก่อน

    จางอี้ชิงคนนี้ขอบอกไว้ก่อนเลย เธอไม่ได้ซึ้งไปกับความห่วงใยนั่นหรอกนะ! ความผิดของเจ้าชายอู๋อี้ฟานยังมีอยู่มากโข ถ้าหากเจ้าชายไม่ได้ลำบากเหมือนเธอบ้าง ก็อย่าได้หวังว่าจะญาติดีอยู่ด้วยกันได้เลย!

     

     

     



    หลายวันต่อมาเหมือนคำขอร้องในใจของอี้ชิงจะเป็นผล หลังจากวันนั้น วันที่อู๋ฟานลากอี้ชิงที่กำลังจะไปเรียนออกไปจากคุณพระนม  คุณพระนมก็เอาเรื่องราวต่างๆไปกราบทูลเล่าให้แก่พระราชาและพระราชินีฟัง ทั้งสองพระองค์ทรงกริ้วเจ้าชายอู๋อี้ฟานเป็นอย่างมากจนถึงขนาดเรียนมาตักเตือน

    อี้ชิงเห็นโอกาสจึงได้กราบทูลบอกเรื่องราวที่ตัวเองคิดว่าไม่ยุติธรรมสำหรับตัวเองให้ทั้งสองพระองค์ได้ฟัง เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ยินอย่างนั้นจึงได้สั่งให้แต่นี้ต่อไป เจ้าชายอู๋อี้ฟานต้องเข้าเรียนเป็นเพื่อนพระชายาจางอี้ชิงด้วยทุกครั้ง

    สมใจอี้ชิงยิ่งนัก!

    พระชายา  อีกเพียงไม่กี่วัน พระองค์จะต้องเต้นรำเพลงนี้ให้ได้นะเพคะ

    เสียงครูฝึกเอ่ยขึ้นบอกพลางสั่งให้วงออเครสตร้าเริ่มบรรเลงเพลงที่จะฝึกซ้อมให้อี้ชิงฟัง ร่างบางตั้งใจฟังบ้างไม่ตั้งใจฟังบ้างเพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอชื่นชอบ แต่ถึงกระนั้นครูฝึกก็ยังต้องทำตามหน้าที่ สอนท่าเต้นรำให้กับเธออยู่ดี

    สำหรับการเรียนการสอนของอี้ชิงถือว่ามีการเรียนรู้เรื่องการเต้นได้ดีพอสมควร ครูสอนให้เพียงแค่ครั้งเดียว อี้ชิงก็สามารถจดจำและทำท่าตามได้อย่างถูกต้อง

    เก่งเหลือเกินเพคะพระชายา ... เช่นนั้นลองเข้าคู่กันกับเจ้าชายดูเถอะเพคะ

    ห๊ะ!อี้ชิงอุทานอย่างตกใจ

    เอ่อ หม่อมฉันบอกให้พระชายาลองเข้าคู่กับเจ้าชายดู เพราะหากจะให้คู่กับเหล่าทหารวังเหล่านี้ทั้งๆที่เจ้าชายก็ประทับอยู่ที่นี่ หม่อมฉันเกรงว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ควรนะเพคะครูฝึกพยายามอธิบาย

    เอ้อ ควรสมสิ ควรมาก!อี้ชิงค้านเสียงสูง ดวงตาสวยหันไปมองเหล่าทหารที่ยืนเรียงรายทีละคนก่อนจะชี้ไปยังคนที่ตนคิดว่าถูกใจที่สุด!

    เจ้า! มาเต้นรำคู่กับข้านายทหารคนนั้นทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ก็ไม่ปานเมื่ออยู่ดีๆก็ถูกดึงตัวให้เข้ามาเต้นรำ คุณพระนมที่ยืนอยู่ห่างๆถึงกับตกใจรีบวิ่งเข้ามาตีมือจางอี้ชิงอย่างแรง

    จับต้องบุรุษอื่นที่นอกจากเจ้าชายก่อนได้หรือเพคะพระชายา หม่อมฉันสอนเรื่องนี้ไปแล้วนะเพคะ พระองค์ฟังหม่อมฉันบ้างหรือไม่เพคะ!พระนมเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ

    ฟัง! แต่นี่มันเป็นเพียงแค่การเรียนการสอนนะคุณพระนม อีกอย่างคนก็อยู่ที่นี่ตั้งเยอะแยะ แล้วข้าก็ไม่ได้จับต้องทหารผู้นี้แบบชู้สาวด้วย”

    “ถึงไม่ใช่แบบชู้สาว แล้วถ้าใครผ่านมาเห็นหละเพคะ!

    “ก็ช่างคนเห็นสิ! ไม่มีปัญญาจะคิดเรื่องดีๆก็ปล่อยเขาไป ... หากข้าจะจับต้องทหารผู้นี้แบบชู้สาวจริงๆ ข้าต้องทำในที่ลับตาคนแน่ๆ!สิ้นเสียงคุณพระนมก็ยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ

    คำพูดของพระชายาทำเอาเธอหัวใจแทบวาย สอนบรรดาเจ้าหญิงมาจนเกือบครึ่งค่อนวัง เกือบจะทั้งชีวิต เธอยังไม่เคยเห็นใครที่ฝีปากร้ายกาจไม่ยอมใคร ได้เท่าพระชายาของเจ้าชายอู๋อี้ฟานคนนี้เลย

    พระชายา ถึงหม่อมฉันจะยศน้อยกว่าพระองค์ แต่หม่อมฉันก็มีสิทธิ์ว่าและทำโทษพระองค์ได้นะเพคะ!พระนมขู่ ที่จริงเธออยากจะตีในผิวขาวๆนั่นเป็นรอยเสียด้วยซ้ำ

    หากเป็นลูกเป็นหลานเธอตีไปแล้ว!

    ก็เอาสิ! คุณพระนมอยากจะทำอะไรข้าก็เชิญ อยากจะตี อยากจะดุ หรืออยากจะว่าอะไรข้าก็เชิญ พูดกันตามจริง ข้าก็เป็นเพียงแค่สามัญชนคนธรรมดา ไอ้ตำแหน่งพระชายาอะไรนี่ หากไม่ถูกบังคับ ข้าก็ไม่มีทางรับมันเอาไว้หรอก!

    พระชายา!!!!!คุณพระนมกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง

    ร่างท้วมเซถอยหลังคล้ายว่าจะเป็นลม พวกสาวใช้ต่างก็รีบวิ่งมาประคองแทบจะในทันที อี้ชิงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระนมอยู่ไม่น้อย เธอกำลังจะเอื้อมมือเข้าไปประคองแต่กลับถูกใครบางคนดึงตัวให้ห่างออกมาเสียได้

    พอได้แล้วจางอี้ชิง! ... พวกเจ้าพาคุณพระนมไปพักผ่อนเสีย ส่วนทางนี้ข้าจะจัดการเอง!” สาวใช้น้อมรับคำก่อนจะช่วยกันพยุงคุณพระนมให้เดินไปจนลับตา

    จะไปไหน!เมื่ออี้ชิงทำท่าว่าจะสะบัดมือหนีอู๋อี้ฟานเลยถามเสียงเข้ม

    หม่อมฉันจะไปดูคุณพระนม!


