ตอนที่ 7 : ▴[AU Fic Spideypool] DANGEROUSLY (Wade x Peter) -Part5 [END]
คำแนะนำก่อนอ่าน
เพื่ออรรถรสในการอ่าน แนะนำให้เปิดเพลงคลอไปด้วยนะคะ :)
Dangerously และ I won't tell the soul ของ Charlie Puth ค่ะ
DANGEROUSLY
เจ้าสัตว์ร้ายนั่นทิ้งร่องรอยเอาไว้บนร่างกายเขาอีกแล้ว...
สิ่งที่ทำให้ปีเตอร์ต้องหงุดหงิดแต่เช้าคือรอยฟันบนลำคอด้านซ้ายของเขา ทั้งที่รอยเก่ายังไม่ทันหายสนิท หมอนั่นยังเอาแต่เพิ่มมันเรื่อยๆราวกับพอใจในผลงานเหล่านั้น แม้ร่างกายจะฟื้นฟูเร็วกว่าคนปกติอยู่บ้างแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่เจ็บซักหน่อย
เสื้อคอเต่าคือตัวเลือกเดียวในตู้ที่ปีเตอร์เลือกจะหยิบมาใส่ วันนี้เป็นวันหยุดของปาร์คเกอร์ อินดัสทรีย์ จึงมีโอกาสให้เขาได้มาเดินซื้อของใช้ส่วนตัวโดยไม่ต้องเร่งรีบเหมือนวันทำงานปกติ แม้ช่วงเย็นจะมีกำหนดการประชุมครั้งสำคัญก็ตามที
คงจะจริงสำหรับวลีที่ว่า ‘ไม่มีวันหยุดสำหรับปีเตอร์ ปาร์คเกอร์’ เสียแล้ว
หลายครั้งชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองคิด วินาทีนั้นเขามีอะไรอยู่ในใจจึงได้ยอมให้เวด วิลสันประกบริมฝีปากลงมา จะโทษแอลกอฮอล์หรือบรรยากาศที่กำลังพอเหมาะ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากพอเพราะสติยังมีอยู่ครบ เพราะความผิดพลาดในคืนคริสมาสต์เพียงครั้งเดียว มันราวกับบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟคให้เกิดครั้งที่สองและสามตามมาเรื่อยๆ รู้สึกตัวอีกทีก็มองว่าเรื่องแบบนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเสียแล้ว
ความสัมพันธ์ของพวกเขาดำเนินมาในลักษณะนี้มาโดยตลอด ไม่มีการเพิ่มลด ไม่อาจเรียกมันว่าความรัก แต่เป็นความผูกพันที่ผูกกันไว้แน่นโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ เมื่อใครคนหนึ่งต้องการอีกคนก็ตอบสนอง
ไม่มีแม้แต่สถานะ... ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดี
ดวงตาสีน้ำตาลมองไปตามทางเท้าที่มีคนเดินอยู่ขวักไขว่ ยกกาแฟอุ่นๆในมือขึ้นมาดื่มเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เป็นอีกหนึ่งวันที่ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีตารางงานหรือแบบแผน ปีใหม่ของเขาผ่านมาโดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยเสียด้วยซ้ำ
สิ่งหนึ่งทำให้แก้วกระดาษในมือแทบจะร่วงลงไปที่พื้นคือร่างของใครคนหนึ่งที่เดินมาหยุดตรงหน้าแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ชุดสีสดเป็นตัวเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ไม่น้อย ปีเตอร์จ้องมองคนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง วันนี้ไม่มีโฮบี้มาปกป้องเขาเหมือนคราวก่อนอีกแล้ว เขาพลาดเองที่คิดว่าเดดพูลน่าจะไม่มาวุ่นวายกับตัวเองอีกพักใหญ่
“ คุณรับงานมาฆ่าผมอีกหรือไง? ” น้ำเสียงแข็งกร้าวส่งให้รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าใต้หน้ากากของเวด ท่าทางระวังตัวของอีกฝ่ายในเวลานี้มันช่างดูน่ารักในสายตาของเขา
“ ไม่เอาน่า อย่าเห็นหน้าฉันเป็นเครื่องหมายการค้าแบบนั้นสิ ” คนตัวโตขยิบตาหยอกล้อ
กว่าจะแน่ใจได้มากขนาดนี้ต้องตรวจสอบอะไรหลายอย่างก่อนจะมายืนอยู่ต่อหน้าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ได้ ส่วนสูงที่น้อยกว่าเขาประมาณสิบเซนติเมตรทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันนั้นในห้องทำงาน เวดจึงเล็งปืนไปหยุดที่ร่างของสไปดี้อย่างไม่ลังเล
ทำไมถึงไม่เคยสังเกตนะ... ทั้งการพูด ริมฝีปากที่ยู่เข้าหากันเพราะกำลังไม่พอใจ และไรผมสีน้ำตาลที่คุ้นเคยนั่น
“ เสื้อคอเต่าหรอ แฟชั่นใหม่สำหรับฤดูกาลนี้หรือไงนะ? ” ไม่รู้ว่าใส่เสื้อนั่นเพราะหนาวหรือต้องการปิดบังอะไรบางอย่างกันแน่
เดดพูลกวาดสายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า มือหนาภายใต้ถุงมือเคลื่อนไปวางบนไหล่ข้างซ้ายของปีเตอร์ราวกับจงใจ ส่งให้เจ้าตัวสะดุ้งโหยงและรีบปัดมือนั้นออกอย่างรวดเร็ว ปลายเท้าทั้งคู่ถอยห่างคนร่างโตโดยอัตโนมัติ
“ ทำอะไรของคุณ!? ”
ไหนจะนิสัยชอบเอ็ดเขาเวลาตกใจนี่อีกล่ะ...
