คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๓ :: ห้องปิดตาย
บทที่ ๓ :: ห้องปิดตาย
เช้าวันนี้อากาศแจ่มใส แน่นอนว่าภาคินจะเป็นคนแรกที่ขึ้นมาในห้อง
แต่ทว่า หญิงสาวคนหนึ่งกลับมานั่งที่โต๊ะหลังห้องคนเดียวท่ามกลางความมืด
ภาคินก็อดสงสัยไม่ได้อีก จึงทักเธอไป และทันทีที่เธอหันหน้ามา กลับกลายว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่เขาเจอเมี่อวันประกาศผล สายตาเธอดูหมองหม่น
“ สโรชา พิริยะอัมมรญ์ ” สายตาเธอดูเศร้าหมองมาก เธอดูเก็บตัวอยู่คนเดียว
“ทำไมเธอถึงมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ?”ภาคินถามอย่างทันควัน
สายตาเย็นชาก็เงยหน้ามามองเขา “มันเป็นเรื่องของเรานายไม่ควรจะยุ่ง”
เธอเดินออกจากห้องในที่สุด ภาคินรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ถามแบบนั้นไป
ขณะได้เวลาเข้าแถวจากท่องฟ้าโปร่งสดใส กลับต้องมามืดครึ้มด้วยเมฆมากมาย
ฝนเริ่มหยดปรอยๆลงมาช้าๆ จากนั้นประกาศจากเสียงตามสายก็ดังขึ้นเพื่อ
ยกเลิกการเข้าแถวในเช้านี้ ฝนเริ่มตกแรงขึ้นเรื่อยๆ เช้านี้ชั่วโมงแรกของห้อง
ม.4/2คือ วิชา ดนตรีไทย ต้องไปเรียนที่ตึก3ชั้น5 และแน่นอนว่าตึกนั้นเป็นตึก
ที่เด็กม.1กระโดดลงมา เมื่อก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย ภาคินมองเห็นบริเวณด้านซ้ายมือของเขามืด เงียบสงัด เพื่อนๆเดินเลี้ยวไปด้านขวามือ ซึ่งห้องนั้นเป็นห้องเรียนในคาบนี้ อาจารย์ที่มาสอนมาสายมาก คาบนี้จึงเป็นคาบว่าง
ต่างคนก็ต่างพูดคุยกันตามประสาวัยรุ่น “นี่ พวกนายรู้ไหมว่า ฝั่งทางซ้ายมีห้องนาฏศิลป์ถูกปิดตายด้วยแหละ” ไพลินเล่าประสบการณ์จากรุ่นพี่ของเขาให้ฟัง
……
‘...พิลา พี่สาวของไพลิน เขาเป็นสาวห้าวไม่ต่างจากไพลิน แต่พิลาเป็นนางรำของโรงเรียน วันนั้นตอน 6 โมงเย็นนางรำทุกคนต้องมาซ้อมกันทุกวัน ซึ่งห้องที่ซ้อมเป็นห้องที่อยู่ด้านซ้ายมือด้านในสุดหลังจากขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย หรือเรียกว่าห้องนาฏศิลป์เก่า(เมื่อ5ปีที่แล้วก่อนที่พิลาจะเข้ามาเรียน) ห้องนี้ไม่มีประวัติเลย
แต่ทว่า เพตา เพื่อนที่ซ้อมรำด้วยกันกับพิลา ต้องมาซ้อมที่นี่กับอาจารย์ตัวต่อตัว เพราะเพตารำไม่ค่อยคล่องนัก วันนั้นเองตอนเวลาเกือบสองทุ่ม
อาจารย์นาฏศิลป์สอนเพตาเสร็จ
ก็เอ่ยชวนเพตาให้อยู่ต่อที่ห้องเพื่อจะจัดชุดรำเตรียมไว้ก่อนไปแข่ง
