คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : ▼ [Daiya no ace] Don't make him mad (Miyuki x Sawamura) - Part 3 [END]
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
ซาวามูระพาคนตัวสูงกว่ายัดเข้าแท็กซี่ จำใจพากลับมาอพาร์ทเม้นท์ของตัวเองอย่างหมดทางเลือก
ด้วยฐานะนักกีฬาทีมชาติ เขามีสวัสดิการสนับสนุนมากพอที่จะเช่าอพาร์ทเม้นท์เองได้ และมันก็อยู่ในตัวเมืองใกล้กับมหาวิทยาลัย การเดินทางทุกอย่างสะดวกไปหมด
พวกเขานั่งเบาะหลังของรถ หัวของคนใส่แว่นโงนเงนไปมา จนกระทั่งใบหน้าคมคว่ำไปด้านหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว คนอายุน้อยกว่ารีบที่เอาฝ่ามือไปรองรับได้ทันเวลาเผลอถอนหายใจเบาๆ แต่เจ้าของใบหน้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะลืมตาตื่น
มิยูกิไม่เดินเองเลย เอาแต่ทิ้งน้ำหนักในเขาแบกมาจนถึงตอนนี้ ถ้าการถอนหายใจเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง ป่านนี้เขาคงพ่วงอาชีพนักกีฬาทีมชาติเข้าไปเพิ่ม
ในที่สุดก็พาตัวเองมาถึงห้องอย่างปลอดภัย ซาวามูระสามารถใช้คำว่าโยนคนตัวสูงกว่าลงบนโซฟาของห้องอย่างไม่เกรงใจ ได้ยินเสียงโป๊กและเสียงโอดครวญของเจ้าของร่างตอบกลับมา แต่หมอนั่นก็ยังไม่เปิดเปลือกตาอยู่ดี
ดวงตาคู่โตของคนน้องมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เป็นมิตรนัก แต่ก่อนเขาเคยชอบคนๆ นี้ไปได้อย่างไรนะ นิสัยก็ไม่ดี ชอบพูดจากวนส้นเท้า จะมีดีก็แค่หน้าตากับความเก่งนี่แหละมั้ง ….แค่นั้นเองนี่
“แว่นจะหักแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” สายตาเจ้ากรรมก็ดันไปสังเกตเห็นขาแว่นที่เอียงกะเท่เร่เข้าเสียก่อน
ก็ไม่ได้สนใจขนาดนั้น… แต่อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปคีบเอากรอบพลาสติกอันนั้นออกด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งเหมือนรังเกียจนักหนา
“นายจะกลับมาทำไมเนี่ย”
ซาวามูระขมวดคิ้ว ก็กะว่าจะปล่อยเจ้าคนนิสัยไม่ดีตอนอยู่ตรงนี้นี่แหละ ขาเรียวเตรียมสาวเท้าออกไป วันนี้เขาก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วเหมือนกัน
“โอ๊ะ―” แต่แล้วข้อมือข้างหนึ่งกลับถูกคนที่เคยหลับไม่ได้สติคว้าเอาไว้ พร้อมทั้งร่างที่ถูกแรงแขนที่มากกว่ากระชากเข้าไปจนจมูกฝังเข้ากับแผ่นอกของอีกฝ่าย เจ้าของห้องรีบดันร่างตัวเองออก เอามือดันคางของอีกฝ่ายจนแหงนก็แล้ว แต่ก็ยังสู้แรงที่มากกว่าไม่ได้
“ทำอะไรเนี่ยเจ้าบ้ามิยูกิ―!”
“ฉันกลับมาเพราะนายนั่นแหละ” ซาวามูระชะงักกึก ช่วงเอวของเขาถูกโอบรัดไปด้วยแขนแกร่งของอีกฝ่าย ใบหน้ากลมมนเงยขึ้นมามองเจ้าของเสียงนุ่มที่จู่ๆ ก็พูดอะไรประหลาดๆ ขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
“ทำไมถึงเอานายออกจากหัวไม่ได้เลยนะ”
“พ… พูดอะไรของนาย!” หมอนี่ยังตาเยิ้มอยู่เลย จะเมาก็ช่วยพูดอะไรปกติที่ไม่ใช่การแกล้งไม่ได้หรือไง
“ปล่อยฉันนะ!”
