คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ▲ [D.Gray man] White & Dark lord (Tyki x Allen) - Part 5
** มีฉากบรรยายถึงเลือด และการใช้ความรุนแรงภายในตอน เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ**
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
ดวงตาสีทองจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเขา
บรรยากาศรอบตัวว่าที่ผู้นำตระกูลโนอาหนักอึ้งจนหายใจลำบาก
“เป็นเรื่องจริงสินะ ที่ศาสนจักรเกลียดชังพวกฉันจนยอมทำทุกอย่าง”
อเลนเหนื่อยล้าเกินกว่าจะอธิบายสิ่งใด
ดวงตาสีเงินทำเพียงมองกลับไปตรงๆ แม้แต่ใบหน้าหวานนั้นก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวที่เจ้าตัวมักจะแสดงให้เห็นอยู่เสมอ
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะฆ่าผมให้ตายเลยไหมครับ”
แววตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป
ในเวลานี้มันกลับเจือไปด้วยความหม่นหมอง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันเจ้าตัวดูรักชีวิตตัวเองมากกว่านี้
แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเมื่ออโพคริฟอสปรากฏตัว
คงมีเบื้องหลังอีกหลายอย่างที่ทีกี้ยังไม่ล่วงรู้
ชายหนุ่มเคยได้ฟังเรื่องราวของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์มาครั้งหนึ่ง
ว่ากันว่ามันเป็นตัวตนที่อาจไม่มีอยู่จริง
แต่หากมีสิ่งนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาจากพระเจ้าโดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายล้างสิ่งผิดบาปให้หมดสิ้น
ด้วยเหตุนั้นโนอาที่พระเจ้าชิงชังจึงตกเป็นเป้าหมายของอโพคริฟอสไปโดยปริยาย
เคยได้ยินเพียงชื่อว่ามันปรากฏตัวครั้งสุดท้ายเมื่อหลายพันปีก่อน
แต่ไม่คิดว่าจะอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้
เจ้าของใบหน้าคมคายจ้องมองคนตรงหน้าที่ยังไม่ได้ย้ายสายตาออกไปไหน
สุดท้ายเด็กคนนี้ก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งของศาสนจักร จะด้วยวิธีไหนก็ตาม
แต่อเลนก็ลากพลังศักดิ์สิทธิ์นั่นเข้ามาในโลกนี้แล้ว
ในเวลานี้ทีกี้ทั้งรู้สึกผิดหวังอย่างเต็มอก
แต่สายสัมพันธ์บางอย่างทำให้ไม่อาจสังหารคนตรงหน้าได้เช่นกัน
พระเจ้าที่เขาชิงชังยึดอำนาจที่มีในมือไปไม่พอ
ยังส่งโซลเมทที่หมายจะเอาชีวิตมาไว้ใกล้ตัวเสียด้วย
น่าตลก... ทั้งที่รู้สึกเกลียดมากขนาดนั้น
แต่ชายหนุ่มกลับรักเด็กจากศาสนจักรคนนี้มากพอๆกับความรู้สึกที่อยากฆ่าให้ตายเสียตรงนี้
เวลาดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดเสียจนอเลนคิดว่าเขาจะโดนกำจัดทิ้ง
แต่ร่างสูงก็ไม่ได้ทำแบบนั้น
ราวกับเกมจ้องตานี้จะไม่มีวันจบสิ้นหากไม่มีใครคนหนึ่งหลบตาไปเสียก่อน
ซึ่งเด็กหนุ่มเลือกที่จะทำแบบนั้น