“ วันนี้ฉันแค่แวะมาทักทายเท่านี้แหละ ” เวดหัวเราะในลำคออย่างพอใจ เขาทำท่าส่งจูบพร้อมแอ่นสะโพกเล็กน้อยให้คนตรงหน้าก่อนเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงสีหน้าเหมือนได้กลิ่นขยะเปียกและความสงสัยภายในใจของปีเตอร์เท่านั้น
“ ไว้เจอกันอีกนะ Mr.Parker :) ”
และเรื่องราวในตอนเช้าของปีเตอร์ก็จบลงอย่างง่ายดายเพียงเท่านั้น
การพูดสัมมนาเป็นงานยากที่สุดสำหรับปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ แม้ในฐานะสไปเดอร์แมนเขาจะทำงานหลายอย่างต่อหน้าสาธารณชน แต่ในสถานที่โล่งกว้างและมีทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่เขาคนเดียวมันทำให้รู้สึกกดดัน
ชายหนุ่มใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงในการขึ้นไปอธิบายเทคโนโลยีของปาร์คเกอร์ อินดัสทรีย์ให้แก่สื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจได้รับฟัง ประโยคขอบคุณถูกกล่าวขึ้นก่อนเสียงปรบมือจะดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายขณะเดินลงเวทีเพราะรู้ว่ามันยังไม่จบแค่นั้น นักข่าวจำนวนมากกรูกันเข้ามาก่อนจะแย่งกันเอาไมโครโฟนมาไว้ตรงหน้า การปั้นหน้ายิ้มเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำทุกครั้งเมื่อเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้
ได้เวลาตามที่นัดหมายเอาไว้ รถยุโรปสีดำขลับคันหนึ่งเลี้ยวเข้าสู่สถานที่จัดงานก่อนจอดเทียบลงที่หน้าประตู ปีเตอร์ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มคนจำนวนมากด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนจะรีบสาวเท้าตรงไปเปิดประตูและยัดตัวเองเข้าไปในรถคันนั้นอย่างไม่รีรอ
นึกขอบคุณพนักงานขับรถที่เขาจ้างมาเฉพาะกิจที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่อง ร่างเพรียวไหลลงไปตามเบาะนิ่มของรถด้วยความเหนื่อยล้า เขาถอนหายใจยืดยาวเมื่อภารกิจอันแสนวุ่นวายได้จบลงแล้ว ก่อนจะกระตุกเนกไทที่แสนอึดอัดบริเวณลำคอออกเบาๆ
“ ว่าไงสไปดี้ วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ ”
แต่แล้วเสียงคนขับที่ดังขึ้นมาทักทายก็ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลต้องเบิกโพลงด้วยความตกใจ พนักงานขับรถที่ควรจะสวมชุดสูทสีสุภาพในเวลานี้กลับเป็นชายร่างกำยำในชุดสเปนเด็กซ์สีแดงไปเสียแล้ว
เดดพูล! จำได้ว่าตอนติดต่อไปไม่ใช่คนนี้นี่นา
ปีเตอร์รีบรวบคอเสื้อของตนกลับมาทันทีที่ได้สติ เนกไทสีอ่อนถูกดึงกลับมาที่เดิมด้วยท่าทีร้อนลน อย่างไรก็ตามจะให้เจ้าบ้าที่ขับรถอยู่ด้านหน้ามาเห็นผ้าปิดแผลที่ลำคอของเขาไม่ได้โดยเด็ดขาด
“ คุณอาจจะสับสนนะ ผู้ชายคนนั้นเป็นบอดี้การ์ดของผมต่างหาก ” พยายามคุมเสียงของตนไม่ให้หลุดพิรุธ แต่คนที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจ เขาเอาแต่ฮึมฮัมเพลงกล่อมเด็กด้วยท่าทีมีความสุข
