คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3
บทที่ 3
5 ชั่วโมงหลังจากจากติววิชาแพทย์(แพศยา)[ถูกบังคับด้วย]
ช่วงเวลาห้าชั่วโมงที่ผ่านทำให้ผมได้เรียนรู้แล้วว่าโลกเรานั้นไม่ได้มุ้งมิ้งอย่างที่คิด แต่โลกนี่มันกลับเป็นโลกที่เน่าเฟะทุกอย่างที่เห็นล้วนแค่มีอีกด้าน แมวดาวบอกว่านี่คือความจริงของโลกใบนี้ถ้ายอมรับมันได้ผมก็จะสามารถสนุกกับมันได้ แต่สำหรับตัวผมแล้วโลกนี้มันช่างน่ากลัว... น่ากลัว... น่ากลัว... “ยัยแมว... นี่แกสอนอะไรมันไปเนี่ย”
“ก็สุดยอดเคล็ดลับวิถีแห่งช็อคการี ฉบับปรับปรุงโดยแมวดาวเอ.. แอ้ก!!” แมวดาวยังพูดไม่ทันพูดก็ถูกสลิ่มประเคนเท้าอันสวยงามประทับสู่ใบหน้าอันหยาบกร้านของแมวดาว จนยัยนั้นลงไปนอนกองกับพื้น จากนั้นสลิ่มก็รีบเข้ามาประคองผมที่นั่งตัวสั่นอยู่กับไปนั่งทำใจบนเตียง “ทำไมต้องรุนแรงด้วยย่ะ!!”
“ก็แทนที่แกจะสอนความเป็นกุลสตรี ไม่ใช่ความเป็นสถุลสตรี!!” สลิ่มโว้ยวายพร้อมกับลงไปตะลุมบอลกับแมวดาวอีกครั้ง แต่แล้วทุกคนก็ต้องหยุดอยู่ในความสงบเมื่อส้มเช้งก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับป่าวประกาศว่า...
“ฉันหาทางพาเซนออกมาได้แล้วโว้ย!!!!”
หลังจากได้ยินสิ่งที่ส้มเช้งพูดทุกคนต่างหันควับกันมามองหน้ากันอย่างมิได้นัดหมาย ทุกคนค่อยเดินไปรวมกันที่ส้มเช้งพร้อมกับทำหน้าสงสัยกันทั่วหน้าว่าที่พูดนั้นเรื่องจริงหรือว่าโกหก “ฉันนิยอมแลกทั้งศกดิ์ศรี หงาดเหงื่อ และร่างกายเลยน่ะย่ะ กว่าหาทางลากเซนออกมาได้นะ จบเรื่องแล้วอย่าลืมตอบแทนฉันแบบจัดหนักด้วยล่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแมวดาว ส้มเช้ง และสลิ่มก็ตีมือกันด้วยความยินดี ส่วนผมน่ะเหรอก็ได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆทำอะไรไม่ถูก ในหัวก็แต่คำถามที่ว่าจะทำยังไงดีเวลาเจอหน้า จะทำตัวถูกไหม เขาจะทำยังไงกับคนที่บังคับให้เขาไปเจอแถมยังจะบังคับให้xxxอีกผมล่ะนึกภาพไม่ออกจริงๆตอนที่ต้องพูดว่าxxxแล้วก็xxxจากนั้นก็xxxผมควรจะทำยังไงดี “แล้วสรุปว่าฉันต้องทำอะไรบ้างเนี่ย”
“เป็นคำถามที่ดี!!” สลิ่มพูดออกมาเสียงดัง “ก่อนอื่นเลยแกไปอาน้ำซะ”
ผมพยัคหน้ารับรู้หนึ่งทีก่อนที่จะเดินไปทางห้องน้ำแต่โดยดีไม่มีขัดขืน เพราะจะว่าไปตั้งแต่เช้าผมก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลย เราะตอนที่กะว่าจะเข้ามาอาบตอนแรกก็กลายว่าแทบเป็นลมล้มพับๆไป ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและชุดลำลองก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำก่อนที่จะทำการล็อคประตู ไม่อย่างนั้นอาจจะมีการหาตกรรมด้วยการเอาฟักบัวฝาดหัวเป็นแน่แท้
.
.
หลังจากนั้น 45 นาที
.
.
