ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★ One Piece 'short fanfiction All Luffy [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #73 : ◣Fanfic◥ [DoflamingoxLuffy] Akaito (Part2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.9K
      44
      5 พ.ย. 66

    Title: Akaito
    Pairing: Doflamingo x Luffy
    Rate: PG-13
    Writer: PINKUHERO
    Part: 2/??

    แนะนำเปิดเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ:)
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


     

     

     

     








    ข่าวการเสียชีวิตของหัวหน้าตระกูลคนเก่า และการแต่งตั้งหัวหน้าตระกูลคนใหม่แห่งดองกิโฮเต้แพร่สะพัดไปหลายพื้นที่ ตระกูลขุนนางเก่าราวกับต้องคำสาปเมื่อต้องสูญเสียยศถาบรรดาศักดิ์ ซ้ำร้ายยังเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันส่งให้ผู้นำตระกูลคนสุดท้ายต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว

     

           โดฟลามิงโก้ได้รับการติดต่อจากบริวารที่ยังคงเหลือบางส่วนจากบ้านเกิด พวกเขาจะตามมาสบทบและให้การรับใช้ในอีกไม่นาน เด็กหนุ่มใช้เวลาช่วงเย็นของวันอยู่กับทะเลสาบของตระกูล วันนี้เขาก็อยู่กับคนในชุดยูกาตะสีม่วงที่ร่างกายซีดจางราวกับภาพวาดเช่นเดิม

     

    เทพผู้ถูกทอดทิ้งผู้นั้นรับรู้ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่เขาไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายโชคชะตาของมนุษย์ได้มากไปกว่านี้ เจ้าตัวทำได้เพียงเอ่ยเตือนคนที่เป็นห่วงไปเท่านั้น

     

    อย่าไว้ใจใครง่ายๆ แม้คนตรงหน้าจะเป็นคนคุ้นเคยก็ตาม

     

           หัวหน้าตระกูลคนใหม่ได้รับการถ่ายทอดคำพูดมาเช่นนั้น วันนี้เขาจำเป็นต้องเข้าไปทำธุระในเมือง บริวารจากต่างแดนที่เหลืออยู่ไม่มากจะเดินทางมาถึงญี่ปุ่นโดยรถไฟในวันนี้ พวกเขาจำเป็นต้องมีผู้นำทางเพียงหนึ่งเดียวเช่นเขา

     

           เมืองใหญ่มีการจราจรที่วุ่นวาย รถยนต์สัญจรเต็มสองข้างทาง เด็กหนุ่มยืนรออยู่หน้าสถานีรถไฟได้พักใหญ่ คนคุ้นหน้ากันดีก็โค้งตัวคำนับตามอำนาจเดิมที่เจ้าตัวพึงมี หนึ่งในนั้นมีเด็กชายอายุประมาณห้าหกปีที่สวมหมวกขนสัตว์มาด้วยกัน

     

           จนกระทั่งตกลงกันได้ว่าจะนั่งรถยนต์กลับไปยังคฤหาสน์ บริวารคนหนึ่งก็ขับรถโบราณมาจอดตรงหน้า พวกเขาขนสัมภาระขึ้นไปวางบนรถ ให้อำนาจหัวหน้าตระกูลเลือกรถคันที่สะดวกสบายที่สุด โดฟลามิงโก้ระบายยิ้มพอใจ จังหวะที่ฝ่ามือของเจ้าตัวสัมผัสโดนกับประตูรถ ก็ราวกับมีไฟฟ้าช็อตจนต้องชักมือกลับมาคืน

     

    อย่าขึ้นรถคันนั้นนะ ห้ามเด็ดขาด

     

    ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว น้ำเสียงอันคุ้นเคยจากเด็กหนุ่มร่างเล็กที่พบกันอยู่ทุกวัน คนตัวสูงหันมองรอบตัว แต่ก็ไม่ปรากฏเจ้าของเสียง

     

    “นั่นเธอหรอ” ทำไมจึงเตือนกันแบบนี้ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มที่เขาไม่ทราบชื่อผู้นั้นอยู่ที่ใด แต่ภาพที่ซีดจางของเจ้าตัวกับย้อนมาในความคิดอีกครั้ง

