คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : MY DADDY | CHAPTER01
CHAPTER 01
ติ๊ง ต่อง
“โอ้ะ! พิซซ่ามาแล้วแน่เลย” เด็กมินซอกเด้งตัวขึ้นจากโซฟาตัวยาวลุกขึ้นก่อนจะวิ่งด๊อกแด๊กไปเปิดประตู โดยที่ลู่หานไม่จำเป็นต้องออกคำสั่ง ก็แน่ล่ะในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนงอแงว่าหิวแถมยังสั่งให้ลู่หานโทรสั่งพิซซ่ามาให้กินอีกต่างหาก หลังจากวุ่นวายกับการปรากฏตัวของเด็กมินซอกเมื่อช่วงเช้าแล้วเขาก็สำนึกได้ว่าร่างกายยังต้องการอาหารเข้าไปเพิ่มพลัง ดังนั้นลู่หานก็ไม่ได้ขัดอะไรแล้วก็กลายเป็นต้องยอมจ่ายค่ามื้อเช้าสำหรับสองคนด้วยเงินของเขาเอง
“ขอบคุณครับ~” ลู่หานนั่งมองเด็กมินซอกรับพิซซ่าถาดใหญ่จากพนักงานส่งพิซซ่า คนตัวเล็กโค้งให้อย่างมีมารยาทอย่างที่ลู่หานเพิ่งจะเคยเห็น พร้อมกับเอ่ยเสียงร่าเริงก่อนจะยกมือเล็กๆนั่นโบกไปมาให้กับพนักงานที่เดินจากไป
ต้องมีของกินมาล่อสินะ...
“ปะป๊ามานั่งนี่สิ” มินซอกวางพิซซ่าถาดใหญ่ในมือลงบนโต๊ะตัวเตี้ยที่ตั้งอยู่หน้าโซฟาก่อนจะนั่งลงกับพื้นแล้วเริ่มลงมือจัดการของกินตรงหน้า ลู่หานไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ยอมลงไปนั่งกับพื้นฝั่งตรงข้ามกับอีกคน นั่งเท้าคางมองเด็กหัวกลมที่ตั้งใจยัดพิซซ่าคำโตเข้าปาก แก้มกลมๆนั้นพองขึ้นมาเพราะของกินที่อัดแน่นอยู่เต็มปาก
“ไม่กินหรอ?” ลู่หานเกือบจะหลุดขำออกมาตอนที่เด็กตรงหน้าเอ่ยถามทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยของกิน เสียงอู้อี้เอ่ยถามพร้อมกับแววตาฉงน ในมือยังมีพิซซ่าจ่ออยู่ตรงปากของตัวเอง
“กินไปเถอะ ระวังติดคอ” ลู่หานบอกก่อนจะลุกเดินออกไปยังโซนห้องครัว
มินซอกเงยหน้าขึ้นมองเมื่ออีกคนเดินกลับมาพร้อมกับเหยือกน้ำและแก้วสองใบ อีกคนวางของที่ถือมาลงบนโต๊ะตัวเตี้ยก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกันตามเดิม มินซอกกระพริบตามองปริบๆก่อนจะยื่นพิซซ่าที่ตัวเองกัดไปแล้วครึ่งหนึ่งไปจ่อปากอีกคน
“อ้าม~”
ลู่หานขมวดคิ้วมองคนตัวเล็กที่ทำเสียงใสพร้อมทำท่าอ้าปากกว้าง
“กินเองได้” ลู่หานดันมือคนตัวเล็กออก ก่อนจะเอื้อมไปหยิบพิซซ่าชิ้นใหม่ พลางเอ่ยออกมาเบาๆ “กัดแล้วยังจะเอามาป้อนอีก”
“ชิ” มินซอกยู่ปากก่อนจะวางพิซซ่าครึ่งชิ้นนั้นลงบนกล่อง เอื้อมไปหยิบเหยือกน้ำมาเทใส่แก้วในขณะที่อีกคนยัดพิซซ่าในมือเข้าปาก ตอนที่วางแก้วลงหลังจากดื่มน้ำอึกใหญ่ดวงตากลมก็เหลือบขึ้นมองคนตรงหน้า
