คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : MY DADDY | CHAPTER02
CHAPTER 02
การลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าของลู่หานต่างออกไปจากทุกวัน...
เสียงนาฬิกาปลุกแผดเสียงร้องเมื่อถึงเวลาที่ตั้งค่าเอาไว้มือหนาเอื้อมไปกดปิดเสียงหนวกหูน่ารำคาญนั้นจนมันเงียบลง พลิกตัวเล็กน้อยพลางยืดแขนคลายความเมื่อยตัวจากการนอนตะแคงมาทั้งคืน เปลือกตาค่อยๆเปิดขึ้นรับแสงสว่างยามเช้าที่ส่องลอดผ้าม่านสีอ่อนตรงหน้าต่างเข้ามาภายในตัวห้องนอนสีขาว ลู่หานชอบสีขาว มันดูสบายตาทุกครั้งที่มอง ทั้งเตียงนอนผ้าปูที่นอนรวมไปถึงเครื่องนอนทุกชิ้นต่างเป็นสีขาว นี่เป็นภาพที่เขาคุ้นตาทุกครั้งที่ลืมตาตื่น
แต่ อะไรบางอย่างที่กำลังขยับยุกยิกอยู่ข้างตัวทำให้คนที่เพิ่งตื่นต้องหันไปมองข้างตัว สิ่งมีชีวิตหัวกลมกำลังขยับมุดเข้าหาข้างเอวอีกคน เช้านี้ที่ต่างไปจากวันอื่นๆก็คงจะเป็นร่างเล็กที่ขดตัวอยู่ข้างๆเขานี่ล่ะ คนตัวเล็กส่งเสียงครางอือเบาๆตอนที่เขาขยับตัวลุกนั่งพิงหัวเตียงคนตัวเล็กยังขยับเข้าหาราวกับกำลังควานหาไออุ่น อากาศยามเช้าด้านนอกไม่ได้หนาวมากแต่ก็รู้สึกเย็นอยู่นิดหน่อย ลู่หานเอื้อมไปดึงผ้าห่มที่คลุมแค่ช่วงเอวคนตัวเล็กขึ้นก่อนจะค้างมือไว้ ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าคนตัวเล็กนอนดิ้นมากแค่ไหนผ้าห่มถึงได้ร่นลงไปคลุมเพียงแค่ครึ่งร่าง
“ตื่น” มือหนาสะบัดผ้าห่มออกจากร่างคนตัวเล็กจนคนที่ยังนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขต้องขดตัวเข้าหากันพลางส่งเสียงครางหงุดหงิดออกมาเมื่อผ้าห่มที่ให้ไออุ่นอันตรธานหายไป
“มินซอก” เรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม แต่อีกคนก็ยังไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมาแถมยังกลิ้งตัวเข้าหาผ้าห่มที่เขาสะบัดมันทิ้งไปไว้ที่ปลายเตียงก่อนจะมุดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนา ลู่หานพ่นลมหายใจออกมาอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ เช้าวันนี้เขาต้องเข้าไปพบประธานตามที่อี้ชิงบอกไว้เมื่อวานนี้เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรมาเสียเวลากับการปลุกเด็กขึ้เซาอยู่แบบนี้ เขากลอกตาไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งค้ำเอวมองคนตัวเล็กที่ยังคงนอนหลับตาพริ้มพร้อมกับเผยอปากเล็กๆนั่นเล็กน้อย
ถ้าปลุกดีๆแล้วไม่ยอมตื่น....
“ฮื้อ!!!” เสียงครางอย่างขัดใจดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กที่ลอยหวือขึ้นจากเตียงนุ่ม ลู่หานยกร่างของคนตัวเล็กขึ้นก่อนจะจับพาดไว้บนบ่า วงแขนกว้างวาดกระชับร่างเล็กนั่นไว้แนบกับตัว คนตัวเล็กเริ่มดิ้นเมื่อรู้สึกตื่นขึ้นเต็มตา หัวกลมห้อยลงไปด้านหลังอีกคน แขนเล็กเริ่มวาดแกว่งไปทั่วก่อนจะเกาะไหล่อีกคนเอาไว้
“ทำอะไรเนี่ย!!!” มินซอกโวยวายทันที
“ก็ปลุกไง” ลู่หานบอกก่อนจะพาคนตัวเล็กที่ดิ้นพล่านอยู่บนบ่าเดินตรงไปยังประตูกระจกตรงระเบียงห้องนอน มือหนาข้างหนึ่งละจากเอวบางก่อนจะเอื้อมไปเปิดประตูกระจกออก ไอเย็นจากด้านนอกแผ่ซ่านเข้าหาตัวทันที ลู่หานไม่ปล่อยให้คนตัวเล็กได้โวยวายอะไรออกมาอีกเขาปล่อยร่างอีกคนลงกับพื้นระเบียง
“อ้ะ! เย็นอ่ะ!!” คนตัวเล็กกระโดดไปมาเมื่อเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสกับความเย็น ถึงแม้อากาศจะไม่เย็นมากเท่ากับฤดูหนาวแต่การที่สวมแค่เสื้อยืดตัวบางสีขาวกับกางเกงนอนผ้าเนื้อเบาคลุมข้อเท้าก็ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านได้ไม่แพ้กัน
“ทีนี้ก็ตื่นแล้วนะ” ลู่หานว่าก่อนจะเลื่อนบานประตูกระจกปิดใส่อีกคน มินซอกรัวกำปั้นเล็กเคาะประตูทันที เมื่อเห็นอีกคนล็อกมันจากด้านในแล้วเดินห่างออกไปอย่างไม่ใยดี
“เปิดนะ!! ปะป๊า ผมหนาวนะ!”
