คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : ▲ [D.Gray man] White & Dark lord (Tyki x Allen) - Part 4
** มีฉากบรรยายถึงเลือด และความรุนแรงในตอน เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ**
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
อเลนขยับกายขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความรู้สึกปวดที่คอ ใบหน้าหวานแสดงความงัวเงียพักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองรอบห้องเมื่อได้สติ
เมื่อคืนนี้เขารีบวิ่งหนีออกมาจากห้องของทีกี้อย่างไม่คิดชีวิต
ตรวจดูประตูหลายรอบแล้วว่าล็อคอย่างดี หัวใจที่เต้นรัวเป็นกลองชุดทำให้เขาไม่สามารถข่มตาลงนอนได้
แต่อาจเพราะความเหนื่อยล้าสะสมหลังเจอเรื่องราวมากมาย
รู้ตัวอีกทีก็เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
สภาพของเขายังปกติ
ประตูห้องไม่ได้มีร่องรอยโดนพังเข้ามา
แต่ความรู้สึกมึนหัวตีเข้ามาเล็กน้อยเพราะเมื่อคืนพักผ่อนไม่เพียงพอ
รอยกัดที่คอสะท้อนผ่านภาพในกระจกกลับมาในสายตา
มันทิ้งไว้เพียงรอยแผลรูปฟันที่เริ่มจะแห้งลงแล้วกับความรู้สึกปวดตุบๆ
คิ้วเรียวนิ่วเข้าหากันเล็กน้อยยามที่นิ้วมือสัมผัสไปโดน
แม้ติดกระดุมเม็ดบนสุดแล้วก็ยังปกปิดได้ไม่มิด
สิ่งที่พบเห็นมันเกินความเข้าใจไปมากโข
อเลนไม่รู้ว่าลอร์ดทีกี้ มิกก์มีกี่คนกันแน่
แต่ทั้งสองคนที่เจอเมื่อวานมีระดับพลังแปรปรวนจนรู้สึกได้ ไหนจะคำพูดแปลกๆอย่าง‘เป็นฉันทั้งคู่’นั่นด้วยอีก
พลันประตูห้องที่ถูกผลักออกอย่างง่ายดายก็กระชากสติของคนที่กำลังใช้ความคิดให้หายไป
สาบานว่าเมื่อคืนเขาล็อกมันอย่างดีแล้ว
แต่ร่างที่แทรกกายเข้ามาก็ทำให้เจ้าของห้องที่กำลังตกใจต้องชะงักไป
“ทีกี้ทำนายกลัวงั้นหรอ” เสียงนั้นเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เธอคือโร้ด คาเมลอต
เด็กสาวร่างเล็กที่มักจะไปไหนมาไหนกับหัวหน้าตระกูลโนอาอยู่บ่อยๆ
ดวงตาสีทองของอีกฝ่ายลอบมองมายังลำคอของคนตรงหน้า
ก่อนจะสังเกตเห็นรอยช้ำบนผิวขาวจัด
“หมอนั่นจะไม่เล่นแรงเกินไปหน่อยหรือไง”
อเลนไม่ได้สนใจประโยคเหล่านั้น
ผู้คนจากโนอาทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวมากกว่าสิ่งใด
ยิ่งปลายเท้าของโร้ดใกล้เข้ามาเท่าไร เด็กหนุ่มก็ยิ่งถอยหลบมากขึ้นเท่านั้น
กระทั่งฝ่ามือของคนตัวเล็กกว่ายื่นเข้ามาสัมผัสใบหน้า
ร่างกายมันก็ดันตอบสนองด้วยการหลับตาปี๋อัตโนมัติ
“นายเนี่ยหน้าตาน่ารักชะมัด… หมอนั่นก็แค่ชอบแกล้งคนน่ารักนี่นะ”
สัมผัสที่ไม่คุกคามทำให้แพขนตาหนาค่อยๆเปิดขึ้น
รอยยิ้มจากอีกฝ่ายทำให้คนจากศาสนจักรผ่อนคลายลง
ก่อนที่เขาจะผละออกมาให้มีระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่มากขึ้น
ถ้าโดนแกล้งจริงก็เล่นแรงเกินไปจริงๆนั่นแหละ… ทำเอาวันนี้ไม่อยากออกไปเจอหน้าอีกแล้ว
“พวกเขามีสองคนงั้นหรอครับ” ตัดสินใจถามสิ่งที่กำลังสงสัย
บางทีอาจจะเป็นสามคนเสียด้วยซ้ำหากนับรวมร่างปกติที่เคยเจอครั้งแรก
