NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #37 : ▲ [My hero academia] Wolves and rabbit (Bakugou x Izuku) - Part 2

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 67


     แนะนำเปิดเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)




















    เพราะโทโดโรกิเป็นอัจฉริยะ และอิซุคุเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน งานกลุ่มของพวกเขาจึงสำเร็จได้โดยไร้ปัญหา คนทั้งคู่คุยกันด้วยภาษาวิชาการที่สมาชิกที่เหลืออีกสองคนไม่สามารถเข้าถึงได้ ทำให้อิซุคุรู้ว่าการทำงานร่วมกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

     

    เขาดูเหมือนคนประหยัดคำพูดที่จะเอ่ยปากสนทนาก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น

     

            แขนเล็กหอบถุงขยะที่เหลือจากการทดลองไว้ในอ้อมแขน ด้านหลังมีคนตัวสูงกว่าเดินตามมาไม่ห่าง ดูเหมือนเจ้าของผมสองสีจะไม่ได้ติดใจโกรธอะไรแล้ว ความจริงจะเรียกว่าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจคงจะถูกต้องมากกว่า

     

            อาจเพราะอิซุคุไม่ใช่มนุษย์ ประสาทสัมผัสในการรับรู้สิ่งต่างๆ จึงต่างจากคนปกตินัก หลังวางถุงขยะลงได้ เจ้าของใบหน้ากลมก็หันมองซ้ายทีขวาที สัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากบริเวณใกล้ๆ ในขณะที่โทโดโรกิเพียงมองท่าทีร้อนรนของคนตัวเล็กด้วยความสงสัย

     

    เพราะโลกใบนี้มีอมนุษย์ใช้ชีวิตปะปนกับคนทั่วไปอยู่เต็มไปหมด จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น

     

            อาศัยจังหวะที่กำลังงุนงง คนตัวเล็กกว่าสวมกอดเจ้าของผมสองสีก่อนทิ้งน้ำหนักลงไป จนกายสูงโปร่งเซถลาล้มลงไปนั่งกับพื้น ทันเวลาก่อนที่ความร้อนบางอย่างจะวิ่งเฉียดต้นแขนของอิซุคุไป

     

    มองไม่ผิดไปแน่ เคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง

     

    ลูกไฟสีน้ำเงินของสุนัขจิ้งจอก

     

    ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ แถมเป้าหมายของสิ่งนั้นก็เป็นคนธรรมดาเสียด้วย

     

    เหเด็กหัวฟูนั่นใครกันโชโตะ ท่าทางบอบบางอ่อนแอเหลือเกิน” น้ำเสียงยียวนแว่วมาแต่ไกล จนกระทั่งร่างสูงโปร่งของผู้มาใหม่มาหยุดตรงหน้า อิซุคุรีบผละออกจากโทโดโรกิ ก่อนใบหน้าของคนยืนค้ำศีรษะจะทำให้ตกใจ

     

            ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปกปิดด้วยหน้ากากอนามัยสีดำ ใต้ดวงตาคู่คมสีน้ำทะเลคือขอบตาดำคล้ำเหมือนคนอดนอน และผมสีดำสนิทที่ดูไม่ได้สนใจจะจัดทรงเท่าไรนัก เจ้าตัวอยู่ในชุดลำลองสีครึ้ม แม้เห็นริมฝีปากไม่ชัดเจนแต่ก็พอเดาออกได้ว่ากำลังสแหยะยิ้มเพราะเจอของเล่นถูกใจ

     

            คนๆ นี้ไม่ใช่มนุษย์เจ้าของลูกไฟร้อนระอุลูกนั้น เป็นครั้งแรกที่ได้เจออมนุษย์ชนิดอื่นๆ นอกจากหมาป่าและแวมไพร์ มือเล็กสั่นระริก เพื่อนสมัยเด็กชอบด่าเขาว่าเหมือนกระต่ายตื่นตูมขี้กลัวตัวหนึ่ง ใบหน้าหวานสีซีด อิซุคุกลัวสิ่งที่ไม่เคยเจอ และกลัวยิ่งกว่าหากตัวตนของตัวเองจะถูกเปิดเผย

     

    “ผผมเป็นเพื่อนเขาต่างหาก” แม้น้ำเสียงจะสั่นเครือแต่ก็ดึงสีหน้าเข้าสู้ อีกฝ่ายเองก็หัวฟูไม่ได้ต่างไปจากเขาเท่าไรนักหรอก

     