    คิดสำนึกผิดขึ้นมาหรืออย่างไร? ... พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้ามีเรื่องจะต้องสะสางกับพระชายาว่าพลางหันไปสั่งกับทุกคนในห้องนั้น เมื่อมีโอกาสได้อยู่กันสองคนอู๋ฟานก็เอ่ยถามเสียงแข็ง

    เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกดื้อกับทุกคนในวังเสียที!อี้ชิงชักสีหน้าไม่พอใจ คำพูดของอู๋ฟานเหมือนกำลังจะต่อว่าตัวเธออย่างไรอย่างนั้นเลย

    หม่อมฉันไม่ได้ดื้อกับใครเสียหน่อย! หม่อมฉันเพียงแต่อยากบอกความในใจของหม่อมฉันบ้างก็เท่านั้นเองนะเพคะอู๋อี้ฟานถอนหายใจหนัก ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่รู้ตัวเลยเสียด้วยซ้ำว่าทั้งคุณพระนมและสาวใช้ประจำตัวต่างรู้สึกอย่างไรเมื่อได้มารับใช้ตน

    ที่นี่คือพระราชวัง ไม่ใช่ที่บ้านของเจ้าอู๋ฟานว่าเสียงดัง ร่างบางสะบัดมือออกพลางบอกว่าอย่ามาจับจะไปหาคุณพระนม แต่อู๋อี้ฟานไม่ยอม

     “ถ้ายังเรียนบทเรียนนี้ไม่จบ เจ้าก็ไม่ต้องไปดูคุณพระนม!อู๋อี้ฟานยื่นคำขาด

    ไม่ได้!!!อี้ชิงเถียงทันควัน 

    หม่อมฉันเป็นคนทำให้คุณพระนมต้องเป็นแบบนั้น หม่อมฉันควรจะไปดูคุณพระนมมากกว่าการที่จะมาคุยอยู่กับพระองค์ และมาเรียนบทเรียนอะไรที่งี่เง่าแบบนี้!อู๋ฟานคว้ามือบางไว้อีกครั้ง คราวนี้เขาโอบรอบเอวของอี้ชิงไว้เพื่อกันหนีด้วย ร่างบางดิ้นขลุกขลักได้อยู่ไม่นานก็ต้องหยุด

    เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกดื้อกับทุกคนในวังเสียทีอู๋อี้ฟานถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง อี้ชิงหันมามองอย่างแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำมึนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

    ที่นี่คือพระราชวังเจ้าก็รู้ พระราชากับพระราชินีห่วงเจ้ามากแค่ไหนเจ้ารู้หรือไม่? การที่จะให้สามัญชนทั่วไปจะมาเป็นพระชายาของข้าโดยที่ไม่ได้ผ่านพิธีดูตัว หรือพิธีเลือกคู่ตามประเพณีในวัง ..... คนผู้นั้นมักจะไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากคนในวังเสียเท่าไหร่อู๋ฟานอธิบาย อี้ชิงค่อยๆหันมามองท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

    ดังนั้น เจ้าเลิกดื้อกับทุกคนในวังได้หรือไม่ ... อย่างน้อยก็เห็นแก่พ่อแม่และพี่สาวของเจ้าที่รอเจ้าอยู่ที่บ้าน พวกเขาจะได้สบายใจพอได้ยินว่าพี่สาวอี้ชิงก็หงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง


              ดันพูดว่าให้เห็นแก่ศัตรู!

    ไม่จำเป็น!ว่าพร้อมทั้งสะบัดตัวหนี แต่อู๋ฟานกลับกอดไว้แน่นกว่าเดิม

    หรืออย่างน้อยเจ้าก็ทำเพื่อตัวเอง ข้าไม่อยากให้เจ้ามาถูกนินทา!อู๋ฟานรีบหาทางหนีทีไล่ใหม่ แต่อี้ชิงกลับแปลความหมายคำพูดนั้นผิด

    ไม่อยากให้หม่อมฉันถูกนินทา หรือไม่อยากให้พระองค์ถูกนินทาไปพร้อมๆกับหม่อมฉันกันเพคะ!?” ร่างบางพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

    ปล่อยหม่อมฉันนะ!อี้ชิงเริ่มดิ้นหนีอีกครั้ง

    ไม่! จนกว่าเจ้าจะคุยกับข้าจนเข้าใจ

    ต้องเข้าใจอะไรกันอีกหรือเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นว่าเราจะมีเรื่องอะไรให้ต้องเข้าใจกันอีกอี้ชิงหันมาเผชิญหน้า อู๋อี้ฟานนิ่งเงียบไม่พูดอะไรรอจนอารมณ์ร้อนของอี้ชิงเริ่มลดน้อยลง

    เมื่อไหร่เจ้าจะยอมรับความจริงได้เสียที จางอี้ชิง


              “ความจริง? ..... ความจริงอะไรกันเพคะ?” อี้ชิงถามอย่างสงสัย

    ก็ความจริงที่ว่า ต่อให้เจ้าดื้อหรือทำให้คนในวังไม่พอใจมากแค่ไหน ถึงอย่างไร ... เจ้าก็ต้องแต่งงานกับข้าอยู่ดี

    เรื่องนั้นหม่อมฉันทราบดี

    เจ้าทราบแต่ทำไมเจ้าไม่ปฏิบัติตาม ... เจ้าจะรั้นไปไย มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าเลย ราวกับว่าคำพูดของอู๋อี้ฟานแทงเข้าใจเจ็บก็ไม่ปาน

    รู้ได้อย่างไรว่าเธอคิดเช่นนั้น?

    เจ้าเงียบไปเช่นนี้ ..... แสดงว่าข้าคิดถูกใช่หรือไม่

    พระองค์รู้?”

    รู้สิทำไมข้าจะไม่รู้ ข้าเองก็เคยทำตัวดื้อต่อการแต่งงานเช่นเจ้าไม่ต่างกัน จนสุดท้ายไม่ว่าข้าจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ได้เลยอู๋ฟานเริ่มเล่า

    เจ้าไม่สงสัยบ้างเลยหรือ เจ้าชายองค์อื่นๆต่างก็แต่งงานไปเมื่อตอนอายุครบ 20 กันทั้งนั้น แล้วเหตุใดถึงมีเพียงแต่ข้า ที่อายุล่วง 25 เข้าไปแล้วถึงเพิ่งจะมีงานดูตัวเกิดขึ้นอี้ชิงเงียบคิดไปเล็กน้อย เธอก็เคยได้ยินเรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกันจากพี่เลี้ยง ว่าเจ้าชายอู๋อี้ฟานทรงไม่เห็นเจ้าชายองค์อื่นๆที่ส่วนใหญ่จะแต่งงานหมดแล้วเมื่ออายุครบ 20 ปี

    พี่เลี้ยงของข้าเคยเล่าว่าเจ้าชายทรงชอบผู้ชาย เลยไม่อยากแต่งงานเพคะ!คำตอบแสนจะตรงไปตรงมาของจางอี้ชิง ทำให้อู๋อี้ฟานอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้


              “ไม่ใช่เสียหน่อย มันเป็นเพราะข้าทำตัวดื้อกับทุกคนเช่นเจ้าต่างหาก แม้จะยืดเวลาออกไปได้เสียหน่อย แต่สุดท้าย ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องทำใจและจำใจให้งานเหล่านี้มันเกิดขึ้นอยู่ดี

    จริงหรือเพคะ?” อี้ชิงเอียงคอถาม อู๋ฟานมองแล้วนึกเอ็นดู

    ทั้งที่ภายนอกเป็นเพียงเด็กแสบซนเสียแท้ๆ เอาเข้าจริง อี้ชิงก็คือเด็กน้อยไร้เดียงสาแสนบริสุทธิ์คนหนึ่ง ชักจูงด้วยคำพูดดีๆเพียงนิดหน่อยก็นิ่งยอมฟังคำและเหตุผลทั้งหมดแล้ว

    จริง เพราะเช่นนั้น วันนี้ข้าก็เลยอยากจะบอกให้เจ้ายอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนี่เสีย เพราะไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดว่าเราคงจะหนีมันไม่พ้น

    แต่พระองค์ไม่เหมือนหม่อมฉันนะเพคะ

    ไม่เหมือนอย่างไร?”

