ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic DGM(d.gray-man)::No Title

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 57


    Chapter 2

     

     

    “โนอาสูญเสียความทรงจำ?”

    “ครับ หลังการฟื้นจากการผ่าตัดก็ไม่มีท่าทีอาละวาดต่อหน้าอเลน วอคเกอร์ที่เป็นศัตรูหรือท่าทีอยากกำจัดอินโนเซ้นส์แผลศักดิ์สิทธิ์ของโนอาก็จางหายไปผมคิดว่าตอนนี้เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาที่สูญเสียความทรงจำ”

    โคมุอิกล่าวตามที่ประสบพบเห็นทุกอย่าง ในใจลึกๆอดหวั่นไม่ได้ว่าชายคนนี้จะทำอย่างไรกับโนอาตนนั้นต่อไป

    “หึ..งั้นก็ดีสิ”คำที่ออกจากปากลูเวอเลียทำให้โคมุอิย่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

    “ท่านหมายความว่ายังไงครับ”

    “ก็ใช้เป็นหนูทดลองซะสิ”

    !!

    “กับโนอาพันธุ์นั้นไม่จำเป็นต้องเมตตา ความจำเสื่อมงั้นเรอะ..เฮอะ แบบนี้ยิ่งเข้าทาง”รอยยิ้มแสยะของลูเวอเลียไม่ว่าเห็นกี่ทีโคมุอิก็เลือดขึ้นหน้า ไหนจะความอำมหิตของอีกฝ่ายที่ถ่ายทอดผ่านคำพูดนี่อีก

    “สั่งให้ทุกคนที่รู้ว่าเจ้านั่นเป็นโนอาห้ามแพร่งพรายความลับ ให้คนคอยคุมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วก็หาข้ออ้างอะไรดีๆสักข้อให้เจ้าโนอานั่นยอมเข้าห้องทดลองแต่โดยดี หวังว่าหน่วยวิทยาศาสตร์ส่วนกลางอย่างพวกนายจะไม่เห็นใจปีศาจในคราบมนุษย์พันธุ์นั้นหรอกนะ”

    ปัง!!

    มือบางทุบโต๊ะจนเอกสารหล่นกระจาย รอยยิ้มอันน่ารังเกียจของลูเวอเลียตอนออกคำสั่งยังคงติดตา  โคมุอิหอบหายใจหนักอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นโนอา..เป็นศัตรูของพระผู้เป็นเจ้า แต่ในตอนนี้เด็กคนนั้นเขาเป็นแค่เด็กธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอะไร

    “จะให้ความเห็นใจเพียงชั่วขณะบดบังความผิดหรือสิ่งที่พวกมันเคยกระทำไม่ได้หรอกนะ”

    ความจริงข้อนี้ทำให้โคมุอิไม่สามารถแย้งใดๆได้อีก ตระกูลโนอาทำให้โลกเกิดการสูญเสียมากมาย ทั้งเหล่าพวกพ้องแห่งศาสนจักร ทั้งเหล่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่อง  ตระกูลโนอาสร้างสงครามอันไร้จุดสิ้นสุด ก่อให้เกิดการนองเลือด  การสูญเสีย ความโศกเศร้า ความหวาดกลัว   สิ่งที่พวกเขาเคยกระทำมันหนักหนาเกินกว่าจะให้อภัย

    “หัวหน้า..?”รีเวอร์ที่ตั้งใจเอาเอกสารมาให้เซ็นพอเห็นหัวหน้าแผนกสีหน้าเครียดจัดก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอครับ..

