คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #55 : ◣Fanfic◥ [AllxLuffy] Candied dream : Heartless twin(2) (Part14)
Rate: PG-13
Writer: PINKUHERO
Part: 14/20
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คราวนี้แหละ… แผนการหนีจะได้สำเร็จเป็นเรื่องเป็นราวซักที
ลูฟี่ก้าวขาตัวเองออกจากหน้าต่างห้องเก็บของ
พาดตัวเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้กันราวกับลูกลิง
ก่อนค่อยๆไถลทั้งร่างนั้นลงมาสู่พื้นดินชั้นหนึ่งโดยสวัสดิภาพ
ออกจากบ้านมาได้แล้ว…
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกที่ภายในบ้านดับโคมไฟลงไปเกือบหมดแล้ว
หลังจากโดนไล่ให้ไปนอนที่ห้องใต้หลังคา ลูฟี่ก็รอเวลาที่แน่ใจว่าผู้ชายสองคนนั้นไม่มาวุ่นวายด้วยแล้วแอบเดินออกมายังห้องเก็บของชั้นสองที่หมายตาเอาไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน
และลงสู่พื้นดินโดยอาศัยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ข้างหน้าต่างนั้นได้อย่างพอดิบพอดี
นึกหงุดหงิดชุดคนใช้แสนซอมซ่อที่ได้มาจากผู้ชายผมเขียวคนนั้นอยู่ไม่น้อย
แม้มันจะหนาพอป้องกันอากาศที่เริ่มหนาวขึ้นทุกทีได้ดีกว่าชุดเดิมก็ตามที
ไม่ได้หงุดหงิดที่มันแสนซอมซ่อแถมยังเปื้อนคราบเขม่าสีดำๆหรอกนะ… แต่หงุดหงิดที่หน้าตาของมันยังไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่ากระโปรงอยู่ดียังไงล่ะ
ไม่มีเวลาให้มาสนใจสิ่งใดเพิ่มอีก
แม้ตอนนี้รอบกายจะรายล้อมไปด้วยความมืด
แต่ขาทั้งสองข้างก็ยังต้องเร่งความเร็วเพื่อออกไปจากพื้นที่นี้ให้เร็วที่สุด
พอจะจำทางที่มีบ่อน้ำได้ลางๆ
ว่าปลายทางคือทางออกที่เชื่อมกับถนนสายหนึ่งในเมืองเก่าแก่ทรงยุโรปแห่งนี้
อย่างกับหลุดเข้ามาต่างประเทศยังไงยังงั้น
ถนนที่ทอดยาวปูด้วยอิฐบล็อกรูปร่างแปลกตาเต็มไปหมด
รถม้าที่แม้จะมืดค่ำขนาดนี้ก็ยังมีให้เห็นสัญจรอยู่บ้าง
หรือแม้แต่ผู้คนบางตาที่แต่งตัวแปลกๆ บ้างก็สวมหมวกทรงสูง
บ้างก็ถือไม้เท้าหรือร่มบ้างเป็นประปราย
ดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นชายในชุดเครื่องแบบอยู่ห่างออกไปเพียงประมาณหนึ่งมุมถนน
หมวกสูงขนเฟลอร์ประหลาดตา กับเสื้อคอตั้งประดับยศ
รวมไปถึงรองเท้าบูทสูงที่พบเห็นได้บ่อยๆเช่นนั้น …เหมือนกับทหารที่อยู่ในนิทานไม่มีผิด
“ ไอ้หัวมอส
แกไปต้อนเด็กนั่นให้ออกห่างจากทหารซะ! ”
“ อย่ามาสั่งกันน่า! ”
แต่แล้วเสียงที่คุ้นหูก็ทำให้ใบหน้าหวานหันขวับกลับไปมองเส้นทางที่เคยผ่านมาแทบจะทันที
ดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้างเมื่อร่างที่ปรากฏให้เห็นอยู่ไม่ห่างนั้นช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน
ผู้ชายผมเขียวหน้าดุที่วิ่งนำหน้ามาพร้อมกับการหันกลับไปขึ้นเสียงใส่ชายอีกคน
เจ้าของผมสีทองและดวงตาสีฟ้าเทาเผยรอยยิ้มที่มุมปากเด่นชัดกว่าทุกทีที่ลูฟี่เคยเห็น
“
ส่วนฉันจะเป็นคนพามันกลับบ้านเอง ”
โกยสิโกย
โกยให้เร็วที่สุดเลย!