    คนฟังมีจังหวะชะงัก ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น เขารู้จักกับโทโดโรกิแน่ล่ะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้จักกันแบบไหน

     

    จังหวะเดียวกันกับที่ร่างของคนที่เคยล้มลงไปนั่งกับพื้นแทรกตัวเข้ามาตรงกลาง คว้าแขนของคนแปลกหน้าได้ทันเวลาก่อนที่จะมาสัมผัสโดนตัวอิซุคุ

     

    “คิดจะทำอะไร ออกห่างจากเขาซะโทยะ” น้ำเสียงโทโดโรกิดูมีอำนาจราวกับกำลังกล่าวเตือน จนคนตัวสูงไล่เลี่ยกันยอมผละออกอย่างว่าง่าย เขายังไม่ระวางท่าทียียวน ไม่ได้เข้ามายุ่งด้วยแต่กลับเอ่ยปากว่าคราวหน้าจะมาทักทายอีก

     

    เรื่องราววุ่นวายของวันนี้จบลงเท่านั้น โดยที่อิซุคุยังไม่อาจเข้าใจจุดประสงค์ของชายคนนั้นได้

     

            วันถัดมากลับเกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับแวมไพร์ตัวน้อย ด้วยสายเลือดที่มีทำให้เขาไม่ใช่คนที่สร้างคอนเน็คชันกับใครก็ได้ กลุ่มเพื่อนที่พอจะไปไหนมาไหนด้วยกันได้จึงมีแค่อุรารากะและอุซุย บางครั้งพวกเธอก็มีธุระที่ทำให้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ได้

     

    ใครบางคนเดินเข้ามาขนาบข้างตั้งแต่เช้า แม้จะมองกลับไปด้วยสีหน้างุนงง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงทำตัวติดกันเป็นเงาตามตัว เวลาเปลี่ยนคลาสก็ไปด้วยกัน นั่งเรียนข้างกัน และไปกินข้าวด้วยกันโดยไม่ได้ส่งเสียงรบกวนใดๆ

     

    ความจริงแล้วโทโดโรกิ โชโตะแค่ไม่มีเพื่อนหรือไงนะแล้วผู้ชายคนนี้มองเขาเป็นเพื่อนไปแล้วด้วยหรือเปล่า

     

    แต่เล่นเดินตามทั้งวันเลยแบบนี้มันทำตัวด้วยลำบากนะ

     

    “ผมจะไปกดกาแฟซักหน่อย นายเอาด้วยไหม” ต่อให้เป็นแวมไพร์แต่คาเฟอีนก็สามารถเขาสู่สมองของเขาได้ เหลือคาบเรียนอีกหนึ่งที่หนังตาของอิซุคุจะต้องสู้รบด้วย คนผมสองสีที่ยืนข้างกันพยักหน้าตอบรับคำชวนอย่างว่าง่าย ส่วนอิซุคุทำได้เพียงย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเพราะกะแค่ชวนเป็นมารยาทเท่านั้น

     

    แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องยอมกดกาแฟออกมาจากตู้อัตโนมัติเผื่อเพื่อนร่วมสาขาด้วยอีกหนึ่ง

     

            จังหวะที่เขาหันหลังเดินออกมา สบเข้ากับอีกร่างที่เดินสวนเข้ามาจนตัวเกือบชนกัน อิซุคุสะดุ้งจนเกือบทำกาแฟกระฉอกจากแก้ว เบิกตากว้างมองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ

     

    คัตจัง

     

    สายตาของอีกฝ่ายที่มองลงมาจากส่วนสูงที่มากกว่า จับจ้องเข้ามาในดวงตาของเขาแค่ชั่วขณะก็เบี่ยงไปทางอื่น คิ้วหนาย่นเข้าหากันเพราะรู้สึกไม่พอใจ สีหน้าเดิมๆ ที่คนมองแสนจะคุ้นเคย

     

    หลบไปเจ้าโง่ เกะกะทางเดิน”    

     

            อาจเพราะมันดูเหมือนอิซุคุกำลังโดนหาเรื่องในสายตาคนนอก เจ้าของผมสองสีที่ยืนอยู่ไม่ห่างจึงเดินเข้ามาหาคนตัวเล็ก


    ก่อนสายตาของชายตัวสูงทั้งคู่จะต่างจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้

     

    คัตสึกิสลับมองใบหน้าร้อนรนของเพื่อนสมัยเด็กกับใบหน้าของคนไม่คุ้นเคยโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนเจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนจะเดินออกไปทั้งแบบนั้น ไม่เหลือจังหวะให้คนตัวเล็กกว่าได้รั้งเอาไว้

     

    “คัตจัง เดี๋ยวก่อนคัตจัง!