พลังชีวิตของแต่ละร่างไม่เท่ากันสักคนจนน่าแปลกใจ
พลันสีหน้าที่เคยประดับไปด้วยรอยยิ้มของเด็กสาวก็เปลี่ยนเป็นความนิ่งสนิท
ดวงตาสีทองที่จ้องเข้ามาในดวงตาของเขาทำให้อเลนประหม่าเล็กน้อย
“คำสาปยังไงล่ะ…”
“เหมือนที่พวกนายโดนริบพลังศักดิ์สิทธิ์ไป
ตระกูลของฉันก็โดนคำสาปด้วยเหมือนกัน”
เด็กหนุ่มนึกถึงเรื่องราวที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก
ที่ว่าโนอาโดนคำสาปให้ไม่อาจควบคุมพลังของตนได้
และมันจะเป็นเหมือนดาบสองคมคอยแว้งกัด
บางทีนั่นอาจจะเป็นคำอธิบายของปรากฏการณ์เหล่านี้
“ในคืนแรมกับพระจันทร์เต็มดวง นายก็ระวังไว้ด้วยล่ะ… พวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้หรอกนะ”
บรรยากาศในการสนทนากับเด็กคนนี้ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าโนอาคนอื่น
ถึงอย่างนั้นอเลนที่เป็นคนระมัดระวังตัวก็ยังไม่ได้ให้ความไว้วางใจใครทั้งนั้น
หากแต่โร้ดกำลังใช้ประโยคด้วยคำว่า‘พวกเขา’ เท่ากับยอมรับว่าสองคนนั้นเป็นลอร์ดทีกี้ด้วยกันทั้งคู่
แต่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับโนอาทุกคนเลยหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้
“เธอก็ด้วยหรอครับ”
“เฉพาะแค่ทีกี้น่ะ”
เธอคนนี้เอาแต่ยกยิ้มให้อเลนราวกับถูกใจมากมายนักหนา
“ไปกันเถอะ ฉันอยากกินข้าวกับนายชะมัด”
ทั้งพฤติกรรมและคำพูดคำจาของคนตัวเล็กดูไม่เหมือนกับเด็ก
ไม่รู้ว่าเพราะเป็นปีศาจหรือเปล่าจึงทำให้พวกเขาเยาว์วัยกว่าอายุจริง
อเลนขมวดคิ้วงุนงงครู่หนึ่ง
ก่อนจะพลันนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเอ่ยเชิญชวนในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ออกมา
“เดี๋ยวก่อนครับ ผมน่ะหรอนั่งกินข้าวกับเธอ”
เด็กหนุ่มมักจะแสดงท่าทางเลิ่กลั่กให้เห็นอยู่บ่อยๆ
และภาพเหล่านั้นมันค่อนข้างตลกในสายตาของคนมอง โร้ดยิ้มขำ
ทีกี้ต้องไปแกล้งเด็กคนนี้มากขนาดไหนเจ้าตัวถึงได้มีท่าทีเข็ดขยาดได้มากขนาดนั้น
บรรยากาศในห้องอาหารดำเนินไปอย่างเงียบสงัด
เป็นครั้งแรกที่อเลน วอล์คเกอร์พาตัวเองมานั่งบนเก้าอี้ฉลุลายหรูหราเหล่านี้
ข้างกันคือโร้ด
และฝั่งตรงข้ามคือชายร่างสูงที่กำลังยกแก้วชาขึ้นมาจิบด้วยใบหน้าเรียบสนิท
คราวนี้เจ้าตัวมีแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปจากเมื่อคืน
แม้รอยแผลเป็นบนหน้าผากของตระกูลโนอาจะยังคงอยู่
แต่กลิ่นอายราวกับผสมรวมคนทั้งคู่เอาไว้ด้วยกัน
บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะจำเรื่องราวทุกอย่างไม่ได้
แต่อย่างไรก็น่ากลัวอยู่ดี …ไม่รู้ว่าจะกำลังโกรธอยู่หรือเปล่า
การที่โร้ดชวนมาร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกันแบบนี้ เขาจะไม่โดนบีบคอตายไปเลยหรือไงนะ
มือขาวยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบด้วยความประหม่า
ทั้งที่สมาชิกคนอื่นต่างก็มีท่าทีผ่อนคลายกับอาหารตรงหน้า
พลันดวงตาสีทองของคนนั่งตรงข้ามที่อยู่ๆก็เลื่อนมามองบริเวณรอยกัดก็ทำให้เด็กหนุ่มสำลักน้ำด้วยความตกใจ
ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มกับท่าทีเหล่านั้น
ก่อนปลายนิ้วมือที่พยายามยื่นไปสัมผัสลำคออีกฝ่ายจะให้ความรู้สึกเหมือนไฟช็อตจนคนตัวเล็กกว่าต้องรีบผละตัวห่างออกไป
“เจ็บหรือเปล่า เมื่อคืนฉันดันกัดแรงไปหน่อย”
เอ๊ะ…
“อ..อย่าเข้ามาใกล้ผมนะครับ!” ดวงตาสีขี้เถ้าเบิกกว้างอย่างกับไข่ห่าน
พร้อมทั้งร่างบางที่เด้งขึ้นยืนแล้วถอยออกไปทั้งที่ยังจัดการกับอาหารตรงหน้าไม่เรียบร้อย
คนๆนี้จำเรื่องราวทุกอย่างได้หมด… นี่มันหมายความว่ายังไงกัน
รอยยิ้มพอใจที่เหมือนจะไม่ยอมหุบลงง่ายๆทำให้อเลนทำตัวไม่ถูก
สายตาคู่นั้นที่มองมาราวกับจะทำให้สติที่มีโดนดูดไปจนหมดสิ้นนั่นอีกแล้ว
ก้อนเนื้อใต้อกมันก็พาลตอบสนองอย่างรุนแรงเสียจนใบหน้ามันร้อนวูบวาบไปทั้งหมด
สุดท้ายอเลนก็ได้ข้อสรุปจากการพยายามนั่งเชื่อมโยงเรื่องราวทุกอย่างอยู่พักใหญ่
ลอร์ดทีกี้
มิกก์คือว่าที่ผู้นำตระกูลโนอาซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งโดยสมบูรณ์ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
รวมถึงเป็นผู้ที่มีพลังสูงสุดในหมู่พี่น้องทั้งหมดด้วย
เพราะคำสาปจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ทำให้โนอาทุกคนไม่อาจควบคุมระดับพลังที่ขึ้นๆลงๆของตนได้
ในกรณีของทีกี้อาจจะเลวร้ายกว่าตรงที่เขาถูกแยกร่างออกเป็นสองในคืนแรมหรือพระจันทร์เต็มดวง
ส่วนรายละเอียดอื่นๆของร่างที่ถูกแยกออกมาเด็กหนุ่มยังไม่ทราบแน่ชัด
และเมื่อไรก็ตามที่เข้าสู่ช่วงรุ่งสาง
ทีกี้ก็จะกลับมาเป็นคนๆเดิมแบบที่มีพลังของคนทั้งคู่ผสมรวมอยู่ในกาย
อย่างน้อยยังพอโล่งใจได้ว่าพลังที่ไม่เสถียรอาจจะทำให้ชายคนนั้นข้ามไปทำร้ายผู้คนที่ศาสนจักรไม่ได้
อเลนได้แต่จมกับความคิดของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
บทลงโทษที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายไร้กำลังอาจจะสร้างความแค้นใจได้ไม่น้อย
แต่เป้าหมายของการขึ้นสู่จุดสูงสุดจะทำไปเพื่ออะไรกันแน่
หากพวกเขายอมใช้ชีวิตต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเองตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องเกิดการสูญเสียมากมายขนาดนี้
พวกเขามีความสัมพันธ์ในตระกูลที่ดีต่อกัน
ทีกี้เป็นอาของโร้ดและเป็นเจ้านายที่ดีของปราสาทแห่งนี้
แต่ไม่ใช่ชายที่ดีกับคนจากโลกมนุษย์
ช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวในปราสาทอันเงียบสงัดไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัว
ทีกี้และโร้ดออกไปข้างนอกแต่ไม่ได้พาเขาไปด้วยเช่นทุกครั้ง
รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ยังมีเวลาให้เขาได้พักหายใจจากเรื่องราวที่ไม่เข้าใจอีกมากมาย
อเลนไม่ได้มีความคิดจะหนีออกไปจากที่แห่งนี้
เพราะอย่างไรก็ตามโลกภายนอกก็ยังเต็มไปด้วยปีศาจที่เขาไม่อาจรับมือไหว
ตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีหลังจากที่เสนาธิการครอสหายตัวไปอย่างลึกลับ