“ ให้ตาย
พวกนายจะตามราวีฉันไปถึงไหนเนี่ย! ”
เสียงเล็กโวยวาย สองเท้าก็วิ่งออกไปอย่างไม่รู้ทิศทาง
นอกจากไม่รู้จักสถานที่นี้แล้ว อากาศก็ชักจะเริ่มเย็นลงทุกที
เสียงฝีเท้าที่ไล่ตามหลังมาไม่ห่างทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
ลำพังเด็กหนุ่มผอมแห้งแบบเขาจะเอาอะไรไปงัดกับผู้ชายตัวใหญ่สองคนได้กันเล่า
มีดีแค่หนีเก่งก็ต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์นี่แหละ
ลูฟี่อาศัยความปราดเปรียวและประสบการณ์การหนีที่สั่งสมมานานลัดเลาะเข้าตามซอกตึกสูงที่ค่อนข้างมืดและอับสายตา
เพียงไม่นานร่างสูงของคนหน้าดุที่เคยวิ่งตามมาก็คลาดกันไปได้ไม่ยาก
หันกลับไปมองอีกครั้งก็พบว่าไม่มีใครตามมาแล้วจริงๆ เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
ในขณะที่ปลายเท้าเล็กๆนั้นยังไม่ได้ลดความเร็วลง
เส้นทางที่มองเห็นภายหน้ากลับเป็นเพียงทางตันเท่านั้น
ครั้นจะให้ย้อนกลับไปทางเดิมแล้วโดนจับอีกรอบก็ไม่เอาเหมือนกัน
สายตาพยายามมองหาสิ่งที่พอจะทำให้เขาปีนขึ้นไปข้างบนได้ ต้องมีบันไดหรืออะไรบ้างสิ…
ทำได้แค่แหงนหน้ามองผนังตึกไปเพียงเท่านั้น
เวลาเพียงชั่วครู่ทั้งร่างก็โดนโอบรัดเอาไว้แน่นด้วยแขนของใครบางคน
เด็กหนุ่มทำได้เพียงดิ้นขลุกขลักอยู่ภายในอ้อมแขนแกร่งของคนผู้นั้น
ร่างผอมบางแบบเขาทำอะไรคนตัวใหญ่ไม่ได้เหมือนเคย
“ แกอาจจะหนีเก่งนะ
แต่อย่าลืมสิว่าฉันรู้จักที่นี่ดีกว่าแก ”
เสียงนุ่มทุ้มที่พูดขึ้นข้างหูทำเอาเสียวสันหลังวาบ …เสียงของผู้ชายคิ้วม้วนคนนั้น ในขณะที่อีกคนคลาดสายตาไป
ก็ยังมีอีกคนที่วางแผนเส้นทางไว้อย่างดีมาไล่จับเขาด้วย ความหวังว่าจะหนีรอดออกไปได้พลันริบหรี่ลงอีกครั้ง
เมื่อสุดท้ายแล้วก็โดนคนที่แรงเยอะกว่าหิ้วตัวกลับมาที่บ้านหลังเดิมอีกรอบจนได้…
“
วันนี้ฉันอนุญาตให้แกอยู่ที่นี่ได้ …ไปนอนซะ ”
หลังจากโดนพาเข้ามาที่ห้องๆหนึ่งได้
ผู้ชายผมทองก็ยืนกอดอกเฝ้าหน้าประตูด้วยใบหน้าราวกับกำลังคาดโทษ
มันคือห้องนอนที่มีเตียงกว้างแบบที่นอนกันสี่ห้าคนยังเหลือพื้นที่เหลือเฟือ
สายตาคู่คมปรายมองไปยังเตียงกว้างนั้นเหมือนกับออกคำสั่ง แต่คนไม่เข้าใจในความหมายทำได้เพียงแค่ขมวดคิ้วเข้าหากันเท่านั้น
“ ฉันบอกให้ขึ้นไปนอน
ห้ามหนีไปไหนอีก ”
แม้จะยังไม่เข้าใจในเหตุผล
แต่ลูฟี่ก็ทำได้เพียงทิ้งตัวลงกับฟูกสีขาวอย่างแผ่วเบา
เรื่องราวที่เขาพบเจอในทุกๆวันทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย
ในโลกความเป็นจริงที่เขาจากมายังมีอีกหลายสิ่งให้รับผิดชอบ