×
“นายเข้ามาเช้าหน่อยแล้วกัน ต้องไปส่งมินซอกที่โรงเรียนก่อน เดี๋ยววันนี้ฉันขับรถไปบริษัทเอง” มือหนาข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้แนบหูในขณะที่อีกมือกำลังเปิดตู้เสื้อผ้า กรอกเสียงส่งยังปลายสายที่เป็นอี้ชิงผู้จัดการคนสนิท คนปลายสายตอบตกลงรับคำอย่างไม่มีขัดแล้วลู่หานก็กดตัดสายไป
หันมาให้ความสนใจกับเสื้อผ้ามากมายในตู้ หลังจากออกมาจากห้องน้ำแล้วมีเพียงผ้าขนหนูผืนหนาที่พันรอบกายท่อนล่างกับท่อนบนที่เปลือยเปล่า ก่อนหน้านี้ประมาณครึ่งชั่วโมงที่เกิดสงครามขึ้นตั้งแต่เช้า ก็โดนเด็กมินซอกปั้นหน้ายักษ์ใส่หลังจากเขาเปิดประตูให้อีกคนออกมาตอนที่เขาเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันได้แค่สองนาที พอคนตัวเล็กหลุดออกมาได้ก็ได้ต่อกรกันอยู่นานกว่าที่คนตัวเล็กจะยอมกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องของตัวเองตามที่เขาสั่ง อีกคนก็ดูจะไม่พอใจนักที่โดนปลุกด้วยวิธีแบบนั้นตั้งแต่เช้าวันแรกที่ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่
ลู่หานไม่ได้ใส่ใจนัก เขาไม่รู้ว่าเด็กมินซอกเป็นคนโกรธง่ายหรือว่าขี้งอนอะไรแบบนั้นรึเปล่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปตามง้อเสียหน่อย ก็ในเมื่อต้องอยู่ด้วยกันก็ต้องทำตัวให้เลี้ยงง่ายๆหน่อยไม่ใช่รึไง?
“ปะป๊า อันนี้มัน...” จู่ๆประตูห้องนอนส่วนตัวก็ถูกใครอีกคนเปิดพรวดพราดเข้ามาในขณะที่ลู่หานสวมกางเกงเกือบจะเรียบร้อยแล้วเพียงแต่ยังไม่ได้ติดกระดุม คนตัวเล็กที่โผล่เข้ามาเบิกตาเล็กน้อยในขณะที่ถือเนคไทยื่นค้างไว้ในมือ
“โป๊อยู่หรอ?”
