คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
บทที่ 1
“นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ!!!!”
“ขอบคุณครับ...” สิ้นเสียงทำความเคารพอาจารย์ก็ตามด้วยเสียงลุกจากเก้าอี้ที่ดังสนั่นไปทั่วห้องเรียน ทุกคนพร้อมใจกันวิ่งออกจากห้องเรียนไปอย่างรวดเร็ว ช่างเป็นบรรยากาศที่ต่างจากตอนเข้าห้องเรียนซะเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะว่านี่เป็นคาบสุดท้ายด้วยก็ได้ทำให้เวลลาเลิกเรียนของคาบนี้เหมือนสัญญาจบสงครามอะไรอย่างงั้น
“รัก... วันนี้ไปกินติมกัน” สลิ่มเป็นคนเดินเข้ามาชวนผมก่อนเป็นคนแรก ส่วนอีกสองคนยืนรออยู่ที่นอกห้อง “ไปน้า...”
“ไม่อ่ะ... วันนี้ขี้เกียจ” ผมพูดพร้อมกับค่อยๆเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋า ส่วนสลิ่มก้ได้แต่ทำหน้าบูดใส่ผมที่ผมปฏิเสธ ก็ช่วยไม่ได้นี่นะวันนี้ผมไม่ได้อยากไปซักหน่อยเลือกชวนผิดวันเองมาโทษผมก็คงไม่ได้ถูกไหม “งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนล่ะกัน... ไว้พรุ่งนี้เจอกัน”
เมื่อได้ยิงอย่างนั้นทั้งสามนางจึงได้แต่โบกมือลาผม เพราะทั้งสามคนก็คงรู้ว่าถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะก็ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็คงไม่ไป หลังจากที่แยกกับทั้งสามนางผมก็ตรงไปยังห้องที่อาจารย์ที่ปรึกษารับผิดชอบ เนื่องจากว่าวันนี้ผมเป็นเวรทำความสะอาดห้อง หลังจากที่มาถึงหน้าห้องผมก็พบว่าประตูห้องปิดอยู่ และเมื่อเปิดเข้าไปผมก็พบว่ามีเพียงแค่โต๊ะเรียน ประตูหน้าต่างที่ปิดไว้มิดชิด และขยะที่เรียกได้ว่ามากพอจะเต็มถังขยะหลังห้องได้สบายๆ
นอกจากสิ่งที่กล่าวมาก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดนอกจากผม อ้อ... แต่ไม่นับรวมแมลงสาปที่อาจจะหลบอยู่ตามซอกตู้ และก็จิ้งจกที่เกาะอยู่ตามเพดานนะ พวกคุณอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงเหลือผมแค่คนเดียว ความเป็นจริงมันก็มีหลายคนละนะแต่ว่าวันนี้เลิกเรียนตั้งห้าโมงครึ่งแล้วใครมันจะอยากอยู่โรงเรียนต่อกันล่ะ ความจริงผมจะไม่มาทำก็ได้นะถ้าเกิดว่าวันที่จะมาถึงอาจารย์จะไม่มาบ่นให้ฟังเรื่องความรับผิดชอบ ตัวผมเองก็ขี้เกียจฟังด้วยแล้วก็ไม่ได้สนใจเรื่องกลับบ้านอยู่แล้วเพราะว่าผมอยู่หอใกล้ๆโรงเรียนจะกลับกี่โมงก็ได้
ผมค่อยๆเดินไปหยิบไม้กวาดที่อยู่หลังห้อง และเริ่มทำความสะอาดห้องทีละนิด ผมใช้ไม้กวาดล้วงเข้าไปที่ใต้โต๊ะเพื่อเอาขยะออกมา แต่หลังจากที่ล้วงออกมาแล้วนั้นผมก็เหลือบไปเห็นแหวนวงหนึ่งเข้า ผมหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาดูมันเป็นแหวนสีเงินที่ไม่มีลวดลายอะไร กับสายเชือกที่ขาดออกจากกันสงสัยจะจะขาดโดยไม่รู้ตกล่ะมั่ง แต่ทำไมรู้สึกคุ้นๆจังแฮะ ช่างเถอะ... เก็บเอาไว้แล้วเดี๋ยวเอาไปส่งอาจารย์ หรือไม่ก็ประชาสัมพันธ์ล่ะกัน แต่ในขณะที่ผมกำลังเก็บแหวนลงกระเป๋าเสื้อนั้นเอง...
ปัง...!!