“...!” ลู่หานชะงักเล็กน้อยตอนที่กำลังจะอ้าปากงับพิซซ่าในมืออีกคำ เมื่อคนตัวเล็กยืดตัวเข้ามาก่อนที่มือเล็กจะเอื้อมมาแตะมุมปากเบาๆแล้วใช้นิ้วเล็กเกลี่ยคราบซอสที่เลอะมุมปากของเขาออกให้ มินซอกหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยล้อ
“กินเลอะเหมือนเด็ก” ลู่หานนิ่งค้างอยู่พักเดียวก่อนจะกลอกตาไปมา แวบหนึ่งที่แอบเหลือบมองเด็กหัวกลมที่ดึงตัวกลับไปให้ความสนใจกับของกินในมือต่อ
“คริสบอกหรือเปล่าว่าต้องมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” ลู่หานถามขึ้นตอนที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปพักหนึ่ง
“ไม่อ่ะ บอกแค่ว่าให้มาหาลู่หาน”
“แล้วก็มาเนี่ยนะ” ลู่หานย่นคิ้ว
“อื้อ” มินซอกพยักหน้าหงึกก่อนจะหยิบพิซซ่ามากินอีก
“ใครบอกให้ไปไหนก็ไปว่างั้น” ลู่หานเหล่มองมินซอกที่ยังเอาแต่ยัดของกินเข้าปาก นึกแปลกใจที่เด็กคนนี้ดูไม่สะทกสะท้านกับการที่ต้องมาอาศัยอยู่กับคนที่ไม่รู้จัก แถมยังวางตัวสบายๆแบบที่ไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจที่ต้องออกมาอยู่ในที่ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มินซอกอยู่ที่ไหน กับใคร แต่จะให้ถามออกไปตรงๆมันก็ออกจะดูเสียมารยาทจนเกินไป อีกอย่างก็กลัวว่าคำถามประเภทนั้นอาจจะไปแทงใจดำเด็กนี่เข้า
“แน่สิ สนุกออก” มินซอกเอ่ยขึ้น “จะว่ายังไงดีล่ะ ผมน่ะอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่เด็กๆแล้ว พ่อแม่อะไรนั่นแทบจะไม่เคยเจอด้วยซ้ำ” คนตัวเล็กเล่าด้วยท่าทางทีสบายๆทั้งที่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนแต่อีกคนกลับดูจะไม่ใส่ใจนัก
“...”
“ไม่สิ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของผมคือใคร” น้ำเสียงของคนตัวเล็กไม่ได้ต่างไปจากทีแรก มันยังคงปกติเสียจนลู่หานแปลกใจ “กับคริสผมก็เพิ่งเจอเขาเมื่ออาทิตย์ก่อน ผู้หญิงคนนั้นบอกให้ผมไปหาเขา” ผู้หญิงคนนั้น ที่เด็กมินซอกพูดถึงคงจะหมายถึง ‘แม่’ สินะ
“แล้วผู้หญิงคนนั้น เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ไม่รู้สิ คงไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของเขาล่ะมั้ง” มินซอกทำท่านึกอยู่แวบหนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“งั้นนายก็รู้น่ะสิว่าเพราะอะไรถึงถูกส่งตัวไปหาคริส?”
“อื้ม ตอนแรกผมคิดว่าคริสคือผู้โชคร้าย แต่สุดท้ายกลายเป็นปะป๊าลู่หาน~” มินซอกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงพลางยิ้มตาหยี
“แล้วกับคริสทำไมนายไม่เรียกปะป๊า?”