ขณะที่เพตากำลังเตรียมของกับอาจารย์นาฏศิลป์ไฟก็ดับขึ้น
เพตาเกือบกรีดร้องโวยวาย
แต่เสียงของอาจารย์ก็ห้ามไว้ทัน อาจารย์สั่งให้เพตาหาไฟฉายที่อยู่ในตู้เก็บของ
ที่อยู่ติดกับหน้าต่าง(ที่เปิดปิดได้) เพตาเปิดประตูตู้แล้วมองเห็นด้ามไฟฉายที่สะท้อนกับแสงพระจันทร์นอกหน้าต่าง เพตาหยิบออกมาแล้วกำลังจะยื่นไปให้อาจารย์แต่ตอนนั้นไฟฉายกลับหลุดมือตกไปด้านนอกหน้าต่างแต่เพตามองไม่เห็นจึงก้มเอื้อมมือไปหยิบแต่ทันใดนั้น ตัวของเขาก็พลัดตกจากหน้าต่างไปพร้อมกับไฟฉาย อาจารย์ผู้เห็นเหตุการณ์ก็ตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบรับเลย เพตาโดดจากตึกลงมาสู่พื้นด้านล่าง 5 ชั้น ไฟฉายแตกหักกระจายทั่วบริเวณ เพตาเสียชีวิตทันทีที่ตรงนั้น พิลาเองก็เพิ่งรู้เหตุการณ์ทั้งหมดในเช้าวันถัดมา อาจารย์เป็นคนเล่าให้พิลาฟัง จากนั้นนักเรียนที่ไปซ้อมรำก็ตายกันใช่ว่าเล่น โดดตึกตามกันบ้าง แกล้งกันบ้าง นับกว่า 5 ศพได้ ห้องนั้นจึงถูกปิดตายไว้ ไม่ให้ใครเข้าไป ตอนนี้ก็เกือบ10ปีได้แล้ว
จนป่านนี้พิลาก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว...’
เมื่อไพลินเล่าจบ คุณาธรรย์ก็เอ่ยขึ้นอีก “แล้วเราออกไปดูกันไหม?” ภาคินตอบตกลงทันควัน ยิ่งด้วยคาบนี้เป็นคาบว่าง ทั้งสามเดินออกไปดู พอเดินไปถึงหน้าห้อง สโรชายืนอยู่บริเวณนั้น เธอหันมามองทุกคน “พวกเธอจะมาทำไมกัน”
ไพลินเลยสวนกลับไป “แล้วเธอละ มาที่นี่ทำไม?” เธอไม่ตอบแล้วหยิบสุดเล่มที่วางหน้าห้องขึ้นมา ภาคินเห็นก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นสมุดสีดำแดงเก่าๆที่เขาเคยเห็น
“เธอไปเอาสมุดเล่มนี้มาจากไหน” ภาคินรีบถามเธอทันที สโรชาตอบด้วยความเย็นชามาก “มันเป็นของรักของหวงของพี่สาวเรา พวกเธอไม่ต้องมายุ่ง” เธอตอบไปแล้วพลางกอดสมุดแนบอก คุณาธรรย์ก็สงสัยอีก “สมุดพี่เธอมาเกี่ยวอะไรกับตรงนี้ละ” สโรชาได้ยินคำนั้นก็หันหน้าไปมองคุณาธรรย์ด้วยสายตาไม่พอใจ
สีหน้าดูหมองหม่นกว่าเดิม ภาคินรู้สึกได้ถึงความเศร้า “มีอะไรเธอบอกเราได้นะ เผื่อว่าพวกเราจะช่วยเธอได้” สโรชาสวนกลับ “มันช่วยอะไรกลับมาไม่ได้แล้วละ พี่สาวเราเสียชีวิตไปแล้ว ตรงนี้ที่นี้ ” ดวงตาของเธอก็มีน้ำตาเล็ดไหลออกมาช้าๆ
คำตอบนั้นพาให้ทั้งสามคนที่ฟัง อึ้งไปตามๆกัน
