ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★ [One Piece] Straw hat & 7 huntsmans !? [Yaoi] [END]

    ลำดับตอนที่ #11 : Page X : Auction

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 883
      46
      24 เม.ย. 65


     


     


     

    ไม่รู้ว่าสถานที่โอ่อ่าแบบนี้มีไว้ทำอะไร…

     

                อาจเพราะเมื่อครู่มีคนผ่านเข้ามาก่อนหน้า ทางเข้าจึงได้หละหลวมกว่าที่คิดนัก อากาศที่เย็นลงของยามดึกทำให้ร่างเล็กต้องเผลอกอดร่างตัวเองตามสัญชาตญาณ ความมืดและเงียบทำให้ยากแก่การล่วงรู้ถึงปลายทาง แม้จะพอมองออกว่ารอบข้างคือโถงทางเดินซึ่งถูกสร้างจากอิฐสีดินแดงก็ตาม มันโค้งมนราวกับจะพาวนกลับมาที่เดิมหากไม่หาประตูหรือบันไดพาออกไป

     

    แต่แล้วสิ่งที่ต้องการทั้งคู่กลับปรากฏออกมาให้เห็นตรงหน้ายามเมื่อเดินตามทางมาได้พักหนึ่ง หากแต่ประตูโลหะบานคู่ที่ถูกพันธนาการไปด้วยโซ่เส้นใหญ่และแม่กุญแจก็ไม่ได้เป็นที่ดึงดูดความสนใจเท่ากับบันไดทางลงซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป ป้าย‘ห้ามเข้า’ที่ตั้งขวางเอาไว้ ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับเด็กหัวดื้อคนนี้

     

    เดินลงไปโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น…

     

                แสงจากตะเกียงติดผนังให้ความสว่างเพียงริบหรี่ กลิ่นของดินปืนและสนิมเหล็กเข้ากระทบประสาทสัมผัส คิ้วเรียวทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันให้กับภาพตรงหน้า ซึ่งแม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ปลายเท้าก็พาร่างเล็กๆนั้นก้าวเดินต่อไป

     

                ด้านข้างคือลูกกรงโลหะขนาบไปเป็นทางยาว ภายในมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยในหลากหลายอิริยาบถ ดวงตาหลายคู่ที่จ้องมองมาทางเขาล้วนแต่เก็บงำไปด้วยความเคียดแค้น

     

    “ แกเป็นพวกเดียวกันกับเจ้าบ้านั่นงั้นหรือ ” หนึ่งในนั้นส่งเสียงออกมาขณะที่สายตาไม่ได้ลดละออกไปจากร่างของผู้มาเยือน ปลายเท้าที่สวมรองเท้าสานชะงักลง ก่อนพาร่างของตนมาหยุดยังคู่สนทนา

     

    “ พวกนั้น? พวกไหน? มีคนผ่านมาทางนี้ด้วยงั้นหรอ ” สีหน้างุนงงเปลี่ยนเป็นขึงขังทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

     

    “ ก็เจ้าหน้ากากนั่นไง! ที่นี่ไม่มีใครไม่รู้จักมันหรอกนะ ”

     

    “ เปล่าซะหน่อย! ฉันมาตามหาเจ้าหัวเขียวที่โดนจับมาต่างหาก ” อยู่ๆเจ้าตัวก็โดนตะคอกใส่ด้วยเรื่องที่ไม่เข้าใจ จึงอดขึ้นเสียงกลับไปบ้างไม่ได้ แก้มเนียนของลูฟี่พองลมออกด้านข้างอย่างนึกขัดใจ แต่ครั้นเมื่อเสียงนั้นเรียกความสนใจของคนในกรงขังทั้งหมดให้หันมามอง ความสงสัยที่อยู่ภายในใจก็เป็นอันต้องผุดขึ้นมาอีกครา

     

    “ ว่าแต่ทำไมพวกนายถึงถูกขังล่ะ …เป็นคนไม่ดีงั้นหรอ? ”

     

     

     


     


     

     

                ต่อสู้ แย่งชิง เงินตรา และชีวิต ทุกสิ่งหมุนเวียนอยู่ ณ สถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกและอยู่เหนือกฎหมายแห่งนี้ แม้จะขัดต่อศีลธรรม แต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉย ประชาชนยังคงยิ้มร่าราวกับเรื่องราวทุกอย่างเป็นเพียงแค่งานแสดงรื่นเริงที่ถูกจัดขึ้นเท่านั้น

