คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : ▲ [D.Gray man] White & Dark lord (Tyki x Allen) - Part 10 (1)
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
ความจริงที่ว่ามนุษย์และปีศาจเกลียดชังกันไม่เคยเปลี่ยนไป แรงกดดันจากคนในตระกูลอันแข็งแกร่งทำให้อเลนหายใจลำบาก การหลับใหลของหัวหน้าตระกูลถูกคาดโทษว่ามีเขาเป็นต้นเหตุ อโพคริฟอสจะปรากฏตัวที่นี่ไม่ได้เลยหากไม่มีคนนำทางเข้ามา
เพราะทีกี้ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พี่น้องของเขาฟัง
เรื่องทุกอย่างถึงได้บานปลายขนาดนี้
“เธอตั้งใจเรียกเจ้านั่นมากวาดล้างโนอางั้นสิ”
โนอาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพรางกอดอก ใช้ดวงตาคู่คมสีทองจ้องเขม็งมายังเจ้าของผิวขาวจัด
ความรู้สึกเหมือนโดนริบอากาศหายใจ
อเลนเข้าใจมันได้ดีตั้งแต่พบกันครั้งแรก พวกเขาไม่ได้ยอมรับมนุษย์
เหมือนกับที่ศาสนจักรไม่ยอมรับโนอา ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำ
ไม่มีใครรู้เรื่องคำสาปในตัวเขานอกจากทีกี้
เลือดในกายที่พร้อมจะก่อให้เกิดสงครามได้ทุกเมื่อหากเลือกก้าวขาไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
ไม่รู้เลยว่าทีกี้จะตื่นขึ้นมาอีกเมื่อไร
ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าเขาจะหลับไปตลอดกาลหรือเปล่า
ดังนั้นจะว่าสาเหตุทั้งหมดเกิดจากเด็กหนุ่มก็คงไม่ผิด ถ้าไม่มีอเลนตั้งแต่แรก
ปีศาจนั่นคงเข้าถึงตัวผู้นำตระกูลได้ยากขึ้น
จิตสังหารที่รุนแรงแผ่ออกมาจากเหล่าพี่น้อง
พวกเขาพร้อมจะฆ่าคนจากโลกมนุษย์ให้ตายได้ในตอนนี้
หากไม่สบจังหวะกับปลายเท้าจากคนที่รู้จักกันดีก้าวเข้ามายั้งได้ทัน
น่าประหลาดที่โร้ดกับไวส์ลี่เลือกที่จะปกป้องศัตรูในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
คนทั้งคู่ดูอ่อนเยาว์กว่าคนอื่นๆ
แต่อเลนไม่รู้หรอกว่าในโลกปีศาจแห่งนี้มีความลับอะไรซ่อนไว้
พวกเขาแสดงสีหน้าราวกับเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างดี
“พูดไปพวกนายก็ไม่เชื่ออยู่ดี
แต่การฆ่าโซลเมทของทีกี้ก็เหมือนฆ่าหมอนั่นให้ตายทั้งเป็น”
“ผมจะกลับไปที่โลกมนุษย์ครับ”
บรรยากาศแห่งความตึงเครียดดูจะไม่จบลงง่ายๆหากอเลนไม่ตัดสินใจเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง
แม้จะไม่ใช่ข้อสรุปที่น่าพอใจจากตระกูลเก่าแก่แห่งโลกปีศาจ
อาจเพราะพวกเขายังเกรงใจไวส์ลี่ที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่างอยู่บ้าง
จึงได้ยอมถอนทัพกลับไปก่อน
เป็นเพราะโร้ดช่วยเจรจาให้
สุดท้ายจึงจบที่โดนกักบริเวณไม่ให้พบกับทีกี้โดยเด็ดขาด
รถไฟเที่ยวเร็วที่สุดที่จะพาเขาเดินทางกลับไปยังที่ที่จากมาได้ใช้เวลาเตรียมการประมาณหนึ่งอาทิตย์
จนถึงตอนนี้อเลนใช้ชีวิตอยู่เพียงในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่แม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำก็ต้องมีคนเดินไปประกบไปเหมือนเงาตามตัว
วันพรุ่งนี้การเดินทางจะเกิดขึ้นแล้ว