อเลนพยายามหาเบาะแสที่อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมดมาโดยตลอด
สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเดินทางมายังโลกปีศาจอย่างไม่ลังเลคงเป็นเพราะความลับที่วาติกันพยายามซ่อนมาโดยตลอดถูกเปิดเผย
และเขาไม่คิดจะกลับไปใช้ชีวิตในศาสนจักรอีกครั้งเลยด้วยซ้ำ…
ไม่ใช่ความผิดของเหล่าผู้คนที่เขาเติบโตมาด้วยและให้ความสนิทใจ
หากแต่เป็นการตัดสินใจของผู้มีตำแหน่งสูงส่งต่างหากที่ทำให้ความเชื่อถือที่เคยมีพังครืนลงอย่างไม่มีทางย้อนกลับ
ไม่ช้าก็เร็วความลับของบรรณาการที่ถูกสับเปลี่ยนจะถูกเปิดเผย
เมื่อถึงเวลานั้น‘เจ้านั่น’ก็จะออกตามล่าเขาอีกครั้ง
แปล๊บ…
ความรู้สึกปวดเสียดแล่นไปทั่วร่างกายซีกซ้ายทันทีเมื่อเด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น
อยู่ๆบรรยากาศที่เคยเงียบสงัดในปราสาทก็กลับหนักอึ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
อเลนหอบหายใจอย่างลำบาก
ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนค่อยๆปะทุออกมาเหมือนกับคืนที่มาน่าโดนสังหาร
มันเข้าโจมตีจนเสียหลักลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดท่า
สายลมแห่งความหวาดกลัวพัดเข้ามาปะทะใบหน้า พร้อมๆกับขนนกสีขาวที่พลันผลุดขึ้นมาบนแขนข้างซ้ายอย่างรวดเร็วจนให้ความรู้สึกหนักอึ้ง
“หาเจอแล้ว… อยู่ที่นี่เองสินะ”
เสียงพูดหนึ่งดังก้องเข้ามาในหัว
เสียงที่น่าหวาดกลัวแต่คุ้นเคยดีเหลือเกินทำให้ลมหายใจของร่างบางขาดห้วง
ชั่วขณะนั้นอเลนสัมผัสได้ถึงระดับพลังมหาศาลที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที
ต้องหนีไปให้ไกลจากที่นี่… มีแต่ต้องหนีไปตลอดชีวิตเท่านั้น
“หาเจอแล้ว อเลน… วอล์คเกอร์”
เสียงนั้นยานคางจนน่าขนลุก
ปลายเท้าทั้งคู่พาร่างวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
แม้ในตอนนี้ปราสาทจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยกว่าภายนอก
แต่การรั้นจะอยู่แต่ในที่แห่งนี้ก็เหมือนเป็นเป้านิ่งให้โดนตามล่า
กลิ่นอายและบรรยากาศหนักอึ้งแบบนั้นเป็นมันไม่ผิดแน่
ทำไมมันถึงข้ามมาโลกนี้ได้… ซ้ำยังมาได้ถูกเวลาอย่างกับวางแผนล่วงหน้าเอาไว้แล้ว
แขนซ้ายที่เขาแสนจะรังเกียจเป็นเหมือนกับสิ่งระบุตำแหน่งให้มันได้รับรู้
ความรู้สึกร้อนระอุผสมรวมกับความหนักอึ้งเมื่อขนนกเริ่มเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆจนมีรูปลักษณ์เหมือนกับปีก
อเลนหอบหายใจไล่ความรู้สึกเสียดแทงที่อัดแน่นเต็มอก ร่างของเขากำลังเริ่มออกห่างจากปราสาทของโนอามากขึ้นทุกที
มันไม่เคยมีใครช่วยเขาได้เลย… แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเองเลยด้วยซ้ำ
พลั่ก…
แต่แล้วแรงปะทะจากด้านหน้าก็ทำให้ทั้งร่างเซถลา
ฝ่ามือใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามคว้าไหล่บางได้ทันก่อนที่ร่างนั้นจะเสียหลักล้มลงไป
ทีกี้มองคนตรงหน้าที่มีรูปลักษณ์แปลกไปอย่างไม่เข้าใจนัก
“เธอหนีอะไรมาหนุ่มน้อย”
“….”