    “เปล่าหรอกรีเวอร์คุง.. นั่นงานใช่ไหม เอามาวางตรงนี้สิ”โคมุอิปรับสีหน้าตัวเองและคลี่ยิ้มบางให้แก่ลูกน้อง แต่สีหน้ายังคงไม่สู้ดีนัก

    “อ้อ แล้วก็ช่วยตามอเลน คันดะ ราวี่ แล้วก็รินารี่ให้ทีนะ”

    “ได้ครับ”

    ไม่กี่นาทีต่อมาเอ็กโซซิสท์ทั้งสี่ก็มายืนเรียงกันในห้องทำงานของโคมุอิ  หัวหน้าแผนกมีสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้งรวมกับบรรยากาศกดทำเอาอเลนกับราวี่ไม่กล้าท้วงถามขึ้นถึงธุระที่เรียกมา

    “เฮ้ย รีบบอกธุระสักทีสิ”แต่ไม่ใช่กับคันดะที่มีความอดทนต่ำติดลบ

    เรื่องของโนอาน่ะ”และโคมุอิก็ยอมเปิดปากพูด  หัวหน้าแผนกลุกขึ้นยืนเต็มความสูงท่ามกลางสีหน้าตื่นตระหนกของทุกคน โคมุอิกวาดสายตามองเอ็กโซซิสท์เรียงคนและเอ่ยขึ้นว่า “มีคำสั่งจากเบื้องบนให้ปกปิดเรื่องที่จัสเดโรเป็นโนอา”

    !!?”

    “ต้องมีคนคอยประกบติดตลอดเวลาและต้องเป็นในหมู่พวกเธอเท่านั้น ต่อจากนี้เป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติกับโนอาอย่างเคร่งครัดคือ”โคมุอิถอนหายใจแผ่วก่อนเอ่ยคำสั่งยาวเหยียดที่ได้รับมอบหมายมาอีกทอดหนึ่ง

    ห้ามให้โนอาออกนอกศาสนจักร ห้ามปล่อยโนอาให้อยู่ตามลำพัง ห้ามให้โนอาทำความรู้จักหรือสนิทสนมกับบุคคลผู้ไม่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นเก็บตัวเขาไว้ ยิ่งอยู่แต่ในห้องมากเท่าไหร่ยิ่งดี  ห้ามให้โนอาเข้าใกล้อินโนเซ้นส์หรือกระทำบางสิ่งที่เป็นการกระตุ้นความทรงจำให้รับรู้ตัวตนดั้งเดิมของตัวเอง หากมีอาการผิดแปลกให้รีบแจ้งทันทีไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นพวกที่มีประเภทสถิตร่างก็ระวังๆหน่อย..”เอ่ยพลางปรายตามองอเลน เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ

    “และห้ามให้โนอารับรู้เรื่องเกี่ยวกับสงคราม โนอา อินโนเซ้นส์และอาคุม่า รวมถึงห้ามไม่ให้จับต้องอาวุธใดๆที่สามารถทำร้ายร่างกายคนได้  และข้อนี้สำคัญที่สุดคือห้ามพวกเธอสนิทสนมกับโนอาแค่นี้แหละ”

    ฟังจบทุกคนแทบมึนไปกับกฎที่จำแทบไม่หวาดไม่ไหว แล้วโคมุอิก็ดันแว่นขึ้นและพูดสิ่งที่ลืมบอก “อ้อ แล้วก็ทุกวันอังคารกับศุกร์ต้องพาโนอาไปที่ห้องทดลองด้วย  เราต้องทำการวิจัยเขา”

    “มันค่อนข้างเกินไปรึเปล่าครับคุณโคมุอิ”อเลนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล  โคมุอิเองก็เข้าใจความรู้สึกนี้แต่อยู่ในสถานะที่ไม่สามารถพูดอะไรได้จึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

    “กับโนอาที่คิดทำลายโลก แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”คันดะเอ่ยเสียงเย็นเหยียบ ร่างโปร่งแผ่แรงอาฆาตออกมาอย่างไม่ปิดบัง

    “นั่นสินะ เพราะเบื้องหลังของอาคุม่าก็คือตระกูลโนอานี่”ราวี่ยกมือพาดบนหัวขณะกำลังครุ่นคิด “แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่โดนจับขังแล้วถูกพวกนักวิทยาศาสตร์ทดลองอะไรแปลกๆ”

    “เดี๋ยวสิคะพี่ แล้วถ้าเกิดพวกเราเกิดติดภารกิจพร้อมกันหมดละคะ”รินารี่ยกมือถาม ทำให้ทุกคนฉุดคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้