     

    เกือบลืมไปแล้วว่ามีเรื่องกับคัตจังที่ยังไม่ได้สะสาง

     

    เขาควรทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ดีนะ ฝ่ายนั้นก็กะจะโกรธเขาไปทั้งชาติเลยหรือไง

     

    นั่นใครหรอ”

     

    โทโดโรกิโพล่งถามออกมาทั้งใบหน้านิ่งสนิท เห็นใบหน้าของเพื่อนจำนวนหนึ่งวันระห้อยเหมือนลูกหมาโดนทิ้งก็ทำให้พอรู้ว่าคนทั้งคู่ต้องรู้จักกันมาก่อน

     

    อิซุคุถอนหายใจ หลายวันแล้วสินะที่หมาป่าหนุ่มคนนั้นไม่ยอมคุยกับเขาเลย

     

    “เพื่อนสมัยเด็กผมเอง…. ผมทำให้เขาโกรธเองแหละ”

     

     

     

     

     

     

    ต่อให้จะดุแค่ไหน แต่หมาป่าก็ยังเป็นหมาไม่เปลี่ยนแปลง

     

            คัตสึกิเติบโตมาในครอบครัวที่มีแม่โผงผางและอารมณ์ร้อน ส่วนพ่อของเขาก็เย็นเป็นสายน้ำ แต่เจ้าตัวดันซึมซับนิสัยของแม่มาแบบไม่เหลือพื้นที่ให้ความใจเย็น เหมือนกระทั่งหน้าตาและทรงผม ราวกับจับแม่ตัวเองมาแต่งตัวเป็นผู้ชาย

     

            ตระกูลบาคุโกเป็นหมาป่าที่มีประวัติยาวนาน ที่จริงแล้วหมาป่ามีหลายตระกูลปะปนอยู่กับมนุษย์ทั่วไป บ้างก็แต่งงานกับมนุษย์และมีมนุษย์หมาป่าปรากฏให้เห็นบ้าง แต่บ้านของเขาเป็นสายเลือดแท้ที่หาได้ยากแล้วในปัจจุบัน

     

            นอกจากเป็นหมาป่าสายเลือดแท้แล้ว ตระกูลของเขายังอยู่เคียงคู่กับแวมไพร์สายเลือดแท้มาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่โบราณที่ต้นตระกูลของคนทั้งคู่ไปสัญญาว่าจะปกป้อง เกื้อกูลกันและกัน ความจริงก็คือ ตระกูลบาคุโกสัญญาว่าจะปกป้องมิโดริยะด้วยชีวิตต่างหาก

     

    ทำไมต้องทำเรื่องแบบนั้นด้วย!

     

    ตอนเด็กที่ถามแม่แบบนั้นออกไป ก็โดนฝ่ามือพิฆาตสับลงกลางหัวเต็มๆ เพราะตรงหน้าคือครอบครัวมิโดริยะที่เขาเพิ่งเคยเจอครั้งแรกในวัยห้าขวบ

     

    ก็เพราะเขาสงสัยจริงๆ นี่นา ว่าทำไมจะต้องทำเพื่อคนอื่นขนาดนั้น


    แวมไพร์อะไรนั่นก็อมนุษย์และมีพลังของตัวเองไม่ใช่หรือไงกัน ทำไมปกป้องตัวเองไม่ได้

     

            จนกระทั่งร่างกายเล็กๆ ของเด็กวัยไล่เลี่ยกันเดินเตาะแตะออกมาเกาะแขนแม่ตัวเองปรากฏตัว เด็กน้อยผอมแห้งท่าทางขี้กลัวที่มีใบหน้าตกกระคนนั้น

     

    เข้าใจตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าทำไมถึงต้องปกป้อง

     

            แม่ของเขาเอ็นดูเด็กผมเขียวคนนั้นเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงขนฟูน่ารักตัวหนึ่ง เธอเข้าไปหยิกแก้มยุ้ยๆ ของเขาด้วยความเอ็นดูนิดเดียวน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาคู่โตเป็นทาง พร้อมริมฝีปากบางที่สั่นระริก

     

    คัตจังนั่นคือชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยเรียก แค่อิซุคุคนเดียวที่เขาอนุญาตให้เอ่ยชื่อนั้นได้