ไร้เสียงตอบรับจากคนตัวเล็ก
ไหล่บางสั่นระริกพร้อมกับใบหน้าหวานที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อตามไรผม
อเลน
วอล์คเกอร์มักจะมีท่าทีตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อพบกันครั้งแรก
โดยเฉพาะกับเขาที่เจ้าตัวดูจะพยายามรักษาระยะห่างอยู่ตลอดเวลา
ในเวลานี้กลับไม่มีท่าทีต่อต้านแม้ไหล่ทั้งสองข้างจะกำลังโดนกอบกุมอยู่ก็ตามที
ราวกับมีบางสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นกำลังไล่ตามเด็กคนนี้
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรออเลน”
เป็นจังหวะเดียวกับโร้ดที่เดินตามหลังมาแทรกตัวเข้าไปสวมกอดคนที่กำลังหวาดกลัวอย่างแผ่วเบา
อเลนไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนลงไปนั่งกับพื้น
พร้อมกับดวงตาสีขี้เถ้าที่จ้องมองเข้าไปในความว่างเปล่าด้วยความหวาดกลัว
ท่าทางว่าคงสติหลุดไปแล้วจริงๆ… เด็กหนุ่มไม่ตกใจกับปฏิกิริยาของโร้ดเลยด้วยซ้ำ
“ตั้งสติหน่อย”
ทีกี้ยื่นมือเข้าไปล็อคคางมนนั้นให้หันกลับมา
ดวงตาคู่คมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
“ใครกำลังตามเธอมากันแน่”
เป็นครั้งแรกที่ร่างบางเห็นสายตาที่แปลกไปจากคนตรงหน้า
ดวงตาสีทองในเวลานี้ไม่ได้น่ากลัวแบบทุกครั้งแต่กลับให้ความรู้สึกตรงกันข้าม
สติที่กระเจิดกระเจิงเริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง
คนตรงหน้าให้ความรู้สึกปลอดภัย… ทำไมในเวลานี้โนอาจึงปฏิบัติกับเขาแบบนี้กันนะ
“เจ้านั่นมันมีเป้าหมายเป็นผม” อเลนก้มหน้าต่ำลง
เขาไม่อาจห้ามมือทั้งสองข้างของตนให้สั่นได้ จึงทำได้แค่กุมมันเอาไว้แน่น
ความรู้สึกร้อนวูบวาบที่แขนก็เริ่มจางหายไปแล้ว
ต่อให้หนีมาที่โลกปีศาจแล้วเจ้านั่นก็ยังตามมาได้… เคยคิดว่าโนอาอาจจะพอทำอะไรซักอย่างได้
แต่นั่นก็เหมือนเขากำลังลากภัยมาสู่คนอื่นแบบที่ทำมาโดยตลอดอีกครั้ง
เขามันก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้น…
แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ
แต่มวลอากาศที่พัดผ่านเข้ามาก็ทำให้ทีกี้รีบผละตัวออกไป
ดวงตาคู่คมกวาดมองรอบตัวอย่างระแวดระวังในทันที เขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่มีพลังมหาศาลอยู่ไม่ห่างออกไป
และมันก็กำลังตามล่าเด็กคนนี้อย่างที่เจ้าตัวพูดไม่มีผิด
จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่ง
กายสูงโปร่งก็กลับมายืนในท่าปกติอีกครั้ง
เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจุดก่อนพ่นควันสีขาวออกจากริมฝีปากอย่างใจเย็น
พลันดวงตาสีทองก็หรี่ลงอย่างครุ่นคิด
แขนซ้ายที่มีรูปลักษณ์เหมือนปีกนกของอีกฝ่าย
แม้ในเวลานี้จะค่อยๆจางหายไปแล้วทำให้เขาสะกิดใจ
บางสิ่งที่เคยคุกคามกำลังถอยห่างออกไป
ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าเคยได้ยินเรื่องราวทั้งหมดมาจากที่ใดมาก่อน
“มันไปแล้วล่ะ”
อเลน
วอล์คเกอร์ที่กำลังหวาดกลัวไม่อยู่ในสภาพพร้อมพูดเท่าไรนัก
ทีกี้จึงเลือกที่จะไม่ถามอะไรไปมากกว่านั้น