    “อย่างน้อยที่สุดในพวกเธอสี่คนจะต้องอยู่ที่นี่สองคน  ส่วนเรื่องภารกิจฉันจะให้คนอื่นทำแทน อันที่จริงฉันทำตารางมาให้เรียบร้อยแล้ว อยู่เป็นคู่ๆน่าจะดีกว่านะ ฉันแบ่งวันให้เท่ากันแล้วดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องจะเสียเปรียบนะ”โคมุอิพูดอย่างอารมณ์ดี  ยื่นแผ่นกระดาษให้รินารี่น้องสาว

    “เอแต่จะว่าไปตอนที่อยู่ในจัตุรัสนาวา เชาจี๋กับโครวจังก็อยู่ด้วยนี่นา  ไม่บอกเรื่องนี้จะดีเหรอ?”ราวี่กวาดตามองแล้วก็แทรกถามขึ้น

    “เชาจี๋กับโครวรี่?อืมงั้นอนุญาตให้บอกเรื่องนี้กับทั้งสองคนได้ โครวรี่ติดภารกิจอยู่ยังไม่รู้กำหนดกลับ ไว้ถ้ามาถึงแล้วฉันจะเป็นคนบอกเรื่องกับเขาเอง  ส่วนเชาจี๋ตอนนี้เขายังมีความสามารถไม่มากพอที่จะรับมือกับพวกอาคุม่าได้แค่ให้รับรู้เรื่องเฉยๆก็คงพอ  แล้วก็เรื่องนี้ขอให้ทุกคนเก็บเงียบเอาไว้ ปิดปากให้สนิท อย่าให้แพร่ออกไปเป็นอันขาด  ถึงเบื้องบนจะเป็นคนออกคำสั่งลงมาแต่ถ้าหน่วยคนหาหรือคนอื่นๆรู้เข้าจะต้องไม่เห็นด้วยแน่”โคมุอิกล่าวเสียงเรียบ

    “อีกอย่าง เรื่องนี้รู้เพียงแค่เบื้องบนกับหัวหน้าสาขาไม่กี่คน แล้วก็พวกเธอสี่คนรวมเชาจี๋และโครวรี่ก็เป็นหกคน นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดีแล้วกับพวกกาอีกไม่กี่คน ดังนั้นถ้ามีข่าวกระจายออกไปคนที่จะถูกสงสัยก่อนใครก็คือพวกเธอที่เป็นเอ็กโซซิสท์ ถ้าจะพูดหรืออธิบายเรื่องของจัสเดโรกับใคร ก็ระวังๆคำพูดหน่อยล่ะโดยเฉพาะเธอ ราวี่”

    “เอ๋!ไหงเป็นผมล่ะ”เอ็กโซซิสท์ผมแดงร้องโวยวาย

    “ก็เธอมันปากสว่างที่สุดน่ะสิ  เอาเรื่องที่จะพูดก็มีแค่นี้แหละกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว”

    ปัง!!

    หมดธุระโคมุอิจัดการโยนเอ็กโซซิสท์ทั้งสี่ออกมายืนออหน้าห้องพร้อมปิดประตูคลุกอยู่ในห้องทำงานต่อ

    “เรามาดูตารางดีกว่าจ้ะ”รินารี่ชวนคุยเพราะเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดี “วันนี้เป็นเวรของ..อเลนคุงกับราวี่”

    “ห๋า!นี่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เลยเหรอ”ราวี่โอดครวญ ทั้งที่ตั้งใจว่าต่อจากนี้จะไปพักผ่อนสักหน่อย “เฮ้อช่วยไม่ได้แฮะ อเลนไปกันเหอะ”แล้วก็คว้าคอเด็กหนุ่มผมขาวไปกอดและพาลากไปยังห้องที่คุมตัวจัสเดโรอยู่

    ก๊อก ก๊อก

    “มารับตัวแล้วจ้าจัสจัง”

    เมื่อเปิดประตูเข้าไปอเลนเห็นจัสเดโรที่กำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงโดยมี[กา]ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ  ร่างเล็กลุกพรวดทันทีที่เห็นอเลนก่อนจะเข้ายื้อชายเสื้ออีกฝ่าย