ผมเดินออกมาจากด้วยใบหน้าที่สดชื่นที่ปอยผมยังคงมีหยดน้ำเกาะอยู่ ผมพึ่งเข้าใจพวกผุ้หญิงก็วันนี้แหละว่าเวลาผมเปียกเนี่ยมันเช็ดให้แห้งยากเหลือเกิน(หรือเพราะไม่ชินกันนะ) หลังจากผมเดินพ้นห้องน้ำมาเท่านั้นล่ะ ผมก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นที่ทั้งสามนางทำกับห้องนอนของผม บนเตียงนอนของผมถูกปุใหม่ด้วยผ้าสีขาว และที่พื้นห้องและบนเตียงนอนก็เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ กลิ่นหอมตลบอบอวลไปห้องทั้งห้อง “นี่พวกแกทำอะไรกับห้องชั้นเนี่ย!!”
“จุ๊จุ๊จุ๊ เงียบก่อนแล้วมานั่งตรงนี้...” สลิ่มทำท่าจุ๊ปากใส่ผมก่อนที่จะเดินมาลากผมไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนบนโต๊ะตรงหน้าผมนั้นเต็มไปด้วยก่อนเครื่องสำอางกับพวกที่ทำผม สลิ่มเดินมาจับไหล่ผมทำให้ผมหันหลังไปมองก็พบว่าในมือของสลิ่มถือไดร์เป่าผมกับเครื่องรีดผมเอาไว้
“งั้นเราเริ่มเลยนะ” สลิ่มเริ่มจัดการผมเส้นผมของผมได้ข่าวมาว่าบ้านสลิ่มเป็นร้านทำผมแสดงว่าคงจะถนัดเรื่องนี้น่าดู แต่ว่าความรู้สึกตอนถูกจับเส้นผมเนี่ยมันต่างกับตอนเป็นผู้ชายชะมัดเลยแฮะยังไงดีล่ะแบบว่ามันอธิบายไม่ถูก...
“วันนี้ฉันจะผมแกทำให้สลวยสวยจนผู้ชายไม่มีวันลืมแกเลย” สลิ่มพูดขึ้นหลังจากที่ทำผมได้ซักพักช่างเป็นคำพูดที่ฟังดูปลื้มปิติที่สุดในวันนี้ที่ได้ยิมเลยทีเดียว เส้นผมค่อยๆเข้ารูปทีละน้อยจนในหัวของก็ออกมาเรียบร้อยไม่มีผมประดกเลยแม้แต่เส้นเดียว “นี่มัน... ผลงานชิ้นโบว์แดงของฉันเลยน่ะ อึก... แม่มีความสุขเหลือเกินที่ได้ทำผมของลูกในวันสำคัญแบบนี้ ฮึก”
“แกเป็นแม่ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่...”
“มาๆ เสร็จแล้วต่อไปตาฉัน!!” หลังจากที่สลิ่มทำผมเสร็จต่อไปส้มเช้งก็เข้ามารับหน้าที่ต่อ ส้มเช้งเดินเข้ามานั่งที่ข้างหน้าผมพร้อมกับหยิบกล่องเครื่องสำอาจมาวางไว้ใกล้ตัว จากนั้นส้มเช้งก็เริ่มละเลงหน้าผมด้วยความช่ำชอง ในบรรดาทั้งสามนางส้มเช้งถือว่าโดดเด่นเป็นที่สุด(เรียกได้ว่าโดเด่นกว่าเรื่องการเรียนเสียอีก) “แกเป็นคนสวยอยู่แล้วทั้งตอนเป็นผู้ชายแล้วก็ตอนนี้อ่ะนะ เพราะงั้นไม่ต้องแต่งอะไรมากแค่ลงอ่อนให้หน้าดูสดใสขึ้น...”
ส้มเช้งพูดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียวซึ่งผมก็พยายามฟังแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ส้มเช้งหยิบเอาเครื่องสำอางตัวนั้นตัวนู้นจนมือพัลวัลไปหมด สรุปแล้วไอ้แต่งไม่มากของมันนี่คือขนาดไหนกันแน่เนี่ย แต่ในขณะที่ผมกำลังนึกบ่นในใจส้มเช้งก็เด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้พร้อมประกาศความสำเร็จของตัวเอง “งดงาม... งดงามจริงๆ แม่รู้สึกปลื้มใจจริงที่ได้แต่งหน้าให้ลูกในวันสำคัญแบบนี้ เท่านี้เวลาลูกออกไปจากอ้อมอกของแม่แม่ก็ไม่ห่วงแล้ว ฮือ...”