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาปล่อยให้โร้ดพาตัวเองมานั่งอยู่ในห้องนอนนี้อีกครั้ง
สิ่งที่อเลนทำมีเพียงการนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองเป็นเวลาเนิ่นนาน
เขาชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาและนั่งกอดมันไว้แบบนั้น
โดยที่ดวงตาคู่สวยทำเพียงมองทะลุออกไปในความมืด
ภาพเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียทั้งมาน่าและครอสไปมันกำลังวนกลับมาฉายในหัวซ้ำๆราวกับต้องคำสาป
แม้จะยังไม่พบร่างของเสนาธิการหนุ่ม
แต่ปริมาณเลือดที่เปรอะเปื้อนไปทั่วห้องมันทำให้เขาคนนั้นถูกตั้งสถานะว่าเสียชีวิตไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าใครที่พยายามต่อต้านต่างก็ต้องพบกับจุดจบแบบนั้น… ความจริงเขาไม่ควรเอาตัวเองไปอยู่ใกล้ใครเลยด้วยซ้ำ
เพราะเกิดมาจากพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า
เจ้าสิ่งนั้นที่มีสถานะเหมือนกันจึงต้องการรวมเป็นหนึ่งเพื่อถือกำเนิดอาวุธที่มีอานุภาพเพียงพอจะทำลายโนอาได้
ปณิธานที่สิ่งนั้นกำลังทำสอดคล้องกับเป้าหมายของศาสนจักรเสียจนน่าขำ
อเลนรู้ความจริงมาระยะหนึ่งแล้วว่าคนที่ส่งมันมาไม่ใช่ใครจากที่ไหนไกล…
หากแต่เป็นวาติกันที่ต้องการครอบครองอำนาจสูงสุดเหนือกว่าโลกปีศาจ
โดยไม่ได้สนใจชีวิตที่ต้องแลกมาด้วยเลยแม้แต่นิด
ใบหน้าหวานซบลงกับเข่าของตัวเองอย่างเหนื่อยล้า
ความจริงข้อนั้นทำให้เขารู้สึกหมดศรัทธาทุกครั้งที่นึกถึง
มีน้อยคนนักที่จะเข้าถึงความจริงเรื่องนี้ได้
เพราะคนที่ศาสนจักรถูกปลูกฝังมาให้ปกป้องมนุษย์จากการรุกรานของปีศาจ
แต่ไม่มีใครได้รับรู้ความจริงว่าเบื้องบนของพวกเขากำลังวางแผนจะทำลายอีกโลกหนึ่งให้ราบคาบ
อเลนไม่รู้ว่าโนอากำลังวางแผนจะทำลายโลกมนุษย์เช่นเดียวกันหรือไม่
แต่ระดับพลังที่ขึ้นๆลงๆของว่าที่ผู้นำตระกูลทำให้เขารู้สึกสะกิดใจไม่น้อย
คืนก่อนที่ได้พบกับร่างที่แยกออกเป็นสอง
คนหนึ่งมีบรรยากาศและพลังปีศาจมากมายจนน่าขนลุก แต่อีกคนกลับสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายใดๆออกมาจากร่างเลยแม้แต่นิด
นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีกำลังพอจะทำร้ายศาสนจักรได้หรือเปล่านะ…
เสียงประตูห้องที่ถูกเปิดออกเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มให้เงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง
เขาถูกปล่อยให้นั่งอยู่คนเดียวในห้องมาพักใหญ่
แต่ร่างที่ปรากฏกายขึ้นมาคนแรกในเวลานี้กลับเป็นทีกี้ที่กำลังสาวเท้าใกล้เข้ามา
สีหน้าเย็นชาและดวงตาสีทองคู่นั้นดูน่ากลัวกว่าทุกครั้ง แต่อเลนกลับไร้เรี่ยวแรงที่จะแสดงความหวาดกลัวกลับไปอีกแล้ว
“เจ้านั่นคืออโพคริฟอสใช่ไหม …เป็นเธอที่ตั้งใจล่อมันให้มาหาฉันสินะ”
กลิ่นมาม่ารุนแรงเหลือเกิน
นี่มัน Toxic relationship ของแท้ค่ะ ชีวิตน้องจะรันทดไปไหน
ขอโทษที่มาอัพช้านะคะ ก่อนหน้านี้รู้สึกเขียนไม่ออกนิดหน่อย
เลยไปเปิดสมองกับการอ่านและการดูสื่อหลายๆอย่างมาเพิ่มเติม
ถือว่าช่วยได้เยอะทีเดียวเลยค่ะ
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น