     

    เพราะอ่อนแอจนน่าหงุดหงิด เด็กคนนั้นก็เลยเป็นได้แค่ เดกุสำหรับเขา

     

    ชีวิตวัยเด็กของเดกุมีแต่เขา ชีวิตเขาก็มีแต่เดกุเหมือนกัน

     

    แม้จะแสดงท่าทางเหมือนรำคาญหรือหงุดหงิดไป แต่ความจริงแล้วเขาไม่รู้จักชีวิตที่ไม่มีคนๆ นี้อยู่เลยซักนิด คัตสึกิรู้ว่าซักวันเดกุจะถึงวัยฮีทสำหรับแวมไพร์ซักวัน วันที่เลือดสัตว์จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของเขาอีกต่อไป

     

    ใครมันจะไปคิดว่าวัยนั้นจะมาถึงตอนที่เลยอายุเฉลี่ยไปแล้วตั้งสองปี

     

    คัตสึกิไม่ได้โกรธอิซุคุ เขาเพียงแค่เข้าหน้าด้วยไม่ถูกก็เท่านั้น

     

    อิซุคุไม่มีทางรู้เลยว่าหลังจากฝังเขี้ยวมาที่ต้นคอของเขาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เจ็บคือความรู้สึกแรกตอนฟันเขี้ยวของอีกฝ่ายฝังทะลุลงมา ก่อนความร้อนผะผ่าวจะเข้าปกคลุมทั่วร่าง ลมหายใจของอีกฝ่ายที่เป่ารดต้นคอเคล้ากับลมหายใจของเขาที่เร่งจังหวะตามอัตราการเต้นของหัวใจ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนราวกับถูกคนตัวเล็กกว่าดูดสติสัมปชัญญะไปทั้งหมด

     

    ความรู้สึกแปลกใหม่เข้าแทนที่สติที่เรือนราง แรงดึงดูดบางอย่างกำลังเชื้อเชิญให้เขาสัมผัสร่างที่ผอมบางตรงหน้า อยากจะถลำลึกลงไปให้มากกว่านี้ อยากจะครอบครองทั้งร่างกายให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

     

    แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ยังไม่ขาดลงเป็นตัวดึงให้กลับสู่โลกความจริงเสียก่อน

     

            สมองประมวลผลได้ว่าเดกุยืนกัดคอเขาอยู่หน้าบ้าน บนถนนสาธารณะ มือหนาสองข้างที่คว้าเข้าที่ไหล่เล็กเข้าแล้ว ออกแรงส่งอีกฝ่ายให้ห่างออกไปจนล้มลงที่พื้นแทนอย่างไม่เป็นท่า

     

            หมาป่าหนุ่มรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้าและลำตัว เขาสะบัดศีรษะเรียกสติตัวเองกลับมาแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ รู้ตัวแค่ว่าต้องพาร่างออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ฝีปากที่ไปไวกว่าความคิดก็เอ็ดเสียงดังใส่คนตัวเล็กไปแล้ว

     

    ดูใบหน้าเซ่อซ่านั่นที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไปกำลังน้ำตาคลอแล้วยิ่งหงุดหงิด

     

    อิซุคุไม่มีทางรู้เลยว่านั่นคือ พลังที่ซ่อนอยู่ของแวมไพร์สายเลือดแท้ เพราะแม่ของเขาไม่มีทางเล่าให้ฟังแน่ๆ

     

     

     

     

     

     

    พอคิดว่า ณ ตอนนั้นตัวเองคิดจะทำอะไรเพื่อนสมัยเด็ก คัตสึกิก็อยากจะว้ากออกมาดังๆ ทุกรอบ

     

    เห็นใบหน้าโง่ๆ ของเดกุทีไร ฉากกัดคอวันนั้นก็วนเข้าหัวทุกรอบจนต้องหลบหน้าคนตัวเล็กไปก่อน แต่พอผ่านไปหลายๆ วันเข้าก็เริ่มรู้สึกไม่เคยชินกับการมาเรียนและกลับบ้านคนเดียวโดยไม่มีคนเดินตาม

     

    คัตสึกิเพียงเกาศีรษะที่ยุ่งเหยิงของตัวเองด้วยความหงุดหงิด เพราะว่าเคยมีอยู่ พอหายไปก็เลยไม่ชินเท่านั้นแหละ

     