ลู่หานที่ตกใจหันไปมองคนเข้ามาใหม่ตาโตพอตั้งสติได้ก็รีบจัดการกับกางเกงตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ๊ตสีขาวมาใส่ลวกๆ
“เข้ามามีอะไร?” ลู่หานถามขณะที่ติดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุด หลังจากกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งอึก
“ผมใส่อันนี้ไม่เป็น” มินซอกปิดประตูห้องก่อนจะเดินเข้ามาหาคนที่แต่งตัวอยู่ ลู่หานมองอีกคนที่ใส่เครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนที่เจ้าตัวเอามาอวดเมื่อวานเหลือเพียงแค่ยังไม่ได้ใส่เสื้อตัวนอกกับผูกเนคไทให้เรียบร้อยเท่านั้น
“ไม่เคยผูกเนคไทรึไง?” ลู่หานถามเมื่อติดกระดุมเสื้อเรียบร้อยแล้วก่อนจะหันหน้าเข้าหาอีกคนที่ยืนมองอยู่
“ไม่เคยดิ ตอนอยู่โรงเรียนเก่าไม่มีอันนี้ให้ใส่ซะหน่อย” มินซอกตอบหน้าตาเฉย ก็คนไม่เคยจะให้ผูกเป็นได้ไงแล้วอันนี้มันต้องใส่ยังไงเขาก็ไม่รู้
“ทำให้หน่อย” ยื่นเนคไทสีเลือดนกไปตรงหน้าอีกคนแล้วก็เงยหน้ามองตาแป๋ว ดูท่าจะเป็นเด็กที่ลืมอะไรง่ายดายเหมือนกันถึงได้ทำเหมือนกับว่าไม่เคยโกรธเขามาก่อนหน้านี้
ลู่หานรับเนคไทในมืออีกคนมานิ่งๆก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แล้วเริ่มจัดการผูกเนคไทให้คนตัวเล็ก ดูเหมือนมินซอกจะให้ความสนใจกับสิ่งใหม่ที่เพิ่งเคยเห็น ใบหน้ากลมก้มลงมองมือหนาที่เริ่มจับผ้าพันกันให้วุ่นไปหมด ปลายคางเล็กสัมผัสกับหลังมืออีกคนตอนที่ลู่หานสอดปลายเนคไทเข้ามา
“เงยหน้าขึ้นสิ จะก้มมองทำไม?” ลู่หานติงตอนที่คนตัวเล็กดูจะสนใจการผูกไทนี่เป็นพิเศษ จนมันกลายเป็นอุปสรรคเล็กๆให้กับการผูกไทให้อีกคนแบบนี้
“มันดูวุ่นวายจัง” มินซอกเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยังง่วนอยู่กับการจัดการเนคไทตรงคอเสื้อของเขา
“มันไม่วุ่นวายขนาดนั้นหรอก เอ้า..เสร็จแล้ว” ลู่หานบอกขณะที่จัดเนคไทที่ถูกผูกไว้ให้เข้าที่เรียบร้อยก่อนจะละมือออกมา
“ว้าว~ทำได้ไงอ่ะ!?” มินซอกก้าวเร็วๆไปหยุดอยู่หน้ากระจกแล้วมองดูเนคไทด์ที่ผูกไว้เรียบร้อย ลู่หานหลุดยิ้มขำให้กับท่าทางเหมือนเด็กๆของคนตัวเล็กที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งใหม่เป็นพิเศษ
“เดี๋ยวอีกประมาณสิบนาทีอี้ชิงคงเข้ามารับ” ลู่หานบอก
“นี่ๆ สอนผมทำไอ้นี่หน่อยดิ” แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาเพิ่งบอกไปอีกคนจะไม่ได้ใส่ใจฟังมันเลยสักนิด คนตัวเล็กชี้นิ้วลงไปที่เนคไทของตัวเองแล้วก็มองมาเหมือนจะอ้อนอยู่นิดๆ
“โอ้ะ! ปะป๊าก็ต้องผูกอันนี้เหมือนกันใช่มั้ย?” มินซอกเดินไปหยิบเนคไทสีดำที่วางอยู่ตรงปลายเตียง เพราะวันนี้ลู่หานต้องเข้าพบประธานบริษัท ความจริงแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการมากนักแต่ดูเหมือนว่าเจ้าของสินค้าที่อยากให้เขาไปเป็นพรีเซ็นเตอร์จะเข้ามาร่วมประชุมด้วยเพราะงั้นลู่หานก็เลยต้องแต่งตัวสุภาพหน่อย
“ผมผูกให้” คนตัวเล็กไม่พูดเปล่าแต่ยังเดินเข้ามาหาพร้อมกับเนคไทที่ถูกหยิบไปไว้ในมือ
“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็สายหรอก” ลู่หานว่าก่อนจะยึดเนคไทมาไว้ในมือ
“ไม่ดิ สอนหน่อย” อีกคนก็ยังไม่ยอมแพ้ มินซอกคว้าเนคไทกลับมา “แปบเดียวเอง”
“มินซอก”
“ถ้าไม่สอนผมตั้งแต่วันนี้ ครั้งต่อๆไปผมก็ต้องให้ปะป๊าผูกให้ตลอดดิ” มินซอกยกเหตุผลขึ้นมาอ้าง ซึ้งมันก็จริงอย่างที่อีกคนว่าเพราะงั้นลู่หานก็ไม่สามารถขัดใจเด็กตัวเล็กตรงหน้านี้ได้อีก
“โอเค” พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วคนตัวเล็กก็ฉีกยิ้มกว้างก่อนจะยืดตัวยกเนคไทแขวนกับคอเสื้ออีกคน ลู่หานเริ่มอธิบายว่าจะต้องผูกมันยังไงแล้วคนตัวเล็กก็ดูจะพยายามเรียนรู้มันเป็นอย่างดี