จะให้ทิ้งไว้ข้างหลังก็ไม่ได้เหมือนกัน …ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่า
แต่ก็ยังหวังว่าจะได้กลับไปเสมอ
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงพื้นเตียงที่ยวบลงไปตามน้ำหนักมาจากด้านหลัง
ก่อนเจ้าของวงแขนที่เคยโอบทั้งร่างของเขาจะล็อกเอวเอาไว้จนแผ่นหลังแนบไปกับหน้าท้องของอีกฝ่าย
ร่างเล็กสะดุ้งและพยายามฝืนร่างกายตัวเองลุกขึ้นนั่ง
แต่คนผมทองที่แรงมากกว่าก็ดึงกลับมานอนที่เดิมในลักษณะถูกกอดแน่นจากด้านหลังราวกับไม่ยอมให้หนีไปไหนอีก
ทำอะไรแปลกๆอีกแล้ว
“ ปล่อยฉันนะ
นายทำอะไรเนี่ย ” คนตัวเล็กเริ่มโวยวายอีกครั้ง
การดิ้นให้หลุดจากเกาะกุมดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ในเวลานี้
ได้ยินเพียงเสียงทุ้มของคนข้างหลังพูดผ่านใบหูมา
เป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนและไม่ดุเขาเหมือนทุกครั้งจนรู้ฟี่อดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้
“
ทำไมแกถึงได้ชอบหนีไปนัก ”
“
แล้วทำไมพวกนายจะต้องมาตามจับตัวฉันกลับไปอยู่เรื่อยเลย ”
ไม่ว่าใครต่างก็ไม่ต้องการให้เขาหนีไปทั้งนั้น
ลูฟี่ไม่เข้าใจความหมายของการกระทำเหล่านี้
ไม่เข้าใจว่าตัวเขามีอะไรบางอย่างที่คนพวกนี้ต้องการหรือไงกัน
ปลายจมูกโด่งของคนตัวสูงฝังลงไปในกลุ่มผมนุ่มด้วยความรักใคร่
ทั้งร่างกายบอบบาง ผิวเนียนนุ่ม และกลิ่นหอมอ่อนๆที่มาจากเด็กคนนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากเสียไปให้ใครทั้งนั้น
ความรู้สึกหวงแหนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้าแบบนี้มันช่างอันตรายเสียจริง
“ ห้ามหนีไปไหนอีก ”
ประโยคเดิมถูกกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ความรู้สึกชาวาบไล่ไปทั่วร่างกายยามที่ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดใบหู
มือเล็กพยายามแขนแข็งแรงออกจากร่างของตนโดยหวังจะให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไปเร็วๆ
“ พอแล้ว
ฉันไม่หนีไปไหนแล้ว ”
“ แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน
” แต่คนตัวสูงกลับกระชับอ้อมกอดนั้นแน่นกว่าเดิมจนไม่อาจขยับตัวได้
ความอบอุ่นจากร่างของคนที่โอบกอดไม่อาจทำให้หัวใจของลูฟี่อยู่อย่างสงบได้อีกต่อไป
“ แต่ฉันอึดอัดนะ ”
“ นอนนิ่งๆไปซะ ”
ยิ่งเสียงนุ่มๆแถมยังอ่อนโยนผิดหูผิดตายิ่งทำให้รู้สึกแปลกมากขึ้นไปอีก
แบบนี้จะหลับลงได้ยังไงกัน กระดุกกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย…
ไม่นานเท่าไรนัก
เสียงทุ้มที่เคยพูดอยู่ข้างหูก็เปลี่ยนเป็นลมหายใจที่สม่ำเสมอ