“ ไม่เอาน่าที่รัก แสดงสองบทบาทใส่ฉันพร้อมกันไม่เหนื่อยแย่หรือไง? ”
หมอนี่กำลังจี้เขาให้จนมุม ...แต่มันก็ไม่ผิดหรอก
การแสดงเป็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ต่อหน้าคนๆนี้ทำให้เขาต้องสุขุมกว่าปกติ
“ ผมหมดคำพูดที่จะคุยกับคุณแล้ว ” แม้ปากจะบอกไปเช่นนั้นแต่ในหัวกลับกำลังหงุดหงิดสิ่งที่เวดเคยทำไว้กับเขา ไม่ใช่แค่ต้องปิดบังมันจากคนตรงหน้า แต่เขาต้องระมัดระวังไม่ให้คนรอบตัวสังเกตเห็นผ้าปิดแผลที่แปะอยู่รอบคอราวกับแผ่นแปะแก้ปวดเมื่อยนี่ด้วย ไม่ว่าจะคิดอย่างไรผู้ชายคนนั้นก็ต้องตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้แน่นอน
ให้ตายก็ห้ามหลุดเบาะแสอะไรให้เวดสาวถึงตัวได้อีกเด็ดขาด
ดวงตาคู่คมมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อตัดปัญหาการสบสายตาเข้ากับอีกฝ่าย ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมทั้งคันรถ คนตัวใหญ่กำลังบังคับพวงมาลัยไปตามทางเรื่อยๆโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยิบปืนขึ้นมาเป่าหัวเขา
“ ถ้าคุณไม่ได้มาฆ่าก็ช่วยไปส่งผมที่บริษัทด้วย ”
ไม่มีใครเดาอารมณ์เอาแน่เอานอนของเวดได้แม้แต่ปีเตอร์ที่กำลังทำตัวเป็นประชาชนคนธรรมดาในตอนนี้ รถยุโรปคันเดิมจอดเทียบ
เข้ากับสิ่งปลูกสร้างหน้าตาคุ้นเคยที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าบริษัทเลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นบ้านของเขาเองต่างหาก...
“ ขอบคุณที่มาส่ง ส่วนคุณก็รีบกลับไปได้แล้— นั่นคุณกำลังทำอะไรน่ะ! ” ไม่น่าแปลกใจว่าเวดรู้จักที่อยู่ของเขาได้อย่างไร ก็เล่นรับงานลอบฆ่ามาตั้งบ่อยขนาดนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่คนตัวโตจะปิดประตูรถและอาศัยจังหวะนั้นแทรกตัวเข้าบ้านเขาระหว่างกำลังไขกุญแจแบบนี้!
ขายาวก้าวเข้าไปสำรวจทีละส่วนของบ้านราวกับกำลังสนุก ปีเตอร์ไม่อยากมาพูดเรื่องมารยาทตอนนี้ แต่อยากจะบอกเวดเหลือเกินว่าให้ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านคนอื่นไม่เป็นหรือไง
“ คราวนี้ได้มาบ้านนายซักที เปลี่ยนสถานที่บ้างก็น่าตื่นเต้นดีว่ามั๊ย ” คนตัวโตหันมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เจ้าของบ้าน มือที่สวมถุงมือข้างหนึ่งรวบนิ้วในท่าโอเค ก่อนจะใช้นิ้วชี้ของมืออีกข้างแหย่เข้าไปในโพรงนั้นซ้ำๆเป็นการสื่อความหมายบางอย่าง ส่งให้ความร้อนตีขึ้นมาบนใบหน้าของคนมองแทบจะทันที
ไม่ใช่ในตอนนี้แล้วก็สภาพนี้ด้วย! ในหัวหมอนี่มีเรื่องอื่นอยู่บ้างหรือเปล่าเนี่ย
“ พูดอะไรของคุณเนี่ย! ออกไปเลยนะ ก่อนที่ผมจะเรียกตำรวจ ” ทำได้แค่เพียงเอ็ดผู้ชายที่กำลังเดินไปเปิดประตูบ้านเขาทีละห้องเท่านั้น
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเรียกมาหมอนี่จะได้ฆ่าตำรวจตายแทนก็เถอะ...