“ผมไม่ถนัดอ่ะ” ตอนที่เริ่มจับปลายเนคไทพันกันไปมาแล้วมินซอกถึงได้รู้ตัวว่าต้องเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ด้วยความสูงที่ต่างกัน
“นั่ง” มินซอกจับต้นแขนทั้งสองข้างของคนโตกว่าให้นั่งลงตรงปลายเตียง ลู่หานยอมทำตามที่อีกคนต้องการแล้วก็วาดแขนไปทางด้านหลังยันฝ่ามือกับไว้ผืนเตียงเพื่อเอนกายเล็กน้อย มันมีความจำเป็นนิดหน่อยที่ต้นขาสองข้างของลู่หานจะต้องแยกออกจากกันเล็กน้อยให้คนตัวเล็กแทรกกายเข้ามา อีกคนจะได้ผูกเนคไทได้ถนัดขึ้น
“ตรงนั้นผิดแล้ว” ลู่หานบอกตอนที่มินซอกผูกมันผิดจนตอนนี้ปมเนคไทดูจะวุ่นวายไปหมด
“ทำไมมันยากจัง” มินซอกบ่นอุบแต่ก็ยังไม่ละความพยายาม ต้องคลายเนคไทออกมาผูกใหม่อยู่หลายรอบ ลู่หานเงยหน้ามองเด็กหัวกลมที่กำลงขมวดคิ้มมุ่นด้วยความเครียดกับการผูกเนคไทเป็นครั้งแรกในชีวิตแล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ตรงนี้แล้ว... ยังไงต่ออ่ะ” มินซอกพึมพำแล้วก็เอนสายตามามองคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว ตอนที่สายตาสองคู่ประสานกันดูทั้งคู่จะตกใจเล็กน้อย แล้วลู่หานก็เป็นฝ่ายหลุบตาลงก่อนจะมองไปที่เนคไทที่ถูกผูกไว้เกือบจะเรียบร้อยแล้ว
“สอดตรงปลายนั้นลงไปตรงช่องว่างตรงนี้ แล้วก็ดึงมันลงมาให้สุด”ลู่หานบอกแล้วคนตัวเล็กก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“เย้! ได้แล้ว” มินซอกมองผลงานของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ “ได้แล้วใช่มั้ย? ผมเก่งใช่เปล่า” ลู่หานจัดเนคไทที่อีกคนเป็นคนจัดการให้เข้าที่เรียบร้อยแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนยิ้มกว้างอยู่
“เก่ง”
×
“กินเก่งเหมือนกันนะเนี่ยเรา” อี้ชิงอมยิ้มมองเด็กชายตัวเล็กที่เคี้ยวแซนวิชแก้มตุ่ย ในมือถือแซนวิชชิ้นที่สองที่เป็นมื้อเช้าสำหรับวันนี้ หลังจากขึ้นมานั่งอยู่ในรถของผู้จัดการตัวขาวแล้วมินซอกก็ได้เวลาทานมื้อเช้าที่ลู่หานเอามาให้ตอนที่พวกเราจะแยกย้ายกันออกจากบ้าน อี้ชิงเข้ามารับมินซอกแล้วลู่หานก็ขับรถของตัวเองไปบริษัท
“กินเปล่า?” มินซอกยื่นของกินในมือไปให้คนที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถจำเป็นให้เขา
“หือ?” อี้ชิงเลิกคิ้วมองก่อนจะยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นลักยิ้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะอ้าปากงับแซนวิชในมืออีกคนแล้วหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้า
“อร่อย” มินซอกดึงมือที่ถือแซนวิชกลับมากัดอีกคำก่อนจะงึมงำพูดออกมา จนอี้ชิงที่เคี้ยวแซนวิชพลางขับรถไปด้วยต้องอมยิ้มออกมาอีกรอบ
“ปกติแล้วอี้ชิงต้องไปส่งปะป๊าหรอ?” มินซอกหันมาถามหลังจากกลืนแซนวิชลงคอแล้วหยิบนมขึ้นมาดื่ม
“ก็ไม่ทุกครั้งหรอก ส่วนใหญ่น่ะ” อี้ชิงตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ มินซอกดูเป็นเด็กเข้ากับคนง่ายแล้วก็น่าเอ็นดู จนเขาอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าทำไมลู่หานถึงบอกว่าเด็กคนนี้แสบกันนะ
“ดีจัง ปะป๊าก็น่าจะมาส่งผมบ้าง” อี้ชิงยิ้มขำตอนที่ได้ยินประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากคนตัวเล็ก
“ว้า~แบบนี้พี่ก็เสียใจแย่” อี้ชิงแกล้งพูดกลั้วหัวเราะ
“ไม่สิ แบบว่าไปโรงเรียนวันแรกก็อยากให้ปะป๊าไปส่ง อะไรแบบนี้” มินซอกหันมาย่นคิ้วมอง
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” อี้ชิงพยักหน้ารับ “ก็ปะป๊าของน้องมินซอกติดงานนี่นะ แย่เลยเนอะ”
“นั่นสิ..”