     

             โคลอสเซียม…สนามประลองอันเลื่องชื่อที่ทำให้เมืองเล็กๆแห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย จนกว่าดวงตะวันจะลาลับ การประลองจะดำเนินไปเรื่อยๆเช่นนั้น ก่อนที่ผู้คนจะแยกย้ายกันกลับสู่ที่พักของตน น้อยคนนักที่มีอภิสิทธิ์ยามดวงจันทร์ฉายเด่นกลางแผ่นฟ้า

     

    การประมูลที่มีชีวิตมนุษย์เป็นสินค้าจะเริ่มต้นขึ้น… ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก แต่กวาดรายได้อย่างมหาศาล

     

    “ คราวนี้เข้าใจหน้าที่ของแกหรือยัง เลือกเอาเองว่าจะประมูลหรือถูกส่งตัวให้ทหาร ”

     

                กายสูงชะลูดยื่นนิ่งอยู่หน้าลูกกรงสำหรับหนึ่งคน บนบ่าปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีขาวที่ดูจะมีมูลค่าไม่น้อย สิ่งที่เด่นสะดุดตาคงไม่พ้นหน้ากากหนังรูปร่างประหลาดที่พาดผ่านแนวกลางศีรษะลงมาถึงปลายคาง เบื้องหลังคือชายอีกคนในชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า

     

                คู่สนทนาที่ถูกพันธนาการข้อมือด้วยกุญแจมือแสยะยิ้มอย่างนึกชัง เผลอประมาทเพียงนิดเดียวก็โดนอัดจนน่วมเสียได้ ใครมันจะไปรู้ว่าตัวเขาเองก็เป็นเป้าหมายของพวกกระเป๋าเงินหนากันล่ะ …ในสถานะทาสเสียด้วยสิ

     

    “ เหอะ… เน่าเหม็นอย่างที่เขาล่ำลือกันจริงๆซะด้วย ”

     

                หากไม่ติดด้วยร่างกายน่วมๆกับสภาพน่าสมเพสนี่ ก็นึกอยากจะพุ่งเข้าไปอัดหน้าไอหัวม่วงตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด …ทำงานให้กับทหารแท้ๆ แต่กลับมาเปิดธุรกิจโจ่งแจ้งโดยไม่โดนดำเนินคดีเสียอย่างนั้น

     

    “ อย่ามาปากมากนักเลยน่า! อย่างแกมันก็แค่ทาสที่ทำได้แค่เห่าอยู่ในกรงเท่านั้น! ” อาจเป็นเพราะมีลูกกรงกั้นอยู่ก็เป็นได้ คนโดนยั่วโมโหจึงทำได้แค่ระบายอารมณ์จากการลงน้ำหนักเท้าที่ประตูเหล็กเท่านั้น ครั้นยกข้อมือขึ้นมาดู นาฬิกาข้อมือก็บอกว่าจวนจะได้เวลาที่ธุรกิจจะเริ่มต้นเสียแล้ว

     

    แม้จะหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่น้อย แต่ก็จำใจต้องเดินออกไปเช่นนั้น ตามหลังไปด้วยผู้ติดตามในชุดสีดำที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรมาตั้งแต่ตอนแรก

     

    “ อีกไม่นานนักหรอก เตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะ ”

     

    ยามที่ย่างกรายเข้าสู่การประมูลที่มีชีวิตมนุษย์เป็นสินค้า เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า ‘ทาส’จะสวมใส่สิ่งที่เรียกว่าปลอกคอเอาไว้ มันจะระเบิดทันทีหากทาสผู้นั้นอยู่ห่างจากนายของตนเกินระยะที่กำหนดไว้ …ทาสต้องทำงานทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่กลายเป็นตัวตลกที่โดนเหยียบย่ำ

     

    และแน่นอน… ชายเช่นเขาไม่มีวันขายศักดิ์ศรีของตนไปทำอะไรเช่นนั้นแน่นอน

     

    “ เฮ้ เจ้าหัวเขียว! ”

     

    “ อะไรของแก อย่ามาเรียกฉันด้วยชื่อแบบนั้นนะเว้ย! ”

     

                เสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดความคิดนั้น ชื่อเรียกที่กวนโมโหทำให้คนถูกเรียกหันไปตอบรับทันที ร่างผอมแห้งของผู้มาใหม่ปรากฏให้เห็นแก่สายตา ทั้งเนื้อเสียงเล็กราวกับผู้หญิงยังทำให้เขาต้องฉงนใจไม่น้อย

     

                ยามที่แสงจากเปลวเทียนที่ติดไว้ข้างผนังส่องสว่างไปยังใบหน้ากลมมน ก็เป็นอันทำให้ดวงตาสีชาดของผู้ถูกจองจำต้องชะงักค้างไว้เช่นนั้น ทั้งตอนที่รูปลักษณ์ของผู้มาเยือนเด่นชัดทุกรายละเอียด หัวใจของชายหนุ่มก็ราวกับหยุดเต้นไปชั่วขณะ

     

    ฝันไปหรือเปล่า…

     

    “ ฉันมาช่วยนายต่างหาก! ดูนี่ …ได้มาพวงเบ้อเร่อ ”

     

                มือเล็กยกกุญแจพวงใหญ่ให้คนตัวสูงกว่าดูด้วยใบหน้าติดจะขัดใจเล็กน้อย ตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็มักจะโดนตะคอกอยู่เรื่อย กว่าคนที่อยู่ตรงเส้นทางก่อนหน้าจะยอมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ก็เสียเวลาไปพักใหญ่ จนพอจะจับใจความได้ว่าเจ้าคนหัวเขียวสว่างที่โดนกระสอบคลุมหัวกำลังถูกจับไปประมูล จึงได้รีบบึ่งมาหมายจะช่วยเหลือเสียหน่อย

     

     “ อ..เอามาจากไหน ” พลันเสียงที่มีอยู่ในลำคอของร่างโตที่ถามกลับไปก็พาลจะหายไปดื้อๆ ได้แต่มองใบหน้าหวานของคนตรงหน้าด้วยไม่เชื่อสายตาตัวเอง

     

    “ อัดเจ้าคนที่ยืนเฝ้าเมื่อกี๊ไปอะ ” เด็กหนุ่มที่ดูจะกำลังสนใจกับกุญแจจำนวนมากมายในมือชี้คางไปยังทางที่เดินผ่านมาโดยไม่ได้ใส่ใจฟังนัก สลับกุญแจที่ไขในมือไปเรื่อยๆจนกระทั่งเสียง ‘กริ๊ก’ ดังขึ้นมา ริมฝีปากสีกุหลาบจึงเผยรอยยิ้มกว้าง แต่ก็ต้องค่อยๆหุบยิ้มลงเมื่อดวงตาคู่สวยสบเข้ากับสายตาซาบซึ้งเหลือคณาของเจ้าของทรงผมแปลกประหลาด

     

    “ เฮ้ เจ้าหงอนไก่ เป็นอะไรของนาย ”

     

    “ ง..หงอนไก่?! ” คนร่างโตรีบยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของตนด้วยความตกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาเรียกเขาด้วยชื่อแบบนี้ ดวงตาคมที่กำลังซาบซึ้งเริ่มน้ำตาเอ่อคลอ ได้เห็นด้วยตาตนเองตรงนี้ก็เชื่ออย่างสุดซี้งแล้วว่าจะต้องไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน …ยามที่ใบหน้าน่ารักนั้นบูดบึ้งราวกับเด็กน้อย มันช่างน่าเอ็นดูเหลือคณา ทั้งยามที่เสียงหวานๆนั้นกล่าวตำหนิเขาเช่นนี้ด้วยแล้ว

     

    มันช่างเซ็กซี่ที่สุด…

     

    หมับ…

     

                ฝ่ามือนิ่มถูกคว้าเข้าไปกุมอย่างถือวิสาสะ พร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลพรากเป็นทางยาวออกมาจากใบหน้าโหด ตั้งแต่เด็กชายหนุ่มถูกปลูกฝังเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานปรัมปราที่เป็นตำนานมาอยู่เสมอ แม้ใบหน้าและท่าทางราวกับนักเลงหัวไม้จะไม่อำนวย หรือตำนานและคำทำนายเหล่านั้นจะพิสูจน์ไม่ได้ แต่เขาก็เชื่อมาโดยตลอด …และในวันนี้คนผู้นั้นก็มาปรากฏตรงหน้าเสียแล้ว ไม่ต้องมีสัญญาณหรือคำแนะนำอะไรให้มากมายก็รับรู้ได้ในทันที