เจ้าของเรือนผมสีขาวไม่ได้อยากตาย
เขาอยากหนีไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก
และไม่เข้าใจเหตุผลของคนที่ช่วยเหลือให้มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เช่นกัน
เป็นความจริงว่าการเป็นหนึ่งเดียวกับอโพคริฟอสจะสามารถทำลายโนอาได้
แต่เพราะเจ้านั่นพรากคนสำคัญในชีวิตของเขาไปหลายครั้ง
ความรู้สึกโกรธแค้นในจิตใจกลับมีมากกว่าจะทำตามคำสั่งของศาสนจักรเสียด้วยซ้ำ
สิ่งนั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างถูกจังหวะ
ศาสนจักรที่เขาเคยนับถือเขียนประวัติศาสตร์ให้ตัวเองกลายเป็นพระเอก
และโยนบทตัวร้ายให้กับโนอา
เขาไม่รู้หรอกว่าความจริงของเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่
“บรรณาการยังจำเป็นอยู่ไหมครับ”
เสียงเล็กเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้ามองคู่สนทนา
“ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะเดินออกไปเองเพื่อความสบายใจของพวกคุณ”
แต่ไหนแต่ไรโนอาก็เกลียดชังศาสนจักรเหมือนกัน
พวกเขาคงไม่ได้ใยดีอะไรกับเจ้าสาวจากโลกมนุษย์แค่คนเดียวอยู่แล้ว
ราวกับคำพูดนั้นกำลังท้าทายคนฟัง
ทีกี้กลั้วหัวเราะในลำคอด้วยความขบขัน
“เธอคิดว่ามนุษย์จะสามารถเอาชีวิตรอดในโลกปีศาจได้งั้นหรอ”
เพราะมนุษย์อ่อนแอ ยิ่งโดนยึดพลังศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วก็ยิ่งอ่อนแอ
ปล่อยให้เด็กหนุ่มออกไปภายนอกก็เหมือนฆ่าตัวตายทั้งนั้น
“ก่อนที่นายจะโมโหขนาดนั้นช่วยคิดให้ดีก่อนเถอะทีกี้”
เป็นเสียงของโร้ดที่แทรกเข้ามาท่ามกลางความเงียบ
ร่างเล็กเดินมาหยุดต่อหน้าคนจากศาสนจักรพร้อมทอดมองอย่างมีความหมาย
สีหน้าของทีกี้ในเวลานี้ให้ความรู้สึกว่าไม่ควรต่อบทสนทนาไปมากกว่านั้น
เขาโดนความเกลียดชังเข้าครอบงำจนมองข้ามรายละเอียดเล็กๆไป
ด้วยเงื่อนไขของโซลเมท ต่อให้มนุษย์จะสัมผัสได้อย่างเบาบาง
แต่ก็ไม่ได้ผิดไปที่ว่าพวกเขาไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้เช่นกัน
“คิดว่าอเลนจะฆ่านายได้หรือไง”
ครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์
แปลกเกินไปที่คนจากศาสนจักรกลับพยายามหนีเอาชีวิตรอดอย่างไร้สติ
ราวกับรู้ตัวอยู่แล้วว่าเป้าหมายของสิ่งนั้นไม่ใช่โนอาโดยตรง
“เห็นบอกว่าเป้าหมายของมันคือนายงั้นหรอ”
ฝ่ามือที่วางอยู่บนที่นอนเผลอกำผ้าห่มแน่น แววตาของเด็กหนุ่มสั่นไหวตามคำพูดนั้น
เป็นความจริงที่ว่าเขาเคยพูดไปแบบนั้นขณะที่มันยังอยู่
อเลนรู้ดีว่าบรรณาการถูกวางตัวให้เป็นเขามาตั้งแต่แรก
ไม่ใช่ต่อโนอาแต่เป็นอโพคริฟอส
เขาไม่ได้มีความเกลียดชังต่อโนอา
เรื่องราวทุกอย่างก็แค่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อปลูกฝังให้ชิงชังต่อกันก็เท่านั้น