ยิ่งดิ้น สภาพก็ยิ่งเหมือนปลาที่กระโดดแด่วๆ อยู่บนบกเพราะขาดน้ำ มิยูกิเปลี่ยนเป้าหมายจากลำตัวมาล็อคใบหน้าของรุ่นน้องในตรงกับสายตาตัวเอง ใบหน้าคมคายที่ไม่มีกรอบแว่นบดบัง ทำให้มองเห็นดวงตาสีเหลืองทองที่จ้องลึกเข้ามาในตาของเขาได้ชัดเจนกว่าทุกที
หมอนี่กำลังทำอะไร… เขาเมาจริงๆ หรือแค่แกล้งทำกันแน่
การเจอกันในรอบสามปีกับผู้ชายคนนี้ ซาวามูระไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังแสดงบุคลิกด้านไหนออกมา แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่ชอบสายตาคู่นี้เลย มันทำให้หายใจไม่ออกตอนอีกฝ่ายยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ทำอะไรของนาย หยุดเลยนะ”
เสียงที่เคยตะโกนโวยวายแผ่วลงอย่างไม่มีสาเหตุ เสียงหัวใจกำลังดังสนั่นตอนที่ระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ลดลง จนกระทั่งริมฝีปากสัมผัสโดนกัน ดวงตาโตเบิกกว้าง มิยูกิผละใบหน้าออกอย่างเชื่องช้าพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“กลิ่นสตอว์เบอรี่ยังติดอยู่เลย”
“หา―” ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า คนตัวสูงอาศัยจังหวะที่คนน้องตั้งสติไม่ทันประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง อะไรบางอย่างแทรกเข้ามาในโพรงปากของซาวามูระ กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งกับรสชาติขมปร่าของบุหรี่ทำให้เขารู้สึกมึนหัว ลมหายใจถูกขโมยไปเฮือกใหญ่จนเรี่ยวแรงพาลหายไปด้วย
นานเท่าไรไม่รู้… แต่กว่าจะผละออกมาอีกครั้งก็ทำได้แค่ซุกหน้าลงกับอกเสื้อของอีกฝ่ายอย่างยอมแพ้
“ฉันชอบนายนะ… ซาวามูระ”
ราวกับประโยคนั้นฉุดให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง ซาวามูระตัวแข็งทื่อ เขาเงียบไปพักใหญ่จนกระทั่งคิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากัน ดวงตาโตทั้งคู่เปลี่ยนไปเหมือนตาของแมวอีกครั้ง
เพียะ!
รู้ตัวอีกทีก็ใช้แรงทั้งหมดดันคนตัวใหญ่กว่าออก แล้วลงน้ำหนักฝ่ามือไปที่ใบหน้าหล่อเหลาเสียแล้ว
“แต่ฉันไม่ชอบนาย!”
ซาวามูระแสดงสีหน้าไม่ถูก ทำได้เพียงวิ่งแจ้นออกไปโดยไม่หันกลับมามองคู่กรณีอีก มีเพียงเสียงปิดประตูปึงปังใส่คนนิสัยไม่ดีดังไล่หลังกลับมาเท่านั้น
เช้าวันต่อมาเริ่มต้นขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน เจ้าของห้องปลุกคนเคยเมาโดยการปาหมอนใส่ใบหน้าคมคายนั้นอย่างไม่ออมแรง เจ้าตัวตื่นขึ้นมาหน้ามุ่ยพร้อมควานหาแว่นตาด้วยความสะลึมสะลือ มึนงงว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ซ้ำยังเป็นอพาร์ทเม้นท์ของซาวามูระเสียด้วย
จำอะไรไม่ได้เลยสินะ… ว่าแล้วว่าเจ้าหมอนี่แค่เมาเท่านั้น
เขาไม่มีทางบอกความจริงไปหรอกว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ซาวามูระมองคนใส่แว่นด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขาโวยวายให้อีกฝ่ายรีบกลับไปเสียที เพราะวันนี้มีธุระที่ต้องเข้าไปทำที่มหาวิทยาลัย นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ได้ร่วมดื่มในงานเลี้ยงเมื่อวานมากเท่าไรนัก
“ฉันลาพักร้อนยาว ไม่มีที่ไปแล้วอะ เพราะงั้นขอไปกับนายด้วยแล้วกัน”
“หา… ไม่ต้องตามมาเลยนะ” หาความเป็นเหตุเป็นผลจากผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยซักอย่าง โปรมืออาชีพอย่างหมอนี่จะมาวุ่นวายกับเขาทำไมนักหนา ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเสียหน่อย
“ฉันจะเข้าไปส่งงาน นายจะตามมาทำไมเนี่ย”
