ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Science [[CHT9]] Interactions of Living Things ::
hellooooooooooo
nai tee sood kao gor mee vela ma tum hai5555
sorry for really late naja.
จากที่ถามว่าให้ทำเป็นภาษาอะไร ประสานเสียงกันมาแบบไม่ต้องคิดว่า'ไทย' โอเคโอเค เดี๋ยวจัดให้55
let's go
cht9 Interactions of Living Things
อย่างแรกคือ ecosystems
ecosystem คืออะไร? มันคือ living and nonliving thins in one palce ซึ่งมันdivideได้เป็น2part
คือ
1.ฺbiotic = living
2.abiotic = nonliving
ตัวอย่างของabioticก็คือพวกlight,temparatur,soil,rock อะไรพวกนี้
ต่อมา็ก็เป็นพวก
population = สิ่งมีชีวิต1speciesอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันและเวลาเดียวกัน 1สปีซีส์มันประมาณว่าสิ่งมีชีวิต1อย่างอ่ะ เช่น คนก็1specie หมาก็1species
community = มันก็คือหลายๆpopulationมาอยู่รวมกัน ซึ่งหมายความว่ามีมากกว่า1species
Biome
ไบโอม คือ บริเวณๆนั้นๆซึ่งสภาพแวดล้อมแตกต่างกันไป เอาง่ายๆคือมันเป็นที่อยู่ของcommunity
ซึ่งการแยกประเภทไบโอมนั้นก็แยกจากพวกภูมิอากาศ พืช สัตว์
แล้วมันแยกเป็น2ประเภทคือ
terrestrial = บก
aquatic = น้ำ
ต่อมาก็เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันเปลี่ยนได้เพราะhuman or natural process
ซึ่งบางทีมันก็ให้ผลดีบางทีก็ให้ผลร้าย
ส่วนsuccession คือคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามลำดับต่อเนื่องอย่างช้าๆ จากพื้นที่ว่างเปล่าไปเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิต จากกลุ่มสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งตามลำดับก่อนหลังจนเข้าสู่สภาวะสมดุลของระบบนิเวศ
Poplulation sizes = จำนวนประชากร ซึ่งสามารถเพิ่มและลดได้
Polulation density = ความหนาแน่นของประชากร
ถ้าเกิดpupulationมันหนาแน่นเกินไปปัญหาที่ตามมาคือหาอาหารได้ยาก,จะมีขนาดตัวเล็กลง
Limiting factors = ปัจจัยหรือfactor ที่มีผลต่อการเพิ่มจำนวนpopulation
ก็พวกwater,space,food อะไรงี้อ่ะ คือเหมือนแบบถ้ามันมีมากpopulationก็เพิ่มมากอะไรงี้
Biotic potential = คือประชากรเหมาะสมกับlimiting factorsอ่ะ คือเหมือนแบบมีน้ำสามแก้วคนสามคนก็โอเคหายหิวน้ำกันทุกคน แต่ถ้ามีน้ำสามแก้วคนสิบสองคนมันก็ไม่พอใช่ป่ะ คือจำไว้เลยว่าbiotic potentialคือPERFECT CONDITIONS
Carry capacity = จำนวนประชาชนสูงที่สุดเท่าที่ecosystemจะรับได้
Over population = จำนวนประชากรมากกว่าที่ecosystemรับได้ ตือเหมือนแบบแออัดอ่ะเอาง่ายๆ
niche = แปลเอาแบบง่ายๆคือ วิถีชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนตายว่ามีรูปแบบ+วิถีการดำเนินชีวิตยังไง แปลแบบยากๆก็คือตามแบบที่แปลแบบง่ายๆข้างบน5555+
Symbiotic relationship = การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตสองชนิด และมีความเกี่ยวข้องกันในระยะยาว
ซึ่งมันมี3ประเภท
Mutualism คือ ไดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เช่น ฟ้าลอกการบ้านออมซิ่น แล้วออมซิ่นก็ให้ฟ้าระบายสีโปรเจคให้ เอ๊ยไม่ใช่55555 just kidding 555 ตัวอย่างก็เช่น แมลงกับดอกไม้ : แมลงได้รับน้ำหวานจากดอกไม้ ส่วนดอกไม้ได้แมลงช่วยผสมเกสรทำให้แพร่พันธุ์ได้ดีขึ้น
Parasitism = ฝ่ายหนึ่งได้ปรัโยชน์แต่ฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ เช่น พยาธิในลำไส้คน
Commensalism = ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ไม่เสีย เช่น ปลาฉลามกับเหาฉลาม : เหาฉลามเกาะติดกับปลาฉลาม ได้เศษอาหารจากปลาฉลามโดยปลาฉลามก็ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์อะไร
---------คือตอนนี้มันเมื่อยขามากเอาtextวางไว้ที่ตัก ขอพักแปป55555---------
โอเคมาต่อ55
เรื่องenergy
คือenergyอ่ะเกิดจากproducerใช่ป่ะ producerก็using eneryจากsun light or chemical enerygy
energy CANNOT created or destroyed but CAN change.