แม้จะเติบโตมาในโลกมนุษย์ แต่สิ่งที่ทำร้ายเขามาโดยตลอดกลับเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง
ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็รับรู้ได้ดีว่าความเกลียดชังของโนอาต่อศาสนจักรเป็นของจริง
“เธอมาทำดีกับผมทำไมครับ ทั้งที่ผมเป็นคนลากมันมาหาเธอแท้ๆ”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน
โร้ดไม่ได้มีท่าทีคุกคามแต่กลับปฏิบัติด้วยเหมือนเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
แม้อเลนจะยังไม่ได้ไว้ใจแต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำอยู่ดี
“แล้วถ้าฉันฆ่านาย มันจะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ”
เขาเบนหน้าหลบสายตา
เมื่อไรก็ตามที่อเลน วอล์คเกอร์ไร้ตัวตน อโพคริฟอสก็จะได้พลังในส่วนที่ขาดหายไป
นั่นหมายถึงจุดจบของตระกูลโนอาเช่นกัน
ความจริงเหล่านั้นคือสิ่งที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะอยู่หรือตายทางไหนก็มีแต่เป็นภัย เพราะแบบนั้นถึงอยากรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“แค่ปล่อยผมออกไปจากที่นี่ก็พอแล้วครับ”
“ว่ายังไงทีกี้ นายจะเอายังไงกับอเลนดีล่ะ”
เด็กสาวมองท่าทีที่อ่อนลงของอเลนอย่างครุ่นคิด
มีเรื่องราวอีกมากมายที่คนตรงหน้ายังเก็บงำเอาไว้
เพราะเป็นคนระแวดระวังตัวจึงไม่ยอมไว้ใจใคร
ส่วนว่าที่ผู้นำตระกูลเองก็เจ็บปวดกับพลังที่ควบคุมไม่ได้ของตัวเองมาโดยตลอด
สิ่งที่คนทั้งคู่ยังขาดไปก็คือการเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน
จนกว่าจะทำแบบนั้นได้ความบาดหมางก็คงไม่มีวันหมดไป
บรรณาการที่ศาสนจักรส่งมาแล้ว
แม้จะถูกสลับตัวแต่ก็ได้โซลเมทมาแทน
โร้ดยิ้มอย่างรู้ทันเมื่อรู้ว่าคนรักศักดิ์ศรีอย่างทีกี้ไม่มีทางคืนให้ไปอย่างง่ายดายแน่
“ฉันไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น คนที่ตัดสินว่าเธอจะอยู่หรือตายก็คือฉัน”
เป็นอีกวันที่เจ้าของเรือนผมสีขาวถูกบังคับให้นอน
และตื่นขึ้นมาเพื่อกลับมาทำหน้าที่เสมือนทาสรับใช้ของเจ้าของคฤหาสน์อีกครั้ง
ไม่เคยมีวันไหนที่เขาได้นอนหลับเต็มอิ่ม
เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายทำให้ไม่อาจข่มตาลงนอนได้
เด็กสาวตัวเล็กกลับไปตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางเพราะมีธุระทางบ้านต้องไปจัดการ
ส่วนอเลนทำได้เพียงเดินตามร่างสูงของคนผมดำไปยังรถม้าเพื่อออกไปทำธุระภายในเมืองเช่นกัน
บรรยากาศภายในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆเหมือนกับวันแรกที่มาถึง
ทีกี้ไม่แม้แต่จะหันมามองหรือสนทนากับเขา คงจะโดนชายคนนี้เกลียดเข้าให้แล้วเป็นแน่
เป็นความจริงว่าอเลนไม่สามารถหนีไปไหนได้
แม้แต่จะกลับไปยังศาสนจักรก็ไม่ได้เช่นกัน
เด็กหนุ่มไม่มีความกล้าพอที่จะออกมายังโลกภายนอก