คนตัวเล็กพยายามแงะร่างตัวเองออกมาจากอ้อมแขนนั้นอย่างยากลำบาก
แม้มันจะคลายหลวมลงยามที่อีกฝ่ายเข้าสู่นิทราไปแล้ว
แต่ก็ยังไม่วายปล่อยตัวเขาออกไปไหนได้ง่ายๆ
สายตาสังเกตเห็นร่างของใครอีกคนที่ยืนมองภาพตรงหน้าอยู่ที่ปลายเตียง
ผู้ชายผมเขียวคนนั้นเพิ่งจะกลับมาถึงที่นี่ เขายืนเงียบโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง
ก่อนร่างนั้นจะเลือกทิ้งตัวลงมาอีกฝั่งของเตียงที่ยังว่างอยู่
มือหนาผลักเอาร่างของคนคิ้วม้วนออกจนกลิ้งหมุนไปด้านข้าง และอาศัยโอกาสนั้น
คว้าเอาร่างเล็กๆที่น่าทุถนอมตรงหน้าเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของตนแทน
ลูฟี่ปรับตัวตามสถานการณ์ดังกล่าวไม่ทัน
ทำได้เพียงนอนแข็งทื่อทั้งยังสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกรอบ
เล่นอะไรกันนะคนบ้านนี้
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน…
นอนไม่หลับแล้ว
ตาค้างแบบไม่ต้องพึ่งกาแฟเลย
ความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ไปทั่วทั้งใบหน้า
มันกลายเป็นการนอนหันหน้ามองผู้ชายหน้าดุคนนั้นตรงๆไปโดยปริยาย
ดวงตาคมสีดำของอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องเข้ามาในดวงตาของเด็กหนุ่มราวกับมันน่าสนใจอะไรนักหนา
เขาจ้องมองอยู่อย่างนั้นพักใหญ่โดยไม่ปริปากพูดอะไรซักคำ
เท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้ก้อนเนื้อที่อยู่ใต้อกมันสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะได้
เผลอก้มใบหน้าหวานหลบสายตาคู่นั้น มันจึงเหมือนการคลอเคลียกับอกแกร่งของอีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัว
คนหน้าดุกระชับอ้อมกอดของตนเข้ามามากกว่าเดิม
ก่อนฝังปลายจมูกลงไปยังกลุ่มผมนิ่มที่น่าสัมผัสนั้นอีกคน
“
อยู่นานกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง ”
เสียงทุ้มแหบเอ่ยอย่างแผ่วเบา
แต่ก็ดังพอจะทำให้จับใจความได้ไม่ยากนัก ทั้งบรรยากาศอันเงียบสงัดของยามค่ำคืนและอ้อมกอดที่ไม่ได้ล่วงเกินอะไรไปมากกว่านั้น
ลูฟี่รู้สึกได้ถึงความเหงาที่แสดงออกมาผ่านคำพูดนั้นได้เด่นชัดกว่าสิ่งใด…
ทุกคนต่างก็รู้ดี เจ้าหญิงมิได้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใดทั้งสิ้น
ต่อให้ปรารถนาหรือทุ่มเทกับความรักอย่างไรก็ไม่อาจครอบครองได้
และซักวันหนึ่งจะต้องจากไปในที่ไกลแสนไกล
แม้เป็นเช่นนั้น
แต่ทุกคนก็ยังเฝ้าถวิลหาไม่เคยเปลี่ยนแปลง…
เช้าที่สดใสของลูฟี่ถูกรบกวนด้วยการกระชากทั้งร่างขึ้นจากเตียงนอนทั้งยังหลับอยู่