“เธอช่วยเล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม” ไพลินทำหน้าจริงจังและใบหน้าที่เข้าใจความรู้สึกของสโรชา ทำให้เธอปริปากพูดมา
‘…เพตา พี่สาวของเรา เธอเป็นคนดี น่ารัก ใจดี ร่าเริง เมื่อเราอายุได้ 5 ขวบ
พี่สาวของเราก็เขียนไดอารี่หรือสมุดเล่มนี้ขึ้นมา เธอชอบเขียนระบายทุกอย่างลงไปในนี้ เธอยิ้มให้เราทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้ เธอให้เราเปิดดูสมุดเล่มนั้นด้วยหละ
หน้าหนึ่งเขียนไว้ว่า “ความเศร้าโศกเสียดายก็มากมี ดับชีวีตรงนี้ที่ฉันรัก” เราถามเธอไปว่าทำไมต้องแต่งกลอนจบแบบนี้ด้วย เธอยิ้มแล้วเอามือมาลูบหัวของเรา พลางบอกว่า “คนเราเกิดมาก็ต้องตาย ความเศร้าก็มีมากมาย ถ้าจะตาย พี่ขอตายในที่ๆพี่รักจะดีกว่า” แล้ววันที่เรารู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็ไปดูศพพี่
เธอดูแย่มาก พ่อให้เราถือกระเป๋าพี่ไว้พลางร้องไห้ออกมา เราเศร้าเสียใจยิ่งกว่า
ไม่ทันได้ใช้ชีวิตด้วยกันเลย แต่ต้องมาจากกันไปแบบนี้ พอถึงบ้านวันนั้นเอง
ทุกคนไม่พูดอะไร เสียใจไปตามๆกัน เราเปิดกระเป๋าเจอสมุดเล่มนั้น เราเก็บมันไว้ตลอด เพราะนี่คือสิ่งหนึ่งที่พี่เคยให้ความทรงจำไว้ พอเราเข้ามาโรงเรียนนี้ เราแอบ ได้แต่แอบทุกครั้ง ภาคินนายเองก็เห็นฉันแอบที่ต้นไม้ในวันประกาศผล
ที่เราทำแบบนั้นเพราะเราจะฝังสมุดเล่มนั้นไว้ที่ต้นไม้นั่น แต่วันเปิดเทอมก็มีเด็กคนที่โดดตึกขโมยไป ฉันเก็บสมุดเล่มนั้นไปวางไว้ที่หน้าห้องนี้ ตรงนี้ แต่ก็มีพวกลองดีมาหยิบไป สุดท้ายเขาก็ตาย ...’ สิ้นสุดคำกล่าวของสโรชา
ภาคินได้คำตอบของเรื่องราวที่เขาสงสัยแล้ว ทุกคนต่างเศร้าไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “แล้ววันที่ประกาศผลเธอมองที่นอกหน้าต่างทำไม?” ภาคินถามสโรชา
เธอบอกไปด้วยความเศร้า “ฉันมองต้นไม้นั้น มองว่าจะมีใครขโมยไปไหม ฝนที่ตกลงมาตอนนั้น ยิ่งทำให้เราเศร้ามาก เหมือนกับว่าเราเห็นพี่สาวของเรายืนร้องไห้อยู่ด้านล่างนั่น เราเศร้ามากตอนนั้น” จากนั้นภาคินก็ถามไปอีก
“คนที่ยืนร้องไห้กลางสนามตอนนั้นก็คือพี่ของเธอสินะ”ทันควันสโรชาหันมามอง
“นายเห็นเธอด้วยหรอ”แน่นอนว่าภาคินเห็น ไพลินกับคุณาธรรย์ก็ยืนฟังทั้งสองคุยกัน พอหมดคาบต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป วันนี้เอง ภาคินได้คำตอบของเรื่องพวกนี้แล้ว... “สรุปแล้ว สโรชาคือเบื้องหลังนี่เอง...”
ความคิดเห็น