“ก็คริสไม่ใช่ปะป๊านี่”
“แล้วฉันเป็นปะป๊านายรึไง?” ลู่หานขมวดคิ้วถาม
“คริสบอกว่าจากนี้ไปลู่หานจะดูแลผม เพราะงั้นลู่หานก็ต้องเป็นปะป๊าผมสิ”
“…” ลู่หานถึงกลับพูดไม่ออก เขาได้แค่ส่ายหน้าเบาๆพลางถอนหายใจออกมา
“มองผมแบบนั้นหมายความว่าไง?” มินซอกหรี่ตามองอีกคนที่นั่งมองเขาด้วยแววตาประหลาด
“นายโตมาแบบไหนกันนะ?” ลู่หานเท้าคางมองก่อนจะเปรยออกมาเบาๆ
“…อืมมม” มินซอกเท้าคางเลียนแบบอีกคนพลางทำท่าคิดหนัก
“ถ้าจะให้เล่าชีวิตตอนเด็กๆล่ะก็...พอจำความได้ก็อยู่กับแม่บ้าน เขาเรียกว่าไงนะ แม่นมมั้ง” มินซอกเริ่มเล่า “พอต้องเข้าโรงเรียนก็ถูกส่งให้เข้าโรงเรียนประจำ วันหยุดก็ไม่ได้กลับบ้านหรอกเพราะไม่มีใครมารับ...เอ้อ วันจบการศึกษาผม ก็ไม่มีใครมาด้วยนะ เศร้าชะมัด” คนตัวเล็กเล่ามาถึงตรงนี้แล้วก็หัวเราะกับตัวเอง ไม่ได้มีอะไรน่าขำเลยซักนิดแต่มินซอกก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองหัวเราะทำไมแค่คิดถึงวันที่ตัวเองโดดเดี่ยวท่ามกลางบรรยากาศของคนรอบข้างที่มีพ่อแม่ มีครอบครัวมาแสดงความยินดีในวันจบการศึกษาก็รู้สึกหน่วงขึ้นมาแปลกๆ ที่หัวเราะก็คง...ปลอบใจตัวเองอย่างนั้นล่ะมั้ง
“แต่ผมชอบชีวิตอิสระแบบนั้นนะ” มินซอกยิ้มกว้างตอนที่พูดจบ
“...”
“แล้วปะป๊าล่ะ?” มินซอกถามเมื่ออีกคนเอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาเงียบๆ
“ฉันหรอ? ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก” ลู่หานตอบก่อนจะมองไปทางอื่น
“ได้ไงอ่ะ ผมเล่าเรื่องของผมไปตั้งเยอะ” มินซอกท้วง
“นายก็ต้องเล่าอยู่แล้ว จากนี้ไปฉันคือผู้ปกครองของนายเพราะฉะนั้นฉันต้องรู้ทุกเรื่องของนาย ต่อไปก็รู้ไว้ด้วยว่านายจะไม่มีชีวิตอิสระแบบนั้นอีกแล้ว” ลู่หานร่ายยาวพลางมองอีกคนด้วยท่าทีจริงจัง จนมินซอกหลุดขำออกมาเบาๆ
“เข้าใจแล้วครับปะป๊า~”
สงสัยว่าคงต้องยอมเป็น ‘ปะป๊า’ จำเป็นให้เด็กนี่ไปซักพักแล้วล่ะ ลู่หานคิด
มินซอกไม่เคยสัมผัสกับคำว่าครอบครัวมาตั้งแต่เกิด...แต่ต่อจากนี้ไปมันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับคนตัวเล็กนี่แล้วก็ได้มั้ง
×
เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็น หลังจากลู่หานจัดการหาห้องว่างให้สำหรับสมาชิกใหม่ เด็กมินซอกโยนกระเป๋าเป้ของตัวเองลงบนเตียงก่อนจะกระโจนขึ้นไปกลิ้งไปมาอยู่พักใหญ่จนเขาต้องปรามให้รีบมาจัดข้าวของ มินซอกรื้อข้าวของในกระเป๋าออกมากระจายไปทั่วห้องจนลู่หานถึงกับต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
“อ่ะ” คนตัวเล็กยื่นแฟ้มอะไรสักอย่างมาให้ตรงหน้าคนที่ยืนอยู่ ในขณะที่ตัวเองนั่งกวาดข้าวของไปมา
“อะไร?” ลู่หานทำหน้างงตอนรับสิ่งนั้นมาไว้ในมือก่อนจะเปิดดูแล้วก็พบว่ามันคือเอกสารการเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายของมินซอก
“คริสเอามาให้ บอกว่าต้องไปโรงเรียน” มินซอกบอกทั้งที่ยังวุ่นวายอยู่กับข้าวของของตัวเอง
“…” ลู่หานเปิดแฟ้มประวัติคร่าวๆของมินซอก พร้อมกับรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับกฎระเบียบการเข้าศึกษาในโรงเรียนแห่งนี้ พอเห็นชื่อโรงเรียนแล้วก็ต้องอ้าปากค้างเพราะมันคือโรงเรียนไฮสคูลอันดับต้นๆของเกาหลีใต้ ในตอนท้ายมีลายเซ็นของคริสที่เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนของมินซอก คาดว่าคริสคงจัดการเรื่องโรงเรียนให้มินซอกมาก่อนหน้านี้แล้ว อย่างน้อยลู่หานก็เบาใจไปหนึ่งเรื่องที่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าเทอมที่แพงหูฉี่
“มีชุดด้วย” คนตัวเล็กชูมันขึ้นมาให้ดู
“โรงเรียนหรูซะด้วย”
“แน่นอนสิ” มินซอกเงยหน้าขึ้นมายิ้มแป้น
ลู่หานแค่มองหัวกลมของอีกคนที่กลับไปจัดการข้าวของบนพื้น แล้วโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดขึ้นมา เขาแยกตัวออกมาจากห้องนั้นแล้วก็กดรับสายเมื่อหน้าจอมือถือโชว์ชื่อของผู้จัดการคนสนิท
“ว่าไง”
[ลงมาหน่อย อยู่หน้าบ้าน]
“ห้ะ!”
“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” ลู่หานว่าตอนที่รีบวิ่งลงมาจากชั้นสองแล้วเปิดประตูต้อนรับอี้ชิง ผู้จัดการที่เขาเพิ่งคุยไปด้วยเมื่อช่วงสาย
“เดี๋ยวนี้ต้องโทรบอกก่อนจะเข้ามาได้หรือไง?” อี้ชิงว่าขณะที่หอบหิ้วถุงใส่ของมาเต็มไม้เต็มมือ เดินไปในโซนครัวอย่างคุ้นเคยก่อนจะวางข้าวของลงบนโต๊ะในครัว
“แล้วมีอะไร ไหนบอกว่าวันนี้ไม่มีงาน?” ลู่หานเดินเข้ามาช่วยหยิบจับของในถุงออกมาวาง อี้ชิงเป็นผู้จัดการที่สนิทกับเขาเพราะรู้จักกันมาก่อนจะเข้าวงการเสียอีก เรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนสนิทแล้วก็เพื่อนร่วมงานเลยก็ว่าได้ ส่วนใหญ่อี้ชิงจะเป็นคนจัดการซื้อข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งอาหารมาไว้ให้ลู่หานเพราะเขาไม่ได้มีแม่บ้านมาคอยดูแลเรื่องงานบ้าน เหตุผลก็เพราะอี้ชิงอีกนั่นแหละที่ยื่นมือเข้ามาจัดการให้
“ก็ไม่มี แต่จะเข้ามาบอกว่าพรุ่งนี้มี” อี้ชิงบอกตอนที่หยิบผลไม้หลากหลายชนิดไปใส่ไว้ในตู้เย็น “ตอนเช้านายต้องเข้าบริษัท ประธานเรียกพบเห็นว่ามีสินค้าแบรนด์ดังมาติดต่อให้นายไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้น่ะ ฉันรู้มาคร่าวๆเดี๋ยวพรุ่งนี้มีประชุมก็คงรู้รายละเอียดเพิ่มเติม”
“อ่อ…” ลู่หานพยักหน้ารับ
“ตอนนี้มีงานเข้ามาเรื่อยๆตอนนี้ที่จีนก็ดูจะสนใจนายด้วย ได้ข่าวแว่วๆว่าอาจจะติดต่อมา” อี้ชิงเป็นคนจัดการทุกอย่างในชีวิตของเขา ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เขาวางใจที่จะให้อี้ชิงจัดการตารางงานรวมถึงรับงานต่างๆโดยที่เขาแทบไม่ต้องตัดสินใจ
แล้วเรื่องเด็กมินซอกนี่ก็คงต้องบอกให้รู้ด้วย
“เออ นี่…”
“ปะป๊า!”