นิ้วเรียวยกขึ้นมาขยี้ตาตัวเองด้วยความงัวเงีย
ในขณะที่ข้อมือก็โดนดึงไปยังสถานที่ที่ไม่ทราบจุดหมาย
“ พวกนายจะพาฉันไปไหน ”
เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอย่างคนไม่ตื่นดี
หลังจากลงบันไดบ้านไปด้วยความทุลักทุเล
ผู้ชายผมเขียวก็พาเขามาหยุดอยู่หน้ากระท่อมไม้เก่าๆที่อยู่ถัดไปจากบ่อน้ำที่เคยพบเห็น
ข้างกันเป็นผู้ชายผมทองที่เดินเข้าไปทำอะไรซักอย่างในนั้น
ก่อนเดินออกมาพร้อมใบหน้ายุ่งๆ
ทั้งร่างของเขาถูกดันเข้าไปอยู่ในกระท่อมแคบๆนั้นก่อนจะได้ทันรู้ตัว
ประตูไม้ของมันถูกปิดตามอย่างรวดเร็ว ก่อนมีเสียงคล้ายกับโซ่ให้ได้ยินตามหลัง
ร่างเล็กรีบพุ่งเข้าไปดันประตูนั้นออกแทบจะทันที
แต่ดูเหมือนมันจะโดนพันธนาการจากภายนอกเสียแล้ว
“ ทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันออกไปนะ! ”
กำปั้นเล็กใส่แรงไปที่ประตูดังปึงปัง แต่ไม่ได้ทำให้มันขยับเลยแม้แต่น้อย
“ อยู่ในนั้นเงียบๆไปซะ
จนกว่าธุระของพวกฉันจะเสร็จ ”
มีเพียงคำสั่งที่ได้ยินผ่านมาจากผนังอีกฟาก
คนพวกนี้แก้เผ็ดเขาด้วยการจับมาขังให้รู้แล้วรู้รอดเลยหรือเปล่านะ จะได้ไม่ต้องหนีไปไหนอีก …คิดยังไงก็แปลความหมายได้แบบนี้ทั้งนั้น
“ ไม่เอา
ทำไมพวกนายต้องขังฉันไว้แบบนี้ด้วย! ” เสียงปึงปังยังคงไม่หยุดลง
ลูฟี่พยายามหาทางออกไปหลายๆวิธี
แต่นอกจากประตูก็มีเพียงหน้าต่างบานเล็กๆที่ไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้เลยก็เท่านั้น
ธุระอะไรทำไมถึงจำเป็นจะต้องขังเขาไว้แบบนี้ด้วย… ครั้นจะถามหาเหตุผลของการกระทำของคนที่โลกนี้ก็ใช่ว่าจะได้คำตอบมาง่ายๆเสียหน่อย
มีแต่คนทำเรื่องแปลกๆตั้งแต่มาถึงที่นี่วันแรกแล้ว
“ อย่าส่งเสียงดัง
ไม่งั้นแกได้เจอการลงโทษจากฉันแน่ ”
คำขู่นั้นจากคนคิ้วม้วนก็เป็นอันทำให้ลูฟี่ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างลงแทบจะทันที
เขารู้สึกประหม่ากับการ ‘ลงโทษ’ ด้วยวิธีพิศดารอย่างการยื่นจมูกมาหายใจใกล้กันของคนๆนั้นไม่น้อย
ไม่อยากจะคิดว่าจะโดนอะไรหลังจากนั้นหากไม่รีบยกมือขึ้นมากันไว้ก่อน
ถึงจะซื้อบื้อแต่ก็ไม่ถึงกับไม่ประสีประสาขนาดนั้น
“ เชื่อฉันเถอะ
อยู่ในนั้นแกปลอดภัยที่สุดแล้ว ”
เป็นเสียงแหบทุ้มของชายอีกคนที่พูดขึ้นก่อนฝีเท้าของคนทั้งสองจะเริ่มก้าวห่างออกไป
ลูฟี่สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากน้ำเสียงนั้นอีกครั้ง
แต่ความหมายของมันกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง
ปลอดภัย… จากอะไรกันล่ะ?