     

    “หมายความว่ายังไง ทำไมเธอถึงใช้พลังกับฉัน”

     

    ทั้งที่เจ้าตัวเองก็เหลือพลังอยู่ไม่มากแล้วโดฟลามิงโก้รู้สึกใจไม่ค่อยดีนัก

     

    เขารีบกวาดสายตามองรอบตัว บริวารรอบตัวไม่ได้มีพิรุธใด แต่พื้นที่รอบข้างที่เคยครึกครื้นเมื่อครู่กับเงียบสงัดลงอย่างน่าสงสัย เด็กหนุ่มถอยปลายเท้าข้างหนึ่งออกมาโดยอัตโนมัติ

     

    กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่

     

    รีบออกมาจากตรงนั้น!เสียงหวานดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะรู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลังจนล้มลงไปกับพื้น แรงกระแทกอย่างรุนแรงพร้อมเสียงดังสนั่นจากด้านหน้าส่งให้กายสูงโปร่งไถลออกไปจากจุดที่เคยล้มลงไปอีกระยะ

     

    รถคันเดิมที่เขาเคยจะเปิดประตูระเบิดเสียงดัง พร้อมกับไฟที่ลุกไหม้ถาโถมทั้งคันในเวลาอันสั้น

     

    หากไม่ได้แรงกระชากเมื่อครู่ ร่องรอยการบาดเจ็บจะไม่ใช่แค่รอยถลอกตามตัวเช่นตอนนี้

     

    อีกครั้งแล้วที่เขาถูกช่วยไว้โดยเด็กคนนั้นโดฟลามิงโก้รีบเรียกสติของตนกลับมา เขาประมวลผลเหตุการณ์ทุกอย่างได้เพียงชั่วครู่ ปลายเท้าทั้งคู่ก็รีบพาตัวเองกลับไปยังสวนซากุระนั้นอย่างแทบไม่ต้องคิด

     

    จะต้องรีบกลับไปหาคนๆ นั้น คนที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่เขาแต่เป็นเทพผู้ถูกทอดทิ้งคนนั้น

     

     

     

    วันนั้นโดฟลามิงโก้กลับไปที่ทะเลสาบที่รายล้อมไปด้วยพรรณไม้สีชมพูนั้นอีกครั้ง แต่เขากลับไม่พบร่างของเด็กหนุ่มที่เฝ้าถวิลหา

     

    ไม่ว่าจะเอ่ยเรียกอย่างไร หรือแม้แต่ไปตามหาที่ศาลเจ้าซอมซ่อนั่นก็แล้ว แต่กลับไร้วี่แววของร่างเล็กนั้น

     

    เขานั่งอยู่อย่างนั้นจนท้องฟ้ามืดมิดลง แม้จะผ่านไปกลางดึกจนจวนจะเข้าวันใหม่ สถานที่แห่งนี้ก็มีเพียงเขาผู้เดียว

     

     

     

    วันต่อมา และวันต่อๆ มา เด็กหนุ่มยังคงทำเช่นเดิมอยู่แบบนั้น เขาพาตัวเองเข้ามาในสวนซากุระของตระกูล สวนที่ไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามา ใช้เวลาของช่วงเย็นนั่งมองทะเลสาบที่กระแสน้ำนิ่งสนิทอย่างไร้จุดหมาย โดยหวังว่าจะได้พบคนที่เฝ้าถวิลหาในซักวัน

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันเช่นกัน กายสูงโปร่งทิ้งตัวลงพิงกับลำต้นของซากุระต้นใหญ่ เบื้องหน้าของเขาคือศาลเจ้าเก่าๆ ที่ประตูของมันเปิดออกฝั่งเดียวเพราะบานพับที่สึกหรอ รูปปั้นหินทรงคล้ายกับตัวทานุกิล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น

     

    ต้องอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวแบบนี้มานานแค่ไหนกันนะ ก่อนจะมาพบกับเขา

     

    คราวนี้ก็จะทิ้งให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวแทนหรือไงกัน

     