เสียงมือถือที่สั่นเป็นจังหวะภายใต้กระเป๋าเสื้อสูทเป็นสิ่งเรียกให้ปีเตอร์เลิกสนใจบุคคลไม่ได้รับเชิญในบ้าน หน้าจอทัชสกรีนแสดงสายเรียกเข้าด่วนพิเศษที่แสดงรายชื่อ ‘Bobbi’ นิ้วเรียวกดตอบรับทันทีโดยไม่ลังเล ถ้าไม่ด่วนจริงๆเธอคนนั้นไม่มีทางติดต่อมาแน่
ทำไมม็อคกิ้งเบิร์ดถึงโทรมาในเวลานี้...
‘สไปเดอร์แมน นายต้องมาที่นี่ ตอนนี้!’
เสียงหวานจากปลายสายออกคำสั่งทันทีที่ติดต่อได้ ปีเตอร์ทำได้เพียงขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองหาร่างใครอีกคนที่ตอนนี้เดินหายไปที่มุมใดมุมหนึ่งของบ้านแล้ว
จะให้ไปมันก็ได้... แต่ไม่ใช่ต่อหน้าผู้ชายคนนั้น
“ เดดพูลอยู่กับฉัน— เอ่อฉันหมายถึงปีเตอร์ ปาร์คเกอร์น่ะ ” เสียงน่าฟังลดความดังลงจนกลายเป็นการกระซิบ
‘ว่ายังไงนะ! ทำไมถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้?’
“ เรื่องมันยาวน่ะ แล้วสถานการณ์ทางนั้นเป็นไงบ้าง? ” จะให้เท้าความตั้งแต่คืนคริสต์มาสมันก็ดูจะเกินไปหน่อย ไม่ใช่เวลามานั่งย้อนความหลัง ปีเตอร์รีบถามเรื่องที่กำลังอยากรู้ สบเข้ากับจังหวะที่คนในชุดสีแดงเดินสวนมาพอดี เขาจึงทำได้แค่เดินหลบไปอีกทางเท่านั้น
‘คนร้ายที่ควบคุมตัวไปวันนั้นแหกคุกน่ะ อุโมงค์ลินคอล์น นายต้องรีบมาที่นี่เดี๋ยวนี้’ น้ำเสียงของบ็อบบี้ดูกังวล ท่าทางว่าคนที่หลุดออกมาได้จะไม่ใช่ระดับธรรมดาๆ ทั้งที่แน่ใจแล้วว่ามาตรฐานของสถานที่คุมขังอยู่ในระดับสูงแท้ๆ
‘พีท คนร้ายเจาะจงว่าต้องเป็นนายเท่านั้น’
“ ว่ายังไงนะ!? ”
ท่าทางว่าสไปเดอร์แมนจะเป็นที่รักของใครหลายคนไม่น้อย...
ต่อไปเปิดธุรกิจจับมือแทนการเปิดบริษัทขายของไปเลยดีไหมนะ สงสัยว่าจะรวยกว่า
หากตีเนียนขับรถหนีเจ้าหน้ากากแพนด้านี่ไปอาจจะพอได้ แต่สภาพการจราจรจากที่นี่ถึงอุโมงค์ใช้เวลาถึงสิบสองนาที แบบนี้ไม่ทันการแน่ อย่างไรก็มีแต่ต้องไปทางอากาศเท่านั้น ...ทำยังไงถึงจะกันเดดพูลออกไปได้นะ
ผู้ชายคนนี้กำลังสงสัยเขาอยู่ แต่เสียงที่อยู่ในหัวมันกำลังร้องเตือนว่าอย่างไรชีวิตคนบริสุทธิ์ก็ต้องมาก่อน
“ เฮ้ พีตี้นายดูนี่สิ เกิดเรื่องใหญ่แล้วไง ” เจ้าของเสียงทุ้มที่เดินเข้ามาด้านหลังทำให้ปีเตอร์ตกใจ ในมือของคนตัว
ใหญ่มีมือถือเครื่องสีแดงที่กำลังฉายภาพข่าวสด
“ —พีตี้?! ”
เดี๋ยวนะ... พีตี้ —พีตี้นี่คืออะไร?