    ก็ .. หม่อมฉันยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน

    ข้าเองก็ไม่พร้อมที่แต่งงาน

    แต่พระองค์อายุพร้อมแล้วนะเพคะ อายุ 25 แล้ว ..... หม่อมฉันอายุเพียงแค่ 19 หม่อมฉันคิดว่า อายุของหม่อมฉัน ยังไม่พร้อมที่จะแต่งกับใคร .... ต่อให้เป็นเจ้าชายอย่างพระองค์ก็ตามอี้ชิงอธิบาย

    แต่เจ้าหญิงบางองค์แต่งงานตั้งแต่อายุ 13 ก็มี

    แต่หม่อมฉันไม่ใช่เจ้าหญิงนี่เพคะ ... หม่อมฉันเป็นคนธรรมดา อีกอย่างหม่อมฉันยังไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งงานกับชายใดเลยสักนิด หม่อมฉันใฝ่ฝันว่าหม่อมฉันจะได้ออกท่องเที่ยวไปตามถิ่นที่หม่อมฉันต้องการมากกว่า หม่อมฉันยังอยากมีอิสระอี้ชิงว่า ดวงตากลมโตหม่นสีลงเมื่อพูดถึงเรื่องความใฝ่ฝันที่จะได้ท่องเที่ยวออกไปนอกบ้านไกลๆอย่างที่เธอหวังไว้มาตลอดชีวิต

    แสบซนอย่างเจ้า ไม่เคยได้ออกไปเที่ยวที่ไหนบ้างเลยหรือ ... จะเป็นไปได้อย่างไรกันอู๋ฟานว่าอย่างขบขัน อี้ชิงมองค้อน

    ไม่เคยหรอกเพคะ ..... ตั้งแต่หม่อมฉันกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปสองปี ตื่นขึ้นมาพ่อกับแม่ก็ไม่ยอมให้หม่อมฉันออกไปไหนไกลเกินกว่ารั้วบ้าน และสวนดอกไม้ที่หลังบ้านอีกเลยอี้ชิงว่าด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

    เพราะความฝันของหม่อมฉันยังไม่เคยได้ถูกเติมเต็มเช่นนี้ หม่อมฉันถึงยังไม่คิดอยากจะแต่งงาน การแต่งงานสำหรับหม่อมฉันมันเหมือนเป็นการจำกัดสิทธิ์ในการไปไหนมาไหนของหม่อมฉันได้ ..... ท่านแม่เคยสอนหม่อมฉันไว้ว่า หากได้ไปเป็นภรรยาของใคร ต้องทำตามคำสั่งสามี ต้องอยู่เฝ้าบ้าน ออกไปไหนไม่ได้

    แล้วเจ้าคิดจะทำดังเช่นที่แม่เจ้าสอนหรือไม่

    ไม่เพคะ! หม่อมฉันไม่เคยคิดที่จะทำตามเช่นนั้น หม่อมฉันคิดมาเสมอว่า  หากหม่อมฉันแต่งงานไปแล้วต้องถูกกังขังให้อยู่แต่ในบ้านและทำตามคำสั่งของใครผู้นั้นที่เป็นสามี หม่อมฉันจะหนีออก หรือไม่ก็ก่อความวุ่นวายจนเขาผู้นั้นต้องเซ็นใบหย่าให้แก่หม่อมฉันเพคะ

    แต่ข้าก็ไม่ใช่คนที่จะกักขังภรรยาของตนไว้แต่ในบ้านอย่างนั้น.....

    จริงหรือเพคะอี้ชิงหันมาหวังจะถามแต่ก็ได้เจอกับใบหน้าของอู๋ฟานที่ยิ้มกว้างรอไว้ ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นทันที เมื่อรู้ว่าตนเองได้ทำพลาดอะไรไปเสียแล้ว

    จริงสิ ... หากเจ้าไม่ชอบที่จะอยู่เพียงแต่ในวังข้าก็จะไม่ทำอู๋ฟานว่าก่อนจะค่อยๆขยับเข้ามาใกล้อี้ชิงเรื่อยๆ

    เจ้าอยากออกไปเที่ยวข้างนอก ข้าก็จะยอมให้พูดเหมือนจูงใจ

    พระองค์อย่ามาพูดให้หม่อมฉันตายใจเลยเพคะ ... แต่เอ๊ะ อีกอย่างหม่อมฉันยังไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับพระองค์เลยนะเพคะ!” ร่างบางร้องเสียงหลงเมื่อเกือบหลงกลเข้าแล้ว อู๋ฟานร้องหึในลำคอ จะว่าเขาเป็นพวกโรคจิตก็ได้ เพราะเวลาที่อี้ชิงโมโห เขาชอบเหลือเกิน


              น่าแกล้งจริงๆ

    เจ้าจะยอมแต่งหรือไม่ยอมแต่ง ... ไม่ว่าอย่างไร งานก็ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้วอยู่ดี

    พระองค์หมายถึงอะไร?” อี้ชิงไม่เข้าใจ

    ข้าก็หมายถึง ไม่ว่าอย่างไร ข้ากับเจ้าเราก็ต้องแต่งงานกัน ... เจ้ากับข้าต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปตลอด

    แต่หม่อมฉันไม่คิดอย่างนั้นนะเพคะ! อ๊ะ อย่าเข้ามาใกล้นักสิเพคะ!อี้ชิงเอียงหน้าหนีเมื่ออู๋ฟานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

    เจ้าต้องเริ่มคิดอย่างนั้นได้แล้วรู้หรือไม่ พระชายาของข้า

    ไม่!อี้ชิงยังต่อต้าน อู๋ฟานยิ้มขำก่อนจะค่อยๆเลื่อนใบหน้าของตนออกมา

    ใช่ว่าอี้ชิงจะมีนิสัยชอบแกล้งอยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็มีนิสัยชอบแกล้งเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคนน่ารักแสนงามอย่างจางอี้ชิงด้วยแล้ว หากให้มองข้ามนิสัยที่แสบซนไม่ยอมใครนี่ไป พระชายาตัวน้อยตรงหน้า ก็น่าสนใจน้อยเสียเมื่อไหร่  

    ท่าอาจารย์ เข้ามาภายในเถิด ..... นักเรียนของท่านพร้อมที่จะเรียนแล้วอู๋ฟานตะโกนเรียกเสียงดังให้อาจารย์ผู้สอนเต้นที่เพิ่งจะถูกไล่ให้ออกไปเดินกลับเข้ามา อาจารย์ผู้นั้นมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย

    เมื่อสักครู่ไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่ได้ยินหรือไม่ได้เห็นฉากน่ารักๆ ของพระชายาและเจ้าชายอู๋อี้ฟานเสียเมื่อไหร่ แต่ถึงอย่างไรพวกเธอก็ต้องขอบพระทัยเจ้าชายอู๋อี้ฟานไม่น้อย ถ้าหากไม่มีเจ้าชายมาคอยปราบพยศของพระชายาให้ พวกเธอคิดว่า วันทั้งวันนี้ พระชายาจางอี้ชิง คงจะยังเต้นไม่ได้สักเพลง!


              “โอ๊ย ..... เจ้าเหยียบเท้าข้าอีกแล้วอู๋อี้ฟานบ่นเสียงดัง ในใจก็หวนคิดแล้วคิดอีกว่าดีจริงแล้วหรือไม่ที่ตนมาเป็นคู่เต้นรำให้กับอี้ชิงแทนนายทหารคนนั้น

    อุ๊ย! จริงหรือเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจอี้ชิงเอ่ยขอโทษ ท่านอาจารย์ข้าลืมแล้ว ... ต้องก้าวเท้าซ้ายหรือเท้าขวาก่อนนะอี้ชิงหันไปถาม

    เจ้าต้องก้าวเท้าขวา!อู๋ฟานตอบให้แทน

    แต่ต้องก้าวลงหรือก้าวขึ้นหละ .... อ่า ข้าเป็นอะไรนะทำไมจำอะไรไม่ค่อยได้เลยอี้ชิงหันไปถามอาจารย์อีกครั้ง อาจารย์ทำหน้ากระอักกระอ่วมคิดหนักว่าควรจะตอบคำถามของพระชายาดีหรือไม่ ดูก็รู้ว่าพระชายาจงใจจะแกล้งเจ้าชายอู๋อี้ฟานชัดๆ

    อ่า ท่านอาจารย์ข้าลืมไปแล้ว ... ทำอย่างไรดีอี้ชิงทำหน้าเสียใจ อู๋ฟานเห็นแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ

    ต่อมนิสัยแสบทำงานอีกแล้วหรืออย่างไรพระชายา เมื่อสักครู่ยังเป็นเด็กน้อยแสนน่ารักอยู่เลย!

