คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : ◣Fanfic◥ [AllxLuffy] Candied dream : Midnight bride(1) (Part15)
Rate: PG-13
Writer: PINKUHERO
Part: 15/20
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
งานเต้นรำของอาณาจักรถูกจัดขึ้นทุกปีในคืนพระจันทร์เต็มดวง
รัชทายาทผู้นั้นแสวงหาคู่อภิเษกทั้งรู้ว่าเมืองแห่งนี้ไม่มีหญิงสาว
เวลาล่วงเลยผ่านไปปีแล้วปีเล่า… ขณะที่ผู้คนกำลังใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวัง
คนคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นมา…
“นี่ๆ นายที่เป็นหมีตรงนั้น ช่วยฉันออกไปหน่อยได้เปล่า”
เห็นแต่ดวงตากลมๆ กับผมสีไม้มะเกลือที่โผล่พ้นหน้าต่างห้องเก็บของโกโรโกโส เจ้าชายของเขามอบหมายให้ตามหาเจ้าหญิงที่เจ้าตัวมั่นใจว่าสองพี่น้องซ่อนเอาไว้ อาศัยความสามารถในการดมกลิ่นของเผ่าขนมิ้งค์ทำให้ทราบว่ามีมนุษย์อยู่ในที่แห่งนี้จริงๆ
เบโปะเป็นสิ่งมีชีวิตมายาที่อาศัยร่วมกับมนุษย์ในที่แห่งนี้มาช้านาน และเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดทุกคนถึงต้องพยายามซ่อนหรือเก็บเจ้าหญิงไว้กับตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย เจ้าหมีขนฟูคิดว่าเจ้าของเสียงเล็กๆนั่นน่าสงสารเสียด้วยซ้ำที่แม้แต่เจ้าชายก็ยังต้องการกักตัวไว้ใต้อาณัติ
ใช้เวลางัดแงะอยู่ไม่นาน ร่างผอมบางก็ปรากฏออกมาให้เห็นพร้อมรอยยิ้มจ้า เขามีท่าทีสนใจหมีขั้วโลกที่ยืนสองขาอยู่ตรงหน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบพาตัวเองหนีออกไปจากที่ประหลาดๆนี่
จะเจออะไรอีกก็ไม่แปลกใจแล้ว นอนหลับมาก็หลายตื่นไม่เห็นจะเหมือนฝันเลยซักนิด
“ฉันอยากช่วยนาย แต่เจ้าชายให้ฉันพานายกลับไปด้วยน่ะสิ” ใบหน้าปุกปุยแสดงความสับสนอย่างเต็มประดา ขัดคำสั่งเจ้านายก็ไม่ได้ แต่เด็กมอมแมมนี่ก็น่าสงสารจังเลย
“เจ้าชายที่ไหนอีก ฉันไม่ไปด้วยหรอกนะ”
เขาหลงมาไกลเกินความเข้าใจของตัวเองไปมากแล้ว ทำไมใครต่อใครถึงต้องการการมีอยู่ของเจ้าหญิงมากมายขนาดนั้นกันนะ
“ขอบคุณที่มาช่วย จำไว้ว่านายไม่ผิดที่ฉันหนีไปหรอกนะ ชิชิ”
ว่าพร้อมสับเท้าตัวเองออกไปโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว เบโปะยืนทำสีหน้าเหรอหราในขณะที่เจ้าหญิงวิ่งหน้าตั้งออกไปจนไกลลับตาเสียแล้ว
ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน บรรยากาศที่เคยตึงเครียดกับยิ่งทวีคูณกว่าเดิม เมื่อคำสารภาพ ‘เจ้าหญิงหนีไปแล้ว’ หลุดออกมาจากปากทหารคนสนิท แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่สองพี่น้องกวนบาทาตรงหน้าก็เก็บสีหน้าสะใจเอาไว้ไม่อยู่