ดวงตาสีเงินจับจ้องอยู่เพียงปลายเท้าของตน
กลิ่นอายของปีศาจอบอวนตลอดเส้นทางที่รถม้าเคลื่อนผ่าน
นิ้วเรียวทั้งห้าได้แต่กำข้อมืออีกข้างแน่น
เขากลัวว่ากลิ่นอายของตัวเองจะไปดึงดูดปีศาจตนอื่นเข้าหา
เพราะที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ และไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้
ทันทีที่รถม้าจอดสนิทและปลายเท้าทั้งคู่ก้าวลงมาสัมผัสกับพื้น
สายตามากมายก็ทิ่มแทงเข้ามาจนรู้สึกขนลุก รอบตัวของเขาเป็นปีศาจ
สาเหตุที่พวกมันไม่เข้ามาโจมตีเพราะมีทีกี้ที่มีอำนาจมากกว่ายืนอยู่ตรงนี้
แม้จะไม่ได้ไว้ใจแต่คนตัวเล็กก็เลือกที่จะไม่ทิ้งระยะห่างจากร่างสูงมากนัก
เหมือนกับคำที่ผู้ชายคนนี้พูดไว้เมื่อวานไม่มีผิด ไม่ให้หนีไปไหน
เพราะยังไงก็ไม่มีวันหนีได้อยู่ดี
ทำเป็นพูดเหมือนตัวเองเก่งกล้า
สุดท้ายแม้แต่จะออกห่างจากผู้นำตระกูลโนอาก็ยังทำไม่ได้… ความกลัวต่อปีศาจมันมากกว่าที่เขาคิด
ทีกี้แวะซื้อของหลายร้านอย่างผิดวิสัย
แต่อเลนก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะรู้สึกกลัวกับสายตาของปีศาจรอบตัวที่มองมามากกว่า
ของมากมายถูกยื่นมาให้ถือ และมันเริ่มมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มจะรับมือไม่ไหว
หากไม่รวมกลิ่นอายและความจริงว่าผู้คนที่นี่เป็นปีศาจ
โดยทั่วไปแล้วระบบทุกอย่างก็คล้ายคลึงกับโลกมนุษย์
มีการซื้อขายและใช้เงินตราสำหรับแลกเปลี่ยนสิ่งของ
พวกเขาต่างก็ใช้ความสามารถที่ตนมีในการรังสรรค์สิ่งต่างๆออกมา
เมื่อเห็นว่าร่างสูงอยู่ไม่ห่างออกไป
จึงตัดสินใจยกของทั้งหมดไปวางไว้บนรถม้าก่อน
พวกเขาทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ผู้ชายคนนั้นยังใช้งานเด็กหนุ่มเหมือนทุกครั้ง แต่ไม่ยอมปริปากสนทนาด้วยสักคำ
ตอนที่รู้ตัวว่าวันนี้ต้องตามเข้ามาในเมืองด้วย
ก็เพราะคนรับใช้คนหนึ่งมาเคาะประตูบอกถึงหน้าห้อง
“กลิ่นหอมจังเลยนะ เธอน่ะเป็นมนุษย์งั้นหรอ”
เสียงเย็นยะเยือกทำให้เจ้าของใบหน้าหวานที่กำลังเหม่อสะดุ้งขึ้น
กลิ่นอายของปีศาจคละคลุ้งจนแสบจมูก
เบื้องหน้าคือร่างสูงใหญ่ที่กำลังแย้มยิ้มด้วยความพอใจ อเลนรีบถอยหลังหนีทันที
มองไปรอบตัวกลับไม่พบร่างสูงของทีกี้ที่เคยยืนอยู่อีกต่อไป
เผลอละสายตาไปแค่ครู่เดียวเขาก็ดึงดูดปีศาจให้เข้าหาได้อย่างง่ายดาย
ความรู้สึกชาวาบปกคลุมไปทั่วร่างกาย
แม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าผู้นำตระกูลโนอาคนนั้นหายไปไหน
แต่สิ่งเดียวที่นึกขึ้นมาได้คือต้องรีบกลับไปที่ร้านเดิม
อย่างน้อยผู้ชายคนนั้นน่าจะยังไม่ได้เดินออกไปไหนไกล
หมับ
แต่ก็ไม่ทันจังหวะที่ปีศาจตรงหน้าคว้าข้อมือของเขาไว้ด้วยความว่องไว
แรงบีบมันมากพอจะทำให้เบ้หน้าเข้าหากัน
“น่าสนใจ ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“ปล่อยผมนะครับ!”