“ ทำยังไงดีล่ะสไปเดอร์แมน... ผู้คนกำลังรอการช่วยเหลือของนายอยู่นะ? ” เวดเผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ ดวงตาวาวโรจน์ภายใต้หน้ากากจ้องเขม็งไปยังสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนตัวเล็กกว่า
ภาพข่าวแพลนกล้องไปยังร่างของวายร้ายที่กำลังสร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งเมือง ประชาชนที่กำลังบาดเจ็บวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันไปคนละทิศทาง และปีเตอร์ยังจำหน้าชายคนนั้นได้ดี เขาเป็นวายร้ายที่เจ้าตัวนำส่งเข้าตารางด้วยมือของตัวเอง หมอนั่นคงจะแค้นใจมากที่หนก่อนปราชัยให้กับสไปเดอร์แมนไปอย่างง่ายดาย
ดวงตาอันแข็งกร้าวจ้องเขม็งมาในกล้องที่กำลังจับภาพ ชายคนนั้นประกาศอำนาจของตนผ่านการทำลายรถยนต์และสิ่งปลูกสร้างอย่างไม่หยุดหย่อน เขาท้าทายสไปเดอร์แมนผู้เป็นดั่งฮีโร่แห่งแมนฮัตตัน หากไม่มายังสถานที่ที่ร่างนั้นกำลังยืนอยู่ ภายในห้านาที ทั้งอุโมงค์และประชาชนที่อยู่ในนี้จะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น
อดขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นด้วยความโมโหไม่ได้ ความแค้นส่วนตัวของคนๆเดียวจำเป็นจะต้องลากคนอื่นเข้ามายุ่งด้วยหรือไง
“ นายเองก็ช่วยได้ไม่ใช่หรือไง! ช่วยคนบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับเจ้านั่นซักหน่อย!? ” ไม่ใช่เวลามาจับผิดกันอีกแล้ว ด้วยกำลังและความสามารถของเดดพูล ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะทำอะไรแบบนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังคงทำเพียงยักไหล่กลับมาด้วยท่าทางกวนประสาทเท่านั้น
“ ฉันมันพวกไม่ถนัดงานสังคมสงเคราะห์เท่าไรน่ะ ”
เวดยังคงเอาแต่แกล้งเล่น ในขณะที่เวลากำลังเริ่มนับถอยหลังลงเรื่อยๆ
“ ไม่รู้แล้ว! ”
คนบริสุทธิ์กำลังตกอยู่ในอันตราย แค่จะไปให้ถึงที่นั่นภายในห้านาทีก็ทำได้ยากจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างหัวมันแล้วกัน!
ปลายเท้าทั้งคู่พาร่างโปร่งวิ่งออกไปทั้งยังสวมชุดสูทอยู่ เขาไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดสไปเดอร์แมนต่อหน้าเดดพูลทันที แต่วิ่งลัดเลาะมาตามตึกสูงในยามค่ำคืนเรื่อยๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครอีกคนตามมาจึงตัดสินใจกระชากสูทตัวนอกออกอย่างไม่ใยดี ชุดสเปนเด็กซ์สีแดงถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ตลอดเวลาเพื่อสถานการณ์แบบนี้โดยเฉพาะ
กายปราดเปรียวกระโดดขึ้นสู่ยอดตึกด้วยความคล่องแคล่ว ไม่นานนักฝีเท้าคู่นั้นก็กำลังโลดแล่นอยู่บนดาดฟ้าด้วยความเร่งรีบ ช่วงเวลาที่เกือบจะวางใจว่าจะไม่มีใครตามมาวุ่นวายก็มีเสียงปรบมือของใครอีกคนดังไล่หลังมา
“ ว้าว สุดยอดอะ ฉันนับถือใจนายจริงๆ ”
เชื่อเขาเลย... ปีเตอร์ทำได้เพียงถอนหายใจให้กับผู้ชายตัวโตที่กำลังสับเท้าไล่ตามเขามาด้วยใบหน้าร่าเริง นั่นเท่ากับว่าอีกฝ่ายคงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว แต่เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนั้น
“ ฉันบอกให้นายรีบไปช่วยคน ไม่เข้าใจหรือไง!? ”
ถ้าเวดไม่มาวุ่นวายกับเขาตั้งแต่แรก ชายหนุ่มคงไม่ต้องถอดชุดสูทราคาแพงหูฉี่นั่นทิ้งไว้ข้างถนน ต้องเสียเวลากลับมาเก็บอีกทีตอนกลับมาเพราะความเสียดายด้วยอีก
“ ขอโทษนะยาหยี นายก็รู้ว่าฉันทำงานเป็นทหารรับจ้างไม่ใช่ฮีโร่น่ะ ” แม้ปากจะปฏิเสธเช่นนั้น แต่ปลายเท้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดวิ่งตามเลยแม้แต่น้อย
ตามใจหมอนี่ก็แล้วกัน... อยากจะวิ่งตามไปให้ถึงอุโมงค์ลินคอล์นเขาก็ไม่ว่าอะไร
ถ้าวิ่งไหวล่ะก็นะ...