     

    สโนว์ไวท์ได้อยู่ตรงนี้แล้ว…

     

    “ หวา อะไรเนี่ย นายร้องไห้ทำไม!? ” พอออกมาได้ก็ร้องไห้เหมือนเด็กน้อยเสียอย่างนั้น ลูฟี่ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แม้ผู้ชายคนนี้จะบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังพอจะช่วยเหลือตัวเองได้อยู่ เท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้สิ่งที่เขากำลังคิดไว้ดำเนินต่อไปได้

     

    “ ที่นี่มีงานประมูลงั้นหรอ? ”

     

                เอ่ยถามในขณะที่ดวงตากำลังเปลี่ยนความสนใจไปยังเส้นทางที่ไกลออกไป บริเวณโดยรอบเริ่มปรากฏให้เห็นประตูอีกหลายบาน แต่ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าประตูเหล่านั้นจะนำพาไปหาสิ่งใด

     

    “ ใครที่มีค่าหัวหรือทำตัวเด่นเกินไป ก็โดนจับตัวมาแบบผมถมไปแหละครับ ”

     

                คนถูกถามยกมือขึ้นมาเกาหลังศีรษะของตนอย่างขัดเขินก่อนเผยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ความรู้สึกร้อนผ่าวมันแล่นไปทั่วทั้งใบหน้า …เด็กหนุ่มที่ดูไม่มีพิษภัยอะไรเลยคนนี้ จะทำอะไรร้ายแรงเช่นในคำทำนายที่ว่า ‘อันตราย’ ได้เชียวหรือ

     

    “ ฉันจะทำลายงานประมูลนี่ทิ้งซะ ” และคำพูดนั้นของเด็กหนุ่มก็ทำให้คนฟังตกใจไม่น้อย เจ้าของเสียงทุ้มจึงเผลอออกปากอาสาออกไปโดยไม่ต้องคิด

     

    “ ผ...ผมจะไปด้วย! ”

     

    “ นายต้องไปช่วยพวกที่อยู่ข้างนอกนั่นก่อน ” เจ้าของหมวกฟางรีบเอ่ยขัดพร้อมยัดกุญแจพวงใหญ่ใส่มือของอีกฝ่าย เพราะเมื่อครู่รีบออกมาช่วยเหลือชายคนนี้ จึงยังไม่ได้ช่วยเหลือคนที่ทิ้งไว้ข้างหลัง แม้เขาจะไม่มีแผนการใดๆที่จะทำลายงานประมูลที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ใจดำขนาดพาคนที่กำลังบาดเจ็บไปเสี่ยงอันตรายด้วย

     

    “ ผมจะตามไปสมทบให้เร็วที่สุดครับ เจ้าหญิง! ”

     

                ชายผู้สวมเสื้อขนเฟลอร์และกางเกงสีฉูดฉาดผู้รู้ไม่เท่าถึงความคิดนั้นขานรับพร้อมรอยยิ้ม แม้จะอดเป็นห่วงร่างเล็กไม่ได้ แต่ก็หันหลังวิ่งกลับไปทั้งไม่เปิดโอกาสให้คนฟังได้สนทนาอะไรกลับไป ลูฟี่จึงทำได้แค่มู่หน้าเข้าหากันด้วยนึกขัดใจไม่น้อย

     

    “ อย่ามาเรียกฉันว่าเจ้าหญิงเซ่ ฉันเป็นผู้ชายนะเจ้าบ้า! ”

     

                ถึงจะพูดแบบนั้นไป แต่ก็ใช่ว่าจะไปถึงคนที่วิ่งห่างออกไปไกลขนาดนั้นได้ ปลายเท้าที่สวมรองเท้าสานจ้ำอ้าวออกไปอีกทางทั้งอามณ์ขุ่นมัวในใจ ตั้งแต่ที่แชงค์เล่ามาว่าสโนว์ไวท์เป็นเจ้าหญิง ทำไมใครต่อใครถึงได้ชอบยัดเยียดให้เขาเป็นเจ้าหญิงคนนั้นขนาดนั้นกันนะ ไม่เห็นจะมีอะไรที่อ่อนหวานเหมือนหญิงสาวเสียหน่อย…

     

    ‘ ลูกสาวฉันกำลังจะถูกประมูล เจ้าพวกนั้นเห็นเราเป็นแค่ทาสที่จะย่ำยียังไงก็ได้เท่านั้น!’