น่ากลัว… ใบหน้ากระหายที่เขามักจะเห็นจากปีศาจบ่อยๆมาตั้งแต่เด็ก
ตัดสินใจกระชากข้อมือของตัวเองออกมาอย่างสุดแรงและรีบพาตัวเองออกไปอีกทาง
มีแต่ต้องหนีเท่านั้น…
แต่เดิมศาสนจักรมีเหล่าผู้ต่อต้านปีศาจที่เรียกว่าเอ็กโซซิสต์
ผลพวงจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาอาวุธในการต่อสู้สถานเดียว
และอเลน วอล์คเกอร์ที่ไร้อาวุธจึงกลายเป็นแค่มนุษย์ไร้พลังคนหนึ่งเท่านั้น
ไม่นานมันคงจะตามหาเขาเจอ
จำเป็นต้องล่อออกไปตรงที่ที่ไม่พลุกพล่าน จะได้ไม่ดึงดูดปีศาจตัวอื่นมาเพิ่มอีก
ด้วยกลิ่นอายของพลังในตัวที่เขามี มันจึงรุนแรงมากกว่าที่ปีศาจจะได้กลิ่นมนุษย์ทั่วไปอีกหลายเท่า
อเลนกัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ
เพราะผู้ตัดสินว่าจะอยู่หรือตายคือผู้ชายคนนั้น
ทีกี้กำลังทำให้เขารู้ถึงความสำคัญของโนอา
หากยอมเป็นบรรณาการที่ดีเด็กหนุ่มก็จะปลอดภัยจากเงื้อมมือของปีศาจตนอื่น แต่หากต่อต้านก็จะโดนปล่อยให้ตายอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
เขากำลังถูกยื่นเงื่อนไขว่าจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เลยหากขาดการมีอยู่ของโนอา…
ในช่วงเวลาที่คิดว่าน่าจะพอทิ้งระยะห่างออกมาได้แล้ว
อยู่ๆปีศาจตัวเดิมก็ปรากฏกายขึ้นมาดักเส้นทางตรงหน้าไว้จนมิด วัดกันด้วยปัจจัยทางกายภาพ
ไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่อาจสู้ปีศาจด้วยมือเปล่าได้เลย
ปลายเท้าทั้งคู่พลันถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ
ไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมโนอาถึงยังไม่กำจัดเขาให้จบเรื่อง… นึกโกรธตัวเองที่ในเวลาสุดท้ายของชีวิตก็ยังหวังให้ชายคนนั้นมาช่วย
อเลนกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ
ความตายของเขาก็เหมือนการปูทางให้อโพคริฟอสทำสิ่งที่มันต้องการได้สำเร็จ
จังหวะนั้นแผ่นหลังของเด็กหนุ่มชนเข้ากับแผ่นอกของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
ไม่ทันได้หันกลับไปมอง
กลิ่นอายที่คุ้นเคยและความรู้สึกเหมือนไฟช็อตที่เกิดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายคว้าไหล่อันสั่นระริกของเขาไว้แน่นก็ทำให้รู้ตัว
“เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน”
ของเหลวสีแดงกระเซ็นมาโดนใบหน้าด้านหนึ่งพร้อมกับแขนทั้งสองข้างของปีศาจตรงหน้าที่ขาดออกเป็นสองท่อน
เสียงกรีดร้องอย่างทรมานตามมาหลังเจ้าตัวรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด
แต่ตัวต้นเหตุที่ยืนอยู่ด้านหลังอเลนก็ไม่ได้สนใจ
“กลับไปกับฉันได้แล้ว”
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างเชื่องช้า
อเลนทำได้เพียงยืนมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกอยู่พักใหญ่
ชุดราคาแพงทำให้เขารู้สึกแปลกไป
เป็นความจริงว่าศาสนจักรไม่ได้มีเงินมากมายขนาดจะให้เอ็กโซซิสต์ทุกคนใช้ได้อย่างฟุ่มเฟือย