    ไม่ใช่ซักหน่อย เป็นไปได้ฉันก็อยากอยู่กับนายต่อไปนะ

     

           เสียงที่ตอบความคิดในใจทำให้คนที่เคยนั่งเหม่อสะดุ้งขึ้น เขาหันมองรอบตัว แต่ก็ไร้ร่างที่คุ้นเคยหรือแม้แต่เสียงยุกยิกที่เจ้าตัวมักจะชอบทำตอนแอบซ่อนก็ไม่มีให้ได้ยิน

     

    “เธออยู่ที่ไหน เธอหายไปไหนมา” โดฟลามิงโก้ร้อนรน ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ใต้อกราวกับจะระเบิดออกมาตอนนี้ เผลอคิดไปแล้วว่าเจ้าตัวจะไม่มีวันกลับมาแล้วเสียอีก

     

    “ฉันอยู่ที่นี่ อยู่ตรงหน้านาย” เสียงหวานดังออกมาจากศาลเจ้าเล็กๆ ตรงหน้า แต่ดวงตาใต้กรอบแว่นกลับมองไม่เห็นร่างบอบบางอยู่ภายใน

     

    “แต่ฉันไม่มีพลังพอจะปรากฏให้นายเห็นได้อีกแล้ว ขอโทษทีนะ”

     

    เพราะว่าช่วยคนตรงหน้าไว้ ถึงได้สูญเสียพลังไปแบบนั้น

     

    ริมฝีปากบางระบายยิ้มเศร้า น่าเสียดายที่รอยยิ้มนี้คนตรงหน้าไม่มีวันได้เห็นมันอีกแล้ว

     

    “เทพที่ไร้คนศรัทธาแบบฉันมีเวลาจำกัดนัก คราวนี้ฉันมาเพื่อมาลานายเท่านั้น” เวลากำลังนับถอยหลังอย่างเชื่องช้า พลังชีวิตถดถอยลงตามศรัทธาที่เหลือเป็นศูนย์

     

    “ทำไมนะ การจะช่วยคนๆ หนึ่งถึงต้องแลกมาด้วยเรื่องแบบนี้”

     

    “เดี๋ยวสิ ไม่ได้นะ ห้ามหายไปไหน!” ไม่มีเวลาให้ได้ทันเตรียมใจ ความรู้สึกดีใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความรู้สึกบีบรัดไปทั่วทั้งอก มีแต่คำถามว่าทำไมอยู่ในหัวของบุตรชายแห่งดองกิโฮเต้เต็มไปหมด

     

    เพราะศรัทธาอย่างนั้นหรือ ของยุ่งยากแบบนั้นทำไมจึงจำเป็นนัก

     

    “เธอไม่ได้ไร้คนศรัทธา ฉันนี่ไง ฉันศรัทธา” แม้จะได้ยินเพียงเสียงของอีกฝ่าย แต่ดวงตาภายใต้กรอบแว่นยังคงจ้องเข้าไปยังศาลเจ้าอย่างแน่วแน่

     

    “ฉันรู้ว่าเธอคือเทพ ฉันเชื่อว่าเธอมีอยู่จริง”

     

    ท่าทางขึงขังทำให้เทพผู้เฝ้ามองหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ สายตาที่เศร้าหมองมองเจ้าของใบหน้าคมตรงหน้าด้วยความเอ็นดู

     

    “นายก็รู้ สิ่งที่นายให้ฉันไม่ใช่ความศรัทธาหรอกนะ”

     

    คนฟังเพียงชะงักไปชั่วครู่ เทพผู้นี้ล่วงรู้ทุกอย่างจริงๆ สินะ

     

    “ขอบคุณนะที่มอบความรู้สึกแบบนั้นให้กัน แต่ฉันคงต้องไปแล้ว

     

    เสียงนั้นค่อยๆ แผ่วเบาลง ก่อนจะถูกกลบด้วยเสียงของแมกไม้ที่สั่นไหว กลีบสีชมพูพัดปลิวสัมผัสโดนใบหน้าอย่างแผ่วเบาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ และเสียงของนกที่บินกลับรังในช่วงพลบค่ำ

     