     

                คำพูดหนึ่งของคนที่อยู่ในห้องขังดังย้อนกลับเข้ามาในความคิดของเด็กหนุ่ม ใบหน้าที่เจ็บปวดและเคียดแค้นของผู้เป็นพ่อ นักรบโคลอสเซียมที่ไม่มีวันได้เป็นอิสระจนกว่าจะชนะในการประลองให้ได้หนึ่งร้อยครั้งขึ้นไป นั่นคือเรื่องราวที่ถูกส่งต่อมา เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาตัดสินใจว่าจะทำลายงานประมูลนี้ลงและช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นให้ได้

     

    แต่คนอย่างลูฟี่มีหรือจะวางแผนก่อนเริ่มทำการใดๆ… นอกเสียจากจะลุยเข้าไปตรงๆโดยไร้การระวังตัวใดๆทั้งสิ้น

     

                แม้ในเวลานี้จะมีกำลังคนลาดตระเวนน้อย แต่การป้องกันก็ไม่ได้หละหลวมสำหรับสถานที่แห่งนี้ ร่างเล็กก้าวเดินไปตามโถงทางเดินเบื้องหน้าที่เงียบสงัดอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งสิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาในสายตาจะทำให้เขาต้องชะงักปลายเท้าเพียงเท่านั้น

     

                ร่างสูงโปร่งของใครบางคนที่หากไม่สังเกตดีๆอาจมองข้ามไป ด้วยทัศนียภาพที่ค่อนข้างมืดจึงทำให้ชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าของคนตรงหน้าดูกลมกลืนไปกับยามค่ำคืน เมื่อสายตาของเด็กหนุ่มเริ่มปรับตัว สิ่งที่เด่นสะดุดตาจากคนแปลกหน้าคงหนีไม่พ้นหมวกทรงสูงและเสื้อคลุมตัวยาวที่ขับให้ดูมีอำนาจอย่างน่าประหลาด

     

    “ นายเป็นใคร? ”

     

                เสียงหวานเอ่ยถามออกไปทั้งไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ เจ้าของร่างสูงชะลูดมีใบหน้าคมคายดุจพยัคฆ์ร้าย และผมหยักศกยาวลงมาประบ่า องค์ประกอบเหล่านั้นรวมกันแล้วชวนให้ทำให้ง่ายต่อการหลงใหลนัก หากแต่ไม่ใช่กับคนไม่ประสีประสาอย่างลูฟี่… เพียงเพราะชายคนนี้ไม่ได้สวมหน้ากากหนังอย่างที่เคยได้ยินคำบอกเล่ามาก่อนหน้า นั่นจึงทำให้เขาเกิดความสับสนไม่น้อย

     

     “ ก็ไม่ได้ใส่นี่นา… นายเป็นพวกของเจ้าหน้ากากนั่นหรือเปล่า? ”

     

    “ ฉันต่างหากที่ต้องถาม …แกเป็นใครกันเจ้าหนู? ”

     

                พยัคฆ์ร้ายทวนคำถามนั้นกลับไปยังคนตัวเล็กกว่า สายตาคู่คมนิ่งสนิทราวกับรูปปั้นหิน แต่ก็ไม่ได้ส่งไปถึงคนที่กำลังใจร้อนราวกับเด็กเอาแต่ใจ เขาเลือกที่จะตั้งคำถามต่อโดยไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ทั้งใบหน้าหวานยังแสดงสีหน้าขึงขังให้เห็น

     

    “ งานประมูลไปทางไหน …ฉันจะไปทำลายมันซะ ”

     

    “ จะทำอะไร คิดหรือว่าเด็กอย่างแกจะทำลายที่นี่ได้? ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม สายตาคมทอดมองลงมายังคนตัวเล็กกว่าราวกับกำลังเหยียดหยาม เป็นตัวยั่วโมโหให้แก่เด็กหนุ่มที่กำลังเร่งรีบได้ไม่น้อย

     

    “ อย่ามาขวางทางนะ! ”

     