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอขึ้นเหยียบบนเท้าของเจ้าชายได้หรือไม่ ... ข้าคิดว่าถ้าทำอย่างนี้ข้าน่าจะจำท่าได้ดีกว่าอี้ชิงออกความเห็น ท่านอาจารย์ที่ถูกถามนิ่งอึ้งไปแล้ว ไม่กล้าตอบคำถามใดๆ


              “ได้! เอาอย่างนั้นก็ได้อู๋ฟานตอบรับแทน

    เอ่อ พระชายาเพคะ ถอดรองเท้าออกก่อนดีหรือไม่เพคะ ส้นรองเท้าของพระองค์แหลมมาก หากขึ้นไปยืนบนเท้าของเจ้าชาย หม่อมฉันเกรงว่า...

    ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะถอดรองเท้าได้อย่างไร พวกทหารก็อยู่ในห้องนี้เยอะแยะไปอี้ชิงค้าน อีกอย่างข้าคิดว่า เจ้าชายเองก็คงไม่ได้คิดมากเรื่องนี้หรอก ... จริงหรือไม่เพคะอี้ชิงหันมาถามอี้คนที่หน้ายุ่งด้วยรอยยิ้มน่ารัก อู๋ฟานจิ๊ปากอย่างขัดใจ

    เขาเกลียดเวลาที่อี้ชิงทำหน้าอย่างนี้ใส่เขามากที่สุด


              หน้าของผู้ชนะ!


              “เจ้านี่ไม่ฉลาดเลย...อู๋ฟานว่าเปรยๆ

    เจ้าตัวบางเพียงเท่านี้ คิดว่าจะหนักมากจนทำให้ข้าเจ็บได้เลยหรือ?” อู๋ฟานพูดให้ได้ยินเพียงแค่สองคน

    ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกเพคะ!อี้ชิงว่าก่อนจะก้าวขึ้นไปยืนบนเท้าของอู๋อี้ฟาน ร่างสูงนิ่วหน้าเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าอี้ชิงตั้งใจที่จะทิ้งน้ำหนักตัวลงมาเพื่อให้ส้นรองเท้าจิกลงมาบนเท้าของเขา

    เจ้าชาย เป็นอะไรหรือไม่เพคะ?” ท่านอาจารย์ที่มองเห็นว่าอู๋ฟานนิ่วหน้าก็เอ่ยถามอย่างตกใจ

    เจ้าชายไม่เป็นอะไรหรอกท่านอาจารย์ ... ข้าว่าเราเริ่มซ้อมกันเลยดีกว่าเดี๋ยวข้าจะลืมท่าเต้นไปอีกอี้ชิงหันมาตอบให้แทน อู๋อี้ฟานเห็นอย่างนั้นก็นึกแค้นในใจ ... หากเขาไม่เอาคืนเสียบ้าง ร่างบางคงจะได้ใจต่อไปไม่น้อย!!!


              หมับ!!!


              “ว๊าย!เสียงอุทานของเหล่าสาวใช้รวมทั้งอาจารย์ที่สอนดังประสานกันขึ้นแบบไม่ได้นัดหมาย เมื่ออยู่ดีๆเจ้าชายอู๋อี้ฟานก็รวบตัวพระชายาจางอี้ชิงเข้าไปกอดไว้แนบอกอย่างหน้าตาเฉย

    พระองค์จะทำอะไรเพคะ!อี้ชิงเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ


              “ไม่ได้ทำอะไร ..... ข้าแค่จับเจ้าเอาไว้เพราะเจ้าทรงตัวไม่ดี

    แต่ไม่ต้องกอดก็ได้หนิเพคะ!!!อี้ชิงแย้ง


              “ก็ข้าถนัดทำแบบนี้ว่าแล้วก็กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก สาวใช้ที่มองอยู่ได้แต่หน้าแดงแทนพระชายาไปตามๆกัน อี้ชิงฮึดฮัดอยู่ไม่น้อยสะบัดตัวออกก็หลายครั้ง


              “ข้าว่าเจ้าเลิกโวยวาย แล้วรีบซ้อมเถอะ ... อยากไปดูอาการคุณพระนมไม่ใช่หรือ? เอ หรือถ้าเจ้าไม่รีบอยากจะอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของข้าต่อก็ไม่เป็นไร ... ข้ายินดี

    ปึก!

    อี้ชิงกระแทกส้นเท้าใส่เท้าของอู๋ฟานอย่างเต็มแรง

              “รีบซ้อมก็ได้เพคะ! อู๋อี้ฟานนิ่วหน้าไปไม่น้อยกับแรงของส้นรองเท้าที่จิกมาบนเท้าอย่างต่อเนื่อง แต่จะว่าไปก็คุ้มเขายอมเจ็บตัวนิดหน่อยเพื่อแลกกับการได้กอดร่างนุ่มนิ่มกลิ่นหอมหวานเอาไว้แบบนี้

    เหตุใดหนอ รูปลักษณ์และนิสัย ถึงได้ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวได้ถึงเพียงนี้!


     

     

     

    เย็นวันงานเต้นรำ...

    ร่างบอบบางออกมายืนรับลมอยู่ที่ข้างหน้าต่าง สายลมพัดวนเข้ามารอบตัวคล้ายจะเป็นกำลังใจให้เธอ ทั้งๆที่ในใจก็ภาวนาแล้วว่าขออย่าให้มีงานในวันนี้เกิดขึ้น แต่สุดท้ายมันก็ต้องเกิดขึ้นจนได้!

    อ๊ะ ร่างบางร้องเสียงหลงอย่างตกใจ อยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนกับมีใครมาโอบกอดตัวเธอไว้จากด้านหลัง แต่พอหันกลับไปกลับไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นเลย ร่างบางลองมองไปตามรอบๆห้อง ..... ก็ไม่มีใคร

    ผีหลอกข้าหรือเปล่าเนี่ย! ร่างบางเอ่ยพึมพำก่อนจะรีบเดินกลับไปเอาผ้าห่มที่อยู่บนเตียงมาคลุมตัวไว้เพื่อแก้หนาว ลมยามเย็นและแสงแดดจ้ายามพระอาทิตย์เตรียมตัวจะตกแบบนี้ ทำไมถึงรู้สึกหนาวยะเยือกถึงขั้วหัวใจแบบนี้นะ!


              “สงสัยผีจะหลอกข้าเข้าแล้วจริงๆอี้ชิงก็ยังคงโทษว่าเป็นความผิดของสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างต่อเนื่อง

    เสียงประตูห้องเปิดกว้างเข้ามาพร้อมกับคุณพระนมและสาวใช้ที่ยกเสื้อผ้าที่อี้ชิงจะต้องใส่ไปงานเต้นรำคืนนี้เข้ามา ทำให้ร่างบางเลิกสนใจลมหนาวนั่นและเดินเข้าไปหาสาวใช้กับคุณพระนม ยอมให้คนเหล่านั้นแต่งตัวให้แต่โดยดี

    ถึงอยากจะดื้อใส่ให้ตาย แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี


              “โอ๊ย! รัดแน่นไปแล้วนะ ข้าหายใจไม่ออก!!!อี้ชิงโวยวายเมื่อสาวใช้รัดเชือกเกาะอกด้านหลังแน่นจนเกินไป


              “ต้องแน่นๆสิเพคะ จะได้เข้ารูปสาวใช้ว่า


              “เข้ารูปหรือ? ข้าว่ามันไม่ใช่นะ! รัดแน่นเสียขนาดนี้เจ้าอยากจะให้ข้าเข้าโลงมากเสียกว่าเข้ารูปหนะสิ! ..... มันแน่นเกินไปแล้ว แค่หายใจก็อึดอัด เจ้าอยากให้ข้าขี้เกียจหายใจหรืออย่างไร คลายมันออกหน่อยไม่ได้หรือ!อี้ชิงได้แต่โวยวาย แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนต่อไป


              อ่า ...