            เพราะแบบนั้นเขาถึงได้เดินกลับไปตามแวมไพร์หน้าซีดนั่นถึงอาคารเรียนไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง เพียงแต่ทุกครั้งจังหวะมันดันคลาดกันราวกับมีคนตั้งใจ มาทีไรก็เจอแต่ผู้หญิงใส่ชุดสีชมพูทั้งตัวที่ทำหน้าบึ้งทุกรอบที่เจอกัน กับคนตัวเล็กผมยาวๆ อีกคนที่เขาไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดนัก

     

    ได้ยินจากผู้หญิงคนนี้ว่าเดกุถูกคนท่าทางแปลกๆ มาหาเรื่องแล้วก็หงุดหงิด เจ้าโง่ท่าทางไม่สู้คนแบบนั้นตกเป็นเป้าหมายชั้นดีของพวกนักเลงไถตังมาตั้งแต่เด็ก ลำพังแค่โลหิตจางก็อ่อนแออยู่แล้ว จะไปมีแรงสู้ใครได้อีก

     

    และยิ่งประหลาดใจเมื่อรู้ว่าคนที่ช่วยเขาจากเหตุการณ์นั้นคือเพื่อนร่วมสาขาหน้าตาดี ดีกรีตัวท็อปคณะ ประโยคหลังเขาก็ไม่เข้าใจนักว่าจะใส่มาทำไมให้ดูน่าหมั่นไส้กว่าเดิม

     

    “นายไม่รู้หรือไงว่าเดกุคุงเขาเป็นห่วงน่ะ เมินเขาลงได้ไงน่าสงสารจะตาย”

     

    พอวันนี้เดินมาเจอหน้ากัน เจ้าของกระโปรงทวิตสีชมพูก็ทำหน้าบึ้งใส่ ทั้งยังเปิดประเด็นทะเลาะ เธอเป็นใครถึงมาโมโหใส่เขา แม่อีกคนของอิซุคุหรือไง

     

    “หา อย่างเธอจะมารู้อะไรถึงมาพูดแบบนี้กับฉัน!” ไอ้นิสัยให้อารมณ์นำความคิดมันก็ทำงานเร็วเสียด้วยสิ

     

    “วันก่อนพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก ร่มในล็อกเกอร์นายก็ของเขาไม่รู้หรือไง”

     

    ร่มสีเหลืองคุ้นตาที่เขาเจอในล็อกเกอร์ตอนก่อนกลับบ้าน ร่มสีนี้มีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่ใช้มัน

     

    “ก็เออ รู้อยู่แล้ว” เขาลืมคิดไปเสียด้วยซ้ำว่าวันนั้นเดกุกลับบ้านไปอย่างไร เพราะฝนดันตกจริงๆ อย่างที่คาดการณ์ไว้

     

    เขาหงุดหงิดทุกครั้งเวลาฝนตก เพราะมันทำให้พลังหมาป่าไม่เสถียร หลายครั้งที่ลืมถือร่มมา และเป็นเดกุทุกครั้งที่สละร่มให้ ส่วนตัวเองก็ใส่ชุดกันฝนที่แม่เตรียมใส่กระเป๋ามาให้ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเด็กจนเป็นความเคยชินไปแล้ว

     

    แต่เพราะเห็นท่าทางไม่เดือดร้อนอะไรของคัตสึกิ ยิ่งเป็นการจุดชนวนความโมโหของอุรารากะจนทึ้งหัวตัวเองพร้อมเอ่ยเสียงดังออกมาว่า โอ๊ย นายนี่มัน!อุซุยที่ยืนข้างกันเอ่ยปรามเบาๆ เพราะอดตกใจไม่ได้

     

    “ฉันรู้มาว่าพวกนายเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันเพราะเดกุคุงเล่าให้ฟังหรอกนะ”

     

    “ไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นตัวเชื่อมให้พวกนายสองคนยังอยู่ด้วยกันถึงทุกวันนี้”

     

    …..