    พื้นที่แห่งนี้เหลือเพียงเขาที่โดนทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียวเท่านั้น

     

    โดฟลามิงโก้ยังคงกลับมาที่ทะเลสาบแห่งนี้ทุกวัน โดยหวังว่าเขาจะได้พบกับคนที่เฝ้ารอในซักวัน

     

    แม้เรื่องนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงก็ตาม

     

     

     

     

     

     

           กาลเวลาได้ไหลผ่านเหมือนกับสายน้ำ เปลี่ยนผลัดฤดูกาลไปหลายครั้งจนเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงปัจจุบัน ดองกิโฮเต้ยังคงเป็นที่รู้จักในนามของบริษัทค้าขนมต่างประเทศที่โด่งดัง

     

           หากแต่สิ่งนั้นเป็นแค่ฉากบังหน้าที่โดฟลามิงโก้ ชายวัยสามสิบหกปีสร้างขึ้นมาตบตาผู้อื่นเท่านั้น ภายใต้ธุรกิจโรงงานขนมหวานที่รุ่งเรือง เขาเป็นที่รู้จักในนามผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ที่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย เพียงแต่อาวุธเหล่านั้นไม่ได้จำกัดการจำหน่ายให้เพียงแค่ผู้คนที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นคลังแสงชั้นดีของกบฎและกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดด้วยเช่นกัน

     

           เป็นอีกหนึ่งวันที่ชายหนุ่มเดินทางมาเจรจาธุรกิจ สถานที่นัดหมายคือสถานเริงรมย์ชื่อดังของเมือง แสงไฟหลากสีประดับประดาอยู่บนเพดานหมุนวนไปมาชวนให้รู้สึกมึนหัว ที่แห่งนี้มีทั้งเด็กสาวและเด็กหนุ่มในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย เพื่อเป็นเป้าหมายในการบริการแก่ผู้มาเที่ยวในค่ำคืนนี้

     

    หลังเจรจาธุรกิจเสร็จสิ้นเขาก็เลือกที่จะใช้เวลาในสถานเริงรมย์แห่งนี้อีกซักพัก มองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าที่กำลังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า พร้อมเหยียดยิ้มให้กับความจริงอันน่าโสมม

     

    ใครๆ ก็รู้ว่าที่นี่มีธุรกิจค้ามนุษย์ มีเพียงตำรวจเท่านั้นที่ทำเป็นไม่รู้

     

           แต่แล้วเสียงเอะอะโวยวายจากด้านหลังก็ดึงความสนใจของหัวหน้าตระกูลดองกิโฮเต้ให้หันไปมอง ใครบางคนท่ามกลางฝูงชนกำลังยุดยื้อกันอยู่ แต่เพราะแสงที่มืดสลัวของร้านทำให้มองออกได้ยากนัก

     

    ชายร่างท้วมคนหนึ่งพยายามจะรั้งข้อมือของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้ ฝ่ายคนตัวเล็กกว่าก็ไม่ยอม อ้าปากงับแขนอีกฝ่ายจนจมเขี้ยว สิ่งที่ทำให้โดฟลามิงโก้ต้องตัดสินใจเดินเข้าไปไม่ใช่เพราะเป็นหนึ่งในคนรู้จัก แต่ชุดที่ไม่ได้วับแวมแต่เป็นเพียงกิโมโนสีม่วงอ่อนของเด็กคนนั้นเท่านั้น

     

    ทำไมกันนะ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องเข้าไปวุ่นวายด้วยแท้ๆ

     

    “เจ้าเด็กบ้า กัดฉันแบบนี้คิดว่าจะทำงานอยู่ที่นี่ต่อได้หรือไง!

     

    “ลุงนั่นแหละจับตรงไหนกันแน่ ฉันไม่เอานิ้วจิ้มตาก็บุญแล้ว!

     

    “ไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร กล้ามาทำแบบนี้แกไม่มีอนาคตแน่!