การไม่ได้เจอทีกี้ทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มใจ
ต่อให้เป็นห่วงแค่ไหนก็ไม่อาจพบหน้าคนที่คิดถึงได้
คนรับใช้ยังให้คำตอบเหมือนเดิมในทุกๆวันว่าเจ้าของคฤหาสน์ยังคงหลับสนิทดั่งเจ้าชายนิทรา
อเลนรู้ดีตั้งแต่แรกว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ฉลาด
การกลับไปของเขาครั้งนี้อาจจะหมายถึงการเอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง
เขาไม่สามารถไว้ใจใครในศาสนจักรได้อีกแล้ว
และสิ่งที่คนจากโนอาต้องการมีเพียงการทำให้พลังของหัวหน้าตระกูลเสถียรพอที่จะไม่แยกออกเป็นสอง
ถึงแม้สิ่งนั้นจะแลกมากับการหลับใหลแบบไม่มีวันตื่น
หลายยุคสมัยที่บรรณาการมีประโยชน์เพียงเท่านั้น และพวกเขาก็เพิ่งจะประสบความสำเร็จครั้งแรก
กระเป๋าเดินทางใบเดียวกันกับที่ถือมาจากโลกมนุษย์ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย
จะเหลือก็เพียงให้เขาก้าวขึ้นรถม้าที่จะนำไปสู่สถานีรถไฟก็เท่านั้น
ท้องฟ้าในวันใหม่มืดหม่นเหมือนกับความรู้สึกในใจ
อเลนก้าวขาขึ้นสู่ยานพาหนะยักษ์คนเดียวโดยไร้ผู้ติดตาม
บนโบกี้รถไฟไร้วี่แววของทั้งมนุษย์และปีศาจ
เขาจับจองที่นั่งฝั่งหนึ่งและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย
ไม่รู้เลยว่าด้วยรถไฟสายนี้จะนำพาคนจากโลกอีกฝั่งมา
หรือพาคนจากโลกปีศาจออกไปมากมายเพียงใด
เป็นหลักฐานให้เห็นว่าในอดีตทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยใช้ชีวิตร่วมกัน
จนกระทั่งความบาดหมางได้เกิดขึ้น
เหมือนก้อนเนื้อในอกกำลังถูกบดขยี้
เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนจนกระทั่งทิวทัศน์ของโลกปีศาจเริ่มห่างจากสายตา
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาเผลอมีใจไปให้ชายผู้นั้น
ผลกระทบของมันมากมายเสียจนรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังเอ่อคลอ
สายสัมพันธ์แบบนี้มันคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไรกันนะ
“เธอจะกลับไปตอนนี้ไหม ถ้าตกลงฉันจะสั่งให้หยุดรถเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงที่คุ้นหูปลุกให้ร่างบางสะดุ้งจากภวังค์
ขายาวของใครคนหนึ่งก้าวมาหยุดยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม การแต่งกายด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าช่างคุ้นตา
ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีอำพันคู่สวยทำให้น้ำตาที่กลั้นมาตลอดทางร่วงเผาะลงมาตามแก้มใส
“คุณ… ตั้งแต่เมื่อไร”
มือเล็กรีบยกขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างรีบร้อน
สบเข้ากับจังหวะที่แขนแกร่งคว้าร่างของเขาไปอยู่ในอ้อมกอด ความอบอุ่นที่เขาถวิลหา
เป็นทีกี้ตัวจริงที่มีสติเต็มร้อย และระดับพลังเสถียรแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ยิ่งทำให้ก้อนสะอื้นยิ่งพรั่งพรูออกมามากกว่าเดิม
ไม่มีใครบอกเขาเลยว่าผู้ชายคนนี้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