จนแล้วจนรอด มิยูกิก็เดินกวนประสาทมาตลอดทางจนถึงมหาวิทยาลัย ซาวามูระนำรูปเล่มรายงานไปวางไว้ในห้องพักอาจารย์ ทิ้งให้รุ่นพี่ยืนรออยู่ข้างนอก คุยธุระกับอาจารย์อยู่พักใหญ่ๆ เขากำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนๆ นี้เลิกตามติดเสียที ไม่มีที่อื่นให้ไปแล้วหรือไงนะ
“รุ่นพี่ซาวามูระ”
และเสียงเรียกแต่ไกลก็ทำให้ปลายเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปชะงัก พิชเชอร์หนุ่มหันกลับไปตามต้นเสียง เขาทำหน้าประหลาดใจ
“เจ้าหนูโอคุมูระ มาส่งงานเหมือนกันหรอ”
ร่างสูงโปร่งเจ้าของผมสีทองซีด สวมฮู้ดแขนยาวตัวโคร่งกับกางเกงยีน เดินจากอีกฟากของโถงมาหยุดลงตรงหน้า เขาดูดีราวกับหลุดออกมาจากนิตยาสารแฟชั่น ส่วนสูงที่เคยไล่เลี่ยตอนนี้ก็มากกว่าคนเป็นพี่เสียแล้ว ติดก็ตรงใบหน้าคมที่ดูจะอ่อนล้าพอสมควร
โอคุมูระส่งเสียงงึมงำในลำคอพลางพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ
“ส่งงานเสร็จแล้วรุ่นพี่ไปไหนไหมครับ ไปกินข้าวกันมั้ย”
แม้จะประหลาดใจกับคำชักชวนของอีกฝ่าย แต่ซาวามูระก็ยังไม่ได้มีแผนของวันนี้อยู่ในหัว
“อ๋อ…ก็ได้นะ จะมาชวนฉันซ้อมหรือไง” คนผมทองส่ายหัวครืดเป็นคำตอบ
“วันนี้ผมขอพัก ยังไม่หายพะอืดพะอมเลย” รุ่นน้องหน้าซีด เจ้าเด็กนี่โดนมอมไปเมื่อวานเสียยกใหญ่ แค่ลากสังขารตัวเองมาถึงนี่ได้ก็มหัศจรรย์แล้ว ต่อให้การฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอจะจำเป็นก็เถอะ…
“เสียใจด้วยนะโอคุมูระคุง หมอนั่นดันนัดกับฉันไว้ก่อน”
เสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นของใครคนหนึ่งดังขึ้นแทรกท่ามกลางบทสนทนา เจ้าตัวเองก็สวมเสื้อโค้ทตัวยาวทับเสื้อคอเต่าที่อยู่ด้านใน ซาวามูระหน้าเหวอไปไม่น้อยเมื่อรู้ตัวว่ารุ่นพี่คนนี้ยังไม่ยอมกลับไป
หมอนี่ก็เหมือนหลุดออกมาจากนิตยาสารอีกคน เจ้าพวกนี้มันโตมาแบบไหนกันแน่
“ฉันไปนัดกับนายไว้ตอนไหนห้ะ!”
“รุ่นพี่มิยูกิหรอครับ …กลับมาญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไร”
ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าของรุ่นน้องหมาป่าเดียวดายนิ่งสนิทเสียจนไม่รู้ว่าเจ้าตัวแปลกใจจริงหรือเปล่า
“เฮ้ๆ ฉันก็อยู่ในงานเลี้ยงกับนายเมื่อวานนะ” มิยูกิที่เพิ่งเดินมาถึงระบายยิ้มแห้ง เขาเปลี่ยนเป้าหมายไปยกแขนพาดบ่าคนเสียงดังแทน
“ว่าแต่นายตามเจ้าบ้านี่มาเรียนที่นี่งั้นหรอ”
พิชเชอร์หนุ่มยกมือมาดันใบหน้าหล่อให้ออกห่าง แต่อีกฝ่ายก็ฝืนแรงต้านไว้ ดวงตาสีเหลืองทองใต้กรอบแว่นกำลังมองเข้าไปในดวงตาสีเทาของโอคุมูระ
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ซาวามูระรู้สึกได้ว่าบรรยากาศของคนทั้งคู่น่าขนลุกแปลกๆ…
ทำไมต้องจ้องหน้าเหมือนอยากกินหัวกันมากขนาดนั้น
“ครับ ผมตั้งใจตามเขามา”
เจ้าของประเด็นสนทนาทำหน้างุนงง ถึงจะบอกว่าตามมาก็เถอะ แต่เจ้าหนูหมาป่านี่ไม่เห็นเคยเล่าให้เขาฟัง เลยทำให้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ฝ่ายมิยูกิเองก็ระบายยิ้มการค้าที่เขาไม่สามารถเดาออกได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร
“ไอ่ฉันก็มาก่อนเพราะอยู่กับหมอนี่มาทั้งคืนซะด้วยสิ…” ว่าเท่านั้นไม่พอ ยังดึงร่างคนข้างตัวเข้ามาหาตัวเองด้วย
“เพราะงั้นขอตัวรุ่นพี่นายไปก่อนแล้วกันนะ”
ซาวามูระมีสีหน้าเหรอหรา รู้สึกว่ารูปประโยคที่มิยูกิพูดมันประหลาดพิกลแต่ก็ยังไม่เข้าใจ เขามองหน้าคนสวมแว่นกับรุ่นน้องสลับกันอย่างทำอะไรไม่ถูก แรงดึงจากคนตัวสูงกว่าก็กระชากให้เดินตามไปด้วยแล้ว จนไม่มีจังหวะให้ออกแรงต้านไว้
“เฮ้ ใครบอกว่าจะไปกับนาย! …แล้วก็เจ้าหนูโอคุมูระ ไว้เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้แทนก็แล้วกันนะ”
ไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์แบบนี้คืออะไร แต่เจ้าแว่นนี่ทำตัวเสียมารยาทเสียจนสงสารรุ่นน้องที่อุตส่าห์เข้ามาทักทายอย่างเห็นได้ชัด