“แกก็อีกคนเหรอ... แม่ฉันมีคนเดียวโว้ย!!!!”
“ในที่สุดก็ถึงตาย... เอ๊ย!! ตาของฉันซักที!!” เสียของแมวดาวดังออกมาจากห้องน้ำ(เข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่) ประตูห้องน้ำค่อยๆเปิดออกพร้อมกับร่างของแมวดาวและชุดเดรสยาวสีขาวสวย มีลายลูกไม้เล็กน้อยไม่ดูแก่จนเกินไป แต่ว่าน่ะ... ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ามันเหมือนกับชุด... “นี่ฉันอุตส่าห์เลือกตัวที่มันคล้ายชุดแต่งงานมากที่สุดเลยนะเนี่ย!!!! อ่า... วันนี้แม่ดีใจจนน้ำตาแม่ไหลแล้วล่ะลูก เท่านี้ลูกก็จะได้มีคนคอยเป็นห่วงคอยดูแลแทนแม่ซักที แล้วอย่าลืมมีหลานให้แม่อุ้มซักสา... แอ้ก!!”
ไม่ทันที่แมวดาวจะได้พูดจบผมก็รีบไปคว้าชุดไว้แล้วหลังมือใส่ไปนึ่งที ผมเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับชุดเดรสตัวนั้น และก่อนที่จะปิดประตูผมก็หันกลับมาส่งข้อความให้ทั้งสามคนก่อน...
“พวกแกไม่ได้เป็นแม่ฉันนะโว้ย!!!!”
ปัง!!!!
.
.
.
หลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็รอเวลาจนถึงประมาณหกโมงเย็นก่อนที่จะย้ายมายังสถานที่นัด(ส้มเช้งนัดเซนไว้หกโมงครึ่ง) พวกเราทั้งสามมาถึงสวนสาธารณที่ใช้เป็นสถานที่นัดในเวลาหกโมงสิบนาที ซึ่งเมื่อมาถึงเรายังไม่เห็นใครมาซักคนยัยเทยทั้งสามจึงเห็นว่าเป็นโอกาสเตรี๋ยมแผนครั้งสุดท้ายก่อนออกรบจริง
“เอาล่ะรักแกฟังให้ดีน่ะ... สวนนี้ไม่คอ่ยจะมีคนมาตอนนี้ดังนนั้นแกจะได้อยู่กับเซนสองต่อสองแน่นอน แล้วก็วัดแถวๆนี้เข้ามีจัดงานตอนหกโมงครึ่งจะมีการจุดพลุเปิดงาน ตามตำราเรื่องความรักแล้วเวลาที่ผู้ชายจะเห็นผู้หญิงสวยที่สุดตอนไฟสลัวๆ แล้วก็ผุ้ชายส่วนใหญ่แพ้รอยยิ้มโอเคนะ... ใกล้ถึงเวลาแล้วแกรีบออกไปเร็ว...”
หลังจากร่ายมนต์ใส่ผมเสร็จทั้งสามคนก็ผลักผมออกไปยืนอยู่ที่กลางฟุตบาทในสวนสาธารณะ ตอนนี้ท้องมืดเกือบที่จะสนิทแล้วทำให้ไฟเสาเริ่มที่จะทำงานแต่ทำไมตรงที่ผมยืนอยู่มันถึงได้เสียกับล่ะเนี่ย... โอ้ยจะบ้าตาย!!
.
ผ่านไปประมาณ 5 นาที
.
ผมยืนรออยู่ประมาณห้านาทีจนรู้สึกเมื่อยผมจึงค่อยเดินไปนั่งที่โซฟาสาธารณะ นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้คิดทบทวนกับตัวเองว่านี่เป็นสิ่งที่ผมควรจะทำรึป่าว ผมควรจะกลับไปตอนนี้รึป่าว หากผมยังอยู่ที่นี่ล่ะก็มันจะมีอะไรเปลี่ยนไปมั่งทั้งตัวผมแล้วก็ตัวเซน...
ตึก...
ผมหันไปทางที่มีเสียงฝีเท้ามีเงาตะคุ่มๆของคนหนึ่งกำลังเดิมมาทางผม เนื่องจากว่าไฟตรงผมนั้นเสียทำให้มองไม่เห็นว่าใช่เซนรึป่าว ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าใช่เซนรึป่าวแต่ว่าเงาของคนคนนั้นยิ่งเดินเข้ามาใกล้ผมและในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าผม
ตึกตัก...
ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าก็ตามแต่ด้วยส่วนสูงและท่าทางทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าคือเซน(มั่ง) อยู่ดีๆผมก็เริ่มใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น คนนั้นนั้นในที่สุดตอนนี้ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้วแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมองไม่เห็นหน้าของเซนอยู่ดี
“เออ... ขอโทษนะที่ต้องเรียกออกมาแบบนี้ คือแบบว่าผะ... เอ๊ย!! ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยนะ” ผมพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย หรือเรียกอีกอย่างก็คือรู้สึกประหม่านั่นเอง ผมเริ่มมีเหงื่ออกจนมือเปียกไปหมดรวมถึงตามตัวของผมด้วยเช่นกัน “คะ... คือว่านะเซนฉันนะชอบนายมาตั้งนายแล้ว เพราะงั้นช่วยมี...ไม่สิ ตอนนี้ขอแค่ช่วยเป็นแฟนกันฉะ...”
“ไม่ได้หรอก...”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบประโยคก็ถูกสวนกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้ผมนิ่งไปทั้งร่างเหมือนถูกฟ้าผ่า ว่าไงดีล่ะ... ก็เตรียมใจที่จะโดนปฏิเสธเอาไว้บ้างแล้วแต่พอมาเจอของจริงแล้วมันรู้สึกเจ็บกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย ผมพยายามที่กลั่นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลอย่างน้อยๆตอนนี้ผมก็ยังคงจะพอยิ้มไหวอยู่ “นั่นสิ... อยู่ดีๆก็ก๊ขอเป็นแฟนแล้วใครมันจะตอบตกลงล่ะเนอะ ฉะ...ฉันขอโทษนะ ... ขอตัวก่อน!!!!”
หมับ!!!!
“อย่าเข้าใจผิดสิ ที่ไม่สามารถรับความรู้สึกของนายได้น่ะก็เพราะ...” หลังจากที่ผมพยายามที่จะวิ่งหนีไปก็ถูกเซนคว้าแขนเอาไว้ เซนพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ปฏิเสธผมไปเมื่อกี้ ซึ่งนั้นคงจะเป็นเวลาเดียวกับการเปิดงานวัดพลุลูกแรกถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อพลุดอกนั้นแตกออกกลายอากาศก็เกิดแสงสว่างขึ้น... สว่างมากพอที่จะเห็นหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ “ฉัน... ไม่ใช่เซน”
แสงสว่างและสีสันของพลุมากมายหลายดอกสะท้อนอยู่บนใบหน้าของ ‘คิง’ ผมเบิกตากว้างความรู้สึกในตอนนี้มันเริ่มเปลี่ยนไปจากเมื่อกี้ จากที่เสียใจอยู่เมื่อกี้ตอนนี้ในหัวผมกลับมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย และก็มีอยู่ความรู้สึกหนึ่งที่ผมรู้ว่ามันคืออะไร ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นคนที่น่ารังเกียจแค่ไหนที่เกิดอิจฉาคิงขึ้นมา “นาย... คิงทำไมนายถึง...”
“ก็เซนวานให้ฉันมาบอกปฏิเสธ เซนมันมีคนที่ชอบอยู่แล้วเพราะงั้น... โอ้ย” ในขณะที่คิงกำลังจะอธิบายเรื่องที่เกิดผมก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งผลักอกของคิงออก ผมรู้ว่านี่มันไม่ถูกแต่ตอนนี้ผมกลับควบคุมตัวไม่ได้ น้ำตาที่พยายามกลั่นไว้เมื่อกี้ตอนนี้กลับค่อยๆไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “นี่เธอ...”
“ฉันกลับล่ะ...”
“เฮ้ย!! เดี๋ยวดิ...” ในขณะที่ผมกำลังจะเดินหนีคิงก็คว้าแขนของผมเอาไว้อีกรอบ แต่คราวนี้ผมพยายามออกแรงกระชากให้หลุด แต่มันอาจจะเป็นเพราะผมออกแรงน้อยเกินไปทำให้สะบัดไม่หลุดแถมยังทรงตรงไม่ไม่ได้และล้มลงกับพื้น “เฮ้ย!!”