ทีกี้จะรู้หรือเปล่าว่าเขาลำบากใจมากขนาดไหนที่ต้องก้าวออกมาทั้งแบบนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…
“ผมไม่ควรอยู่กับคุณอีกแล้วครับ” หากฝืนอยู่ต่อไป
อโพคริฟอสก็จะปรากฏตัวอีกครั้ง คราวหน้าศาสนจักรจะให้ความร่วมมือกับมันเต็มที่เพื่อกวาดล้างโนอาให้หายไป
อเลนไม่รู้เลยว่าตอนที่เขากลับไปยังโลกฝั่งนั้นแล้วเขาจะทำอะไร
จะหนีอโพคริฟอสไปได้อีกนานแค่ไหนหรือมีวิธีรับมือกับมันอย่างไร
แม้แต่ความตายก็ยังไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม
คนอายุมากกว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่ก็ยังไม่ได้คลายอ้อมกอดออก
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าคนๆนี้คิดอะไรอยู่ในใจ
บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าจะมีความรู้สึกพิเศษให้แก่กัน
ทีกี้ปฏิบัติกับเขาอย่างดีสมกับสถานะเจ้าสาวของโนอา
แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยเอ่ยความรู้สึกที่แท้จริงให้ได้ยิน ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติต่อกันเช่นนั้น
“คุณตอบคำถามผมอย่างหนึ่งได้ไหมครับ”
ทิฐิที่เคยมีต่อฝ่ายตรงข้าม จนถึงตอนนี้มันเปลี่ยนไปหรือยัง
“หน้าที่ของบรรณาการ คือทำให้พลังของคุณคงที่แค่นั้นใช่ไหม”
อเลนกลัวคำตอบที่กำลังจะได้ยิน
เขาเห็นความไหววูบในดวงตาสีสวยของอีกฝ่าย
มือหนาคลายอ้อมกอดให้หลวมลงจนกลายเป็นการยืนประจันหน้า
ทั้งสองฝ่ายต่างก็จ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเหมือนต้องการค้นเข้าไปให้เห็นความจริง
“ใช่ วัตถุประสงค์มีเพียงแค่นี้”
“เธอไม่จำเป็นต้องเป็นบรรณาการอีกต่อไปแล้ว”
รู้สึกราวกับโดนฟาดด้วยฝ่ามือแรงๆมาบนใบหน้า
ทีกี้เคยบอกว่าพลังของเขาเสถียรขึ้นมาได้เพราะความสัมพันธ์ในคืนนั้น
ความคิดในหัวกำลังพันกันยุ่งเหยิง คำว่าไม่จำเป็นทำให้อเลนเข้าใจว่าตัวเองหมดประโยชน์แล้ว
นั่นหมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีเขาอีกต่อไปแล้วสินะ
ไม่น่าปล่อยให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นเลย… นี่เขากำลังหวังคำตอบแบบไหนกันแน่
“ผมอยากกลับไปที่โลกมนุษย์ คุณปล่อยผมกลับไปได้ไหมครับ”
บรรยากาศในตู้เหล็กดำเนินไปอย่างน่าอึดอัด
เหมือนกับวันแรกที่คนทั้งคู่พบกัน พวกเขาเอาแต่เงียบโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ อเลนรู้สึกได้ถึงดวงตาสีทองที่จ้องมองมาตลอดเวลา
แต่เขาก็ทำได้เพียงเบนสายตาออกไปข้างทาง
ทุกอย่างกลับไปที่จุดเริ่มต้น
เมื่อไรก็ตามที่รถไฟเข้าจอดเทียบชานชาลาสถานะก็จะกลับมาเป็นคนไม่รู้จักกันอีกครั้ง
“หนุ่มน้อย เธอยังเชื่อเรื่องโซลเมทอยู่หรือเปล่า”
เป็นคนอายุมากกว่าที่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ย้ายสายตาออกไปจากที่เดิม
“โซลเมทของคุณไม่ใช่ผมตั้งแต่แรกนี่ครับ”
แต่เป็นรินารีที่โดนสลับตัว
เพราะแบบนั้นเด็กหนุ่มจึงอ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้เลย
“เป็นเธอตั้งแต่แรกต่างหาก”
“….”