    ทำไมลมหนาวเย็นยะเยือกนี้ถึงพัดเข้ามาได้ไม่หยุดเลยนะ

     

    กว่าอี้ชิงจะถูกจับแต่งหน้าทำผมเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบจะสี่ทุ่ม ร่างบางก็ถูกนำตัวมาที่ท้องพระโรงสถานที่จัดงานในทันที ..... เสียงบรรเลงเพลงของวงออเครสตร้าสะดุดหยุดลงชั่วขณะ บรรดาคู่เต้นรำคู่ต่างๆก็ต้องหยุดชะงัก ก่อนจะมองไปทางต้นเสียงใหม่ที่ดังขึ้น

     
             “พระชายาเสด็จ!!

    คำบอกกล่าวของมหาดเล็กในวัง ทำให้ผู้คนต่างร้องเสียงฮือฮา ก้มหัวเคารพไปตามมารยาท เจ้าชายอู๋อี้ฟานที่กำลังพูดคุยถูกคออยู่กับพระสหายถูกเรียกตัวให้รีบเดินขึ้นไปรับพระชายาของตนลงมา ซึ่งนั่นก็สร้างเสียงฮือฮาเพิ่มขึ้นได้อีกไม่น้อยเลยทีเดียว


                เสียงบรรเลงเพลงของวงออเครสตร้าดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อคู่เต้นรำหลักถูกจับให้ลงไปเต้นเปิดที่กลางฟลอร์ อู๋อี้ฟานยกมือขึ้นโอบรอบเอวอี้ชิงโดยอัตโนมัติ อี้ชิงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่พอได้ยินเสียงเพลงดังขึ้น เธอก็รู้ตัวและรีบยกมือขึ้นตอบโอบรอบคอตั้งท่าเต้นรำตามแบบที่ถูกสอนมาทันที

    ผู้คนที่อยู่รายล้อมต่างมองคนทั้งคู่ด้วยแววตาชื่นชม หากแต่แววตาริษยาก็มีอยู่มากไม่น้อย ..... เพลงแรกทุกคนให้เกียรติกับเจ้าของงานได้เต้นรำเดี่ยวกลางฟลอร์ ทันทีที่เพลงที่สองบรรเลงขึ้นผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็พากันจับคู่เคลื่อนตัวเข้ามาในฟลอร์เต้นคลอไปด้วย


              “มีคนชมเจ้าว่าสวยรู้หรือไม่?”


              “ต้องชมแน่นอนเพคะ ... แต่งตัวเสียนานขนาดนั้นหม่อมฉันหลับไปไม่รู้จักกี่ตื่น หากแต่งออกมาไม่สวย หม่อมฉันก็คิดว่าคนพวกนั้นสมควรรับโทษ!อี้ชิงกระแทกเสียงตอบ


              “อะไรกัน ... พระชายาของข้า โหดจังเลยนะอู๋ฟานเอ่ยเย้า


              “เจ้าชาย!!!!


              “จุ๊ๆ .... อย่าเสียงดังสิ คนเต้นอยู่รอบข้างเราเต็มไปหมด เจ้าต้องสำรวมรู้หรือไม่


              “หม่อมฉันรู้! ... แต่หากเป็นเช่นนั้นเจ้าชายก็ควรสงบคำพูดเช่นกันนะเพคะ!อี้ชิงว่าด้วยเสียงไม่พอใจ

    ไฟสปอร์ตไลต์ยังคงสาดฉายส่องมาที่คู่เต้นรำกลางฟลอร์ ..... ตอนนี้ก็ผ่านล่วงเลยมาจนถึงเพลงที่สี่แล้ว หลายครั้งที่อี้ชิงพยายามที่จะหยุดเต้นแต่อู๋ฟานก็ไม่ยอม ดึงตัวเธอเข้ามาอีกแถมยังกอดรัดเอาไว้เสียแน่นเพื่อไม่ให้เดินไปเต้นโดนใครอีกด้วย


              “หม่อมฉันอึดอัด เมื่อย แล้วก็เหนื่อย ต้องการพักแล้วนะเพคะ!อี้ชิงบ่นแต่เท้าก็ยังต้องเต้นไป


                       “แต่ข้ายังอยากเต้นอยู่


              “เช่นนั้นก็หาสาวคนอื่นเต้นด้วยสิเพคะ ..... โน่นแหนะ ตรงนั้น หม่อมฉันคิดว่าเพียงแค่พระองค์เอ่ยปากพูดบอก พวกหล่อนก็น่าจะรีบวิ่งเข้ามาให้พระองค์เลือกเต้นกันเป็นพรวนอี้ชิงว่าพลางบุ้ยหน้าไปทางหญิงสาวที่มองมาตรงนั้น

    อู๋ฟานส่ายหน้า ไม่เอา ..... ข้าจะเต้นกับหญิงอื่นได้อย่างไร พระชายาแสนสวยของข้าอยู่ตรงนี้แล้วไม่ว่าเปล่าสายตาที่ส่งมายังทำให้อี้ชิงต้องรู้สึกขนลุกอีกด้วย

    หวาน เลี่ยน อยากจะอาเจียน!!!


              “หยุดใช้สายตาเช่นนั้นเลยนะเพคะ ... หม่อมฉันใกล้จะอาเจียนแล้ว!!!เอ่ยว่าพร้อมหลบตา


              “สายตา? ..... สายตาเช่นไรหรือ?” อู๋ฟานยังตีมึน อี้ชิงชักสีหน้า


              “เลิกแกล้งหม่อมฉันได้แล้วนะเพคะ! หากพระองค์ยังไม่เลิก หม่อมฉันจะโวยวายจริงๆด้วย!


              “ข้าไม่ได้แกล้ง ... วันนี้พระชายาของข้าสวยจริงๆ ข้าอยากมองนานๆ ทุกวันที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยแต่งตัวดูเป็นหญิงสาวแสนหวานเช่นวันนี้เลยสักวัน


              “นั่นคือคำชมของพระองค์หรือเพคะ!


              “อืมอู๋ฟานตอบเพียงเท่านั้น

    ทุกคำพูดทุกการกระทำของอู๋ฟานในตอนนี้ เขาล้วนแต่ทำออกมาจากใจจริงโดยทั้งนั้น เขาเองไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขากำลังเป็นอะไร แต่ตั้งแต่ที่จางอี้ชิงเดินเข้ามาในห้องท้องพระโรง สายตาที่ชายคนอื่นๆและเจ้าชายในงานต่างมองไปยังพระชายาแสนซนของตนอย่างหลงใหล

    อู๋อี้ฟานเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเสียตงิด สุดท้ายเลยต้องรีบคว้าคนตัวบางเข้ามาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ดูเหมือนร่างบางแน่งน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขานี้จะรับรู้อะไรไม่ได้เลย

    ปึก!


              “โอ๊ย!


              “หากพระองค์ไม่ยอมหยุด หม่อมฉันจะเต้นเหยียบเท้าพระองค์ให้เป็นรูแน่เพคะ!อี้ชิงขู่ ในเมื่อเพลงเริ่มเข้าสู่เพลงที่ห้าแล้ว


              “แต่ข้ายังอยากเต้นอยู่อู๋ฟานใช้คำพูดเดิม อี้ชิงรวบรวมกำลังก่อนจะผลักตัวของอู๋ฟานออกจากตนเอง


              “พระองค์พูดแบบนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้วนะเพคะ!!!!


              “จุ๊ๆ .... ข้าบอกแล้วว่าอย่าโวยวาย เจ้าต้องสำรวมคำพูดล่องลอยเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ อีกทั้งสายตานั้นก็ไม่ยอมจับจ้องไปที่ไหนนอกจากใบหน้าของจางอี้ชิงผู้นี้


              “ก็หม่อมฉันบอกแล้วว่าหม่อมฉันเหนื่อย พระองค์ยังจะ ... อื้อ!!!!

    จู่ๆเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น.....