    “นี่ คนพวกนี้น่ากลัวชะมัดเลย!”คนตัวเล็กฟ้องชี้มือชี้ไม้ด้วยท่าทีตื่นๆ “พูดด้วยก็ไม่ตอบ นี่ใช่คนจริงอะป่าวเนี่ย!” เสียงที่ติดโวยวายหน่อยๆกับหน้าตาตื่นตกใจดูแล้วเหมือนเด็กไม่มีผิด

    ทีแรกราวี่จำจัสเดโรไม่ได้เพราะอีกฝ่ายสวมชุดสีขาวที่เป็นชุดคนป่วย ผิวก็เป็นสีเนื้อเหมือนคนทั่วๆไปไม่จัดว่าขาวแต่ก็ไม่คล้ำจนเข้ม บนใบหน้าก็ไม่ได้มีเครื่องสำอางสีดำเข้มรอบดวงตาอีกแล้ว รวมถึงไม่มีเส้นด้ายที่เย็บบนช่วงริมฝีปากทำให้โนอาตนนี้ดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าครั้งแรกที่เจอจนแทบเปลี่ยนเป็นคนละคน

    “นะ นี่ใช่โนที่เคยสู้ด้วยแน่เหรอ?”ราวี่เกือบหลุดคำว่าโนอาออกมาเต็มๆแต่ก็กลืนได้ทันเพราะเจอสายตาสงสัยของคนตัวเล็กมองมา

    “นายเป็นใคร”

    “ฉันราวี่ เป็นเพื่อนของอเลนน่ะ”ราวี่โปรยยิ้มให้แลดูเป็นมิตรแต่โดนคำถามสวนกลับเต็มๆทำเอาทั้งอเลนกับราวี่เหวอไปตามๆกัน

    “แล้วใครคืออเลน”

    “ผมเองครับ”อเลนว่า ฝืนฉีกยิ้มบางๆเมื่ออีกฝ่ายมองมา “ส่วนอีกคนที่อยู่ด้วยตอนนั้นชื่อคันดะ”

    “หืม”ร่างเล็กยกนิ้วจรดริมฝีปาก เอียงศีรษะอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันครบสามสิบสองซี่

    “ฉันชื่อจัสเดโร่ ยินดีที่ได้รู้จัก ฮิ”

     

    ………………………………………….

     

    “แค่ก แค่ก แค่ก”เสียงไอดังขึ้นในห้องพักที่มืดสนิท  แสงไฟสลัวๆจากเทียนเผยให้เห็นสีหน้าทรมานของผู้ที่กำลังนอนคุดคู้ตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา “ร้อน….

    ในที่สุดคนป่วยก็ทนความร้อนต่อไปไม่ไหวจึงโยนผ้าห่มบนตัวทิ้งอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก  อาการมึนๆเพราะพิษไข้ทำให้ภาพตรงหน้าเบลอไปหมด

    “จัส?”ตื่นได้ไม่ทันไรเดวิดก็มองหาน้องชายตัวดีที่มักอยู่ข้างเขาไม่เคยห่างแต่ไม่ว่าจะที่ไหนในห้องก็ไม่เห็นเงาร่างบางเลยแม้แต่น้อย

    “โธ่เว้ย….”ร่างสูงสถบอย่างไม่พอใจพลางพยุงตัวเองขึ้นยืนเพื่อที่จะออกตามหาน้องชายแต่ยังไม่ทันจะออกไปไหนประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาโดยเด็กสาวร่างเล็ก

    “อ้าวตื่นแล้วเหรอเดวิด”โร้ดเอ่ยทักทายเสียงใสด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยตามฉบับ  ในมือของเธอถือถาดที่บรรจุอาหารและยาที่จะทำให้อาการของอีกฝ่ายดีขึ้น

    “โร้ด….

    “ถ้าจะถามหาจัสเดโรล่ะก็ออกไปข้างนอกยังไม่กลับเลย”โร้ดบอกหลังจากสามารถเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะถามอะไร

    “ออกไปข้างนอก?ออกไปไหน?”เดวิดถามก่อนรับถาดในมือโร้ดมาอย่างมึนงง

    “ไม่รู้สิ  หลังจากโดนพ่อขุนนางดุเสร็จปุ๊บ เจ้าตัวก็พรวดพราดออกไปปั๊บเลย”รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นจางๆ “พร้อมกับอาคุม่าจำนวนหนึ่งน่ะนะ”

    “อาคุม่า!?  หมอนั่นคิดจะทำอะไร!