เสียงเปิดประตูที่ดังสนั่นผมให้ผมต้องหันไปดู ก็พบเงาของผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู แต่หลังจากที่ผู้ชายคงนั้นเดินเข้ามาใกล้ผมก็พบว่านั้นคือคิงนั้นเอง คิงมองมาที่ผมส่วนพบก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนอยูนิ่งๆ หลังจากมองผมได้สักพักคิงก็เริ่มเดินไปทั่วห้องก้มๆเงยๆมองตรงนู้นตรงนั้น เหมือนกับว่ากำลังจะหาอะไรซักอย่างอยู่
“เออ... คือกำลังทำอะไรอยู่เหรอ” เมื่อเห็นว่ายังทำท่าทีแปลกต่อไปเรื่อยๆผมจึงถามออกไป ทำให้คิงหันมามองผมอีกรอบจากนั้นก็หันกลับไปทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นผม มันช่างทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเสียจริง ผมกำลังจะกลับไปกวาดพื้นต่ออีกครั้งแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋าเสื้อมีของที่คนทำหล่นไว้อยู่นี่นา ผมจึงหยิบแหวนวงนั้นออกมาจากกระเป๋าและชูให้คิงดู “นายกำลังหาแหวนวงนี้อยู่รึป่าว”
ไม่รู้ว่าทำไมแต่คราวนี้คิงหันมาหาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นว่าผมถือของที่เขาหาอยู่(มั่ง)คิงก็ถลึงตาใส่ผมจนผมตกใจ คิงเดินเข้าหาผมอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เอื้อมมือมาฉกแหวนที่มือไปอย่างรวด และก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในขณะที่ผมกำลังประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเปล่งเสียงด่านั้นเอง คิงก็เดินกลับพร้อมกับไม้กวาดและที่โกยอย่างล่ะหนึ่งอัน จากนั้นคิงก็ทำการโกยขยะที่ผมกองไว้ และผมก็ได้ยินคำพุดเบาๆที่ออกมาจากปากหมอนี่ “ขอบคุณน่ะ...”
...ผมเก็บคำด่ากลืนลงคอแทบไม่ทัน สรุปว่าผมก็ได้เพื่อนช่วยทำเวรเป็นคนที่เงียบ แล้วก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังคิดแล้วล่ะครับ...
.
.
.
ณ ห้องพัก 2xx
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ และล้มตัวลงนอนที่เตียงทันที ผมลืมตาขึ้นมองไฟที่เพดานแล้วก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนเย็น ไม่น่าเลยว่าจะได้เห็นคิงอยู่คนเดียวโดยปราศจากเซน และที่สำคัญตอนเห็นผมถือแหวนวงนั้นอยู่ถึงต้องทำหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้นด้วยน่ะ หรือว่าบางทีแหวนวงนั้นอาจจะได้รับคนสำคัญล่ะมั่ง “เซนให้มารึป่าวน้า...”
...
แล้วทำไมผมถึงต้องมาคิดเรื่องนี้ด้วยล่ะเนี่ย!!!! ต่อให้มันเป็นเรื่องจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของเราอยู่ดี ถ้าเป็นเรื่องจริงเราก็ไม่มีสิทธิเข้าไปแทรกอยู่ดี... หรือว่าจะทำได้กันน่ะ เฮ้ย!! ไม่สิต้องหยดคิดเรื่องแบบนี้แล้ว ปะ...ไปอาบน้ำดีกว่าเรา ผมตัดสินใจลุกจากเตียงและกำลังจะเดินไปอาบน้ำเพียงแต่...
วูบ...
ทันใดนั้นเองผมก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาจนต้องนั่งลงกับเตียงอีกครั้ง แต่เมื่อก้นผมแตะกับฟูกความรู้สึกมันกลับแผ่ขยายไปทั่วจนผมไม่มีแรงที่จะนั่งและล้มตัวลงนอน จู่ๆหนังตาของผมก็หนักขึ้น “นี่...มันเกิดบ้า...อะไรเนี่ย”
ผมพยายามดึงสติเอาไว้ให้มากที่สุด แต่สุกท้ายแล้วผมก็ไม่สามารถฝืนร่างกายของตัวเองได้ หนังตาของผมค่อยๆปิดลงอย่างช้า พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆเลือกหายไป...
...ความมืดมิด...
...แสงสว่าง...