“ดูท่าทางน้องมินซอกจะติดปะป๊าเข้าให้แล้วสิ” อี้ชิงพูดยิ้มๆ
“หือ?” มินซอกหันไปขมวดคิ้วมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ยังตั้งใจขับรถอยู่ “ไม่จริงหรอก นี่ เมื่อเช้านะปะป๊าแบกผมไปขังไว้นอกระเบียงด้วย โหดร้ายชะมัด”
ได้ทีแล้วมินซอกก็ขอฟ้องหน่อยเถอะ ใช่ว่าเขาจะหายเคืองที่อีกคนแกล้งขังเขาไว้ข้างนอกทั้งที่อากาศตอนเช้ามันออกจะเย็นแบบนั้นแถมเขายังใส่แค่ชุดนอนบางๆอีก ให้มีโอกาสเมื่อไหร่มินซอกสาบานได้เลยว่าจะต้องเอาคืนปะป๊าลู่หานให้ได้เลยคอยดูสิ
อี้ชิงเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะกับท่าทางฮึดฮัดของคนตัวเล็ก ถึงแม้จะเพิ่งเจอกันแต่มินซอกก็ไม่ใช่เด็กเกเรหรือแย่อะไรออกจะน่ารักเกินไปด้วยซ้ำ เขานึกแปลกใจอยู่ว่าทำไมคนเป็นพ่อแม่ถึงได้ปล่อยให้เด็กผู้ชายตัวเล็กๆเผชิญโลกเพียงลำพัง แต่อย่างน้อยได้มาเจอกันแล้วเขาก็คงต้องช่วยลู่หานดูแลเด็กคนนี้ด้วยอีกแรงล่ะนะ
“ไว้ตอนเย็นเลิกเรียนแล้วโทรหาพี่นะ” อี้ชิงบอกหลังจากที่อีกคนลงไปยืนอยู่ข้างรถเรียบร้อยแล้ว
“อื้อๆ” มินซอกพยักหน้ารับพร้อมกับโบกมือให้แล้วกระจกรถก็เลื่อนขึ้นปิด ก่อนที่รถเก๋งสีดำจะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป
“โรงเรียนนี้มันใหญ่จัง…” มินซอกพึมพำกับตัวเองตอนที่หันไปเงยหน้ามองประตูหน้าโรงเรียนที่มีนักเรียนชายหญิงทยอยเดินเข้าไปด้านใน มือคู่เล็กกระชับสายกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วยก่อนจะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่เรียกกำลังใจแล้วเดินเข้าไปภายในรั้วโรงเรียน
“ตึกเอๆ...อยู่ตรงไหน?” คิมมินซอกยังคงเดินพึมพำกับตัวเองไปตามทางเดินในโรงเรียน มองไปรอบตัวแล้วก็ต้องย่นคิ้วด้วยความงุนงงเพราะไม่รู้ว่าตึกเรียนของตัวเองมันอยู่ส่วนไหนของที่นี่ ตรงกลางคือสนามฟุตบอลขนาดใหญ่มาก กว้างกว่าที่เขาเคยเล่นฟุตบอลที่โรงเรียนเก่าเกือบสามเท่าแน่ะ ตัวตึกเรียนก็สูงขึ้นไปราวๆสิบชั้นเห็นจะได้ แล้วยังตั้งไว้เป็นบล็อกหลายๆตึกจนเขามึนไปหมดว่าควรไปเริ่มต้นหาตึกเรียนที่ตรงไหน
!!!