    ในจังหวะที่ร่างบางกำลังเอ่ยปากจะต่อว่าก็ถูกกระชากเข้ามาด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล แขนแกร่งโอบรอบเอวบาง ริมฝีปากแดงนุ่มถูกทับลงปิดเพื่อลดความดัง

    ร่างบางดิ้นอยู่เล็กน้อยในตอนแรกเพราะไม่อาจสู้แรงต้านทานของคนตรงหน้าได้ ปากบางต่อต้านทุกสิ่งอย่างด้วยการเม้มแน่นปิดสนิท หากแต่มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาบีบคางน้อยเบาๆเพื่อให้ยอมเปิดได้เข้าไปชิม ....

    ลิ้นหนาคว้านลึกอย่างจาบจ้วงหากแต่ก็อ่อนโยน ช่องอากาศถูกปิดแน่นไม่ให้อากาศได้ไหลผ่าน ความวาบหวามที่ผ่านเข้ามาทำให้ร่างบางขาสั่นน้อยๆจนแทบทรุด โชคดีที่มีมือหนาโอบรอบรับไว้

    จากอ่อนโยน ค่อยๆเพิ่มเป็นร้อนแรง


              “พะ พระ พระองค์ ... ยะ หยุด หยุดก่อน ร่างบางรวบรวมแรงที่มีทั้งหมดดันร่างของอีกคนออกจากตนเมื่อรู้สึกว่าตนเริ่มจะหายใจไม่ออก

    ใบหน้าขาวหวานแทนที่จะแดงปรั่งเพราะความขวยเขินกลับมีสีซีดขาวราวกับคนขาดอากาศหายใจ ... อู๋ฟานที่ถูกเรียกออกจากภวังค์เมื่อมองเห็นก็รู้สึกตกใจ


              “มะ หม่อม หม่อมฉัน ... หะ หาย หายใจ ..... มะ ออก! คำพูดแต่ละคำของอี้ชิงต่างเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก

    ร่างบางพยายามหายใจเข้าปอดให้ลึกๆ หากแต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลย อู๋อี้ฟานที่ได้สติมากที่สุดรีบวิ่งอุ้มเอาอี้ชิงที่กำลังหายใจรวยระรินออกมาจากฝูงชน


              “ชะ ช่วย ช่วย ... หม่อม หม่อมฉัน ... ด้วย ... หะ หาย ... ใจ ไม่ออกอี้ชิงพูดอู้อี้อยู่ในอ้อมแขน ร่างสูงรีบวางร่างบางลงนอนกับพื้นเมื่อออกมาถึงที่ที่อากาศถ่ายเท

    ลมหนาวที่เคยพัดผ่านไปมาอย่างเบาๆ เริ่มจะกลายเป็นแรงและแรงขึ้นเสียจนคล้ายกับมีพายุขนาดย่อมๆ  อู๋ฟานมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ


              “อึก!

    เสียงของอี้ชิงทำให้อู๋ฟานก้มหน้าลงไปดูอีกครั้ง คราวนี้ร่างบางแน่นิ่งไปแล้ว หมอหลวงที่เพิ่งวิ่งตามมารีบตรวจดูอาการของอี้ชิงทันที


              “เราต้องถอดเกาะอกที่แน่นนี่ออก พระชายาหายใจไม่ได้เพราะมันรัดแน่นเกินไป .... พวกเจ้าหันออกไปเสียหมอหลวงหันมาบอกอู๋ฟาน ก่อนจะหันไปสั่งบรรดาทหารและสาวใช้ให้หันกลับไปไม่ให้ดู .... แต่ก็ไม่ยอมทำอะไรต่อ


              “เจ้าจะทำอะไรก็ทำ อย่านิ่งมองหน้าข้าเช่นนี้!!!!


              “แต่พระองค์อยู่ตรงนี้ หม่อมฉันไม่กล้า ......


              “หากเจ้าจะยังชักช้า แล้วพระชายาของข้าเป็นอะไรไป ชีวิตเจ้า ลูกเจ้า หลานเจ้า อย่าได้หวังว่าข้าจะทำให้พวกเขาอยู่ได้อย่างมีความสุขสบายเลย!

    สิ้นเสียงอู๋ฟาน หมอหลวงก็ลนลานรีบกระชากเสื้อตัวนอกของอี้ชิงออกทันที ทำไปหมอหลวงก็มือสั่นไป อู๋ฟานเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกไม่ทันใจ เขาผลักหมอหลวงออกและสั่งให้หันหลังก่อนจะลงมือกระชากเกาะอกตัวนั้นออกไปด้วยตนเอง


              “แค่กๆๆๆๆ เสียงไอโคลกของอิ้ชิงดังขึ้น อู๋ฟานรีบเอาเสื้อคลุมของตนคลุมตัวให้อี้ชิง แล้วคว้าเอาคนตัวบางมากอดบังไม่ให้คนอื่นเห็น


              “ไปเอาผ้าคลุมมา!”

    เอ่อ...”

    คุณพระนม ข้าสั่งให้ไปเอาผ้าคลุมมา!!เสียงดังของอู๋ฟานทำเอาคุณพระนมสะดุ้งโหยงรีบวิ่งไปเอาผ้าคลุมมาคลุมตัวให้กับพระชายาตามคำสั่งทันที

    อู๋ฟานยังคงนั่งนิ่งกอดร่างแน่งน้อยของจางอี้ชิงไว้อย่างนั้น ใบหน้าขาวซีดเริ่มมีเลือดฟาดขึ้นบ้าง หากแต่ร่างบางก็ยังไม่ฟื้น สายตาของของอู๋ฟานไม่ได้ละไปจากใบหน้าของอี้ชิงเลย

    อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ พระชายาของข้า!


     

     

     

     

    ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ตัวเองสลบไปเพราะอาการขาดอากาศหายใจ ภาพสุดท้ายที่จำได้คือภาพใบหน้าของเจ้าชายอู๋อี้ฟานที่มองมาทางตนด้วยสีหน้าแตกตื่นตกใจหลังจากนั้นจางอี้ชิงก็ไม่สามารถที่จะจำอะไรได้อีกเลย

    ดังนั้นพอรู้สึกตัวร่างบางก็รีบลืมตาโพลง แต่หากแต่ยิ่งลืมตาให้กว้างได้มากเท่าไหร่ ภาพตรงหน้าก็ยังคงเป็นภาพของสีดำที่ฟุ้งกระจายไปรอบๆไม่เหมือนทุกคราวที่ลืมตาขึ้นมา ทุกครั้งต้องเจอแสงสว่างแต่คราวนี้ไม่ใช่!

    ตาบอด!

              ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวสวย จางอี้ชิงพยายามอีกครั้งที่จะเพ่งตามองไปรอบด้าน  ความตกใจกับบรรดาสีดำที่มองเห็นทำให้อี้ชิงต้องรีบตะเกียดตะกายลุกขึ้นจากเตียง
     

    ความเยือกเย็นม่งเข้าสู่หัวใจของจางอี้ชิงได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าอี้ชิงนั้นหาได้รู้สึกเย็นเยือกอยู่แต่ที่ผิวกายไม่กลับกลายเป็นที่หัวใจ หัวใจต่างหากที่อี้ชิงรู้สึกเยือกเย็นและไม่ปลอดภัย

    อ้างว้าง...


                ร่างบางพยายามตั้งสติกับตนเองอีกครั้งก่อนจะร้องเรียกหาใครบางคน หากแต่ก็ไม่มีเสียงใครตอบรับกลับมาเลย มีเพียงแต่ความว่างเปล่าและความเงียบงันแสนจะวังเวงเท่านั้นที่ตอบกลับมา


              “ยินดีต้อนรับกลับ จางอี้ชิงเงียบไปนานแต่พอมีเสียงตอบกลับมาจางอี้ชิงกลับไม่ได้รู้สึกยินดีไปกับเสียงที่ตอบกลับมาอย่างเสียงนี้เลย

    ร่างบางค่อยๆหันไปมองทางต้นเสียง ในเมื่อตอนนี้มองไม่เห็นก็ต้องอาศัยใช้การฟังแทน ... เสียงนี้จางอี้ชิงไม่เคยได้ยินมาก่อนหากแต่ในความรู้สึกมันกลับคุ้นคุ้นหูได้อย่างประหลาด แต่เมื่อคิดไปคิดมาเธอก็คิดว่า คงจะไม่รู้จักจริงๆ


              หรือว่าจะเป็นพวกโจรคนร้ายกัน!