และorganismสามารถแยกได้โดยการget enerygy
-Producer = ผู้ผลิต สามารถเปลี่ยนพลังงานจากสิ่งแวดล้อมเช่นlight, chemical energyเป็นอาหารของตัวเอง
-Consumer เป็นorganismที่ไม่สามารถmake their own foodต้องกินorganismอื่นแทน
และมันก็แบ่งเป็น4ประเภทคือ
-herbivores กินพืช
-carnivores กินสัตว์
-omnivores eat both
-detritivores กินซากพืชซากสัตว์
Food chain = แถวบ้านเรียกห่วงโซ่อาหาร การกินกันของสิ่งมีชีวิต ทำให้สารอาหารและพลังงานถ่ายทอดไปในหมู่สิ่งมีชีวิตเรื่อยๆ (ซึ่งพลังงานมันจะลดลงเรื่อยๆในแต่ละทอด)
Food web = สายใยอาหารหรือfood chainหลายๆอันมารวมกัน
*BEWARE* food chain ลูกศรจะชี้ไปทางคนกินเพราะพลังงานจะส่งต่อไปยังคนกิน
end of chapter, yeahhhhhhhhhhhhhhh. ><
nai tee sood kao gor mee vela ma tum hai5555
sorry for really late naja.
จากที่ถามว่าให้ทำเป็นภาษาอะไร ประสานเสียงกันมาแบบไม่ต้องคิดว่า'ไทย' โอเคโอเค เดี๋ยวจัดให้55
let's go
cht9 Interactions of Living Things
อย่างแรกคือ ecosystems
ecosystem คืออะไร? มันคือ living and nonliving thins in one palce ซึ่งมันdivideได้เป็น2part
คือ
1.ฺbiotic = living
2.abiotic = nonliving
ตัวอย่างของabioticก็คือพวกlight,temparatur,soil,rock อะไรพวกนี้
ต่อมา็ก็เป็นพวก
population = สิ่งมีชีวิต1speciesอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันและเวลาเดียวกัน 1สปีซีส์มันประมาณว่าสิ่งมีชีวิต1อย่างอ่ะ เช่น คนก็1specie หมาก็1species
community = มันก็คือหลายๆpopulationมาอยู่รวมกัน ซึ่งหมายความว่ามีมากกว่า1species
Biome
ไบโอม คือ บริเวณๆนั้นๆซึ่งสภาพแวดล้อมแตกต่างกันไป เอาง่ายๆคือมันเป็นที่อยู่ของcommunity
ซึ่งการแยกประเภทไบโอมนั้นก็แยกจากพวกภูมิอากาศ พืช สัตว์
แล้วมันแยกเป็น2ประเภทคือ
terrestrial = บก
aquatic = น้ำ
ต่อมาก็เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันเปลี่ยนได้เพราะhuman or natural process
ซึ่งบางทีมันก็ให้ผลดีบางทีก็ให้ผลร้าย
ส่วนsuccession คือคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามลำดับต่อเนื่องอย่างช้าๆ จากพื้นที่ว่างเปล่าไปเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิต จากกลุ่มสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งตามลำดับก่อนหลังจนเข้าสู่สภาวะสมดุลของระบบนิเวศ
Poplulation sizes = จำนวนประชากร ซึ่งสามารถเพิ่มและลดได้
Polulation density = ความหนาแน่นของประชากร
ถ้าเกิดpupulationมันหนาแน่นเกินไปปัญหาที่ตามมาคือหาอาหารได้ยาก,จะมีขนาดตัวเล็กลง
Limiting factors = ปัจจัยหรือfactor ที่มีผลต่อการเพิ่มจำนวนpopulation