     

    เสียงของคนสองคนปะทะฝีปากกันเคล้าไปกับเสียงเพลงที่ดังระงมในร้าน คนที่เคยวาดลวดลายอย่างสนุกสนานเริ่มหลีกทางออกเป็นวงกว้างเมื่อดูท่าว่าสองคนนี้จะไม่ยอมยุติลงง่ายๆ

     

    บางสิ่งกระตุ้นให้ร่างสูงก้าวเข้าไปในวงนั้นโดยอัติโนมัติ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้เขาเลือกที่จะเอื้อมมือไปคว้าร่างเล็กนั้นมาไว้ในอ้อมแขน จนทำให้คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสับสนระคนกับตกใจ

     

    “เขาเป็นคนของฉันเอง แกมีปัญหาอะไรงั้นหรอ”

     

           กายที่สูงโปร่งของชายหนุ่มดึงความสนใจของคนทั้งหมดให้หันไปมอง ชายร่างท้วมที่คราแรกตั้งท่าจะง้างแขนหวังใช้กำลังกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นอันต้องชะงัก เขามองผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

     

    “ด..ดองกิโฮเต้”

     

    รอยยิ้มเหยียดกว้างบนริมฝีปากได้รูป ใครๆ ก็รู้ว่าไม่ควรมีเรื่องกับตระกูลนี้ที่มีเส้นสายกับทั้งตำรวจและผู้มีอำนาจในตลาดมืด แม้จะขัดใจไม่น้อยแต่ชายผู้นั้นก็ยอมรามืออย่างว่าง่าย พร้อมๆ กับฝูงชนที่เริ่มกลับไปครื้นเครงอีกครั้งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

     

    “ดองกิโฮเต้งั้นหรอ” เสียงเล็กจากร่างในอ้อมแขนพูดขึ้นด้วยความสงสัย เขาดันร่างผอมบางของตัวเองออกก่อนมองร่างตรงหน้าด้วยความสับสน ไม่ทันได้ขยับตัวไปมากกว่านั้น ข้อมือเล็กก็ถูกคว้าเอาไว้ ก่อนดึงทั้งร่างออกไปจากบริเวณนั้น

     

    “เธอเองก็ต้องมากับฉัน”

     

    “เดี๋ยวสิ นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย!” เสียงเล็กโวยวาย แม้ชายหนุ่มจะรู้สึกคุ้นหูเสียงนั้นไม่น้อยแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือออก แม้เด็กที่เดินตามมาด้านหลังจะพยายามต่อต้านอย่างไรก็ไม่อาจสู้แรงที่มากกว่าได้

     

    เขาพาคนอายุน้อยกว่ามาหยุดหน้าประตูสถานเริงรมย์ คลายข้อมือบอบบางนั้นออก ก่อนหันมาประจันหน้า แสงไฟที่สว่างมากขึ้นทำให้โดฟลามิงโก้เห็นภาพทุกอย่างชัดเจน มันกระจ่างเสียจนทำให้เผลอชะงักค้างไปทั้งแบบนั้น

     

    ทั้งใบหน้า ช่วงวัย ส่วนสูงหรือแม้แต่ร่างกายบอบบางแบบนั้นเหมือนกับคนๆ นั้นทุกประการ

     

    เหมือนแม้กระทั่งรอยแผลเป็นใต้ดวงตาข้างซ้ายของเจ้าตัว

     

    นี่มันเรื่องตลกอะไรกันแน่

     

    “นายเป็นใครเนี่ย ทำไมไม่พูดอะไรซักอย่าง” แม้แต่เสียงเล็กที่กำลังเอ็ดเขาด้วยความไม่พอใจแบบนั้น

     

    มันจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้เกิดขึ้นได้ด้วยงั้นหรือ

     

    “เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย ทำไมถึงมาทำงานแบบนี้” แต่ประโยคแรกที่ชายหนุ่มเลือกที่จะเปิดบทสนทนาออกไปกลายเป็นสิ่งนี้ ไม่คาดคิดว่าจะได้มาพบกันอีกครั้ง แถมยังเป็นสถานที่อโคจรอีกต่างหาก

     

    ไม่รู้หรอกว่าฟ้าดินตั้งใจหรือไม่แต่โดฟลามิงโก้คิดว่านี่คงเป็นโอกาสของเขาแล้ว

     