                “อย่ากลัวเลย ชายผู้นั้นเอ่ยซ้ำอีกครั้ง อี้ชิงถดตัวถอยออกห่าง ห่างได้มากห่างได้น้อยมากเท่าไหร่เธอไม่อาจรู้ ขอแค่เพียงถอยออกห่างจากต้นเสียงนั่นได้เป็นพอ


                “จะ เจ้า ... ปะ เป็น ใคร?” อีกครั้งที่จางอี้ชิงเผยความกลัวออกมาทางคำพูดที่ติดขัด การต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นหรือการต่อสู้กับสิ่งที่อยู่ในจินตนาการช่างน่ากลัวยิ่งกว่าการต่อสู้กับสิ่งที่มองเห็นและการต่อสู้กับสิ่งที่อยู่ในความจริงเสียอีก


                “เจ้าไม่ได้ตาบอดเสียงนั้นตอบคำถามเหมือนรู้ใจ คิ้วสวยขมวดมุ่นเข้าหากันแทบจะในทันที ... ไม่ได้ตาบอดได้อย่างไร?

    คงยังไม่ใกล้คราวตายของเจ้า

    คะ คราวตายของข้า? เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เจ้าพูดเรื่องอันใด อย่ามาล้อเล่นกับข้านะ!พอพูดถึงเรื่องตายอี้ชิงก็ฟันธงในใจว่าชายคนนี้ต้องเป็นโจรที่จับตัวเธอมาแน่ๆ

    น่าแปลก .. เจ้าจำข้าไม่ได้เลยหรือที่รักแห่งข้าประโยคถัดมาทำเอาอี้ชิงยิ่งขมวดคิ้วหนัก ที่รักแห่งข้า?

    หรือจะโดนไอ้เจ้าชายแกล้ง!


              “จะ เจ้าชายอู๋อี้ฟาน หากคนผู้นั้นเป็นพระองค์ก็อย่าทรงแกล้งหม่อมฉันแบบนี้ต่อไปเลยนะเพคะ หม่อมฉันไม่สนุกสักนิด!” มีแต่ความเงียบที่ตอบกลับมา มันเงียบมาก เงียบไปนานเสียจนจางอี้ชิงใจเสีย แต่พอกำลังจะเอ่ยถามต่อเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาขัด


              “ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะนั่นค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนจางอี้ชิงต้องรีบยกขึ้นมาปิดหูเพราะทนเสียงที่ดังขึ้นมากกว่านี้ต่อไปไม่ไหว หากดังกว่านี้อีกสักหน่อยแก้วหูของเธอต้องระเบิดออกมาเป็นแน่


              “หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้!” เหมือนกับสั่งได้ดั่งใจ อี้ชิงไม่ใช่คนโง่ เธอเองก็พอที่จะสัมผัสได้ คนตรงหน้าคงจะไม่ใช่คนธรรมดาๆเสียแล้วกระมัง


                “จะ เจ้าเป็นผีหรือ?ถามออกไปเสียงสั่น

    เคยได้ยินชาวบ้านเล่าเรื่อง ผีกันมานาน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอ ผีจริงๆกับตัวเองเสียที สงสัยคราวนี้ถ้ารอดไปได้ เธอคงมีเรื่องผีประจำตัวไปเล่าแลกเปลี่ยนกับพวกชาวบ้านบ้างแล้วกระมัง

    ฮะๆ เจ็บใจชะมัด! คำตอบที่ได้สวนทางกับคำถามที่ถามไปเมื่อครู่

     “แม้แต่เสียง เจ้าก็ยังจำข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” เสียงทุ้มถามกลับมาอีก อี้ชิงส่ายหน้าตอบในทันที ก่อนจะค่อยๆสัมผัสได้ถึงไอลมเย็นที่หมุนวนรอบร่างกาย ผิวสัมผัสของลมนั้นคล้ายกับผิวสัมผัสของมนุษย์ก็ไม่ปาน

    “เจ้ากับข้าห่างกันนานไปกระมัง แต่ก่อนเจ้าเพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าของข้า เจ้าก็รู้แล้วว่าคนคนนั้นคือข้า

    แต่ก่อน? นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร แล้วเจ้าเป็นใครเจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ของข้ามาเลย


              “เจ้าคงจำมันไม่ได้จริงๆสินะ หึ! แต่ก็แน่สิ หากเจ้าจำได้ เจ้าคงไม่ยอมแต่งงานกับไอ้เจ้าชายมนุษย์บ้านั่นได้ง่ายๆหรอกใช่หรือไม่!อยู่ดีๆเสียงทุ้มนั่นก็ดังเกรี้ยวกราดขึ้น เสียงดังที่อยู่ใกล้เพียงแค่ตรงหน้าทำให้ร่างบางรู้สึกหมดเรี่ยวแรงไปเฉยๆ


              หากให้พูดถึงระดับความกลัวในใจ ตอนนี้สำหรับจางอี้ชิงน่าจอยู่ที่ขีดสุดแล้ว ... ผีตนที่อยู่ตรงหน้า ช่างน่ากลัวมากกว่าผีตนไหนๆที่เธอเคยได้ยินเรื่องเล่ามาเลย


                “ข้าไม่ใช่ผี!


              “หากเจ้าไม่ใช่ผีแล้วเจ้าจะเป็นอะไรเล่า ... แล้วเหตุใดข้าถึงมองไม่เห็นอะไรเช่นนี้ เจ้าทำอะไรกับตาของข้า! ตวาดออกไปใช่ว่าจะไม่กลัวตาย หากแต่เธอก็อยากรู้ว่าอาการมองไม่เห็นที่เป็นอยู่ตอนนี้คืออะไร และคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร


              “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะจำข้าไม่ได้ ... ทั้งๆที่เจ้าสัญญากับข้าเอาไว้แล้วว่าไม่มีทางลืมกัน!” เสียงทุ้มนั่นดูเศร้าหมองและแฝงความแค้นที่พอสัมผัสได้อย่างชัดเจน ร่างบางมองไปตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มันเหมือนกับว่ามีใครมายืนอยู่ตรงหน้าและเหมือนกับว่ากำลังทำสีหน้าเศร้าเสียเต็มประดา


                “เจ้ารับรู้ได้หรือ?” อี้ชิงพยักหน้าพอจะเข้าใจว่าคนตรงหน้าหมายความว่าอะไร เธอรู้สึกคุ้นเคยกับความอ่อนโยนตรงหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด หากแต่เธอก็ยังสงสัยว่าทำไมดวงตาของเธอถึงมองไม่เห็น!


                “ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าคงยังไม่ถึงคราวตายของเจ้า เจ้าไม่มีทางที่จะมองเห็นข้าคำตอบเหมือนรู้ใจ


                “เจ้าอ่านใจข้าได้หรือ?”