เสื้อผ้าที่เขามีจึงเป็นตัวเดิมๆที่ใส่วนซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดสภาพก็เท่านั้น
โดยปกติแล้วผู้นำตระกูลโนอาเป็นชายที่ไม่ชอบความวุ่นวาย
ลำพังแค่การออกไปซื้อของใช้ในเมือง
แค่ชี้นิ้วสั่งคนรับใช้ในคฤหาสน์ให้ออกไปแทนก็ทำได้
แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น
วันก่อนหลังรถม้ามาถึงที่คฤหาสน์
คนรับใช้ต่างก็กุลีกุจอกันเข้ามายกสัมภาระตรงไปยังห้องของเขา
จนถึงตอนนี้อเลนก็ยังไม่อาจเข้าใจได้อยู่ดีว่าทีกี้จะซื้อของมากมายขนาดนั้นให้เขาไปเพื่ออะไรกัน
การกระทำของชายคนนั้นรับมือยากจนไม่รู้จะตอบสนองกลับไปอย่างไรดี
สัมภาระทั้งหมดเป็นเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น
ทีกี้เลือกสไตล์เสื้อผ้าในแบบที่เขาชอบใส่
เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมทับด้วยกั๊กสีเลือดหมู
แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่กลับปรากฏลายดอกกุหลาบอย่างประณีตเมื่อโดนแสง
เข้าชุดกับกางเกงสีทึบและรองเท้าหนังสีน้ำตาลทรงสูง
ทุกอย่างมันพอดีตัวไปหมดจนทำให้รู้สาเหตุที่โดนพาตัวไปด้วยวันก่อนอย่างแจ่มแจ้ง
‘คุณทำแบบนี้ทำไมครับ ทั้งที่เกลียดผมมากมายขนาดนั้น’
เป็นประโยคที่เด็กหนุ่มถามออกไปทันทีที่ตั้งสติได้
ของราคาแพงจากคนตรงหน้าก็ไม่ได้ทำให้อเลนพอใจ
มันไม่มีความจำเป็นอะไรด้วยซ้ำที่ผู้ชายคนนี้จะมาทำดีด้วย
‘เสื้อผ้าเก่าๆของเธอมันขัดตา’ ดวงตาสีทองของอีกฝ่ายไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับรังเกียจเด็กหนุ่มนักหนา
‘เพราะสัญญางี่เง่าอย่างเจ้าสาวของโนอานั่น
แต่งตัวให้มันสมฐานะหน่อยแล้วกัน’
อเลนรวบผมสีขาวของตนไปด้านหลังก่อนมัดด้วยริบบิ้นผ้าเส้นหนึ่งทั้งสีหน้าหงุดหงิด
อย่างไรก็ตามเหตุผลของผู้ชายคนนั้นก็ยังฟังไม่ขึ้นอยู่ดี
เพราะมัววุ่นวายกับเรื่องราวหลายอย่าง
ผมของเขาก็เลยยาวจนมัดรวบมาได้ตั้งขนาดนี้แล้ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาขัดจังหวะ
ก่อนการปรากฏตัวของผู้มาใหม่จะไม่ได้ผิดไปจากที่คาดเท่าไรนัก
“อรุณสวัสดิ์อเลน” เป็นโร้ดที่เดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ได้ยินคนใช้บอกว่าเธอจะแวะเข้ามาแป๊บหนึ่งก่อนออกไปข้างนอก
“ทีกี้ยังไม่ได้บอกเหตุผลที่เขาซื้อเสื้อผ้าให้เธอใหม่สินะ”
“ครับ?” คิ้วเรียวยกขึ้นด้วยความแปลกใจ
จะบอกว่ามีเหตุผลอื่นอีกด้วยหรือไง นอกจากเสื้อผ้าชุดเก่าของเขามันซอมซ่อจนน่าขัดตานั่น
“แฟชั่นไม่ถูกใจเขางั้นหรอครับ”
สีหน้าไม่พอใจที่พูดขึ้นอย่างจริงจังทำให้โร้ดพ่นหัวเราะออกมา
“ไม่ใช่ซักหน่อย นายไปขึ้นรถม้าได้แล้ว
อีกเดี๋ยวฉันจะออกไปพร้อมปะป๊า”
ออกไปข้างนอกอีกแล้วหรอ…
อาจเพราะทิฐิและความไม่พอใจส่วนตัว
อเลนเลือกที่จะไม่แตะต้องเสื้อผ้าที่ทีกี้เลือกให้มาโดยตลอด
เขาเดินไปไหนมาไหนด้วยชุดเก่าๆที่ชายคนนั้นบอกว่าขัดตามาสองวันเต็ม
จนล่าสุดเจ้าตัวออกคำสั่งว่าให้สวมชุดที่ซื้อมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ไม่คิดว่าจะต้องออกไปข้างนอกอีกครั้ง