คนตัวเล็กกว่ายิงใยจากข้อมือตรงเข้ายึดกับตึกสูงที่อยู่อีกฟาก เขาม้วนสารสังเคราะห์อันเหนียวหนืดเข้าหาฝ่ามือไว้มั่น เตรียมพุ่งตัวออกไปได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อฝากน้ำหนักทั้งหมดลงไปก็ต้องตกใจ เมื่อความอึดอัดบริเวณรอบเอวจากร่างของใครคนหนึ่งที่เกาะติดมาด้วยดึงให้ใยแมงมุมหมุนเคว้งไปมา
“ เฮ้ ออกไปน่าเวด! คิดว่าตัวเองเป็นเด็กสิบขวบหรือไง! ” อดที่จะเอ็ดเจ้าของเสียงทุ้มที่กำลังร้องวี้ดว้ายเพราะกลัวตกด้วยความหงุดหงิดไม่ได้
ถ้าอายุสมองน่ะใช่อยู่... แต่น้ำหนักของเจ้ากล้ามโตนี่มันชักจะมากเกินไปหน่อยแล้ว มีแต่จะถ่วงให้การเดินทางช้าลงไม่ใช่หรือไง
“ ใจร้ายจัง! นายกะจะให้ฉันไปถึงที่นั่นด้วยเท้าเปล่าหรือไง ”
ขาแกร่งกำลังตวัดเกี่ยวตามลำตัวเพรียวบางเพื่อพาร่างตัวเองขึ้นไปด้านบน มันทำให้ปีเตอร์รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบรอบลำคอของเขาก่อนวางคางลงบนบ่าเมื่อจัดท่าทางได้ลงตัวแล้ว
“ ก็ไหนบอกไม่ถนัดงานแบบนี้ไง? ” ได้แต่พ่นลมหายใจรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวันออกมาอย่างหมดคำพูด
ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการพยายามพาร่างของคนทั้งคู่แหวกอากาศออกไปให้เร็วที่สุด เพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกลมันจึงเปลืองพลังแขนของปีเตอร์ไปมากนัก เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเพิ่มภาระตัวเองด้วยการแบกผู้ชายตัวโตคนนี้ไปพร้อมกัน
เวดขยับตัวยุกยิกอยู่ด้านหลังราวกับกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง ลมหายใจของอีกฝ่ายเพิ่มจังหวะมากขึ้นทุกทีจนน่าสงสัย แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ถูกเฉลยเมื่อคนตัวเล็กสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังจ่อหลังเขาอยู่ และแน่นอน มันไม่ใช่อาวุธ
มาไม้นี้อีกแล้วหรือไง...
“ เวด อย่าบอกนะว่านาย? ”
“ เงียบน่า ฉันกำลังกล่อมให้มันสงบลงอยู่ ” เสียงทุ้มพูดด้วยน้ำเสียงเจือความรู้สึกผิด แต่ไม่ล่ะ...ปีเตอร์ไม่คิดว่าเป็นแบบนั้นเลยซักนิด อีกหนึ่งประโยคถูกกล่าวต่อ แม้ไม่ต้องมองหน้าเขาก็สามารถเดาอารมณ์ของคนพูดได้ในทันที
“ หลังจบงานเรามีเรื่องต้องเคลียร์กันหน่อย นายว่างั้นไหม? ”
คำพูดสองแง่สองง่ามแบบนี้อีกแล้ว ปีเตอร์ทำได้เพียงผลักใบหน้าของอีกฝ่ายออกห่างด้วยความหมั่นไส้
“ เป็นทั้งท่านประธานแถมยังเป็นฮีโร่อีก จิตใจนายนี่มันจะงดงามเกินไปหน่อยแล้วนะ ” แต่นั่นกลับยิ่งทำให้คนตัวใหญ่เลือกที่จะซุกใบหน้าลงไปที่ลำคอนั้นมากกว่าเดิม
ปีเตอร์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป บนหน้ากากแมงมุมยังคงเจือไปด้วยความเคร่งเครียดจากสถานการณ์บีบรัดของวายร้ายที่รอเขาอยู่ เพราะสไปเดอร์แมนคืออีกหนึ่งตัวตนของเขาตั้งแต่เรียนอยู่ไฮสคูล การจะให้ทิ้งสิ่งที่ชอบทำมาโดยตลอดไปมันไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
“ นายรู้ไหม... ถ้าฉันรู้ว่าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์คือสไปเดอร์แมน ฉันคงไม่ไปตามฆ่าเขาตั้งแต่แรก ” เวดต่อบทสนทนา เขาพูดขึ้นท่ามกลางเสียงของสายลมที่พัดเข้าปะทะใบหน้า
“ ....? ”
“ ฉันจะไม่ทำร้ายนาย... อย่างที่เคยบอกไปแล้วไง ” เวดระบายยิ้มบางๆ ถึงแม้เหตุการณ์ครั้งนั้นเขาจะไม่ได้พูดมันต่อหน้าสไปดี้ก็ตาม
“ ฉันคือฝันร้ายของใครหลายคน ฉันสามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางได้ ”
“ ...แต่มันไม่มีวันเกิดขึ้นกับนาย ”
อย่างน้อยวันนี้ก็ยังมีเรื่องดีๆเข้ามาบ้างล่ะนะ...