ตุบ!!
ผมกับคิงเราสองคนล้มลงไปนอนกับพื้น แต่ผมกลับไปรู้สึกเจ็บเลย อาจเพราะว่าตอนที่ผมล้มลงไปคิงสลับเอาตัวผมขึ้นมาไว้ข้างบนทำให้ตอนนี้ผมล้มทับอยู่บนตัวของคิง เนื่องจากตอนล้มผมหลับตาไว้เลยไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อผมเปิดตาขึ้นเท่านั้นละ... ผมก็ต้องช้อคตาค้าง
“อือ...”
ไม่รู้ว่าตอนล้มเป็นยังไงแต่ว่าตอนนี้ริมฝีปากของผมและคิงประกบกันแนบชิดแบบศูนย์จุดศูนย์มิลลิเมตรเลยทีเดียว หน้าของผมเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยเป็นเหมือนดั่งการเรียกสติของผมกลับมาเช่นกัน เมื่อหน้าผมร้อนจนถึงสุดขีดผมจึงรีบใช้มือดันตัวเองจากพื้น ตอนนี้ในจากที่มีมีความคิดวุ่นวายอยู่เมื่อกี้ตอนนี้หัวผมมันกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลยซักนิด...
“อะ เออ คือ แบบ ไม่ โอ้ย ว๊าก!!!! อะไรอีกเนี่ย!!!!”
ในตอนที่ผมกำลังป่ำๆเป่อๆอยู่นั้นเองอยู่นี้ร่างกายของผมก็เริ่มที่จะเปล่งแสง(เปล่งแสงจริงนะ!!) ผมต้องเอาแขนป้องหน้าเอาไว้เพราะแสงมันสว่างมากจนแสบตาไปหมด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณสิบวินาทีจากนั้นแสงก็ค่อยๆดับลง ผมยังคงอยู่ในชุดเดรสสีขาวตัวเดิม เพียงแต่... ตอนนี้หัวผมรู้สึกโล่งๆเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก... เมื่อลองเอามือไม่แตะที่หน้าอกผมก็ไม่พบลูกโป่งสองลูกนั้นอีกแล้วเป็นเพียงแต่ไม้กระดานแผ่นหนึ่งเท่านั้น เดี๋ยวสิ... นี่มันหรือว่า!! ในที่สุดก้นึกถึงสิ่งสำคัญออกผมค่อยเลื่อนมือลงต่ำในระดับใต้สะดือจากนั้นก็...
หมับ!!
“...” ผมสั่นไปหมดทั้งตัวเมื่อมือของตอนนร้สัมผัสถูกถูกบ้างสิ่งที่อยู่ตรงหว่างขาของผม... ใช่แล้วล่ะครับในที่สุด... น้องชายของผมก็กลับมาแล้ว!!!! ผมรีบหันหน้าไปทางคิงทันทีดูเหมือนว่าคิงเองก็กำลังตกลงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน เพราะคิงเองก็ทำหน้าตกใจได้สุดยอดไม่แพ้ผมเลย “นี่นาย.../นาย”
“ที่เมื่อตอนเย็นเมื่อวานนี่!!!!”
“เกิดวันที่29กุภาพันธ์ตอนเที่ยงคืนอย่างนั้นหรอ!!!!”
.
.
.
อีกทางด้านหนึ่ง...
ก๊อตกับอาเรจที่นั่งดูเหตุการณ์ผ่านทีวีเครื่องเดิมทั้งคู่ต่างพูดไม่ออกซักคำดูเหมือนว่าเหตุการณ์มันจะเลยคำว่าวุ่นวายอลหม่านไปซะแล้ว อาเรจหันไปทางก๊อตก่อนที่จะยิงคำถามที่คาใจอยู่ใส่ “นี่ท่าน...รู้อยู่แล้วสินะ”
“เฮ้ย!! จะบ้ารึไงใครมันจะไปรู้ล่ะว่าไอ้หนุ่มมันเกิดวันนั้นตอนนั้นเล่า ข้าก็แค่สาปส่งๆไปแค่นั้นเอง!!!!”
อาเรจถอนหายใจแบบไม่เชื่อในคำพูดของก๊อต พระเจ้าที่ชอบโกหกก็มักจะไม่ได้รับความเชื่อถืออย่างงี้แหละ(GOD SO SAD Y Y)
ความคิดเห็น