“เพราะรู้ว่าเป็นเธอ ฉันถึงได้ยอมให้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ไปโลกฝั่งนั้นตั้งแต่แรก”
ดวงตาสีขี้เถ้ากำลังสั่นไหวและแววตานั้นปกปิดความเจ็บปวดเอาไว้ไม่มิด
ทีกี้กำลังต้องการอะไรจากเขาถึงได้พูดเรื่องนี้ออกมาตอนนี้
“พยายามพูดให้ผมอยากกลับไปอยู่หรอครับ”
“ใช่…”
“แต่ถ้าเธอตัดสินใจแล้วฉันคงจะไม่ห้าม”
ริมฝีปากสีหวานเม้มเข้าหากันแน่น
นิ้วเรียวกำเข้าหาชายเสื้อของตัวเองแน่นจนเป็นรอยยับ
อเลนรู้สึกเหมือนโดนเล่นกับความรู้สึกซ้ำไปซ้ำมา
เขาเหมือนลูกแก้วในกล่องปิดที่โดนเขย่าซ้ำๆอยู่แบบนั้น
ทำไมถึงมาบอกกันช้าจังเลยนะ… ล้อเหล็กกำลังจะเข้าจอดเทียบที่ชานชาลาแล้วแท้ๆ
เสียงหวูดดังขึ้นราวกับจะขาดใจ
รถไฟกระตุกเป็นจังหวะไม่กี่ครั้งก่อนที่ตู้เหล็กจะนิ่งสนิท
มือบางคว้าหูกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาถือ เขาลุกขึ้นยืนและเตรียมจะก้าวลงจากประตู
เพื่อความปลอดภัยของคนตรงหน้า มันมีทางเลือกให้อยู่แค่ไม่กี่ทาง
การมีอยู่ของเขาจะเป็นหรือตายก็แย่ทั้งนั้น
“ผมกลับไปไม่ได้แล้วครับ” ต่อให้ทีกี้จะเข้าใจผิดก็ไม่เป็นไร
“…เข้าใจแล้ว ฉันจะไปส่งเธอก็แล้วกันนะ”
สีหน้าของหัวหน้าตระกูลโนอาเปลี่ยนเป็นความเรียบสนิท
สีหน้าที่ยากจะอ่านความรู้สึกของคนจากโลกปีศาจที่ไม่ว่าใครต่างก็เกรงกลัว
ความสัมพันธ์ของพวกเขาต่างก็สร้างบาดแผลให้กันและกันตั้งแต่วันแรก
จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เปลี่ยนไป
อเลนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้จะหาที่พักได้หรือไม่
เขาไม่มีที่ให้กลับไป ทำได้เพียงแค่เดินเลียบสถานีต่อไปเรื่อยๆ
อีกไม่นานคงขอตัวแยกกันกับคนตัวสูง ต่อให้ในใจไม่ได้อยากทำแบบนั้นก็ตาม
แต่ปลายเท้าทั้งคู่ก็พลันชะงักเมื่อเห็นเงาลางๆของใครคนหนึ่งที่จ้ำอ้าวเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
ชายผมยาวที่ประกาศกร้าวตั้งแต่วันแรกที่เด็กหนุ่มถูกส่งตัวไปแทนบรรณาการตัวจริงว่าจะมาช่วยเขาไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ครับ”
คันดะ ยูขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าเซ่อซ่าของอีกฝ่าย
นิสัยไม่ชอบขอความช่วยเหลือใครของอเลนเป็นแบบนี้มาโดยตลอด
และมันทำให้เขาหงุดหงิดทุกครั้ง ดวงตาสีน้ำทะเลทอดมองสภาพคนผมขาวที่สีหน้าอมทุกข์จนไม่ว่าใครก็ดูออก
ข้างหลังมีร่างสูงของชายจากตระกูลโนอาที่เขาเองก็ไม่ชอบตั้งแต่พบหน้าครั้งแรก
“ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