ปลายเท้าทั้งคู่พาตัวเองมาหยุดหน้าคฤหาสน์ที่มีรถม้าคันเดิมจอดรออยู่
เขารอจังหวะให้ทีกี้เดินขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงพาตัวเองเข้าไปตาม
ใบหน้าหวานเสมองออกไปนอกหน้าต่างแบบที่ชอบทำโดยไม่ได้สนใจร่างสูงที่นั่งตรงข้าม
ตั้งแต่อโพคริฟอสปรากฏตัวคราวนั้น
ทีกี้ก็เลือกที่จะพาอเลนไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา
แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมานิดหน่อย
อย่างไรก็ตามการเดินทางออกไปในที่ที่มีแต่ปีศาจ
มันทำให้เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องทำตัวติดกับชายคนนี้ให้มากที่สุดก็เท่านั้น
เขาจะปลอดภัยถ้าอยู่ใกล้คนๆนี้ เพราะเจ้าตัวมอบเงื่อนไขแบบนั้นมาให้
น้ำหนักของบางสิ่งที่วางลงบนตักทำให้เจ้าของดวงตาสีขี้เถ้าหันกลับมาสนใจได้อีกครั้ง
อเลนมองกองผ้าที่ทีกี้เพิ่งโยนมาให้ด้วยความงุนงง
ถ้าจำไม่ผิดมันคือเสื้อโค้ทสีน้ำตาลที่เคยอยู่ในมือของผู้ชายตรงหน้าตั้งแต่ก่อนขึ้นรถมา
“สวมไว้สิ กลิ่นอายของฉันจะทำให้พวกนั้นไม่กล้าโจมตีเธอ”
รอยยิ้มหล่อเหลากับสีหน้าอ่อนโยนที่ส่งมาให้ทำเอาคนมองทำตัวไม่ถูก
อเลนรีบยกเสื้อตัวนั้นมาสวมอย่างลนลาน
ท่าทางแบบนั้นทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย
กลิ่นอายของหัวหน้าตระกูลโนอาคละคลุ้งตามเนื้อผ้าเต็มไปหมดอย่างที่เจ้าตัวพูด
เขาก้มหน้างุดลงไปกับคอเสื้อที่ตั้งสูงขึ้นมา เพราะเป็นเสื้อของคนที่ตัวใหญ่กว่า
ความยาวมันถึงได้มากพอขนาดจะใส่เป็นเดรสได้เลย
ความไม่รู้ทำให้เขากลัวและตัดสินอีกฝ่ายว่าไม่ดีทั้งที่ยังไม่เคยเจอกันมาก่อน
แม้จะไม่ได้ชอบใจและไม่รู้เหตุผลจากการกระทำหลายๆอย่าง
แต่อย่างน้อยตอนนี้อเลนก็รู้สึกว่าอยากจะเข้าใจคนตรงหน้าให้มากกว่านี้สักหน่อย
“ขอบคุณนะครับ… สำหรับทุกๆอย่าง”
ประโยคหลังเบาลงแต่ก็ไม่ได้เบาจนฟังไม่ได้ความ
ทีกี้ทำท่าจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ทำได้เพียงเม้มปากเข้าหากันแน่น
แม้คิ้วของเด็กตรงหน้าจะขมวดเข้าหากันราวกับไม่ชอบใจและซ่อนใบหน้าไว้ใต้ปกเสื้อก็ตาม
แต่ใบหูทั้งสองข้างกลับกำลังระบายสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
เจ้าของดวงตาสีทองย่นคิ้วเข้าหากันก่อนย้ายสายตาออกไปด้านนอกเหมือนไม่พอใจ
ความรู้สึกบางอย่างที่เกาะกุมหัวใจทำให้เขากลืนคำพูดประชดประชันลงไปในลำคอจนหมด
“เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ”
จริงอย่างที่โร้ดว่า
ไม่ว่าหนุ่มน้อยจะตั้งใจล่ออะโพคริฟอสมาหรือไม่
แต่ท่าทางหวาดกลัวที่เห็นเมื่อตอนนั้นดูเป็นอาการคาดไม่ถึงมากกว่าความตั้งใจเสียอีก
นิสัยที่เห็นชัดอย่างนึงของอเลนคือการไม่ยอมพูด
แล้วเก็บปัญหาทุกอย่างไว้กับตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้คนอื่นจะไปเข้าใจได้ยังไงเนอะ;-;
ส่วนอีกคนนึงก็ปากไม่ตรงกับใจซะเหลือเกิน น่าปวดหัวกับคู่นี้จริงๆค่ะ
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น