“อ่ะ..” มินซอกสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่เดินไปชนเข้ากับแผ่นหลังของใครบางคน เพราะมัวแต่มองซ้ายทีขวาทีจนไม่ทันมองทางข้างหน้าถึงได้เดินไปชนใครคนอื่นเข้า
“…” คนตัวสูงหยุดเดินก่อนจะหันกลับมามองเขา
“นี่ รู้เปล่าว่าตึกเอมันอยู่ตรงไหน?” คิมมินซอกไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองควรจะเอ่ยคำขอโทษก่อนจะยิงคำถามไปให้ใครอีกคนที่เขาเดินชนเข้า คนตัวสูงขมวดคิ้วมองผู้ชายตัวเล็กที่เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาใสแจ๋วดูเหมือนเด็กมัธยมต้นมากกว่าเด็กไฮสคูลเสียอีก
“เฮ้! ถามทำไมไม่ตอบเนี่ย” มินซอกโวยให้หนึ่งที เมื่อได้รับคำตอบเป็นเพียงความเงียบกับแววตาที่จ้องนิ่งมาที่เขา
“เดินตรงไปเจอน้ำพุ แล้วก็เลี้ยวซ้ายเจอตึกสีขาวแล้วจะมีป้ายบอก” ใครคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ
“มันดูยุ่งยากจัง พาไปหน่อยดิ” มินซอกเป็นเด็กที่ไม่ค่อยคิดอะไรเวลาพูด ค่อนไปทางไม่มีความเกรงอกเกรงใจคนแปลกหน้าเลยด้วยซ้ำ
“ไปสิ” แต่ก็ดูเหมือนครั้งนี้มินซอกจะโชคดีหน่อยตรงที่คนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอเข้าจะเป็นพวกมีน้ำใจมากมายมหาศาลถึงได้ไม่ถือสาหาความคนอย่างคิมมินซอก
สองขาเล็กก้าวตามผู้นำทางตัวสูงที่เดินนำอยู่ข้างหน้า มินซอกฮัมเพลงขณะที่เดินมองรอบกายอย่างสนอกสนใจ นึกแปลกใจอยู่เล็กน้อยที่เห็นสายตาของเหล่านักเรียนที่พวกเขาสองคนเดินผ่านหันมาให้ความสนใจพลางซุบซิบกันเบาๆ แต่มินซอกก็ไม่ได้ใส่ใจนัก โรงเรียนนี้กว้างมากจริงๆถ้าขืนเขาเดินหาตึกเรียนเองก็คงจะกินเวลาไปหลายนาทีกว่าจะเจอ โชคดีที่เจอเจ้าถิ่นเข้าเพราะงั้นคิมมินซอกก็เลยไม่ต้องเดินหลงไปหลงมาให้เสียเวลา
“ถึงแล้ว” คนตัวสูงหยุดอยู่หน้าตึกๆหนึ่งก่อนจะหันมามองคนตัวเล็กที่เดินมาอยู่ข้างกัน
“โอ้ว~” มินซอกเงยหน้าขึ้นมองตึกเรียนสีขาวที่มีป้ายด้านหน้าติดตัวอักษรตัวเอภาษาอังกฤษตัวเบ้อเริ่ม
“ขอบใจมาก”
มินซอกหันไปฉีกยิ้มให้ก่อนจะยกมือตบบ่าคนสูงกว่าเบาๆแล้วก็เดินหายเข้าไปในตึกเรียน ปล่อยให้คนตัวสูงยืนมองตามอยู่อย่างนั้น
ครืด...
เป็นครั้งแรกที่คิมมินซอกรู้สึกว่าการเป็นคนแปลกหน้ามันน่าอึดอัดสุดๆ...
“...” มินซอกยืนกลอกตาไปมาอยู่ด้านหน้าของห้องเรียน เมื่อสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว หลังจากเดินขึ้นมาบนตึกแล้วเปิดประตูห้องเรียนเข้ามา มันไม่แปลกเท่าไหร่ที่เพื่อนร่วมห้องจะส่งแววตาสงสัยมาให้เขาแบบนี้ เพราะคิมมินซอกย้ายมาเรียนที่นี่ก็ตอนกลางเทอมเข้าไปแล้ว ห้องทั้งห้องยังคงตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ
“ไง” มินซอกยิ้มแหยส่งไปให้คนอื่นๆแบบเงอะงะ ก่อนจะกวาดตามองหาโต๊ะเรียนที่ว่างสำหรับเขา แล้วขาเล็กก็ก้าวตรงไปยังโต๊ะด้านหลังสุดติดกับหน้าต่างห้องเรียนที่ดูเหมือนจะไม่มีเจ้าของอยู่
“เฮ้! นายน่ะ เด็กใหม่หรอ?” เสียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะกลางห้องเรียนกับกลุ่มเพื่อนนักเรียนชายสองสามคนดังขัดขึ้นตอนที่มินซอกหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ได้ครู่เดียว
“อื้อ” มินซอกพยักหน้าตอบหงึกหงัก
“ที่ตรงนั้นน่ะมีเจ้าของแล้วนะ” เพื่อนร่วมห้องคนเดิมบอกก่อนจะชี้มาที่โต๊ะที่เขากำลังนั่งอยู่
“…” มินซอกก้มมองโต๊ะเรียนที่ไม่เห็นว่าจะมีข้าวของอื่นใดที่บอกว่ามันมีเจ้าของเสียหน่อย คนตัวเล็กเงยหน้าก่อนจะบอกออกไป “ก็ไม่เห็นมีอะไรเขียนบอกไว้เลยว่ามันมีเจ้าของน่ะ”
“นั่นที่ของฉัน” เสียงทุ้มดังขึ้น ก่อนที่คนตัวเล็กจะเงยหน้ามองใครอีกคนที่มายืนอยู่ข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“อ่าวหรอ...แต่ตอนนี้มันเป็นของฉัน” มินซอกเงยหน้าท้าทาย แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมลุกจากที่ตรงนี้ให้กับอีกคนที่มาทีหลังแน่ๆ ก็ในเมื่อมันไม่ได้มีอะไรจับจองไว้โดยเจ้าของที่เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้าใครจะนั่งอยู่ที่ตรงนี้ แต่ตอนนี้มันคือที่ของเขาแล้ว
“เอาแล้วไง...”