คิดจะแบกปัญหาไว้คนเดียวไปจนถึงเมื่อไร”
อเลนไม่เคยเล่าเรื่องของเขาให้ใครฟัง
เด็กหนุ่มไม่ไว้ใจใครก็ตามแม้แต่คันดะที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
อีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่ดีแต่ก็ถูกเลี้ยงดูมาจากศาสนจักรมาเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะเข้ามาเสียด้วยซ้ำ
ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ของการบอกว่ารู้เรื่องทั้งหมดนั่นเพื่ออะไร
ต้องการกำจัดหรือช่วยเหลือ ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่คันดะรู้จะมีขอบเขตถึงตรงไหน
“ไม่ต้องห่วง เจ้าเด็กนี่ไว้ใจได้น่าอเลน”
เจ้าของเรือนผมสีขาวเผลอปล่อยกระเป๋าเดินทางจากมืออย่างกะทันหันเมื่อใครอีกคนปรากฏตัว
มือก็พลันสั่นระริกเหมือนริมฝีปากจนเลือกคำพูดออกมาไม่ถูก
ดวงตาที่เคยร้องไห้เพราะทีกี้ไปครั้งหนึ่งกลับมามีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้ง
“อาจารย์ นี่คุณ.. อาจารย์ยังไม่ตาย”
เจ้าของใบหน้าน่ารักน้ำตาไหลพรากจนคนมองอดไม่ได้ที่จะสับมือลงไปกลางกระหม่อมด้วยความหมั่นไส้
ชายร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีแดงยาวไม่เป็นทรงขมวดคิ้วยุ่ง
เครื่องแบบที่เขาสวมใส่เป็นชุดสีดำทั้งตัวเหมือนแต่ก่อน
เพียงแต่มันไม่มีตราของศาสนจักรประดับอยู่บนอกอีกต่อไปแล้ว
จะไม่ให้ร้องไห้ได้อย่างไรเมื่อคนที่ทิ้งกองเลือดขนาดมหึมาเอาไว้
ซ้ำยังหายไปอย่างไร้ร่องรอยร่วมปีมายืนอยู่ตรงหน้า
อาจารย์เพียงคนเดียวที่เด็กหนุ่มให้ความเคารพกระชากแขนของเขาให้ห่างจากโนอา
ก่อนจะใช้ดวงตาสีแดงจ้องเข้ามาราวกับอยากบีบคอให้ตายเสียตรงนั้น
“ทำไมแกถึงกลับมาที่นี่อีก”
อเลนสะอึกสะอื้นจะพูดจาไม่ได้ศัพท์
ครอส มาเรียนมองภาพลูกศิษย์ที่ยกมือมาลูบศีรษะตัวเองทั้งน้ำตา สลับกับใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่ปริปากพูดอะไรมาตั้งแต่แรก
พอจะประเมินสถานการณ์ได้คร่าวๆว่าคนทั้งคู่คงเพิ่งเดินทางมาถึงและเจ้าเด็กหัวขาวคงไม่มีที่ไปอยู่เป็นแน่
“ผมเป็นคนขอให้เขาพากลับมาเองครับ”
เห็นท่าทางเหมือนอยากจะคว้าปืนขึ้นมาลั่นไกใส่ทีกี้ของอาจารย์
อเลนจึงรีบตอบความสงสัยนั้น แต่นั่นยิ่งทำให้สีหน้าของชายวัยกลางคนหงุดหงิดมากกว่าเดิม
ดวงตาสีชาดจ้องเขม็งไปยังโนอาที่ตีสีหน้าเรียบนิ่งมาตั้งแต่เมื่อครู่
“แล้วแกก็พากลับมาง่ายๆแบบนี้น่ะหรอ”
น้ำเสียงโมโหของครอสทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเปลี่ยนเป็นความงุนงง
“เด็กโง่!