“เจ้าหญิงไม่ใช่ของๆใครทั้งนั้น ต่อให้พวกฉันพยายามกักขังเขาไว้ สุดท้ายก็เป็นอย่างนี้แหละ” แม้ท่าทางจะดูเย้ยหยัน แต่ประโยคของซันจิก็เคลือบไปด้วยคำตัดพ้อในโชคชะตาของตัวเอง
ผู้มีสถานะสูงศักดิ์พ่นเสียงผ่านไรฟันอย่างรู้สึกหงุดหงิด ทั้งที่เกือบจะเข้าถึงตัวอยู่แล้วแต่เด็กคนนั้นก็หลุดรอดออกไปในช่วงเวลาเพียงชั่วครู่ งานเต้นรำที่ฝืนจัดขึ้นทุกปีแม้จะไร้ตำแหน่งของเจ้าหญิง โชคชะตาใจร้ายเหลือเกินที่ส่งเขาคนนั้นมาแล้ว แต่ไม่ให้โอกาสในการครอบครอง
คิดจะลัดขั้นตอนพาเจ้าหญิงกลับวังตั้งแต่แรกก็โดนขัดขาเสียแล้ว
จำใจต้องถอนกำลังทหารของตนกลับไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้เตรียมแผนสำรองกรณีเจ้าหญิงหนีไปเองเอาไว้ แต่ถ้าหากเนื้อเรื่องมันจะต้องดำเนินต่อไป อย่างไรเสียจะยอมใจเย็นรออีกสักหน่อยก็ได้
ลูฟี่จำไม่ได้ว่าวิ่งออกมาไกลแค่ไหนแล้ว มือทั้งสองข้างวางค้ำลงบนเข่าพร้อมหอบอย่างหมดท่า เป็นครั้งแรกที่วิ่งหนีออกมาได้โดยไม่มีใครตามหลังมาด้วย เขามองกระโปรงขาดรุ่งริ่งที่เปื้อนคราบเขม่าเตาผิงของตัวเองพร้อมลอบถอนหายใจ
ที่นี่คือที่ไหนและจะกลับไปได้อย่างไรกันนะ
พื้นที่รอบข้างมีแต่ทุ่งหญ้ากว้างสลับกับต้นไม่ใหญ่ขึ้นเป็นระยะ เขาเติบโตมาในเมืองใหญ่แถมไม่ค่อยมีประสบการณ์ตั้งแคมป์ในป่าเสียด้วย อากาศแถวนี้ก็ใช่ว่าจะอบอุ่น ไหล่ทั้งสองข้างก็พาลสั่นระริกตอนที่ลมเย็นๆพัดผ่าน
ดวงตากลมโตพลันกวาดไปเห็นควันไฟที่พัดขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นหลักฐานว่าคงมีใครบางคนตั้งแคมป์อยู่ไม่ห่างออกไป หากไม่รบกวนเกินไปก็ว่าจะขอนั่งผิงไฟให้พ้นคืนนี้ไปเสียหน่อย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ทั้งที่เพิ่งเลยเวลากลางวันมาไม่นาน แต่ท้องฟ้ากลับมืดเร็วกว่าปกติเหมือนกับมีใครมาเร่งเวลา
ลำธารใสสะอาดไหลผ่านกลางป่า เป็นภาพแรกที่ปรากฏให้เห็นแล้วอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ กองไฟเล็กๆถูกก่อเอาไว้ซ้ำยังไม่มอดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่พบวี่แววของคนอยู่ใกล้ๆ มีเพียงพุ่มไม้สีม่วงประหลาดตาที่เด็กหนุ่มคิดว่านั่นคงเป็นพุ่มไม้อะไรซักอย่างของโลกแห่งนี้
เขาทิ้งตัวลงข้างกองไฟพร้อมถอนหายใจยาว ไออุ่นจากเปลวเพลิงข้างหน้าทำให้ความคิดสงบลงได้เพียงครู่หนึ่ง ทั้งร่างก็ถูกกระชากสติขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพุ่มไม้ที่เคยวางอยู่ข้างๆกันดันลุกขึ้นยืนด้วยขาทั้งสองข้างเหมือนกับคน
“แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ!”