ก็พวกwater,space,food อะไรงี้อ่ะ คือเหมือนแบบถ้ามันมีมากpopulationก็เพิ่มมากอะไรงี้
Biotic potential = คือประชากรเหมาะสมกับlimiting factorsอ่ะ คือเหมือนแบบมีน้ำสามแก้วคนสามคนก็โอเคหายหิวน้ำกันทุกคน แต่ถ้ามีน้ำสามแก้วคนสิบสองคนมันก็ไม่พอใช่ป่ะ คือจำไว้เลยว่าbiotic potentialคือPERFECT CONDITIONS
Carry capacity = จำนวนประชาชนสูงที่สุดเท่าที่ecosystemจะรับได้
Over population = จำนวนประชากรมากกว่าที่ecosystemรับได้ ตือเหมือนแบบแออัดอ่ะเอาง่ายๆ
niche = แปลเอาแบบง่ายๆคือ วิถีชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนตายว่ามีรูปแบบ+วิถีการดำเนินชีวิตยังไง แปลแบบยากๆก็คือตามแบบที่แปลแบบง่ายๆข้างบน5555+
Symbiotic relationship = การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตสองชนิด และมีความเกี่ยวข้องกันในระยะยาว
ซึ่งมันมี3ประเภท
Mutualism คือ ไดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เช่น ฟ้าลอกการบ้านออมซิ่น แล้วออมซิ่นก็ให้ฟ้าระบายสีโปรเจคให้ เอ๊ยไม่ใช่55555 just kidding 555 ตัวอย่างก็เช่น แมลงกับดอกไม้ : แมลงได้รับน้ำหวานจากดอกไม้ ส่วนดอกไม้ได้แมลงช่วยผสมเกสรทำให้แพร่พันธุ์ได้ดีขึ้น
Parasitism = ฝ่ายหนึ่งได้ปรัโยชน์แต่ฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ เช่น พยาธิในลำไส้คน
Commensalism = ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ไม่เสีย เช่น ปลาฉลามกับเหาฉลาม : เหาฉลามเกาะติดกับปลาฉลาม ได้เศษอาหารจากปลาฉลามโดยปลาฉลามก็ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์อะไร
---------คือตอนนี้มันเมื่อยขามากเอาtextวางไว้ที่ตัก ขอพักแปป55555---------
โอเคมาต่อ55
เรื่องenergy
คือenergyอ่ะเกิดจากproducerใช่ป่ะ producerก็using eneryจากsun light or chemical enerygy
energy CANNOT created or destroyed but CAN change.
และorganismสามารถแยกได้โดยการget enerygy
-Producer = ผู้ผลิต สามารถเปลี่ยนพลังงานจากสิ่งแวดล้อมเช่นlight, chemical energyเป็นอาหารของตัวเอง
-Consumer เป็นorganismที่ไม่สามารถmake their own foodต้องกินorganismอื่นแทน
และมันก็แบ่งเป็น4ประเภทคือ
-herbivores กินพืช
-carnivores กินสัตว์
-omnivores eat both
-detritivores กินซากพืชซากสัตว์
Food chain = แถวบ้านเรียกห่วงโซ่อาหาร การกินกันของสิ่งมีชีวิต ทำให้สารอาหารและพลังงานถ่ายทอดไปในหมู่สิ่งมีชีวิตเรื่อยๆ (ซึ่งพลังงานมันจะลดลงเรื่อยๆในแต่ละทอด)
Food web = สายใยอาหารหรือfood chainหลายๆอันมารวมกัน
*BEWARE* food chain ลูกศรจะชี้ไปทางคนกินเพราะพลังงานจะส่งต่อไปยังคนกิน
end of chapter, yeahhhhhhhhhhhhhhh. ><
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น