แกบีบคั้นเขาจนกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
คนผมแดงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เขาเลื่อนสายตามามองอเลนที่ดูจะตกใจไม่ต่างกัน
ก่อนจะกลับมาจ้องเขม็งที่หัวหน้าตระกูลโนอาอีกครั้ง
“ฉันขอเวลาคุยกับโนอาสักหน่อย คันดะพาอเลนออกไปก่อน”
ท่าทีของอดีตเสนาธิการดูอ่อนลง
เขายืนรอจนเอ็กโซซิสต์หนุ่มทั้งสองเดินห่างออกไป
พลางหยิบบุหรี่ยี่ห้อโปรดขึ้นมาจุดไฟและชี้ปลายด้านที่กำลังลุกไหม้ไปยังศัตรูแห่งศาสนจักร
“ฉันมีเวลาไม่มากนัก เพราะที่โลกมนุษย์กำลังตามล่าอเลน
วอล์คเกอร์อยู่เหมือนกัน”
“ว่ายังไงนะ”
ทีกี้ไม่รู้จักชายคนนี้
แต่ความรู้สึกกำลังบอกเขาว่าคนๆนี้รู้อะไรมากกว่าที่คิด
ดวงตาสีทองหรี่มองท่าทางผ่อนคลายแม้ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างไม่เข้าใจนัก
ดูเหมือนจะเป็นคนที่อเลนให้ความไว้วางใจมากพอสมควร
“สรุปสั้นๆเลยแล้วกัน… ฉันรู้เรื่องโซลเมทระหว่างแกทั้งสองคนตั้งแต่แรก”
“เจ้าอเลนทำแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้แกเป็นอันตราย”
“….”
“ส่วนแกจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือเปล่าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”
เรื่องโซลเมทที่ชายหนุ่มเพิ่งรู้ก็ตอนได้พบกับอเลนครั้งแรก
แต่ชายผมแดงกลับบอกว่าตัวเองรู้เรื่องทุกอย่างมาก่อน ซ้ำร้ายพอพูดจบประโยคก็รีบสับเท้าออกไปโดยทิ้งให้เขายืนงงอยู่คนเดียว
ทีกี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหนักๆและสางผมที่เคยปกปิดใบหน้าไปด้านหลังด้วยความหงุดหงิด
“เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ ไวส์ลี่”
ชื่อของคนที่ไม่ได้อยู่ในบทสนทนาตั้งแต่แรกถูกเอ่ยขึ้น
ประโยคแกมออกคำสั่งของทีกี้ถูกปล่อยเบลอเหมือนพูดอยู่คนเดียวได้ครู่หนึ่ง
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อก็ปรากฏตัวออกมาจากหลังกำแพงพร้อมใบหน้าปั้นปึง
“อ๋า อุตส่าห์ตามมาเงียบๆแล้วแท้ๆ”
“นายตามมาเพราะเรื่องที่เจ้าหัวแดงนั่นว่าใช่ไหมล่ะ” สีหน้าของทีกี้น่ากลัวทุกครั้งตอนที่กำลังหงุดหงิด
ไวส์ลี่คิดว่ามันดูน่าเกรงขามเหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลที่เขาเป็นอยู่ดี
ใช่แล้ว…
เขาแอบขึ้นรถไฟมาด้วยตั้งแต่แรก แต่อเลนมัวแต่เศร้าอยู่จนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เป็นความจริงที่สายเลือดโนอาทุกคนจะมีพลังพิเศษอะไรบางอย่าง