    “ไม่รู้สิ~

    “โร้ด!!..แค่ก!แค่ก!”ขึ้นเสียงได้ไม่ทันไรก็ต้องกุมท้องตัวเองแน่นและไอโคลกๆอย่างน่าสงสาร  ความเจ็บที่ช่วงท้องทำให้เดวิดรู้ตัวว่ามีบาดแผล

    “อะไรกัน แผลนี่”เด็กหนุ่มพึมพำ แผลที่สร้างความเจ็บปวดให้กับโนอาอย่างพวกเขาได้มีเพียงแผลจากอินโนเซ้นส์เท่านั้น แล้วนี่เขาไปถูกโจมตีมาตั้งแต่เมื่อไหร่

    “ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าจำอะไรไม่ได้เลยสิ”โร้ดขยับยิ้ม

    “เกิดอะไรขึ้น”

    “พวกนายโดนครอสโจมตีมายังไงล่ะ”

    เดวิดนิ่งงัน สมองที่ยังไม่ฟื้นดีประมวลผลช้าๆก่อนเบิกตากว้างเมื่อในประโยคของโร้ดบอกว่า พวกนาย แสดงว่าจัสเองก็..!!!

    “จัสล่ะ..

    “อะไรนะ?”

    “จัสอยู่ไหน!!”เสียงตวาดกร้าวทำให้เด็กสาวเผลอสะดุ้งตกใจ  ดวงตาคมกริบเหลือบมองมาเพียงครู่ก่อนผลักร่างของเธอให้พ้นทาง  โร้ดที่พึ่งรู้สึกตัวรีบหันไปห้ามอีกฝ่าย

    “ไม่ได้นะเดวิดแผลยัง

    “อย่าขวางน่า!!”เดวิดปัดแขนโร้ดออก แต่เพราะพิษไข้บวกกับบาดแผลทำให้ขยับไม่ได้ดั่งใจจนเซชนขอบประตู “แผลแค่นี้...” กัดฟันพูดกับตัวเองแบบนั้นแต่สติตอนนี้เริ่มจะประคองไม่อยู่เสียแล้ว “ฉันต้องรีบตามหา..จัส..เดโร..  หมอนั่น..ต้องกำลัง..ร้อง..ไห้แน่”คำพูดช่วงท้ายแผ่วเบาและขาดห้วงลงพร้อมกับร่างของเดวิดที่ไถลลงพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

    “โธ่เอ๊ย ไม่ฟังกันเลย”โร้ดเท้าสะเอวทำแก้มป่อง

    “เสียงดังอะไรกัน...อะอ้าว ไหงหมอนี่มานอนกองพื้นอยู่แบบเนี้ย?”ทิกี้ที่พึ่งเดินเข้ามาต้องแปลกใจเมื่อเห็นร่างเจ้าของห้องนอนกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ  ร่างกายหอบหายใจหนักแต่ดวงตากลับปิดสนิท ใบหน้ายู่ยี่เหมือนกำลังตกอยู่ในฝันร้าย

    “ก็ดื้อจะออกไปตามหาจัสเดโรน่ะสิ”

    “อ้อ แบบนี้นี่เอง”ร่างสูงก้มลงช้อนตัวเด็กหนุ่มอย่างง่ายดายก่อนพาไปยังเตียงใหญ่โดยมีโร้ดเดินตามมาติดๆ

    “พึ่งฟื้นแท้ๆ ข้าวกับน้ำก็ยังไม่ได้กิน หัวดื้อหัวรั้นจังเลยน้า~~~~

    “นั่นสิ”

    มือหนาเอื้อมดึงผ้าห่มคลุมถึงต้นคอก่อนเลื่อนไปยีเรือนผมสีดำยุ่ง “หัวรั้นจริงๆ”