วันเวลาผ่านไปเร็วเสมอ หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้นก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์ เพราะมีเดดพูลเข้าไปวุ่นวายกับการจราจลด้วย จึงทำให้ไม่มีใครได้รับอันตรายถึงชีวิต คนร้ายถูกคุมขังอีกครั้งด้วยสภาวะการป้องกันที่แน่นหนากว่าเดิม และผลพลอยได้จากเรื่องราวครั้งนั้นคือการบาดเจ็บหนักของตัวเขาเอง แต่มันก็ไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรนัก เพราะใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ร่างกายของคนผู้โดนแมงมุมอาบกัมมันตภาพรังสีกัดก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ปีเตอร์ประกาศต่อหน้าสาธาณชนว่าเขาเองก็อยู่ในเหตุการณ์ก่อการร้ายนั้นโดยบังเอิญ โชคยังดีที่สไปเดอร์แมนช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน และนักข่าวก็เชื่อข้อมูลนั้นทุกอย่างโดยไม่มีข้อสงสัย
สไปเดอร์แมนกลับมาโลดแล่นในแมนฮัตตันยามค่ำคืนอีกครั้งดังเช่นปกติ การปราบปรามแก๊งค้ายากลุ่มเล็กๆที่ไม่มีวันหมดคงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปเสียแล้ว กายปราดเปรียวห้อยโหนไปตามยอดตึกของเมืองในยามดึกอย่างไม่รีบร้อน สถานการณ์วันนี้เรียบร้อยดี และคงได้เวลาพักผ่อนสำหรับชายหนุ่มวัยทำงานเช่นเขาเสียแล้ว
เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านล่างเป็นสิ่งที่ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของปีเตอร์ลดลงจนกลายเป็นหยุดนิ่ง เขาโรยตัวลงจากยอดตึกลงมาอยู่ในระดับสายตา ก่อนทอดมองร่างของใครคนหนึ่งที่ปรากฏเพียงเงาตะคุ่มท่ามกลางความมืดสลัว
ระยะทางที่ถูกลดลงมาทำให้ภาพของชายคนหนึ่งปรากฏแก่สายตา เขาสวมใส่ชุดที่ตัดเย็บจากผ้าสเปนเด็กซ์ร่วมกับหนังสีดำมันขลับตั้งแต่หัวจรดเท้า แขนกำยำยกขึ้นโบกทักทายด้วยท่าทีตื่นเต้นพร้อมกับดวงตาบนหน้ากากที่หยีเล็กลงเช่นทุกครั้งที่พบกัน
ปลายเท้าคู่นั้นไม่รีรอที่จะเร่งความเร็วเพื่อเข้าประชิดตัวใครอีกคนที่อยู่ตรงหน้า มือหนาเปิดหน้ากากแมงมุมของสไปดี้ที่กำลังห้อยศีรษะลงมาด้านล่างเพียงครึ่งหนึ่ง ก่อนบดริมฝีปากของตนลงไปไม่เบานักราวกับโหยหาสัมผัสนั้นยิ่งกว่าสิ่งใด มันทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนปีเตอร์รู้สึกเหมือนกับจะหลอมละลายไปเสียให้ได้
คนทั้งคู่ผละริมฝีปากออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง เสียงหอบหายใจเบาๆที่ดังมาจากคนตรงหน้าทำให้เวดผุดรอยยิ้มขึ้นมาด้วยความพอใจ เขาปลดหน้ากากสเปนเด็กซ์ที่เหลือออกจากกลุ่มผมนุ่มของคนตัวเล็กอย่างง่ายดายโดยไร้ซึ่งการห้ามปรามใดๆ
ใบหน้าของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ปรากฎต่อสายตาคนมองอย่างชัดเจนโดยไม่มีอะไรมาปิดกั้นอีกต่อไป ดวงตาสีฮาเซลที่หวานฉ่ำคู่นั้นกำลังสะท้อนภาพของเขาเพียงคนเดียว จมูกโด่งรั้นรับกับริมฝีปากสีชมพูที่ทำให้รู้สึกอยากครอบครองอยู่ตลอดเวลา อยากจะมองใบหน้าของคนๆนี้ต่อไปนานๆทั้งคืนก็ยังได้
“ มองอะไรของนาย ”
ไม่มีใครเคยบอกหรือไงนะว่าเจ้าตัวน่ารักขนาดไหน...