เป็นเรื่องปกติที่เขาและโอคุมูระจะเจอกันแทบทุกวันเพราะเหตุผลเรื่องการเป็นแบตเตอรี่ ตัดสินใจกล่าวปิดบทสนทนาไปดีกว่าให้เรื่องมันผ่านไปโดยที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง
แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความตกใจให้ซาวามูระ คือแรงบีบที่ข้อมือจากแคชเชอร์มือโปรหลังจากเขาพูดประโยคนั้นจบลง มันไม่ใช่แรงบีบธรรมดาแต่ทำให้เจ้าของดวงตาคู่โตต้องย่นคิ้วเพราะรู้สึกเจ็บ
“เจ็บนะ แล้วนายจะมาบีบแขนฉันทำไมเนี่ย” พยายามสลัดแขนให้หลุดจากเกาะกุมแต่ก็ไม่เป็นผล…
มิยูกิครองข้อมือของเขาไว้แบบนั้น เลือกที่จะจูงและเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนทัศนียภาพรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป ซ้ำยังเอาแต่เงียบไม่พูดอะไรซักอย่าง
บรรยากาศแบบนี้ที่ซาวามูระไม่ได้สัมผัสมานาน ความรู้สึกที่ว่าไม่ควรพูดอะไรมากไปกว่านี้ให้อีกฝ่ายโมโหกว่าเดิม
บุคลิกที่สองของมิยูกิ…
เขาปล่อยให้คนข้างหน้าเดินนำไปเรื่อยๆ จนคนตัวสูงกว่าเริ่มใจเย็นลง ขายาวทั้งสองข้างเดินมาหยุดหน้าคูที่มีทางน้ำทอดยาวไปเกือบสุดสายตา ลมเย็นๆ ของฤดูใบไม้ผลิพัดให้หญ้าเตี้ยๆ ที่ขึ้นตามทางพลิ้วไหวอย่างแผ่วเบา
คนเป็นพี่หันกลับมาประจันหน้า ใช้ดวงตาคมใต้กรอบแว่นจ้องเข้ามาก่อนถอนหายใจเหมือนยอมแพ้ทุกทางแล้ว
“เพราะแบบนี้คุราโมจิถึงบอกว่านายมันซื่อบื้อ ถ้าไม่พูดตรงๆ คงไม่มีวันรู้เรื่อง”
“หา…?”
รูปประโยคมันแปลกพิลึก… ซาวามูระขมวดคิ้วยุ่ง รู้สึกเหมือนกำลังโดนหลอกด่า
“ฉันอยากฟอร์มแบตเตอรี่กับนาย ยังอยากทำแบบนั้นอยู่ไหม”
ประโยคที่ไม่คาดคิดดังมาจากริมฝีปากของอีกฝ่าย แม้ซาวามูระจะเคยได้ยินมันแล้วครั้งหนึ่งจากปากของคุราโมจิ แต่นั่นก็ทำให้เขาเงียบนิ่งไปได้ทุกครั้ง
เพราะการฟอร์มแบตเตอรี่กับมิยูกิเป็นความฝันของเขาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนที่เซย์โดว…
มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งปีของเขากับหมอนี่เท่านั้น ที่ได้ทำแบบนั้นก็เพราะหน้าที่ของเอซและแคชเชอร์หลักของทีม ซาวามูระแกะมือที่เคยกำข้อมือของเขาออกด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“นายไม่คิดว่ามันช้าไปหน่อยหรือไง”
ช้าไปสำหรับทุกอย่าง… ปล่อยให้เวลาผ่านไปนานตั้งสามปีแล้วเพิ่งมาคิดได้หรือไง
“ก็ยอมรับว่าฉันเองก็รู้ตัวช้าไปหลายปีเลยน่ะนะ” มิยูกิหัวเราะพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหลังคอ เสียงหัวเราะกวนบาทาที่ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งมันก็น่าหมั่นไส้ทุกที
อยู่ๆ เสียงหัวเราะนั้นก็เงียบลง และแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งสงบ บุคลิกที่เปลี่ยนกลับไปกลับมาทำให้คู่สนทนาสับสน ยิ่งดวงตาคู่นั้นจ้องเข้ามา ยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“ถ้าฉันบอกว่าเมื่อวานฉันไม่ได้เมา แต่แค่แกล้งนายเฉยๆ ล่ะ”
คนตัวเล็กกว่าแสดงสีหน้างุนงง เขากำลังค่อยๆ ประมวลผล ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีละอย่างสองอย่าง
พอรู้ตัว ความร้อนก็ตีขึ้นมาบนใบหน้าจนฉาบไปด้วยสีแดงกล่ำ
“แต่ฉันเกลียดนาย ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!” ปลายเท้ามันก็พาทั้งร่างกระเด้งออกจากคนตัวสูงโดยอัตโนมัติ ซาวามูระชี้หน้าคนเป็นรุ่นพี่ทั้งสีหน้ายุ่งเหยิง แม้เจ้าตัวจะดูโกรธแต่พวงแก้มยังคงแดงระเรื่อไม่เปลี่ยนแปลง
จะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เจ้าสี่ตานี่มันตั้งใจอย่างนั้นหรือ!