“เหวอออ หัววว!!” สาบานเถอะว่าเขาไม่ได้ตาฝาดไป หัวอันเบ้อเร่อมีตามีปากกำลังยืนพูดอยู่ตรงหน้า พุ่มไม้สีม่วงที่เคยเห็นคือผมของเจ้าตัวที่ฟูฟ่องเป็นวงกลม ร่างกายสูงใหญ่สวมชุดหนังรัดติ้วเหมือนกับชุดมวยปล้ำ
นึกว่าขนตาจะเด้งออกมาทิ่มกันเสียแล้ว ใครอีกละเนี่ย…
“เธอจะมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้นะ เนื้อเรื่องจะดำเนินต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีเธออยู่”
กำลังพูดอยู่กับเขาอย่างนั้นหรอ แล้วเนื้อเรื่องอะไร เขาต้องไปอยู่ตรงไหน
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันอยากกลับบ้าน”
“ชุดอะไรของเธอเนี่ย โกโรโกโสมาก สองพี่น้องนั่นเอาให้เธอใส่หรอ” ไม่ได้ฟังกันเลยซักนิด ลูฟี่แปลกใจตั้งแต่เจ้าตัวใส่ชุดน้อยชิ้นท้าทายอากาศหนาวเหน็บนี่แล้ว ซ้ำร้ายยังจับตัวเขาหมุนไปหมุนมา ที่จริงไอชุดนี่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้อยากใส่มันนักหรอก ถ้าไม่ติดว่าชุดก่อนหน้าโดนคนผมเขียวฉีกเละเทะไปแล้ว
“ใกล้ได้เวลาแล้วสิ ฉันจะช่วยให้เธอไปที่งานนั้นก็แล้วกัน”
“อะไรของนายเนี่ย ไม่ฟังที่ฉันพูดเลย ฉันไม่อยากไปไหนทั้งนั้น”
“ฉันชื่ออิวานคอฟ เรียกอิวานจังก็ได้ เราคงได้พบกันอีกเร็วๆนี้” เจ้าของชื่อว่าพลางขยิบตาให้ลูฟี่ทีหนึ่ง วาดแขนไปในอากาศเป็นรูปร่างแปลกตา แพขนตาหนาของตัวเล็กปิดลงฉับพลันเพราะแสบตา แสงสว่างวาบตีเข้ามาครู่หนึ่ง รู้สึกตัวอีกทีทั้งร่างก็มีน้ำหนักของชุดรั้งเอาไว้ สัมผัสได้ว่ามันยังไม่พ้นกระโปรงฟูฟ่องสีฟ้าที่ใครหลายๆคนชอบยัดเยียดให้เขาสวมใส่
แถมตรงหน้ายังมีรถม้ารูปทรงประหลาด หยึกหยักชอบกลเหมือนสร้างขึ้นมาจากผลไม้ชนิดหนึ่ง
เรื่องราวชักจะคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนแฮะ…
“รีบกลับไปก่อนเถอะนะ ถ้าเธอหนีมาแบบนี้อาจจะหาทางออกไปไม่ได้อีกเลย”
“เฮ้…เดี๋ยว!” ยังไม่ทันได้หยุดประหลาดใจ แรงส่งจากฝ่ามือใหญ่ก็ดันหลังเขาขึ้นไปบนรถม้าอย่างไม่เบานักจนหน้าคะมำไปกับเบาะหนัง ประตูรถม้าปิดลงและออกตัวอย่างรวดเร็วจนลูฟี่ตั้งตัวไม่ทัน เขาหาแม้แต่วิธีเปิดประตูออกไปก็ไม่ได้ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะพาไปหยุดที่ไหน
แต่จะวิ่งเร็วเกินไปหน่อยแล้วมั้ย… แค่นี้หลังก็ติดกับเบาะจนลุกขึ้นมาไม่ได้แล้ว
แต่ในที่สุดมันก็ยอมหยุดลง…
ลูฟี่พาตัวเองออกจากรถม้ารูปร่างแปลกตานั้นอย่างทุลักทุเล เขารู้สึกเหมือนยังปรับตัวให้ชินกับความเร็วไม่ได้ อยู่ๆล้อทั้งสองข้างก็เบรคเอี๊ยดลงด้านหน้าปราสาทมหึมาเหมือนในเทพนิยาย ประตูที่เคยปิดสนิทเปิดอ้าออกเหมือนเป็นการบอกกลายๆว่ามาถึงแล้ว ครั้นพอก้าวลงมายืนที่พื้นได้ รถม้าทั้งคันก็พังครืน และล้อกลมๆกลิ้งหลุนๆไหลไปตามทางเดินและตกลงไปในคูน้ำรอบปราสาทเรียบร้อย
เอาล่ะ คราวนี้จะทำอย่างไรต่อไปดี…