ทั้งสองคนหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำรัวลงมาจากชั้นสองแล้วลู่หานก็ต้องกุมขมับรอบที่นับไม่ได้ กำลังจะบอกอี้ชิงแท้ๆ หมอนี่ถ้าได้เห็นเด็กนั่นคงได้ปวดประสาทกับเขาแน่
“ปะป๊าไหนวะ?” อี้ชิงหันมามองหน้าลู่หาน
“…”
“โอ้ะ!” มินซอกโผล่หน้าเข้ามาในห้องครัวแล้วก็ต้องชะงักเมื่อในห้องนั้นไม่ได้มีเพียงแค่คนที่เขาตามหา
“ใครอ่ะ?” คนตัวเล็กทำหน้างงก่อนจะเดินเข้าไป
“ใครวะ?” อี้ชิงมองหน้าคนที่เข้ามาใหม่สลับกับมองหน้าลู่หานไปมา
“ลูกคริส?” อี้ชิงทวนคำตอบของอีกคนหลังจากแยกตัวออกมานั่งในห้องรับแขก ปล่อยให้เด็กมินซอกเพลิดเพลินกับข้าวของที่อี้ชิงซื้อมา หลังจากแนะนำตัวคร่าวๆให้สองคนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เชิงอ่ะ เอามาฝาก” ลู่หานตอบก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟา
“ยังไง? ไม่เข้าใจ” อี้ชิงตอนนี้กำลังผูกปมคิ้วหนาของตัวเองเข้าด้วยกันตอนที่ยืดคอยาวมาทางเขา
“ก็ไม่รู้ว่ายังไงเหมือนกัน รู้แค่ว่ามันฝากให้ช่วยดูแลให้” ลู่หานพ่นลมหายใจหน่ายออกมา
“ตอนนี้คริสไปถ่ายหนังที่จีนนี่ เห็นว่าพักหลังนี้รับงานทางโน้นเป็นส่วนใหญ่” อี้ชิงขมวดคิ้วก่อนจะทำท่าคิดกับตัวเอง “เพราะงั้นก็เลยต้องเอาลูกมาฝากนาย?” อี้ชิงหันมาทำหน้างงใส่เขาอีกครั้ง “เฮ้ย เดี๋ยวดิหมอนั่นไปแอบมีลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก็บอกว่าไม่เชิงไง เรื่องมันซับซ้อน ฉันไม่รู้จะเริ่มเล่าตรงไหน” ลู่หานเพียงแค่บอกปัดไป
“อ่าว แล้วยังไงนายก็ต้องรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงแทน แบบนี้?” อี้ชิงเลิกคิ้วถามอีกคน
“แล้วจะให้ปล่อยไปเฉยๆรึไงเล่า” ก็ในเมื่อคริสขอร้องเขาไว้แล้ว ออกจะยัดเยียดไปหน่อยแต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อเด็กคนนั้นก็ไม่มีที่ให้ไปแล้ว
“แล้วนี่คิดจะบอกเรื่องนี้กับฉันเมื่อไหร่?” คราวนี้อี้ชิงหันมาถามคาดโทษ
“ก็กำลังจะบอกนั่นแหละ เด็กนั่นเพิ่งจะมาถึงเมื่อเช้า” ลู่หานพ่นลมหายใจหน่ายออกมาตอนที่รู้สึกว่าเหมือนกำลังโดนผู้ปกครองสอบสวนทั้งที่ไม่ได้มีความผิด
“อะไรจะยอมรับง่ายขนาดนั้น…” อี้ชิงหรี่ตามองคนที่เอนกายพร้อมกับปิดเปลือกตาลง
“ยอมรับอะไร?” ลู่หานเปิดเปลือกตาขึ้นมาเค้นเสียงถาม
“ก็ยอมรับเด็กคนนั้นมาดูแลไง...ง่ายไปรึเปล่าน่ะลู่หาน” อี้ชิงเอียงคอก่อนจะกระทุ้งศอกใส่สีข้างอีกคนเบาๆ “...เพราะเด็กนั่นน่ารักสินะ” อี้ชิงพูดพลางกระตุกยิ้มมุมปาก
“น่ารักบ้าอะไร แสบจะตายเถอะ” ลู่หานผลักไหล่อี้ชิงออกห่าง ก่อนจะชักสีหน้าใส่เมื่ออีกคนเอาแต่มองเขาด้วยแววตาจ้องจับผิด
“เลิกมองฉันแบบนั้นซะทีเถอะน่า!”