                “แม้แต่จะหยุดลมหายใจของเจ้า ข้าก็ทำได้ ... และข้าก็กำลังทำมันอยู่


              “ทำอยู่?” ประโยคสุดท้ายทำเอาอี้ชิงหน้าตื่น

    “อย่าตกใจไปเลย ข้ารู้ว่าการตายมันทรมานเพียงใด แต่สำหรับเจ้าข้าจะทำให้เจ้าได้ทรมานน้อยมากที่สุด ... ข้าสัญญา” คำพูดนั่นทำเอาร่างบางรีบถอยกรูด


              “จะ เจ้าแค้นอะไรข้า!” ร่างบางตะโกนถามอย่างหวาดกลัว

    “เจ้าแค้นที่ข้าจะแต่งงานกับเจ้าชายอู๋อี้ฟานใช่หรือไม่ถึงได้อยากจะฆ่าข้า ... ระ หรือผู้หญิงคนไหนที่แค้นข้าส่งเจ้ามา บอกข้ามาที!อี้ชิงละล่ำละลักพูด


                “ไม่มีใครส่งข้ามา ข้ามาเอง ข้าแค้นของข้าเอง ... เจ้าจะแต่งงานกับไอ้เจ้าชายนั่นไม่ได้!!” เสียงนั้นกลับเข้มขึ้นมาอีกครั้งพร้อมทั้งลมลอยวนที่ก่อตัวขึ้นอย่ารุนแรง ร่างบางเริ่มรู้สึกถึงลมหายใจที่เริ่มติดขัด

    กระแสลมที่พัดเร็วและแรงทำให้ร่างบางต้องรีบหายที่ยึดเหนี่ยว เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดเริ่มจะหายไปเพราะลมหายใจเริ่มที่จะสูญสิ้นไปเรื่อยๆ ร่างบางค่อยๆล้มลงมานอนดิ้นไปมากับพื้นไม่ต่างอะไรกับคำว่าดิ้นตาย และในจังหวะที่กำลังจะหมดลมหายใจ...

    ใคร?

    คำแรกที่ผุดขึ้นมาในใจ รูปภาพของชายหนุ่มนุ่งผ้าสีดำทั้งตัวปรากฏอยู่ตรงหน้า ผ้าคลุมหัวสีดำและผมยาวปิดบังใบหน้าที่แท้จริงนั่นไปมากกว่าครึ่ง สิ่งที่เห็นเด่นมากที่สุดก็คงจะเป็นผิวสีขาวที่โผล่พ้นสีตัดกับเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี

    เมื่อลองพิจารณาดูดีๆแล้วคนตรงหน้าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!

    “ใคร?” อี้ชิงเปล่งเสียงถามออกมาในที่สุด ลืมเรื่องความทรมานกับลมหายที่ใกล้จะหมดไปเมื่อครู่เสียสิ้น ก่อนจะค่อยๆเริ่มรู้สึกว่าความทรมานเหล่านั้นได้จางหายไปแล้วหากแต่ก็ยังไม่มีแรงพอที่จะพยุงกายให้ยืนขึ้นได้จึงต้องโดนอีกฝ่ายที่เพิ่งจะได้เห็นหน้าพยุงกลับไปนั่งที่เตียงของตน


                “เจ้าอย่ากลัวข้าเลย ทำเหมือนเดิมเถอะ จางอี้ชิงอี้ชิงมองคนตรงหน้าราวกับว่าไม่ใช่คนเดิม น้ำเสียงที่อ่อนโยนลง รอยยิ้มที่แสนอบอุ่น และผิวสัมผัสที่ไม่ใช่ลมเหมือนแต่ก่อนนั่น


              “ใคร?” อี้ชิงถามได้เพียงเท่านี้ รู้สึกได้ดีถึงความเชื่องช้าบางอย่างในตัวเอง อยากจะบังคับให้พูดก็พูดไม่ได้ อยากจะบังคับให้สะบัดมือหนีก็ทำไม่ได้

    ดวงตาคมกล้ามองอาการเหล่านั้นของร่างบางตรงหน้าอย่างเข้าใจ วิญญาณดวงไหนที่มันยังไม่ถึงเวลาตาย หากพรากความตายของมันมาก่อนก็มักจะเชื่องข้า เซื่องซึมอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น

    ในเวลานี้เขาก็ได้จางอี้ชิงกลับคืนมาแล้ว 2 ปีที่เขารอคอยเวลานี้มาตลอดโดยไม่สนใจว่าใครจะบอกหรือว่ารู้สึกอย่างไร ต่อให้อี้ชิงจำไม่ได้ ต่อให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำ ต่อให้ต้องถูกเกลียดมากแค่ไหน

    โอเซฮุนก็ยอม!

    ในเมื่อมันถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับมาทวงคืนความรักที่ถูกลบเลือนไปคืนมาแล้ว!


                “อย่าตกใจไปเลยจางอี้ชิงยอดรักของข้า ข้าคือโอเซฮุน ... โอเซฮุน ยมทูตที่ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้เมื่อ 2 ปีก่อน คนที่ยอมผิดกฎมอบชีวิตคืนให้แก่วิญญาณอ่อนแรงของเจ้าให้ได้กลับไปมีชีวิตเริงร่าในโลกมนุษย์ แล้วลืมผู้เป็นที่รักอย่างข้าไปอย่างไรเล่า!”

    “ไม่...”

    ข้าคือคนรักของเจ้า คนที่เจ้าสัญญาว่าจะรักจะไม่ลืมกัน ... ข้าคือคนที่เจ้าต้องแต่งงานอยู่กินด้วยกัน ไม่ใช่กับไอ้มนุษย์หน้าโง่คนนั้นที่ชื่อ อู๋อี้ฟาน!!”


              “ไม่...”


     

     

     
     

    แค่ก แค่ก แค่ก!

    จางอี้ชิง! ..... เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าฟื้นแล้วจริงๆ! เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจนอี้ชิงสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างสุดตัว ความรู้สึกที่เหมือนมีลมหายใจผ่านเข้าไปในช่องคอ ผ่านเข้ามาถึงช่องหน้าอก มันทำให้เธอรู้สึกกระตุกวูบขึ้นมาเสียเฉยๆ จำได้ว่ากำลังนั่งฟังยมฑูตที่ชื่อเซฮุนพล่ามอะไรสักอย่าง และในจังหวะที่จะได้จูบกัน โลกทั้งโลกนั้นเธอก็ดับมืดลง


              ร่างบางพยายามเบิกตาหนักๆของตัวเองให้กว้างขึ้นอีกครั้งมองภาพตรงหน้าให้สาแก่ใจว่ามันจะหลอกตา ... ใบหน้าของอู๋อี้ฟานยังอยู่ตรงหน้า อ้อมกอดของอู๋อี้ฟานยังอยู่ตรงหน้า!!


              “เจ้าชาย!!!” ร่างบางร้องเสียงดังก่อนจะโผเข้ากอดอย่างดีใจ น้ำตามากมายไม่รู้ว่าไหลออกมาตอนไหน อู๋ฟานเอ่ยปลอบจางอี้ชิงที่หลับหูหลับตาร้องไห้อยู่ได้สักพัก


              “เมื่อสักครู่หม่อมฉันฝันร้าย ... หม่อมฉันฝันว่าหม่อมฉันตาย หม่อมฉันเจอยมฑูต มันเหมือนจริงมากนะเพคะ หม่อมฉันขาดอากาศหายใจ ฮึก หม่อมฉันทรมาน” เล่าไปก็อดจะร้องไห้ออกมาอีกไม่ได้มือบางไม่ยอมปล่อยมือที่กอดอู๋อี้ฟานไปไหน


              “ไม่เป็นไรแล้วนะเด็กดี ... เมื่อสักครู่เจ้าแค่ฝันร้าย เจ้าไม่ตาย ไม่ตายแล้ว”


              “เพคะหม่อมฉันเชื่อพระองค์” หัวใจที่เต้นเร็วและรัวด้วยความตกใจเริ่มเต้นช้าลงและกลับมาเต้นได้ปกติอีกครั้ง อู๋ฟานก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือจากอ้อมกอดนั่นเหมือนๆกันกับจางอี้ชิง


              “ขอให้ฝันร้ายมันผ่านเจ้าไปนะจางอี้ชิง ความฝันอย่างไรก็เป็นความฝัน มันไม่มีวันเป็นจริง” คำพูดของอู๋อี้ฟานทำให้อี้ชิงรู้สึกเบาใจ แต่ว่าจางอี้ชิงจะรู้สึกเบาใจได้มากกว่านี้หากอยู่ดีๆไม่ดันเหลือบไปเห็นคนในความฝันที่ยืนพิงกำแพงอยู่ใกล้ๆตรงนั้นเข้า!


              “มันคงยังไม่ถึงคราวตายของเจ้าจริงๆ จางอี้ชิง!


    นี่มันเรื่องอะไรกัน!




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×