ปราสาทโอ่อ่าแห่งนี้ประดับประดาไปด้วยแสงไฟสวยงาม ได้ยินเสียงเพลงบรรเลงมาจากด้านในราวกับมีงานรื่นเริงที่รอการมาถึงของใครบางคน เด็กหนุ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีหากจะก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น กลัวว่าถ้าเข้าไปแล้วจะไปเกี่ยวพันกับเรื่องราวแปลกๆที่เจอมาโดยตลอดอีกครั้ง
ถึงแม้จะหิวมาก แต่ลูฟี่ก็เลือกที่จะเดินออกไปในทิศทางตรงข้ามกับงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่
กระโปรงที่แสนเทอะทะทำให้การเดินไปข้างหน้าทำได้ยากลำบาก มันฟูฟ่องกว่ากระโปรงทุกตัวที่เขาเคยได้สวมใส่ แขนเล็กรวบเอาก้อนผ้าหนาๆตรงหน้ามารวมกันก่อนจะก้าวเดินต่อไป แม้แต่รองเท้าก็ยังเป็นทรงผู้หญิง โชคยังดีที่มันไม่มีส้นแหลมแถมมาให้ด้วย
แต่ทั้งร่างก็ต้องเซถลาไปด้านหลังจนชนกับแผงอกของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เมื่อเอวบอบบางโดนคว้าไปกอดเอาไว้อย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างที่สูงกว่าจากด้านหลัง ก่อนที่ใครคนนั้นจะนำใบหน้าเคลื่อนมาไว้ข้างกัน เพื่อให้คนในชุดสีฟ้าได้ยินเสียงนุ่มทุ้มของตนได้อย่างชัดเจน
“หาเจอจนได้นะ เจ้าหญิงของฉัน”
เขาเคยรู้สึกโหยหาคนๆหนึ่งทั้งที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน กาลเวลาสั่งให้รอคอยแม้ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงที่ใด จนทำให้รู้สึกแปลกใจขึ้นมาว่าคนเราจะสามารถรักใครคนหนึ่งได้มากขนาดนั้นเชียวหรือ
“นายเป็นใคร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” เจ้าหญิงไม่ได้บอบบางเหมือนท่าทางภาพนอกที่มองเห็น มือเล็กดันหน้าคนที่ถือวิสาสะเข้ามาโอบออกไปจนร่างที่สูงกว่าถลาออกไปด้านหลัง
ใบหน้ากลมมน ดวงตาสุกใสเหมือนกับลูกกวาง ไม่ได้โดดเด่นแต่ก็น่ารักจนไม่อาจละสายตาออกไปได้
ความรู้สึกตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ รักโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างน่าประหลาด…
“ลอว์… ทราฟาลก้า ลอว์ นั่นคือชื่อของข้า” ชายตัวสูง กิริยามารยาทงดงามต่างจากตอนที่โดนจู่โจมครั้งแรกโดยสิ้นเชิง แต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีตั้งแต่หัวจรดเท้า แค่กระดุมเม็ดเดียวก็ดูเหมือนจะแพงกว่าค่าจ้างงานพิเศษของเขาทั้งปี บวกกับการพูดจาอันแปลกประหลาด ลูฟี่เผลอคิดว่าชายคนนี้อาจจะเป็นเจ้าชายจากที่ไหนซักแห่งก็เป็นได้
“ขอโทษที่เสียมารยาท แต่ในงานมันวุ่นวายนัก หากข้าจะเชิญเจ้าไปเดินเล่นด้วยกันได้หรือเปล่า”
ขนาดแค่ฟังยังรู้สึกเหมือนอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ได้… ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ชินกับการพูดจาของคนที่นี่ซักที
“ทำไมฉันถึงต้องเดินเล่น”