“ ฉันรักนายมากนะพีตี้♥ ”
ผู้ชายคนนี้ต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ... เวดถึงมองเห็นทั้งความน่ารักและความเซ็กซี่รวมอยู่ในคนๆเดียวกันแบบนี้
ปีเตอร์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“ หุบปากน่าเวด ”
ใช้มือที่สวมถุงมือลายแมงมุมประคองข้างแก้มของเวดให้มองตรงมาที่เขา ก่อนเจ้าตัวจะเอียงใบหน้าเล็กน้อยและฝังริมฝีปากของตนลงไปยังคนตรงหน้าแบบไม่ให้ทันตั้งตัว แม้คนถูกจู่โจมจะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ตอบรับสัมผัสนั้นด้วยความเต็มใจ
เป็นค่ำคืนอันเงียบสงัดที่มีท้องฟ้าโปร่งและบรรยากาศกำลังพอเหมาะ... ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปเช่นนั้น
แปลกประหลาด แต่ผูกพัน และอันตราย...
จะว่ายังไงดีล่ะ... มันไม่มีคำว่า ‘รัก’ อยู่เลยด้วยซ้ำ
END
จบแล้วจ้าาา เปิดเรื่องมางงๆและจบแบบงงๆ
สุดท้ายปีเตอร์ก็ความแตกง่ายๆแบบนี้เลย
คือคนที่อ่านคอมมิคมาจะรู้สึกว่าจริงๆสองคนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนกันแน่ๆอะ
มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟนอะไรทำนองนั้น
อิเวดในคอมมิคจะดูรักและเป็นห่วงสไปดี้แบบออกนอกหน้าจริงๆค่ะ
สำหรับฟิคเรื่องนี้ ถามว่าทั้งสองคนรักกันมั๊ย
จริงๆไรเตอร์มองว่าพวกเขารักกันนะคะ (แม้จะเอนไปทางใคร่มากกวากว่าเถอะ)
เป็นความรักที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากบอก และบางทีอาจจะไม่รู้ตัวด้วยก็ได้
สนุกไม่สนุกยังไงคอมเม้นท์บอกไรเตอร์หน่อยน้า <3
คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟิค
** Spoil Alert!! ** ใครจะตามอ่านคอมมิคแนะนำให้>ข้ามข้อความด้านล่าง<ไปเลยนะคะ
O ช่วงหลังๆของคอมมิค เดดพูลจะมีบริษัทของตัวเองและลูกน้องที่ไว้ใจได้ด้วยค่ะ แต่ภาพพจน์จะไม่ค่อยดีเท่าไร
เดดพูลขโมยอาวุธของชิลด์และนำไปขายในตลาดมืด ทำให้สไปดี้ต้องออกมาจัดการด้วยตัวเอง
ด้วยความเป็นเพื่อน เขาพยายามพูดดีๆแล้วค่ะ แต่ยังไงเดดพูลก็ไม่ยอมฟังเลย แถมยังทำร้ายสไปดี้อีก;-;
O จนกระทั่งทั้งคู่ได้มีโอกาสเปิดอกคุยกัน เดดพูลก็สารภาพตามประสาวายร้ายเลยค่ะว่าตัวเขาน่ะเป็นฆาตรกร อาชญากร เป็นทุกอย่างที่แย่มากๆ ทั้งๆที่เคยพยายามเป็นฮีโร่แบบสไปดี้แล้ว
เขาไม่สนใจว่าจะฆ่าใครหรือทำให้ใครตกต่ำลง แต่เขาทำแบบนั้นกับสไปดี้ไม่ได้ค่ะ //อู้วววว><
O สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าประโยคที่พูดไปทั้งหมดนั้น เวดพูดให้ตัวร้ายที่ชื่อว่า 'คาเมเลออน' ที่กำลังปลอมตัวเป็นสไปดี้ฟังแทน ส่วนสไปดี้ตัวจริงโดนจับขังอยู่อีกที่ซะงั้น ตอนเวดมาทวนคำพูดนี้กับปีเตอร์อีกที พี่แกเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลยค่ะ;-; สงสารอิเวดมาก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่งได้สนุกมากค่ะ
ชอบๆๆๆ แต่งสไปดี้พูลอีกนะคะ
มีโอกาสจะแต่งคู่นี้อีกแน่นอนค่ะ เคมีดีสุดอะไรสุดจริงๆ