แม้จะไม่ได้โวยวายออกไปเสียงดัง
แต่ก็ไม่ได้นิ่งเฉยที่จะหาหนทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้
มันเป็นเหมือนโกดังเก็บของเก่าๆที่มีสภาพฝุ่นเขรอะราวกับไม่ได้ใช้งานมาหลายสิบปี
ของใช้ที่ส่วนใหญ่ชำรุดไปหมดแล้วจัดวางอย่างไม่ค่อยมีระเบียบนัก
ไม่มีอุปกรณ์ที่พอจะทำให้พังประตูออกไปบ้างเลยหรือไงนะ… มีแต่ของใช้ทั่วไปในบ้านทั้งนั้น
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ
อากาศที่เคยหนาวเย็นยามเช้าเริ่มอบอุ่นขึ้นเมื่อเข้าสู่เวลาเที่ยงของวัน
กระเพาะเจ้ากรรมมันก็เริ่มประท้วงว่าหิวข้าวเสียแล้ว เมื่อไรธุระที่ว่าของสองคนนั้นจะจบลงเสียที
“ มีใครอยู่หรือเปล่า
ถ้าได้ยินก็ช่วยตอบกลับมาด้วยนะครับ! ”
แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดความคิดนั้น
เด็กหนุ่มที่กำลังหมดหนทางในการหลบหนีเด้งตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่
เท้าเล็กเขย่งเพิ่มความสูงเพื่อจะทำให้ตนสามารถมองลอดออกไปผ่านหน้าต่างบานเล็กบนหัวได้
เสียงของใครกันนะ… ทำไมไม่คุ้นหูเลย
มองออกไปแล้วก็ไม่เห็นวี่แววของคนเดินผ่านมา
เห็นเพียงแค่แปลงดอกไม้ของบ้านกับหมีขั้วโลกที่กำลังใส่เครื่องแบบสีส้มทั้งตัวก็เท่านั้น…
เดี๋ยวนะ…
“ หมีงั้นหรอ!! ”
แถมยังเป็นหมีขั้วโลกสีขาวหน้าตาน่ารักด้วยอีกต่างหาก!
ลูฟี่พูดออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ
แปลกประหลาดเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้
ทำไมหมีขั้วโลกจึงมาอยู่ที่นี่และใส่ชุดเครื่องแบบทหารเสียเต็มยศขนาดนั้น
มิหนำซ้ำยังมีรองเท้าบู๊ทสีน้ำตาลนั่นด้วยอีก
หมีใส่รองเท้าเนี่ยนะ…
“ ขอโทษครับ ”
เมื่อมองเห็นใบหน้าตื่นเต้นที่มองผ่านหน้าต่างออกมา
สัตว์ขนปุยก็รีบโค้งศีรษะลงขอโทษด้วยใบหน้ารู้สึกผิดเต็มประดา
ไม่รู้ว่าทำผิดอะไรเหมือนกัน แต่ต้องขอโทษไว้ก่อนก็เท่านั้น
“ ม...หมีพูดได้ด้วย!! ”
ยิ่งทำให้ลูฟี่ตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก
ดวงตากลมโตเป็นประกายสุกใสราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่
ส่วนหมีขาวตัวนั้นก็เอาแต่ก้มหัวขอโทษงกๆอยู่แบบนั้น เพียงพักหนึ่งก็ได้สติ
เด้งตัวกลับขึ้นมาและส่ายหน้าเป็นพัลวัน บ่นพึมพำกับตัวเองพอเป็นคำพูดให้ได้ยินว่า ‘ไม่ใช่สิ ไม่ได้มาเพื่อมายืนขอโทษนะ’
“ ฉ…ฉันมาช่วยนายออกไปจากที่นี่! ”
“
บอกแล้วใช่มั๊ยว่านั่นมันก็แค่แมวที่บ้านพวกฉันเลี้ยงไว้ก็เท่านั้น ”