ไม่ได้ถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่เจ้าตัวถามเพราะอยากรู้จริงๆ ในเวลานี้เด็กขี้แงอยากจะกลับบ้านเสียเต็มประดา เขาเหนื่อยที่จะต้องคอยวิ่งหนีและรับมือกับเรื่องที่ไม่เข้าใจมากเต็มที
คนตัวสูงมองใบหน้างุนงงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มตาม เด็กคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังยืนพูดอยู่กับใคร เขาผายฝ่ามือที่สวมถุงมือสีขาวสะอาดไว้ตรงหน้าเป็นการเชิญชวน แต่คนตัวเล็กก็ไม่ได้วางฝ่ามือของตนลงมาตอบ
คิ้วเรียวที่เคยขมวดกันยุ่งเหยิงกว่าเดิมเมื่อคนที่เคยขอโทษกลับถือวิสาสะคว้ามือนิ่มนั้นไว้ในครอบครอง ออกแรงดึงไม่มาก ร่างที่บางกว่าก็จำต้องก้าวขาออกเดินไปตามเจ้าของแผ่นหลังกว้าง
ในหัวของลูฟี่มีแต่คำว่า‘อะไรเนี่ย’อยู่เต็มไปหมด…
“มีที่ดีๆที่ข้าอยากให้เจ้าได้เห็น”
ไม่รู้อะไรดลใจให้คนที่รำคาญชุดแสนเทอะทะนี้ยอมเดินตามคนจูงมือตัวเองไปอย่างว่าง่าย ชายที่ชื่อทราฟาลก้าพาเขาเดินเลาะด้านข้างปราสาทออกไปในสวนที่ประดับด้วยพันธุ์ไม้หลากหลาย ด้านหน้าเป็นทางลาดลงไปให้มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองเล็กๆยามค่ำคืน
ลอว์ทิ้งตัวลงนั่งบนเนินหญ้านั้นโดยไม่ได้ใส่ใจว่าชุดราคาแพงที่เขาสวมใส่จะเปรอะเปื้อน ออกแรงกระตุกฝ่ามือเล็กเป็นการเชิญชวนให้คนชุดสีฟ้าทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมปฏิบัติตามแม้ใบหน้าหวานยังไม่คลายความงุนงง
อาจเพราะที่ที่เขาจากมาเป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟ การจะมองเห็นฟ้าโปร่งที่ประดับไปด้วยดาวนับพันที่กำลังเปล่งประกายในยามนี้เกิดขึ้นได้ยากนัก มันสว่างสุกใสราวกับไม่ได้อยู่ไกล
“สวยใช่ไหม ตรงนี้เป็นที่ที่มองเห็นท้องฟ้าชัดที่สุดแล้ว” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาต้องมานั่งวางขาไปบนพื้นหญ้าอยู่แบบนี้ แต่ท้องฟ้าก็สวยอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ ลมที่พัดโกรกผ่านผิวหนังทำให้รู้สึกหนาวจนไหล่เล็กสั่นระริก
อย่างกับฉากในละครที่เคยเห็น อีกฝ่ายถอดเสื้อคลุมตัวนอกมาสวมให้เขาอย่างเบามือ แม้ปากจะชมว่าท้องฟ้าสวยงามแค่ไหน แต่ดวงตาสีดำกลับจับจ้องมาอย่างไม่วางสายตา นั่นทำให้ตากลมๆของลูฟี่ทำได้แค่ลอบมองออกไปทางอื่นเพราะรู้สึกแปลกพิลึก
“ข้าเฝ้ารอคนๆหนึ่งมานานมาก นานจนจำไม่ได้ว่ามันผ่านไปกี่ปีแล้ว”
“….”
“ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมาตอนไหน แต่นายก็จะรอต่อไปงั้นหรอ” โดยปกติลูฟี่ไม่ใช่คนอดทนรออะไรได้นานหลายปีขนาดนั้น และเขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง อย่างกับกำลังต้องการที่ปรึกษาปัญหาชีวิต
“เคยออกตามหาเขาแล้วน่ะ แต่ก็โดนขัดขวางตลอด”
“แต่ตอนนี้ข้าเจอเขาแล้วล่ะ”
อีกครั้งแล้วที่ใบหน้าคมคายมองมาเหมือนแฝงความหมายบางอย่าง คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนโดนริบอากาศหายใจไปชั่วขณะ ชายคนนี้จะนั่งจ้องหน้าเขาทั้งคืนไปเลยหรือไง เล่นซะปั้นสีหน้ากลับไปไม่ถูก