“นี่...ตื่นได้แล้วมั่ง” แสงสว่างทำให้ผมค่อยค่อยลืมตาขึ้น ผมสะลึมสะลืออยู่ซักพักก่อนที่จะเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าเข้ามาใกล้ผม ทำเอาผมตกใจจนต้องรีบดันตัวขึ้นแล้วถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นผมทำท่าทางอย่างนี้ก็ทำหน้าบูดเบี้ยวพร้อมกับพูดว่า “นี่เจ้าจะกลัวอะไรขนาดนั้นห๊ะ!!!! เสียมารยาทจริงๆ”
ผู้ชายคนนี้พูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืนและเดินห่างออกไปจากผม เป็นเวลาเดียวกับที่ผมเริ่มสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติรอบๆตัว สถานที่ที่ผมกำลังอยู่ตอนนี้มีลักษณะเหมือนเป็นห้องสีขาวขนาดใหญ่ ไม่มีประตูหรือหน้าต่างแม้แต่บานเดียว “ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย!! ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ยังไง!! นี่ต้องแน่ๆใช่ต้องลองหยิกแก้มตัวเองดู... เจ็บ!!!!”
“เจ้านี่เสียงดังชะมัดเลยนะ... เป๊าะ!!” ผู้ชายคนนั้นพูดออกมาเมื่อเห็นผมกำลังสติแตก จากนั้นเขาก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ตรงหน้าผมก็ปรากฏผ้าผืนหนึ่งขึ้นผมตกใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนแทบจากแหกปากอีกครั้ง แต่ผ้าผืนนั้นก็เข้ามามัดปากผมไว้อย่างรวดเร็วจนผมไม่สามารถร้องได้ หลังจากนั้นนอกจากผมจะส่งเสียงร้องไม่ได้แล้ว มือและเท้าของผมก็ถูกเซือกมัดเอาไว้เช่นกัน “ถ้าเจ้ายอมอยู่นิ่งๆล่ะก็ ข้าจะปล่อยเจ้าก็ได้”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ถึงจะไม่เต็มใจซักเท่าไหร่แต่ผมก็คงต้องเงียบเสียงลงเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและอะไรอีกหลายๆอย่าง หลังที่เห็นจากผมสงบลงได้สักพักผู้ชายคนนั้นก็ดีดนิ้วอีกครั้งหนึ่งผ้าและเชือกที่มัดผมอยู่ก็หายไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย “เรามาเปลี่ยนที่คุยกันหน่อยล่ะกัน”
ผู้ชายคนนี้ดีดนิ้วอีกครั้งหนึ่งคราวนี้จากห้องสีขาวเมื่อกี้ก็ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นห้องแบบตะวันตก ผู้ชายคนนั้นค่อยๆเดินไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งบนโต๊ะมีถ้วยชาวางอยู่ จากนั้นก็ควักมือเรียกผมเหมือนว่าจะให้ไปนั่งด้วย ส่วนตัวผมนั้นหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์สุแฟนตาซีเมื่อกี้มาก็รวบรวมความกล้าค่อยลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น... แล้วคุณเป็นใคร”
“ข้าน่ะเหรอ... ข้าคือพระเจ้าองค์ปัจจุบัน แต่เจ้าจะเรียกข้าว่า ก๊อต ก็ได้นะ” ก๊อตพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่เป็นคนธรรมดามาตลอดตอนนี้งงจนจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว “ส่วนเกิดอะไรขึ้น... ข้าก็แค่มาช่วยเจ้าแก้ปัญหายังไงล่ะ”
“ปัญหาอะไร!!!! ผมไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น รีบส่งผมกลับไปเดี๋ยวนี้นะ!!!!”
“แหมๆ ทำเป็นพูดดีแต่จริงเจ้าก็หมายผู้ชายไว้ไม่ใช่รึไง” ผมสะอึกเอือกหนึ่งทำไมอยู่ดีๆด็พูดเรื่องนี้ขึ้นนมากันล่ะเนี่ย ก๊อตหันมาหน้าแสยะยิ้มให้ผมเหมือนกับว่าได้ชัยชนะที่เดาเรื่องที่ผมกลุ้มถูก ซึ่งถ้าให้พูดตามตรงมันช่างน่าถีบซะเหลือกิน “ถูกใช่ไหมล่ะ... แล้วทำไมถึงไม่บอกเขาไปล่ะเจ้าก็ออกจะสวยขนาดนนี้”
เมื่อถูกถามอย่างนี้ผมถึงกับเหงื่อออกเลยทีเดียว ก็ออกจะแปลกๆที่ตัวเองเป็นคนพูดแบบนี้ แต่เรื่องหน้าตาจากเหตุการณ์ต่างในชีวิตที่ผ่านมาผมก็ค่อนข้างมั่นใจในหน้าตาของตัวเองอยู่พอสมควร แต่ว่ายังไงคนอย่างผมก็คงไม่กล้าไปบอกเขาอยู่ดี “ก้ผมเป็นผู้ชายนิ...”