สำหรับเด็กหนุ่มเพียงแค่ได้มองตา
สิ่งที่อยู่ในหัวของคนๆนั้นก็ไหลเข้ามาราวกับจอภาพฉายหนัง
ทุกคนในตระกูลล้วนรู้ความสามารถนั้นดี เว้นก็เพียงแต่อเลนที่เขาไม่เคยเล่าให้ฟัง
“สิ่งที่อเลน วอล์คเกอร์กำลังทำคือแบกทุกอย่างไว้กับตัวเอง เด็กนั่นปกป้องตัวเองแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“ปกป้องจากอะไร”
“นายก็รู้อยู่แล้วนี่
อโพคริฟอสกับศาสนจักรต้องการพลังของเขาเพื่อกำจัดโนอา”
“แต่อเลนไม่ได้เลือกอยู่ฝั่งศาสนจักรตั้งแต่แรก
นายคิดว่าเขาจะโดนอะไรต่อไปล่ะ”
ทีกี้เคยเข้าใจว่าอเลนตั้งใจเรียกอโพคริฟอสมาที่โลกปีศาจเพื่อทำลายเขา
แต่สิ่งที่พบเห็นมาโดยตลอดคือเด็กหนุ่มที่พยายามวิ่งหนีการพบเจอกับเจ้านั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทำให้ประโยคที่ว่า ‘กำลังโดนตามล่า’
ของครอส มาเรียนกลับมาวนซ้ำในความคิดอีกครั้ง
“ทั้งที่กำจัดโนอาได้แต่เด็กนั่นไม่เลือกทำ
ดันเอาตัวเองมาไว้กับโนอาแทนซะอย่างนั้น”
“แล้วฉันก็พาเขากลับมาส่งให้ศาสนจักรถึงที่เลยอะนะ”
เด็กหนุ่มเอาแต่เก็บงำปัญหาไว้กับตัวเองคนเดียว
เขาเองก็แย่ที่หัวอ่อนเชื่อว่าเด็กคนนั้นไม่อยากอยู่กับตัวเองต่อไปแล้ว
อาวุธสังหารจากศาสนจักรดูเหมือนจะสร้างบาดแผลในใจให้เจ้าตัวมากกว่าที่เห็น
“ถูกเผงเลย” ไวส์ลี่ว่าพร้อมดีดนิ้วประกอบ
ถ้าคนทั้งคู่ไม่ปากแข็งแล้วยอมพูดกันมากกว่านี้
อะไรๆมันก็จะง่ายขึ้น
แต่ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ทำได้แค่ต้องหาวิธีรับมือต่อไป
พลันความรู้สึกขนลุกเกลียวก็ตีเข้ามาเมื่อเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาอันน่ากลัวจากคนตัวสูงตรงหน้า
“รู้ตัวใช่ไหมว่าเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังช้าเกินไป”
“ทำอะไรงี่เง่าชะมัด
คิดว่าตัวเองจะหนีอโพคริฟอสไปได้ตลอดชีวิตหรือไง”
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
อาจารย์ที่รู้เรื่องทุกอย่างอย่างไรก็ต้องโมโหที่เขาตัดสินใจแบบนี้แน่นอน
แม้จะอุ่นใจขึ้นมานิดหน่อยว่าอย่างน้อยตอนนี้ยังมีคนๆนี้กับคันดะช่วยเป็นกำลังเสริม
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะเอาชนะเจ้านั่นได้
“ตอนนี้ศาสนจักรกำลังพลิกแผ่นดินตามล่าแกอยู่”
“อย่างนั้นหรอครับ”
และไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะหนีพ้นจากกองกำลังเอ็กโซซิสต์ที่กระหายในอำนาจถึงขั้นเลือกจบที่ความตายของเขาด้วยเช่นกัน
คิดไว้อยู่แล้วว่าการกลับมาโลกมนุษย์คราวนี้ต้องลำบากแน่
แต่ก็ไม่คิดว่าศาสนจักรจะเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่คิด
“การกลับมาที่นี่ไม่มีอะไรปลอดภัยซักอย่าง
แกเป็นห่วงเจ้าโนอานั่นมากขนาดนั้นเลยหรอ” การอยู่กับโนอาจะปลอดภัยกับอเลนมากกว่า
แต่เพราะเจ้าตัวกลัวอโพคริฟอสมากเกินไปถึงได้ไม่รู้ว่าเจ้านั่นทำอะไรโนอาไม่ได้หากมีพลังเพียงครึ่งเดียว
ดวงตาสีขี้เถ้าเลื่อนไปจับจ้องเจ้าของเสียงทุ้มอีกคนที่เอ่ยสนทนาด้วย
ใครจะไปคิดว่าในเวลาแบบนี้จะมีคนอื่นที่รู้เรื่องของเขานอกจากอาจารย์อยู่ด้วย
“ทำไมคันดะถึงอยู่ที่นี่ด้วยครับ
นายจะโดนตามล่าไปด้วยไม่ใช่หรือไง”
“เคยบอกแล้วว่าจะมาช่วยไม่ว่าวิธีไหน”
การช่วยเหลืออเลนก็เหมือนการหันหลังให้ศาสนจักร ประโยคนี้ที่คันดะเคยพูดมันมีความหมายแฝงอยู่ตั้งแต่แรก
แต่ทำไมเจ้าตัวถึงยอมออกตัวช่วยเหลือเขามากมายขนาดนี้
“ถ้าไม่เจอเสนาธิการครอส ฉันจะรู้เรื่องทั้งหมดนี่หรอ”
อเลนไม่เคยรู้มาก่อนว่าคันดะไปหาอาจารย์ที่เขาพยายามตามหามาตลอดเจอได้อย่างไร
เพราะไม่กล้าไว้ใจใคร
จึงเกิดเป็นความรู้สึกผิดต่อเจ้าของผมหางม้าที่ปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่พอสมควร
ทีแรกกะว่าจะรวมเป็นพาร์ทเดียวจบเลย
แต่ไม่ไหวจริงๆค่ะ ขนาดหั่นครึ่งตอนแล้วยังยาวขนาดนี้
ชีวิตวัยทำงานมันหาเวลาว่างยากจริงๆค่ะ;-;
สำหรับตอนนี้อาศัยว่าเก็บเล็กผสมน้อยจนรวมเป็นตอนได้
แต่ส่วนที่เหลือจะรีบมาอัพให้นะคะ อีกแค่ครึ่งตอนก็จะจบแล้วว
ตอนนี้ก็คือเนื้อหาเข้าเค้า Toxic relationship จัดๆเลย อ่านแล้วปวดหัวแทน
ในเนื้อเรื่องรู้สึกเลยว่าทั้งอเลนกับทีกี้เป็นคนเก็บงำปัญหาไว้กับตัวเอง
ไม่ยอมเล่าให้ใครฟัง แต่พี่ทีกี้เราจะเป็นคนที่ทนไม่ไหวและระเบิดออกมาก่อน
ยังไงอเลนก็ต้องรู้จักขอความช่วยเหลือคนอื่นบ้างสิเนอะ;-;
ในชีวิตจริงถ้าไม่มีคนรอบข้างคอยมาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
ก็จะเข้าใจผิดแล้วก็ทำร้ายกันแบบนั้นซ้ำๆไปนะ
ว่ามาซะยาว ขอแอบหั่นตอนแบบตัดฉับนิดนึงนะคะ
ไม่รู้จะไปแบ่งตรงไหนดี เพราะมันต่อกันหมดเลย55555
ตอนหน้าจะจบแล้วค่ะ พอๆได้แล้วกับบทอโพคริฟอสเถอะเนอะ
แล้วพบกันตอนจบค่ะ
ความคิดเห็น