    “ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันมาช่วยงานเอสต่างหาก!” ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน มองดูแล้วก็น่าตลกดีเหมือนกัน ชายหนุ่มยกยิ้มให้กับท่าทางเหล่านั้น

     

    ฟังอย่างไรก็ไม่ได้ทำให้สถานะของตัวเองดีขึ้นเลยไม่ใช่หรือไง แล้ว เอส ที่ว่านั่นก็ใครไม่รู้

     

    “ฉันมีงานที่ดีกว่านี้ให้เธอทำสนใจไหม บ้านฉันทำโรงงานขนมหวานนะ”

     

    เห็นการชักชวนอย่างไม่น่าไว้ใจของคนตรงหน้า เด็กหนุ่มก็ได้แต่ย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจ ครั้งนี้เขามาช่วยงานพี่ชายตัวเองจริงๆ อย่างที่ปากว่า แถมยังได้รับการป้อนข้อมูลมาจากปู่ด้วยว่าคนที่ชื่อ ดองกิโฮเต้ เป็นคนไม่ดี เป็นผู้ต้องสงสัยด้วยอีกต่างหาก

     

    “ไม่เอาหรอก นายมันคนนิสัยไม่ดี แถมมีธุรกิจสีเทาอีก!

     

    จะว่าเป็นคนเถรตรงหรือซื่อบื้อดี โดฟลามิงโก้หลุดหัวเราะออกมาจากประโยคนั้นของเด็กหนุ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

    “โห รู้ละเอียดขนาดนั้นเชียว ใครส่งเธอมากันล่ะเด็กน้อย” ดูท่าว่าเขาจะประมาทคนตัวเล็กไม่ได้แล้วสิ

     

           เสียงไซเรนตำรวจเป็นสิ่งดึงความสนใจของคนทั้งคู่ให้หันไปมอง รถตำรวจหลายคันกำลังจอดเทียบลงตรงหน้าสถานบันเทิง ก่อนที่ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งจะตรงมายังพวกเขา เขาเป็นชายอายุประมาณยี่สิบปีต้นๆ  สวมเครื่องแบบตำรวจเต็มยศ ผมหยักศกสีดำถูกปล่อยลงด้วยความยาวระต้นคอ

     

    “เขาเป็นคนของผมเอง” ใบหน้าคมคายนี้ไม่ว่าใครต่างก็รู้จักกันดี เขาคือ โปรโตกัส ดี เอสตำรวจสืบสวนมือดีที่มีอัตราการปิดคดีได้สูงที่สุดในสำนัก เจ้าตัวก้มหัวทักทายโดฟลามิงโก้เล็กน้อยตามมารยาท

     

    “นั่นลูฟี่น้องชายผม ไม่ใช่เด็กบริการอย่างที่คุณเข้าใจ”

     

    เด็กหนุ่มที่เป็นหัวข้อสนทนาเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหลบหลังพี่ชายตัวเองอย่างไม่ลังเล ซ้ำยังไม่วายแลบลิ้นให้คนอายุมากกว่าเพราะรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าด้วย เจ้าของตระกูลโด่งดังเพียงกลั้วหัวเราะในลำคอ เขายักไหล่ขึ้นเล็กน้อยเหมือนเป็นการบอกว่า ช่วยไม่ได้นี่นะ

     

    “หลานชายของการ์ปนี่เอง โตขึ้นมากขนาดนี้แล้วหรอ” ประโยคนั้นส่งให้เจ้าของชื่อลูฟี่ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

     

    เขาเคยเจอผู้ชายตัวสูงปี๊ดคนนี้ที่ไหนมาก่อนด้วยหรอ

     

    “คุณเองก็ยังไปไหนไม่ได้ ช่วยให้ความร่วมมือกับตำรวจด้วย”

     

     

     

     

     

     

           เรื่องราวทั้งหมดได้คลี่คลายลงเมื่อกำลังตำรวจกรูกันเข้าไปในสถานบันเทิง ก่อนออกหมายจับผู้ต้องหาที่ทำธุรกิจค้ามนุษย์ โดยเฉพาะเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เจ้าของสถานเริงรมย์ถูกคุมตัวไปโรงพักตามระเบียบ ส่วนลูฟี่เป็นเพียงนกต่อไม่บรรลุนิติภาวะที่ถูกส่งมาช่วยสืบคดีเท่านั้น