“นายไม่ได้เกลียดฉันหรอกซาวามูระ” มิยูกิหัวเราะด้วยเสียงประหลาดๆ แบบที่เขาชอบทำ
“แต่นายยังชอบฉันอยู่ใช่ไหม”
“อย่ามาเออออเองสิ!” ซาวามูระไม่รู้หรอกว่าเขากำลังหงุดหงิดหรือเปล่า แต่รอยยิ้มของหมอนี่มันชวนอยากให้พุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อซักรอบ
“แต่ฉันชอบนายจริงๆ นะ เรื่องนี้ไม่ได้แกล้ง” มิยูกิระบายยิ้ม รอยยิ้มไม่เหมือนทุกครั้งที่เจ้าตัวมักจะทำเมื่อสนุกกับการแกล้งเขา แต่มันดูทั้งจริงจังและจริงใจ
ซาวามูระยืนมองภาพนั้น เขาไม่ได้หลบสายตาออกไปไหน คิ้วเรียวของเจ้าตัวคลายออก เม้มริมฝีปากเข้าหากันเพราะความคิดที่ตีกันอยู่ในหัว
อยากจะมาก็มา… ตอนจะหายไปก็หายไปเงียบๆ ตั้งหลายปี
อยู่ๆ ก็มาพูดจาแบบนี้ทั้งที่เรื่องราวมันก็ผ่านมานานแล้ว…
“ขอโทษนะ… ฉันไม่อยากเป็นแบตเตอรี่กับนายแล้ว” น้ำเสียงของคนตัวเล็กแผ่วเบา เขาไม่ได้ตะโกนโวยวายเหมือนปกติ
“วันนี้ไม่มีธุระกับนายแล้ว แยกย้ายกันแค่นี้แล้วกัน”
ซาวามูระรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง… เขาจมกับความรู้สึกแย่ๆ แบบนั้นมาหลายปี
ทั้งที่ตอนนั้นมิยูกิก็ปฏิเสธเขาด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้กลับมาเป็นฝ่ายบอกว่าชอบเสียเอง
หลายวันแล้วที่เขาเลือกไม่ติดต่อกับรุ่นพี่แว่นคนนั้น รู้ข่าวมาว่าเจ้าตัวยังคงใช้ช่วงเวลาพักร้อนอยู่ในญี่ปุ่น และยังมาป้วนเปี้ยนอยู่กับคนรอบตัวอยู่ตลอด ราวกับว่าไม่กล้าเขามาหาตรงๆ เพราะคำพูดปฏิเสธเมื่อวันนั้น
“วันนี้รุ่นพี่มิยูกิแวะเข้ามาที่นี่ บอกว่าอยากมารับลูกให้ฉันด้วย”
ระหว่างกำลังสวมชุดซ้อมเบสบอล ฟุรุยะเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในห้องเปลี่ยนชุดด้วยกันก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่”
พวกเขาอยู่ที่สนามซ้อมของมหาวิทยาลัยที่พ่วงเป็นที่ฝึกซ้อมหลักของทีมชาติด้วย ซาวามูระคว้าเอาหมวกแก๊ปใบโปรดของเขามาสวม ก่อนสาวเท้าออกไปจากห้องพร้อมเพื่อนตัวสูง เขาขมวดคิ้วเข้ากันเล็กน้อย
“หรอ… แล้วหมอนั่นไปไหนแล้วล่ะ”
“กลับไปตั้งแต่ก่อนนายจะเข้ามาซักพักแล้วล่ะ”
บอกตามตรงเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนสวมแว่นต้องการอะไรอีก…
คิดถูกไหมนะที่ตอนนั้นพูดออกไปแบบนั้น
การตัดสินใจชั่ววูบจะทำให้เขาพลาดสิ่งที่เคยฝันเอาไว้ไปตลอดกาลหรือเปล่า
ตื๊อ ดึง~