“ผู้ชาย... งั้นหมายความว่าถ้าเจ้าเป็นผู้หญิงก็จะกล้าว่างั้น?” เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมกูนิ่งแล้วส่ายหัวเบาๆ ต่อให้เป็นผู้หญิงผมก็คงไม่กล้าอยู่ดีเพียงแต่ คนอื่นก็จะมองเราสองคนเป็นแบบธรรมดาไม่ผิดแปลกธรรมชาติ หลังจากก๊อตเห็นปฏิกิริยาของผมก็ลุกออกจากเก้าอี้ และชุมือขึ้นฟ้าพลันเกิดกระแสลมปริศนาพัดกระโชกขึ้น “งั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง!!!!”
“นี่คุณจะทำอะไรเนี่ย!!!!”
“ข้าก็จะสาป... เอ๊ย!! ให้พรกับเจ้ายังไงล่ะ แต่ข้าไม่บอกเจ้าหลอกน่ะว่ามันเป็นพรแบบไหน เอาไว้เซอร์ไพรตอนเจ้าตื่นที่ห้องของเจ้าเองล่ะกัน!!” ก๊อตพูดจบห้องแนวตะวันตกก็ค่อยๆสลายไปทีล่ะนิด ส่วนด้านนอกของห้องก็ปกคลุมไปด้วยความมืดที่ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไรกันแน่ “เจ้าจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับใครก็ได้ และก็วิธีที่จะกลับเป็นเหมือนเดิมจากคำสาป... พรของของข้าก็ก็คือ
‘เจ้าจะต้องกลายเป็นหนึ่งเดียวกับคนรัก... เข้าใจตรงกันนะ’
แต่ข้าก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร จะบอกวิธีแก้คำ... พรแบบชั่วคราวให้ล่ะกัน... พรของข้าจะเสื่อมลงเป็นเวลาสามวันเมื่อเจ้าได้รับ... จุมพิตจากคนที่เกิดในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 29 กุมภาพันธ์ และสุดท้ายถ้าเจ้ายังแก้พรของข้าไม่ได้ภายในสามเดือนเจ้าก็จะแบบนี้ไปตลอดกาลน่ะ”
“จะบ้ารึไง!!!!!!!!” หลังจากผมตะโกนจนสุดเสียง ร่างกายของผมก็ถูกลมพัดจนลอยเข้าไปในความมืดมิดจมไม่เห็นอะไรเลย และสติก็ค่อยๆหายไปอีกครั้ง....
.
.
.
กริ้ง.... กริ้ง... กริ้ง...
เสียงนาฬิกาปลุกและแสงแดดในยามเช้าทำให้ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ผมพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน และเป็นสภาพเดียวกับที่ผมหน้ามืดไปด้วย เสื้อผ้าทุกชิ้นยังคงอยู่ครบไม่เปลี่ยนไปจากตอนนั้น ผมเอามือขึ้นกุมขมับและพูดกับตัวเอง “สรุปว่าเราฝันไปสิน่ะ...”
ผมค่อยลุกขึ้นจากเตียงและเดินเข้าไปในห้องน้ำ ในรู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่ร่างกายของผมมันรู้สึกหนักๆยังไงชอบกล แถมการเดินมันก็รู้สึกติดๆขัดยังไงไม่รู้ ในขณะที่ผมกำลังแปลงฟันผมตรงหน้ามันก็ลงมาปรกจนรู้สึกรำคาญนี่ผมของผมมันยาวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ยสงสัยคงต้องไปเลมออกบ้างซะแล้ว ผมบ้วนปากนึงทีก่อนที่จะค่อยๆปลดกระดุมเสื้อนักเรียนออกทีล่ะเม็ด และเมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลดออกพบก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่อยู่ในกระจก...
ดึ๋ง...
ภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกก็คือที่หน้าอกผมมีลูกดโป่งน้ำติดอยู่สองลูก จนถึงตอนนี้ผมเริ่มหน้าซีดลงเรื่อยผมค่อยๆใช้มือสองข้างไปจับดู และการขยำสองสามครั้งก็ผมให้ผมรู้ว่าลูกโป่งน้ำสองลูกนี้มันติดอยู่กับหน้าอกผมนั่นเอง...
“นะ...นี่มันอะไรเนี่ย...” ผมพยายามดึงสติเอาไงให้มากที่สุด และต่อจากนั้นผมก็ค่อยๆก้มหน้าลงไปที่เป้ากางเกงของผม มือของผมนั้นสั่นไปหมดจนแทบเหมือนไม่มีแรงแต่ในที่สุดผมก็กลั่นใจ และเอื้อมไปจับมัน...
หมับ!!!!
.
.
.
“มันหายไปแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ความคิดเห็น