×
“อี้ชิง มาบ่อยๆนะ” เด็กมินซอกฉีกยิ้มตาหยีตอนที่โบกมือล่ำลาผู้จัดการตัวขาวอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่และสามคนได้คุยกันไปบ้างแล้วอี้ชิงก็ขอตัวกลับ ไม่รู้ว่าเด็กมินซอกไปสนิทชิดเชื้อกันขนาดที่เรียกอีกฝ่ายโดยไม่มีคำนำหน้านามแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูอี้ชิงเองก็ไม่ได้ถือสาอะไรแถมยังโบกไม้โบกมือกลับมาอีกต่างหาก
“โอเคครับน้องมินซอก อย่าดื้อกับปะป๊านะ” อี้ชิงหันมายิ้มกวนใส่ลู่หาน ตอนที่พูดคำว่า ‘ปะป๊า’ ใส่หน้าเขา
“ไม่ดื้อๆ” หราาาา
ลู่หานเพียงแค่ปรายตามองเด็กที่ยืนส่งยิ้มให้อี้ชิงอยู่ข้างๆ
“ไว้พรุ่งนี้เจอกันลู่หาน พี่กลับแล้วนะน้องมินซอก” อี้ชิงยิ้มให้มินซอกหนึ่งที ก่อนจะหันมาบอกลาเขาแล้วก็หันไปล่ำลาน้องมินซอกของเจ้าตัวอีกหนึ่งรอบ
“อือๆ” ลู่หานพยักหน้ารับก่อนจะปัดมือไล่หน่ายๆ
ลู่หานเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้ผมที่ยังไม่แห้งสนิทเบาๆก่อนจะทิ้งกายลงนั่งพิงหัวเตียง หลังจากอี้ชิงกลับไปเมื่อตอนหัวค่ำเขาก็บอกให้เด็กมินซอกไปอาบน้ำ คนตัวเล็กไม่ได้อิดออดยอมทำตามคำสั่งเขาแต่โดนดี แล้วก็วิ่งหายขึ้นไปบนห้องของเจ้าตัวที่เขายกให้
ห้องของเด็กมินซอกอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตัวบ้าน ลู่หานซื้อบ้านเดี่ยวเป็นของตัวเองหลังจากทำงานเก็บเงินมาหลายปี ตัวบ้านเป็นตึกสีขาวสไตล์โมเดิร์นที่ตั้งอยู่ห่างจากเขตผู้คนพลุ่งพล่านเพราะเขาชอบความสงบมากกว่าสถานที่แออัด อีกอย่างก็เพราะว่าเป็นนักแสดงที่มีหลายคนคอยจับตามองทั้งแฟนคลับแล้วก็พวกนักข่าวเขาเลยเลือกที่ที่เป็นส่วนตัวมากที่สุด ลู่หานไม่ได้กลับบ้านเกิดของตัวเองที่อยู่ปักกิ่งมาหลายปีแล้วเพราะตารางงานที่ยุ่งจนแทบไม่มีเวลา หลายครั้งที่โดนคนเป็นพ่อแม่บ่นอย่างน้อยใจที่ลูกชายคนเดียวไม่กลับมาเยี่ยมบ้างเลย แต่ลู่หานก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่เขาจะกลับไปหา
ก๊อก ก๊อก
ตอนที่หยิบมือถือขึ้นมาเช็ค แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอน คงจะเป็นใครอื่นไปไม่แล้วนอกจากเด็กมินซอก แต่ว่าพอมองนาฬิกาที่บอกเวลาสามทุ่มแล้วลู่หานก็เลยขมวดคิ้วมุ่น จนป่านนี้แล้วเด็กนั่นยังไม่หลับอีกรึไง?