     

    “แต่ถ้าวันนึง สิ่งนั้นไม่จำเป็นอีกแล้ว นายจะทำยังไงบาคุโกคุง” คัตสึกิย่นคิ้ว พอเข้าใจสถานการณ์ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะชวนทะเลาะ

     

    สิ่งนั้นที่ว่าก็คือความลับที่ทั้งสองฝ่ายต่างช่วยกันเก็บตัวตนกันเอาไว้ เขาไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าเดกุจะกล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกกับใครได้อย่างไร ลำพังแค่ใช้ชีวิตให้ผ่านวันๆ หนึ่งไปได้ก็ลำบากหมอนั่นจะแย่อยู่แล้ว

     

    ถ้าเกิดหน้ามืดไปกัดคอคนอื่น โดยเฉพาะเพื่อนร่วมสาขาคนนั้นเข้าจะทำอย่างไร

     

    “เห้ย ยัยหัวกลม เดกุอยู่ที่ไหน”

     

     

     

     

     

     

            ได้ความว่าตัวติดกันกับผู้ชายคนหนึ่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว คัตสึกิไม่ได้สนใจนักหากอิซุคุจะมีเพื่อน เพราะเขาเองก็มีเพื่อนร่วมสาขาที่สนิทกันอยู่ไม่ต่างกัน หากแต่ไม่ใช่นิสัยของหมอนั่นที่จะไปผูกมิตรกับใครง่ายๆ ถ้าไม่จำเป็น เขาไม่ใช่คนที่จะเริ่มทักทายคนอื่นก่อนด้วยซ้ำ

     

            ปลายทางคือตู้กดน้ำอัตโนมัติที่อยู่ใต้อาคารเรียน มองเห็นเจ้าของผมฟูสีเขียวเข้มแต่ไกล คิ้วทั้งสองข้างมันก็พาลกระตุกและทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะอะไรเขาถึงไม่เจอหน้าหมอนี่มาตั้งหลายวันแล้ว

     

            ปลายเท้าทั้งคู่จ้ำอ้าวเข้าไปหาร่างที่เล็กกว่าที่กำลังเอานิ้วจิ้มตู้กดน้ำอย่างตั้งใจ กะว่าหากอีกฝ่ายหันใบหน้าซีดกลับมาเมื่อไรจะโมโหใส่ตามปกติ แต่ชั่วขณะที่ร่างนั้นหันกลับมาเห็นก็ทำให้คนมองต้องชะงักไปแทน

     

    “…คัตจัง

     

    ทั้งที่เสียงนั้นก็เป็นเสียงของเจ้าตัว ทั้งที่ดวงตากลมโตสีเขียวคู่นั้นเขาก็เห็นมันมาตั้งแต่เด็ก

     

    “หลบไปเจ้าโง่ เกะกะทางเดิน”

     

    เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอิซุคุนานไปกว่านี้ ราวกับต้องมนตร์สะกดให้ไม่อาจละความสนใจออกไปได้ เคยได้ยินว่าพลังแวมไพร์แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ไม่คิดว่ามันจะมากขนาดควบคุมอมนุษย์ด้วยกันได้


            สายตาเลื่อนไปเห็นกาแฟสองแก้วในมือเล็ก ก่อนร่างสูงโปร่งของใครอีกคนจะแทรกเข้ามาเพิ่มในบทสนทนา ใบหน้าและบุคลิกที่เห็นครั้งแรกก็รับรู้ได้ในทันทีว่าใครคือเพื่อนร่วมสาขาหน้าตาดี ดีกรีตัวท็อปคณะ

     

    ความรู้สึกที่แล่นเข้ามาทำให้เขารู้สึกอัดอัดไปทั่วทั้งอก อิซุคุที่ต้องรักษาความลับแวมไพร์ของตัวเองทำไมถึงมาสนิทกับหมอนี่จนถึงขั้นออกตัวปกป้องกันได้ คัตสึกิไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าเดินออกไปทั้งแบบนั้น

     

     

    คนที่รับหน้าที่ปกป้องมิโดริยะตามคำสัญญาระหว่างตระกูลคือเขาต่างหาก










              

    กลับมาอัพต่อแล้วค่าา หลังจากหายไปพักใหญ่เลย
    พอดีไรเตอร์ติดภาระงานเยอะพอสมควร เลยไม่ได้แวะเข้ามาเลย
    บวกกับเรื่องนี้แต่งสด (ซึ่งปกติจะทำทรีทเม้นต์ไว้ทุกเรื่อง) ก็เลยจะนานนิดนึงนะคะ
    ตอนนี้เริ่มตบๆ ให้เข้าพล็อตได้แล้ว ยังไงจะรีบมาอัพพาร์ทหน้าค่า

    ว่าแต่ว่าตอนนี้แต่งสนุกแต่งเพลินจริงๆ ค่ะ
    ยิ่งพาร์ทคัตจังคือลื่นไหลมาก พ่อหนุ่มซึนเดเระของฉัน


    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ :)



     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×