                ร่างเล็กขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิด เวลาสำหรับเขามันไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น จึงตัดสินใจปล่อยหมัดที่ภูมิใจว่าล้มคนมาได้มากมาย หมายจะล้มคนตรงหน้าในคราวเดียว แต่ก็เป็นอันต้องชะงักลงจนขยับตัวไม่ได้ เมื่อกำปั้นเล็กๆโดนคว้าเอาไว้ด้วยฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของร่างสูงอย่างจัง สร้างความตกใจให้ได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเป็นไปได้อย่างไรอยู่ในใจ …ก่อนได้สติรีบสะบัดแขนของตนออกมาจากเกาะกุมของคนตรงหน้าอย่างทันท่วงที

     

    ผู้ชายคนนี้เก่ง… ดูท่าแล้วคงจะผ่านการต่อสู้มาไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    แต่เขาเองก็จะมายอมแพ้ตรงนี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน… จะต้องหยุดไม่ให้งานประมูลนั้นเริ่มต้นขึ้น

     

                ด้วยความปราดเปรียว ลูฟี่สามารถหลบการโจมตีที่มาจากชายชุดดำได้อย่างคล่องแคล่ว เช่นเดียวกับคนตัวสูงที่เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็หลุดจากหมัดหนักๆที่ผิดกับขนาดตัวของเด็กตรงหน้าได้ การโจมตียังคงผลัดกันรุกและรับราวกับจะไม่มีวันจบสิ้น …หากแต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น

     

    ตุบ!

     

                 อาจเพราะคู่ต่อสู้มีประสบการณ์ที่มากกว่า รู้สึกตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็ชาวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ทั้งร่างลงไปสัมผัสกับพื้นหินที่เย็นเฉียบของโถงทางเดิน ขยับร่างกายไปไหนไม่ได้เพราะบริเวณลำคอถูกพันธนาการไปด้วยฝ่ามือใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว

     

    แรงบีบค่อยๆถูกส่งมายังคอระหงส์จนทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก แม้คนตัวเล็กจะพยายามเอามือของตนแกะมือของอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่อาจสู้แรงได้…

     

                ยามเมื่อระยะห่างระหว่างคนสองคนลดลง ดวงตาคู่คมจึงได้พิจารณาใบหน้าหวานอย่างชัดเจน ทั้งองค์ประกอบต่างๆที่ปรากฏ ทั้งผิวขาวละเอียดดุจหิมะในฤดูหนาว กลีบปากบางสีกุหลาบที่ดูน่าทะนุถนอม กลุ่มผมนุ่มสีไม้มะเกลือ และร่างกายอันบอบบางราวกับอิสตรีนั้น

     

    “ …สโนว์ไวท์งั้นหรือ? ”

     

    เลือนรางเกินกว่าที่เด็กหนุ่มจะจับใจความได้… ไม่มีแม้แต่เสียงพูดที่ดังออกมาจากลำคอ ราวกับอากาศหายใจไม่ได้ผ่านเข้าสู่หลอดลมเลยสักนิด

     

    ทำไมกันนะ… ลูฟี่ได้แต่ตั้งคำถามกับตน

     

    ทำไมเขาจึงแพ้ให้กับผู้ชายคนนี้ได้…

     

     

    นั่นคือความคิดสุดท้าย ก่อนที่สติของเด็กหนุ่มจะดับวูบลงเช่นนั้น…

     

      

     

     

     

    อัพแล้วค่ะ ขอโทษที่มาช้าอีกตามเคยนะคะ

    ที่จริงก็แอบท้อเหมือนกันว่าเราไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาอัพ

    เข้ามาอีกทีคนอ่านก็หายไปหมดแล้ว

    แต่ไม่เป็นไรค่ะ ตั้งใจไว้ว่าไม่ว่ายังไงจะแต่งให้จบ

    ถ้าช่วงเวลาในการอัพแต่ละตอนมันมากเกินไปก็ต้องขอโทษจริงๆนะคะ

    ปล.เรื่องนี้ฟี่ม่ได้มีพลังผลโกมุโกมุนะคะ เป็นแค่เด็กหนุ่มบอบบาง(?)คนนึงเท่านั้น

    การจะให้สู้แรงผู้ชายตัวใหญ่กว่าเลยเป็นเรื่องยากนั่นเองค่ะ อิอิ

    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×