“หน้าฉันมีอะไรติดหรือเปล่า ทำไมนายชอบมองจัง”
รุกไปตั้งขนาดนี้ยังทำเป็นไม่รู้ตัวอยู่อีก…
ริมฝีปากได้รูปของลอว์ระบายยิ้มบางๆ ยังมีอะไรอีกตั้งมากมายที่อยากจะทำร่วมกัน เขารู้สึกมีความสุขมากเกินไปราวกับกำลังอยู่ในความฝัน และอยากจะฝันให้นานกว่านี้อีกหน่อยเพื่อต่อเวลาดีๆออกไปสักนิด
“ยังมีอีกที่ที่อยากให้เจ้าได้เห็น เรากลับเข้าไปในงานกันดีไหม”
งานสังสรรค์ขนาดใหญ่ ผู้คนในชุดสูทราคาแพงจำนวนมากกำลังล้อมวงสนทนาพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ
ทุกอย่างสดับเงียบลงเมื่อปลายเท้าของผู้มาใหม่ก้าวเข้าสู่ท้องพระโรง ทุกสายตาจับจ้องมายังจุดเดียวกัน และเมืองแห่งนี้ก็ยังไร้ซึ่งสตรีตามที่เด็กหนุ่มเคยเข้าใจ คนที่สวมใส่กระโปรงฟูฟ่องจีงกลายเป็นจุดเด่นกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ผู้คนที่เคยยืนอยู่เต็มพื้นที่ลานกว้างกลับค่อยๆตีวงห่างออกไปจนมีเด็กหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลาง ข้างกันมีคนตัวสูงที่เดินเข้ามาด้วยกัน ใบหน้าคมคายกำลังยกยิ้มพอใจ แต่ลูฟี่กลับสับสนว่าทำไมทุกคนถึงต้องทำแบบนั้น
แค่ใส่กระโปรงคนเดียวในงาน มีอภิสิทธิ์ขนาดที่ไม่ว่าใครๆก็ต้องหลีกทางให้เลยหรือไง
แหงล่ะ มันแปลกตั้งแต่เขาก้าวเท้าผ่านประตูบานนั้นมาแล้ว ไม่น่าไปนึกสนใจรูปลักษณ์แปลกตาที่ไม่เข้ากับบรรยากาศร้านอาหารนั่นเลย เป็นเวลานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่เขามัววิ่งวนอยู่ในเหตุการณ์ประหลาดอย่างนี้
สบโอกาสที่คนน้องกำลังเงอะงะคว้าข้อมือเล็กแล้วจูงมายังใจกลางลานเต้นรำ ร่างนั้นถึงกับผงะเมื่อชายตรงหน้าโค้งคำนับลงเล็กน้อย เขาผายฝ่ามือใหญ่มาไว้ตรงหน้าราวกับจะเชิญชวน สบจังหวะเดียวกันกับเครื่องดนตรีในงานที่คลอทำนองบัลลาดอย่างอ่อนโยน
“เต้นรำกับข้าได้หรือไม่”
ทุกสายตาของคนในงานและคนถามจ้องมาที่เขาราวกับคาดหวังคำตอบอย่างมาก
“ฉันไม่เคยเต้นรำ” และเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย
“ค่อยๆก้าวเท้าตามข้า ทุกคนกำลังมองอยู่นะ”
ก็บอกไปแล้วว่าเต้นรำไม่เป็น แต่พี่เขาก็ยังจะเอื้อมมาคว้ามือของเด็กหนุ่มไปกุมไว้โดยไม่ขออนุญาต การเต้นรำก็เหมือนการได้โอบกอดฝ่ายตรงข้ามแบบสุภาพชน ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าสัมผัสลงบนเอวบางจนร่างนั้นสะดุ้งเฮือก ลอว์ยกยิ้มพอใจเล็กน้อยเมื่อคนตัวเล็กก้าวเท้าตามจังหวะที่เขานำอย่างว่าง่าย แม้เจ้าตัวจะดูประหลาดใจว่าความสามารถในการเต้นรำอยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไรก็ตาม
มหัศจรรย์เกินไปแล้ว… ตั้งแต่จำความได้ก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการเต้นมาก่อน
ติ๊ก…ต่อก...
ความจริงคือเขาไม่ได้อยากมาอยู่ตรงนี้ แต่คนตัวสูงก็ไม่ยอมปล่อยมือเสียที
ติ๊ก…ต่อก...