“ว่า?” ตอนที่เดินไปดึงบานประตูเข้ามาหาตัวแล้วก็เห็นว่าเด็กมินซอกยืนกอดหมอนอยู่ตรงหน้าห้อง
“นอนด้วย” คนตัวเล็กบอกหน้านิ่งก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
“นี่ ก็ยกห้องนั้นให้แล้วไง” ลู่หานจำต้องยอมปิดประตูห้องนอนแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียง เมื่ออีกคนกระโจนลงไปนอนบนเตียงกว้างของเขาเรียบร้อย
“ว้าว~ เตียงกว้างจัง ผมชอบห้องนี้” อีกคนไม่ได้หันมาตอบคำถามแต่กลับกลิ้งตัวไปมาบนเตียงอย่างสนุกสนาน ลู่หานเงยหน้าขึ้นพลางยกมือขึ้นบีบสันจมูกเบาๆ
นี่มันอะไรกันอีกล่ะเนี่ย...
“กลับไปนอนห้องตัวเองสิ” ลู่หานว่าก่อนจะเดินไปคว้าต้นแขนอีกคนขึ้นมา
“ไม่เอา” มินซอกงอหน้าใส่ก่อนจะสะบัดแขนออกแล้วมุดตัวเข้าไปใต้ผ้านวมผืนหนา ลู่หานพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งกับความรั้นของเด็กหัวกลม เขาเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆผ้าห่มที่ถูกอีกคนม้วนตัวอยู่ด้านในเป็นก้อนกลมๆ
“อะไรของนายอีกเนี่ย” นี่เด็กมินซอกตั้งใจจะป่วนเขาทุกนาทีเลยรึไงกัน
“ขอนอนด้วย ไม่กล้านอนคนเดียวอ่ะ” มินซอกโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มก่อนจะเอ่ยเสียงเบาออกมา ใบหน้ากลมกับแววตาที่มองมาติดจะอ้อนอยู่เล็กน้อย
“อย่าบอกว่ากลัวผี?” ลู่หานขมวดคิ้วถาม
“…”
คนตัวเล็กไม่ได้ตอบมีเพียงความเงียบที่ส่งมาทางแววตาเป็นคำตอบว่าข้อสันนิษฐานของลู่หานนั้นถูกต้อง ลู่หานยกยิ้มขำตอนที่เห็นเด็กใต้ผ้าห่มผืนหนากลอกตามองไปทั่วห้องราวกับว่ากำลังหวาดระแวงว่าจะมีสิ่งลี้ลับภายในห้องนี้
“ผมไม่เคยนอนคนเดียว...” มินซอกไม่ได้โกหก เขาเคยอยู่โรงเรียนประจำแล้วที่หอก็อยู่กับเพื่อนตลอด มินซอกไม่เคยนอนคนเดียวเลยตั้งแต่เกิดมา เขาไม่ใช่คนขี้ขลาด มินซอกแค่กลัวเวลาที่รอบข้างมืดสนิทแล้วภายในห้องแคบๆมีเพียงแค่เขาคนเดียว
มินซอกไม่ได้กลัวผีซะหน่อย...เขาแค่กลัวความมืดต่างหาก
“ให้แค่คืนนี้” ลู่หานบอกก่อนจะเอนหลังพิงหัวเตียง
“ไม่เอาดิ ผมบอกว่าไม่เคยนอนคนเดียวไง” คราวนี้อีกคนสะบัดผ้าห่มออกก่อนจะนั่งทำหน้าขึงขังมองมาที่เขา
“ก็หัดซะสิ โตขนาดนี้แล้ว”
“ไม่เอา”
“เด็กคนไหนบอกว่าจะไม่ดื้อ” ลู่หานหรี่ตามองคนตัวเล็กที่นั่งเบะปากอยู่
“ปะป๊า~”
แน่ะ...มีทำเสียงอ้อน
“สองคืน” ลู่หานยื่นคำขาดก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา แล้วก็เลิกให้ความสนใจกับเด็กที่นั่งทำหน้างองุ้มอยู่ข้างๆ
“ใจร้ายชะมัด” มินซอกทิ้งตัวลงนอนเมื่ออีกคนเมินเขา ลู่หานลอบยิ้มขำเมื่อคราวนี้คนตัวเล็กเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปก่อน
“พรุ่งนี้ไปส่งที่โรงเรียนด้วย” เสียงเล็กดังงุ้งงิ้งขึ้นมาอีกครั้ง