เสียงแจ้งเตือนข้อความจากมือถือดังขึ้นมาแทรกความกระอักกระอ่วนนั้น ปกติแล้วซาวามูระมักจะยุ่งอยู่กับการฝึกซ้อมและไม่ได้เมล์คุยกับใครบ่อยนัก เพื่อนสมัยเด็กอย่างวาคานะตอนนี้ก็แทบไม่ได้ติดต่อกันแล้ว
พิชเชอร์หนุ่มหยิบอุปกรณ์ทัชสกรีนของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง รายชื่อผู้ส่งข้อความที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอทำให้ขาทั้งสองข้างพลันชะงักกึกลงทั้งแบบนั้น
รายชื่อที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานสามปีกลับมีการเคลื่อนไหว มันเป็นเพียงข้อความสั้นๆ หลังประโยคสุดท้ายที่สนทนากันยังเป็นคำพูดของเขาที่นัดอีกฝ่ายมาพบกันหลังโรงเรียนเมื่อนานมาแล้ว
‘ฉันกำลังจะกลับอเมริกาแล้ว’
‘ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม’
ณ ตอนนี้มันกลายเป็นเขาเองที่เป็นคนนิสัยไม่ดี อ่านแต่ไม่ตอบข้อความของอีกฝ่ายกลับไปแทน
แม่น้ำที่วันนั้นมิยูกิสารภาพกับเขา บรรยากาศวันนี้ยังคงรายล้อมไปด้วยพุ่มหญ้าเตี้ยๆ ที่โบกพัดไปตามสายลม ถนนด้านบนที่ลาดชันสูงขึ้นไปมีคนปั่นจักรยานผ่านให้เห็นอยู่ประปราย ซาวามูระทอดมองไปบนผืนน้ำที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นด้วยสีหน้าที่เริ่มหงุดหงิด
นัดเขามาเองแท้ๆ แต่ตัวเองกลับเลทมาสิบห้านาทีแล้ว…
ตาโตเริ่มเปลี่ยนเป็นดวงตาเหมือนแมว สุดท้ายแล้วเขาก็ดันบ้าจี้ออกมาตามนัดของรุ่นพี่นิสัยไม่ดีคนนั้นจนได้ เพราะประโยคไหนคนร่างโปร่งเริ่มไม่แน่ใจ เพราะอยากเจอหรืออีกฝ่ายกำลังจะกลับอเมริกา
บางทีอาจจะเป็นทั้งคู่… สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้แล้ว
จังหวะที่ทั้งร่างถูกสวมกอดอย่างกะทันหันจากด้านหลังทำให้ลมหายใจขาดห้วง ซาวามูระสะดุ้งจนตัวโยน ก่อนกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ที่ติดมาบนเสื้อผ้าจะทำให้รู้ตัวว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“มิยูกิ คาซึยะ!” เขารีบเอาฝ่ามือดันหัวของอีกฝ่ายที่วางลงมาบนบ่าของตัวเองพร้อมขมวดคิ้วยุ่ง
“เอาหน้านายออกไปเลยนะ ทำอะไรเนี่ย”
แต่คนเป็นพี่กลับยอมผละออกง่ายดายกว่าที่คิด อีกฝ่ายยืดตัวเต็มความสูง ก่อนใบหน้าคมคายที่จ้องกลับมาจะแสดงความจริงจังเสียจนซาวามูระไม่ได้โวยวายต่อ
“ทีแรกก็ว่าจะชวนนายเป็นแบตเตอรี่เรื่อยๆ จนกว่าจะใจอ่อน”
สายตาคู่นั้นที่ฉายออกมาไม่ใช่บุคลิกที่ชอบแกล้งเขา แต่เป็นอีกคน
“แต่ฉันคงต้องเดินทางกลับแล้ว”
“ฉันยังอยากเป็นแบตเตอรี่กับนายอยู่นะ”
“….”
ซาวามูระมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายอย่างอดกลั้น เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดชนกัน
รู้ตัวมาซักพักแล้วว่าตัวเองยังชอบหมอนี่อยู่…
เพราะผิดหวังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผนวกกับช่วงเวลาที่ห่างกันไปหลายปี เขาปิดรับความรู้สึกแบบนั้นไปแล้ว ชายหนุ่มเคยคิดว่าตัวเองเลิกชอบผู้ชายนิสัยไม่ดีคนนี้ไปแล้ว
แต่กลับต้องพับความคิดนั้นเก็บไปเมื่อได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ระยะเวลาที่ผ่านไปสามปียังทำให้เขารู้สึกเหมือนเดิม ต่างกันที่ต่างฝ่ายต่างเติบโตขึ้นก็เท่านั้น โดยที่ไม่รู้ตัว… ทุกช่วงเวลาที่ฟอร์มแบตเตอรี่กับใครคนอื่นเพื่อแข่งขัน ภาพของคนๆ หนึ่งมันคอยซ้อนทับอยู่ตลอด
การฟอร์มแบตเตอรี่ก็เหมือนการประสานความคิดเข้าด้วยกัน ด้วยสัญญาณมือไม่กี่อย่างและสายตาที่เพียงแค่มองก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อแล้ว มันก็เหมือนกับการเชื่อมหัวใจเข้าด้วยกัน แม้จะเป็นแค่บนสนามรูปพัดก็ตาม
เขารู้สึกเสียดายที่เวลาให้ฟอร์มแบตเตอรี่ด้วยกันมีแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น รู้สึกว่ามันไม่เคยพอมาตลอด ใบหน้ากลมมนก้มต่ำ ซาวามูระรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะร่วงเผาะลงมาตอนนี้
“ฉันโกหกนาย… เรื่องแบตเตอรี่!”
ถ้าไม่พูดออกไปตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว…
“ฉันอยากฟอร์มแบตเตอรี่กับนายตั้งแต่ก่อนเข้าเซย์โดวมาจนถึงตอนนี้ แต่ฉันไม่กล้าบอก” ดวงตาคู่โตของคนน้องจ้องเข้าไปในดวงตาคู่คมของมิยูกิ เป็นครั้งแรกที่เขามองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแน่วแน่แบบนี้
“นายเป็นเป้าหมายของฉันมาตั้งแต่แรก เป็นมาตลอด”
ไม่สนแล้วว่าหมอนี่จะพูดอะไรใส่เขาเหมือนหลายปีที่แล้วหรือเปล่า
“นายนั่นแหละทำให้ฉันหักหลังเพื่อนมาเรียนที่เซย์โดว!” พวงแก้มทั้งสองข้างมันร้อนผะผ่าวไปหมด ความรู้สึกภายในอกกับกำลังตีกันมั่วเหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุ
“ฉันโคตรเกลียดนายเลย เจ้าบ้ามิยูกิ!”
“อุ๊บ…”
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาจากคนใส่แว่นกลับกลายเป็นการระเบิดหัวเราะเสียงดัง ซาวามูระหน้าเหวอเมื่อเห็นอีกฝ่ายขำจนหน้าแดงและเจ็บท้องไปหมด ได้แต่มองค้อนและโวยวายกลับไปว่ามันมีอะไรน่าขำนักหนา ช็อตฟีลคนที่น้ำตาคลอเบ้าให้แห้งเหือดลงได้ทันตา
มิยูกิเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตาตัวเองออกหลังหัวเราะจนเหนื่อย ใบหน้าของเขาคงรอยยิ้มเอาไว้แบบนั้น แม้แต่ซาวามูระที่ว่าซื่อบื้อก็ยังมองออก
มันไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่ชอบแกล้ง …แต่หมอนี่กำลังยิ้มเพราะดีใจมากต่างหาก
“แปลว่านายยอมฟอร์มแบตเตอรี่กับฉันแล้วใช่ไหม”
ยังไม่หุบยิ้มอีก รอยยิ้มแบบนั้นมันทำให้คนน้องร้อนที่ใบหน้าจนรู้สึกเหมือนจะไหม้
“ก็เออสิ”
“นี่ ซาวามูระ ฉันมีอะไรจะบอก” แต่แล้วสายตาคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแววตาขี้เล่นแบบบุคลิกกวนประสาทที่ชอบทำกับเขาคนเดียว จนอดรู้สึกระแวงขึ้นมาไม่ได้
“อะไรอีก!”
“ที่บอกว่าจะกลับอเมริกาน่ะ… ฉันล้อเล่นนะ”
“ว่าไงนะ!” พูดด้วยใบหน้าระรื่นแล้วยังระเบิดหัวเราะออกมาอีกระลอก ซาวามูระรีบง้างแขนจะคว้าคอเสื้อของอีกฝ่าย แต่มิยูกิก็วิ่งหลบออกไปได้เสียก่อน
ตั้งใจพูดแบบนั้นเพื่อให้เขายอมเปิดปากพูดความจริงอย่างนั้นหรือ…
“ฉันจะฆ่านายให้ตายตรงนี้แหละเจ้าโรคจิต!”