     

    “ฉันไม่น่าเชื่อใจนายเลย มีซักครั้งมั้ยที่แผนจะไม่ล่มก่อนฉันมาถึง”

     

    คนเป็นพี่ดึงแก้มนุ่มของน้องชายก่อนยืดออกเพราะอดหมั่นไส้ไม่ได้ เจ้าน้องคนนี้ก็ดันชอบไปมีเรื่องกับคนอื่นไปทั่ว ถ้าโดฟลามิงโก้ไม่แยกออกมาก่อน แผนก็คงแตกแล้วว่าเป็นคนของตำรวจ ส่วนเด็กน้อยก็ทำได้เพียงตีมือพี่ชายตัวเองเพราะเจ็บ

     

    น่าเสียดายที่ไม่อาจหาเบาะแสใดมาเล่นงานหัวหน้าตระกูลดองกิโฮเต้ได้ แม้เจ้าตัวจะเป็นหนึ่งในคนที่มาใช้บริการในสถานเริงรมย์แห่งนี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าได้ซื้อบริการเด็กไม่บรรลุนิติภาวะด้วย เจ้าตัวจึงถูกปล่อยตัวกลับบ้านไปอย่างง่ายดาย

     

    ถึงอย่างไรลูฟี่ก็ยังไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่าผู้ชายคนนี้มีประวัติใสสะอาด

     

    ถ้าปู่บอกว่าเป็นคนไม่ดี แสดงว่าหมอนี่เป็นคนไม่ดีจริงๆ

     

    ไม่รู้ทำไมแต่เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย

     

    “อยู่ห่างจากหมอนั่นไว้ล่ะลูฟี่ เขาเป็นผู้ชายไม่น่าไว้ใจ” พอเห็นสีหน้าไม่พอใจจากเด็กน้อยที่เป็นเป้าหมาย โดฟลามิงโก้ก็ระบายยิ้มและทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้ สบจังหวะกับที่นายตำรวจรรีบเอ่ยปากเตือนน้องชายของตนไว้ ลูฟี่พยักหน้าเข้าใจหงึกหงักโดยทันที

     

    ผู้ชายคนนั้นสวมยูกาตะสีเข้ม แถมยังสวมแว่นหน้าตาประหลาดนั่นด้วยอีก

     

    ทั้งที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ทำไมกันนะ

     

    “นานเหมือนกันที่ไม่ได้คุยกับการ์ป จากวันนั้นตาแก่นั่นเป็นยังไงบ้างนะ” ใบหน้าคมยกยิ้มให้เด็กน้อยตรงหน้าเป็นการทักทายอีกครั้ง

     

    “ฉันดันมีธุระกับเขาด้วยพอดีน่ะสิ”

     

    แม้จะไม่ได้ชอบใจกับรอยยิ้มที่ดูเหมือนมีนัยยะอะไรแฝงอยู่ แต่ลูฟี่ก็ทำได้เพียงมองภาพคนตัวสูงที่ทำท่าโบกมือลา และเลือกที่จะตรงกลับไปยังรถยนต์ของตัวเองทั้งแบบนั้น

     

     

    น่าตลกนะ โชคชะตากำหนดมาให้เราต้องพบกันอีกหลายครั้งเลยล่

     







     



               

    มาอัพพาร์ทที่ 2 แล้วค่าา
    ทีแรกก็ว่าจะยื้อฉากฟี่หายไปให้ยาวๆ เศร้าๆ
    แต่ก็กลัวว่าตอนจะเยอะไปอีก เนื้อหาเลยไปเร็วเลยตอนนี้
    มาเจอกันอีกรอบคือเสี่ยโดนเหม็นขี้หน้าไปแล้วค่ะ555555
    ยังไงกันนะ การเจอกันอีกครั้งของพวกเขาจะเกิดจากพรหมลิขิตหรือเปล่า
    ต้องมาติดตามกันต่อค่ะ

    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ :)

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×