เสียงนาฬิกาที่ลูฟี่ไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ตรงไหนดังก้องอยู่ในหูของเขาตลอดเวลา และมันยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้แปลกใจ
‘หมดเวลาแล้ว เธอจะอยู่ตรงนี้ต่อไปงั้นหรอ’ เสียงพูดหนึ่งดังเข้ามาในความคิด มันดังราวกับมีคนมาพูดอยู่ข้างๆหู แต่ไม่ว่าลูฟี่จะมองหาอย่างไรก็มองไม่เห็นเจ้าของเสียง
‘ที่จริงเธอก็เลือกตอนจบของตัวเองได้ ถ้าเธอจะเลือกเขาก็ได้นะ’
เสียงนั้นคุ้นหูราวกับได้ยินที่ไหนมาก่อน …เสียงเหมือนกับอิวานคอฟที่เขาเจอก่อนจะถูกยัดใส่รถม้ามาส่งที่นี่
จริงสิ… เพราะเจ้าของผมแอโฟรสีม่วง เขาถึงต้องมาพัวพันกับผู้ชายประหลาดคนนี้อีกคน ตั้งแต่เจอกันก็เล่นจูงมือไปโน่นไปนี่ ปล่อยให้มือว่างได้ไม่นานก็คว้าเอาไว้อีกราวกับกลัวว่าจะหนีไปไหน
และทุกสถานที่ที่ลูฟี่จากมา ทุกคนกำลังทำแบบเดียวกัน…
สังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้…
แกร๊ง… แกร๊ง…
ถ้าไม่หนีไปตอนนี้ พวกเขาจะต้องคิดทำอะไรแปลกๆอีกแน่ ใบหน้าหวานของคนในชุดกระโปรงเริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผม ดวงตากลมโตกวาดมองรอบตัวว่าพอจะมีทางหนีทีไล่ให้เขาหรือไม่
ระฆังของพระราชวังตีบอกเวลาเที่ยงคืนก้องทั้งท้องพระโรง กลบเสียงดนตรีที่เคยบรรเลงจนมิดจนกลุ่มคนที่เคยอยู่ในงานเต้นรำต้องหยุดนิ่งลงชั่วขณะ ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่านี้ เด็กหนุ่มรีบสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของชายตรงหน้า เขาโกยกระโปรงหนาเตอะมาไว้ในอ้อมแขนแล้วสับขาออกมาอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์นี้อีกแล้ว… วิ่งหนีอีกแล้ว
แต่กระโปรงเทอะทะนี่มันจะเกะกะเกินไปแล้วนะ… ลำพังแค่ทรงตัวให้เดินได้ก็ลำบากจะแย่
“เดี๋ยวสิ เจ้าจะรีบไปไหน” เสียงทุ้มของทราฟาลก้า ลอว์ดังไล่หลังมา อีกฝ่ายทั้งตัวสูงและอยู่ในชุดทะมัดทะแมง แค่ก้าวขายาวๆนั่นออกมานิดเดียวก็จะตามทันแล้ว
อย่างกับฉากในหนังไล่ล่า แต่ทำไมเขาจะต้องมาเป็นผู้ถูกล่าที่จะต้องตายตอนจบด้วย
“พวกนายเลิกวิ่งตามซักทีได้มั้ย ต้องการอะไรจากฉันนักหนาเนี่ย” เสียงเล็กโวยวายพลางสับเท้าลงไปตามขั้นบันได เหตุการณ์แบบนี้รู้สึกคุ้นชะมัดเหมือนเคยได้ยินเรื่องเล่าจากนิทานสมัยเด็ก ถ้าไม่อย่างนั้นชุดกระโปรงนี่มันจะหายไปตอนเที่ยงคืนด้วยไหมนะ จะได้วิ่งหนีได้สะดวกขึ้นซักที
“เอ๊ะ—”
พลันหัวใจดวงน้อยก็ตกวูบลงไปกองที่พื้นเมื่ออยู่ๆทั้งร่างก็ลอยหวือเข้าไปจนชนเข้ากับใครคนหนึ่ง คนที่วิ่งตามมาคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ได้ทันก่อนจะรวบเอาร่างบอบบางนั้นมากอดไว้แน่นราวกับไม่ต้องการให้หนีไปไหนได้อีก
รอยยิ้มจากใบหน้าคมคายที่วันนี้เขาเห็นไปตั้งหลายรอบ แต่รอบนี้มันดูน่ากลัวกว่าทุกที
“คิดว่าข้าจะยอมปล่อยเจ้าหนีไปง่ายๆอย่างในเทพนิยายปรัมปรางั้นหรือ”
ความคิดเห็น