พอวิ่งไล่ คนตัวสูงกว่าก็ยิ่งวิ่งหนี ยังมีหน้ามีหัวเราะฮ่าฮ่าใส่อีก นิสัยกวนประสาทของหมอนี่จะกี่ปีก็แก้ไม่ได้
คนอายุมากกว่าตะโกนสนทนากับใครอีกคนที่ยังไม่เลิกวิ่งไล่ พื้นที่แห่งนี้มีแต่เสียงของเขาและคำโวยวายจากรุ่นน้องที่ชอบแกล้งมากที่สุดเท่านั้น
“เท่านี้ก็แสดงว่านายเป็นแฟนฉันแล้วใช่ไหม”
“แค่ฟอร์มแบตเตอรี่ไม่ได้แปลว่าเป็นแฟนเว้ย!”
“ไม่ได้พูดซักคำเลย!”
ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะอย่างที่ไม่เคยทำมาหลายปีด้วยความรู้สึกดีใจจากก้นบึ้งของหัวใจ มีหลายครั้งที่เห็นแก้มแดงๆ ของเด็กตรงหน้าแล้วรู้สึกว่ามันน่ากัดชะมัดขึ้นมา
คิดถูกแล้วจริงๆ ที่เลือกทำตามความรู้สึกของตัวเอง
พอเมฆฝนที่เคยบดบังความรู้สึกที่แท้จริงจางหายไป อะไรทุกอย่างมันก็กระจ่างชัดขึ้นมากระแทกสายตา การเดินตามหัวใจตัวเองอย่างตั้งใจซักครั้งหนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีความสุขขนาดนี้มาก่อน
ถ้าแบ่งสมองที่ใครๆ ก็ว่าเก่งนักเก่งหนามากับเรื่องความรู้สึกของตัวเองบ้าง เรื่องราวมันก็คงไม่ยืดเยื้อมาจนถึงป่านนี้
แต่อย่างน้อยมิยูกิก็ได้รู้ว่าความรู้สึกของทั้งเขาและซาวามูระ แม้จะผ่านไปนานหลายปีมันก็ยังมั่นคงเช่นเดิม
แต่ทุกอย่างมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เขาเริ่มหันหน้ามาเปิดเผยความรู้สึกที่มีของตัวเองกับอีกฝ่ายตรงๆ ส่วนคนน้องที่แม้จะเรียบเรียงประโยคทุกอย่างไม่เรียบร้อยแต่ก็ซื่อตรงกับความรู้สึกทุกอย่างจนประมวลผลตามได้ไม่ยาก
จนกว่ารุ่นน้องคนนี้จะยอมรับให้เขาเข้าไปเป็นคนสำคัญในชีวิต ก็ยังมีอีกหลายด่านและคู่แข่งขวางทางอยู่ตรงหน้า
แต่ครั้งนี้ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ เสียเมื่อไรกันล่ะ…
THE END...
จบแล้ววว สำหรับเรื่องนี้คือ short fic จริงๆ ไม่ได้แต่งฟิคสั้นแบบนี้มานานมากแล้ว
มิยูกินี่มันมิยูกิจริงๆ ค่ะ คงคาแรคเตอร์ยันตอนสุดท้ายเลย
ไรเตอร์ชอบความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนมากๆ
เขียนจบเองก็เขินเอง หุบยิ้มไม่ได้เพราะเขินมาก
สุดท้ายทั้งคู่ก็ยอมทิ้งอีโก้และทำตามหัวใจตัวเองซักที
แต่ยังไงทุกอย่างมันก็แค่เริ่มต้นเนอะ ทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะมากน้อย
ก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันทั้งนั้นค่ะ ก็เลยจบแบบปลายเปิดแบบนี้ไปเลย;-;
//อยากแต่งดาร์กมิยูกิจังเลยน้าา (นี่ก็บ่นไม่หยุด) แต่ยังนึกพลอตไม่ออก
ไม่อยากให้มันออกมาในรูปแบบให้ซาวามูระโดนข่มเหง สงสารน้องTT
สำหรับเรื่องหน้าเป็นคิวของฟิค My hero academia ค่ะ
ไรเตอร์ชิปคู่คัตเดเป็นหลัก พลอตเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ(?)
ซึ่งไรเตอร์ก็อยากแต่งมากๆ เหมือนกัน แต่ก่อนอื่นขอไปเคลียร์ฟิคอีกบทความ
และอาจจะเข้ามาอัพได้ไม่เร็วนัก เนื่องจากติดภาระเรื่องงานประจำนะคะTT
ยังไงก็ตามฝากติดตามผลงานเรื่องหน้าของเรากันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่า :)
ความคิดเห็น