เสียงทุ้มของคนคิ้วม้วนเอ่ยขึ้นอย่างยียวน
ต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนนับสิบที่ยืนรายล้อมอยู่หน้าบ้านของเขา ข้างหลังมีร่างสูงโปร่งของชายปริศนาในชุดสูงศักดิ์กับรถม้าจอดอยู่ไม่ห่าง
“
ไปเอาข่าวลือมาจากไหนกันว่าฉันเจอเจ้าหญิง …ถ้าเจอจริงๆก็ดีน่ะสิ พวกนายตาฝาดกันแล้วล่ะ ”
“
นึกแล้วก็คิดถึงมันไม่หาย ป่านนี้จะได้กินข้าวหรือยังก็ไม่รู้ ”
ชายผมเขียวที่ยืนอยู่ข้างกันกล่าวเสริมทัพ คนเหล่านี้คือทหารจากพระราชวังอันไกลโพ้น
เล่นแห่กันมาหลายสิบคนตั้งแต่หัววันขนาดนี้ ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่ามาตามหาตัวเจ้าหญิงกันล่ะ
ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมส่งตัวให้ง่ายๆหรอก
โดยเฉพาะให้กับ ‘หมอนั่น’
เจ้าชาย ที่ยืนอยู่ตรงนั้น…
ชายในชุดเครื่องแบบวิ่งผ่านร่างของสองพี่น้อง
ก่อนตรงไปยังผู้สูงศักดิ์ที่ยืนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่เงียบๆมานาน
กล่าวรายงานพร้อมโค้งตัวเคารพว่าหาสิ่งที่ต้องการไม่พบแต่อย่างใด
“
ค้นให้ทั่วบ้านก็ไม่เจอหรอกน่า รีบๆกลับไปซะเถอะ ” คนหน้าดุกล่าวด้วยความรู้สึกระอาเต็มทน
แต่เหล่าทหารผู้จงรักภักดีก็หาได้หยุดการค้นหาลงไม่
ทุกนายที่ทำหน้าที่อารักขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่เว้นแม้แต่ตัวเจ้าชายเอง
เจ้าของใบหน้าคมคายยังคงสีหน้าเรียบสนิทเอาไว้โดยไม่ยี่หระต่อคำพูดกวนประสาทของชายสองคนตรงหน้า
ใช้เวลาเพียงพักหนึ่งก็ปรากฏร่างของใครบางคนวิ่งหน้าตั้งตรงมายังเขาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
“ ฝ่าบาทขอรับ ฝ่าบาท! ”
หมีขาวในชุดสีส้มทั้งตัววิ่งมาหยุดตรงหน้าก่อนยืนหอบอย่างหมดสภาพ
เพียงเท่านั้นก็เพียงพอจะเรียกรอยยิ้มขึ้นมาบนริมฝีปากได้รูปของผู้เป็นนาย
ขายาวทั้งสองข้างพาร่างของเขาเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจคนที่อยู่รอบตัวอีก
ทิ้งไว้เพียงความสงสัยให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น
เกมซ่อนหาในครั้งนี้ เขาเป็นผู้ชนะแล้วล่ะ…
เหงาเหลือเกิน…การรอคอยมันเหงาเหลือเกิน
ซินเดอเรลล่าผู้น่าสงสารถูกรังแกจากพี่เลี้ยงใจร้าย หลายต่อหลายครั้ง
หากแต่ไม่มีใครรู้ถึงความห่วงใยที่แสดงผ่านการกระทำเหล่านั้นแม้แต่น้อย...
แม้รู้ดีว่าซักวัน เจ้าหญิงจะต้องจากไป
แต่มันช่างทำใจได้ยากนัก …ต้องกลับไปเหงาอีกแล้วหรือ
ความคิดเห็น