“ไปเองสิ พรุ่งนี้ไม่ว่าง” ลู่หานบอกทั้งที่ยังให้ความสนใจกับหน้าจอมือถืออยู่
“ไปยังไงเล่า ผมรู้ซะที่ไหนล่ะว่าโรงเรียนมันอยู่ส่วนไหนของโลกน่ะ” ลู่หานหันมามองหน้าเมื่อคนตัวเล็กเริ่มกวนประสาท
“เดี๋ยวให้อี้ชิงไปส่ง” ลู่หานบอกก่อนจะจัดการส่งไลน์ไปหาอี้ชิงเพราะเขาต้องเข้าบริษัทแต่เช้า คงไปส่งเด็กมินซอกไม่ได้ เพียงครู่เดียวอี้ชิงก็ตอบตกลงเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ
“พรุ่งนี้เดี๋ยวอี้ชิงมารับ” หันไปบอกคนตัวเล็กที่นอนเอียงคอมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเขา
“ก็ได้” มินซอกยู่ปากเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้
“ผมมีคำถาม” มินซอกเอียงคอมองอีกครั้งหลังจากทั้งคู่เงียบกันไปพักหนึ่ง “ตอนเด็กๆปะป๊าเคยฟังนิทานก่อนนอนมั้ย?”
“หืม?” ลู่หานละสายตาจากหน้าจอเครื่องมือสื่อสารแล้วหันมาสบตากับอีกคนที่นอนอยู่
“ผมไม่เคยเลยอ่ะ เล่านิทานให้ฟังหน่อยดิ”
“โตแล้วใครเขาฟังนิทานก่อนนอนกัน?” ลู่หานส่ายหน้าหน่ายก่อนจะวางมือถือลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง เด็กมินซอกนี่มีอะไรมาทำให้เขาประหลาดใจได้ทุกเวลาจริงๆ
“ก็ผมไง” มินซอกไม่ยอมแพ้
“นอนได้แล้ว” ลู่หานตัดบทแล้วทำท่าจะเอื้อมมือไปปิดไฟในห้องนอน แต่ก็ชะงักเมื่อเสียงเล็กดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“แต่ผมอยากรู้จริงๆนี่นาว่าความรู้สึกเวลาฟังนิทานก่อนนอนมันเป็นยังไง...”
ลู่หานหันมามองคนตัวเล็กที่เอ่ยออกเบาๆ อีกคนไม่ได้มองหน้าเขาเหมือนทุกทีดวงตากลมมองเพดานห้องเบื้องบนเงียบๆ
“ไว้วันหลังแล้วกัน” จบประโยคที่คนโตกว่าพูดออกมาแล้วมินซอกก็หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“จริงนะ!”
“นอนซะทีเถอะน่า” ลู่หานบอกปัด แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อคนตัวเล็กยืดตัวขึ้นมาแตะริมฝีปากบางเข้าที่หน้าผากของเขาเบาๆก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว คนที่นั่งอยู่นิ่งอึ้งไปพักหนึ่งตอนที่รู้สึกว่าได้ยินเสียงจุ๊บเบาๆตอนริมฝีปากนั้นทาบทับลงบนหน้าผากของตัวเอง
“กู๊ดไนท์ปะป๊า~” คนตัวเล็กยิ้มน้อยๆตอนที่ดึงตัวกลับไปนอนตามเดิม ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายของตัวเองแล้วนอนหลับตาพริ้ม
มินซอกคงยังไม่รู้...
ความลับข้อแรกของปะป๊าลู่หาน...แพ้ลูกอ้อน
TBC.
#ficlupapa
TALK:
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ น่ารักมากเลยย
ขอบคุณที่ชอบปะป๊าลู่กับน้องมินซอกเวอร์ชั่นนี้นะคะ
ดีใจมากๆที่ชอบกัน แง TAT จะพยายามอัพบ่อยๆน้า
กู๊ดไนท์นะคะทุกโคนนนนนนนนนน ~
ความคิดเห็น