    ปัง

    โนอาทั้งสองออกมา ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนคนไข้ หนึ่งเด็กสาวหนึ่งชายหนุ่มเดินเคียงข้างกันบนทางเดินอึกครึมของปราสาทโนอา

    “ป่านนี้จัสเดโรจะเป็นยังไงบ้างนะ รู้สึกห่วงจังเลย”โร้ดเอ่ยขึ้นเบาๆ  ทิกี้หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างเคยโดยไม่คิดปริปาก เอาแต่ฟังเด็กสาวบ่นไปเรื่อยๆ

    “พ่อขุนนางเองก็เป็นห่วงเหมือนกัน  สั่งอาคุม่าให้ออกตามหาซะทั่ว  คงจะลืมนึกไปว่าความสามารถของจัสเดวี่จะแสดงออกมาไม่ได้ถ้าขาดคนใดคนนึง  หวังว่าคงไม่เสียท่าให้พวกเอ็กโซซิสท์ไปแล้วหรอกนะ”

    ร่างสูงเหลือบมองเด็กสาวที่แผ่ไอเย็นเหยียบออกมารอบตัวก่อนเบือนสายตาหนีไปทางอื่น

    “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงโนอาในตัวพวกเราก็ต้องแสดงอาการออกมาสิ”ว่าพลางพ่นควันขาวออกจากปาก “แต่เล่นหายไปเป็นอาทิตย์แบบนี้ก็น่ากังวลอยู่แฮะในหลายๆความหมายน่ะ”

    “ฮะฮะ ทิกี้เนี่ยห่วงคนอื่นเป็นด้วยเหรอ”โร้ดหัวเราะเสียงใส ความอึกครึมหายไปในพริบตา

    “ก็นะยังไงก็ครอบครัวเดียวกันนี่”

     

     

     

     

     

    ==========================================================================

    “ยังไงก็ครอบครัวเดียวกันนี่” เราน่ะชอบประโยคนี้ของทิกี้มากเลยนะ

    ตอนอ่านการ์ตูนD.gray-manแล้วเจอตอนที่ทิกี้พูดประโยคนี้กับโร้ดเราประทับใจสุดๆเลย  ทั้งที่เป็นตัวร้ายแต่พออ่านประโยคนี้หลุดออกจากปากปุ๊บยกตำแหน่งพระเอก(ในใจ)ก็ประเคนให้ถึงที่ปั๊บ  รู้สึกได้เลยว่าถึงแม้โนอาจะเป็นตัวร้ายที่คิดทำลายล้างโลกและฆ่ามนุษย์มามากแต่ก็ยังเป็นห่วงและรักครอบครัวมากที่สุด(อย่างฉากที่โร้ดปกป้องทิกี้ในตอนที่อยู่จัตุรัสนาวาก็ใช่นะ)

    จริงๆแล้วเราคิดว่าเนื้อเรื่องของD.gray-manที่อาจารย์โฮชิโนะเขียนคงต้องการสื่อถึงสายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวด้วยล่ะ c:  ลองคิดดูดีๆก็มีหลายฉากนะอย่างฉากของอเลนกับมานาก็ใช่ ฉากที่เชอรี่เป็นห่วงโร้ดก็ใช่  คันดะกับเสนาธิการทีเอดอลนี่ไม่แน่ใจ(แต่ก็น่าจะใช่นะ555+) และฉากที่เคาน์พันปีอยากให้ลำดับสิบสี่(เนีย)กลับมาอยู่ใกล้ๆเราก็คิดว่าน่าจะใช่อีก

    แต่ท้ายสุดแล้วความจริงจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ การ์ตูนไม่ได้ไร้สาระอย่างที่พวกผู้ใหญ่คิดหรอกนะ บางทีก็แฝงข้อเตือนใจบางอย่างไว้ด้วยเหมือนกัน  อ่านแรกๆอาจจะไม่รู้แต่พออ่านรอบที่สองรอบที่สามเราจะจับรายละเอียดได้มากขึ้น

    เพื่อนๆเองก็ลองหาข้อคิดดีๆที่คุณนักเขียนฝากไว้ในเรื่องดูบ้างนะC:

     

     มาเม้นต์กันเถอะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×