“เด็กใหม่นั่นหาเรื่องซวยแล้ว”
“เล่นกับใครไม่เล่นดันไปเล่นกับจงอิน”
“น่าสงสารอ่ะ...”
เสียงนักเรียนในห้องซุบซิบคุยกันเบาๆลอยมาในอากาศ ในขณะที่คนสองคนยังคงจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแย่งชิงโต๊ะเรียนอันเป็นรัก
“นายคงไม่อยากมีเรื่องตั้งแต่วันแรกหรอกใช่มั้ย? เด็กใหม่” คนที่ยืนอยู่ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะมองเขาด้วยแววตาพิฆาต
“นายคงไม่อยากมีเรื่องตั้งแต่วันแรกที่เจอฉันหรอกใช่มั้ย? เด็กเก่า” มินซอกยังเงยหน้าท้าทายอำนาจมืด โดยไม่ได้คำนึงถึงขนาดตัวของตัวเองเลยสักนิดถ้าหากว่าต้องมีเรื่องปะทะกันเข้าจริงๆใครกันแน่ที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“หึ” คนตัวสูงแค่นหัวเราะในลำคอเบาๆ
ครืด...
เสียงเปิดประตูที่เรียกสายตาของเหล่านักเรียนที่ให้ความสนใจกับสองนักเรียนที่ทำท่าจะมีเรื่องมีราวกัน ให้หันไปมองคนที่เข้ามาใหม่แล้วเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นอีกรอบ เมื่อร่างของใครคนหนึ่งเดินเข้า แม้แต่เขากับคู่กรณีก็ยังต้องหันไปมองแล้วมินซอกก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเบิกตาขึ้นเล็กน้อย
“นั่นมัน...คนนำทางนี่” มินซอกพึมพำเบาๆกับตัวเอง
“กรี๊ด...ฉันไม่คิดว่าวันนี้เขาจะมาที่โรงเรียนด้วย”
“ฉันได้ข่าวมาว่าวันนี้ ‘เซฮุน’ จะมาเรียนไงล่ะ ถึงได้เตรียมกล้อง DSLR มาด้วย”
“หล่อเป็นบ้าเลย”
เสียงนักเรียนหญิงในห้องกรี๊ดกร๊าดกันเบาๆในขณะที่สายตาจับจ้องไปที่ร่างสูงของคนตัวขาว ที่คิมมินซอกบังเอิญเจอเมื่อช่วงเช้าแล้วก็เป็นคนที่พาเขามาที่ตึกเรียนแห่งนี้ ในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจคนมาใหม่จนลืมไปว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้เกือบจะมีสงครามเล็กๆขึ้นกลางห้องเรียน คนที่เป็นจุดสนใจก็เดินตรงเข้าไปหาคนตัวเล็กที่นั่งมองทุกอย่างด้วยความงุนงง
“เป็นนักเรียนใหม่สินะ...ที่ของนายอยู่ทางนั้น” คนตัวขาวเดินเฉียดหน้าคนตัวดำๆมาหยุดอยู่ข้างมินซอกที่นั่งอยู่แล้วก็คว้าข้อมือเล็กให้ลุกขึ้นก่อนจะกระตุกเบาๆให้เดินตามมา ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนักแต่มินซอกก็ยอมเดินตามอีกคนด้วยความตกใจเล็กน้อย ท่ามกลางสายตาของคนทั้งห้องที่มองพวกเขาสองคนเป็นตาเดียว
×
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ได้ข้อสรุปกันแล้วนะคะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของโต๊ะประชุมที่มีคนร่วมโต๊ะเพียงแค่ห้าคน “เอาเป็นว่าเราจะเซ็นสัญญาการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์เสื้อผ้าของคุณลีมินจองเป็นเวลาหนึ่งปี เงื่อนไขสัญญาก็มีรายละเอียดตามนี้ค่ะ” เธอยื่นแฟ้มที่มีรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับการร่วมงานกันของนักแสดงลู่หานและแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง
“เราชื่นชอบในตัวคุณลู่หานมากๆเลยนะคะ แล้วก็บุคลิกของคุณก็เข้ากับแบรนด์ของเรามากๆด้วย” คุณมินจองเอ่ยขึ้นพลางส่งยิ้มมาให้ ลู่หานยิ้มให้ตามมารยาทก่อนจะก้มลงอ่านลายละเอียดบนหน้ากระดาษ
“ผมชอบคอนเซ็ปนี้เหมือนกันครับ เพราะฉะนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร” ลู่หานเงยหน้าขึ้นมาตอบ
หลังจากขั้นตอนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วลีมินจองกับเลขาฯส่วนตัวที่มาด้วยก็ขอตัวกลับ การเซ็นสัญญาร่วมงานกันผ่านไปโดยไม่มีอะไรติดขัด
“ช่วงขาขึ้นก็รีบกอบโกยเข้าไว้ล่ะ” คิมจุนมยอนประธานบริษัทบอกกับลู่หาน ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ ลู่หานยกยิ้มเมื่อประธานที่ดูจะเป็นกันเองกับเขามากๆบอกด้วยน้ำเสียงแกมจะล้ออยู่หน่อยๆ
“ละครเพิ่งปิดกล้องไปตอนนี้มีงานพรีเซ็นเตอร์เข้ามาต่อ มันคงไม่หนักไปใช่มั้ย?” จุนมยอนถามด้วยความเป็นห่วงนักแสดงในสังกัดเพราะกลัวว่าจะป้อนงานให้จนหนักเกินไป
“ไม่หรอก ประมาณนี้ก็โอเคแล้ว” ลู่หานตอบ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับท่านประธาน ผมคอยดูลิมิตหมอนี่ไว้ตลอดนั่นแหละ” อี้ชิงเสริมก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็ดีแล้ว ยังไงติดปัญหาตรงไหนก็คุยได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจนะ” จุนมยอนบอกก่อนจะลุกขึ้นพลางบิดขี้เกียจแล้วก็เดินออกจากห้องประชุมไป
“ไปส่งเด็กนั่นเป็นยังไงบ้าง?” ทันทีที่ภายในห้องมีแค่เขากับผู้จัดการคนสนิท ลู่หานก็ยิงคำถามไปให้อีกคนทันที หลังจากที่อี้ชิงมาถึงบริษัทแล้วพวกเราไม่มีเวลาคุยกันก่อนเพราะต้องรีบเข้ามาประชุมเรื่องงานในวันนี้เสียก่อน
“ดูจะเป็นห่วงเป็นใยเหลือเกินนะ” อี้ชิงเอ่ยล้อพลางส่งสายตาจับผิดไปให้
“ถามก็ตอบมาเถอะน่า”
“ก็ไม่ยังไง ตอนเย็นฉันบอกไปว่าเลิกเรียนแล้วให้โทรหา” อี้ชิงบอก เพราะระหว่างทางที่ไปส่งมินซอกเขาก็ให้เบอร์โทรติดต่อกับอีกคนไว้เรียบร้อบแล้ว
“อ่อ...” ลู่หานพยักหน้ารับก่อนจะกลับมานั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองเงียบๆ
“ถามหน่อยเถอะ...” จู่ๆอี้ชิงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับแววตาที่ส่งมาให้
“อะไร?”
“ถ้าต้องดูแลมินซอกไปตลอดนายจะทำยังไง?”
TBC.
#ficlupapa
TALK:
อยากลงแต่ละตอนให้ยาวกว่านี้ แต่ว่าเรากลัวว่าจะอัพช้าไป
เพราะงั้นก็พยายามปั่น แต่ก็ได้แค่นี้ แงง T_T
เราจะพยายามมาอัพบ่อยๆนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากๆเลย
คอมเม้นเล็กๆน้อยๆก็เป็นกำลังใจให้เราได้มากนะ 555555
คงมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะเลย ขอบคุณทุกคนที่ยังอ่านกันอยู่นะ
เหมือนช่วงนี้จิตตกเลย ฮือออออ 5555555555
ความคิดเห็น