คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Page IX : On the way
เคล้ง!!
ระยะเวลาเพียงชั่วครู่ ของมีคมที่เคยอยู่ตรงหน้ากลับถูกปัดกระเด็นราวกับเป็นเพียงใบไม้ที่ร่วงหล่น ไร้รอยบาดแผลและรอยขีดข่วน มีดเล่มนั้นลงไปนอนอยู่กับพื้นดินอย่างหมดสภาพ สร้างความตกใจให้แก่ผู้มาถึงไม่น้อย…
ยูทัส คิดหรี่ดวงตาคมมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ ชายร่างสูงกับผมสีเขียวเด่นสะดุดตา ร่างนั้นผละออกจากเด็กหนุ่มก่อนหันมาประจันหน้ากับเขา แม้ท่าทีจะดูโรยแรง แต่แววตาเอาเรื่องกับจิตสังหารก็ไม่ใช่เล่นๆเอาเสียเลย
รู้ได้ในทันทีว่าคนๆนี้ไม่ธรรมดา …ดูท่าจะฝีมือเก่งกาจเสียด้วย
เด็กน่ารักนั่นไปดึงเอาคนอันตรายที่ไหนเข้ามาก็ไม่รู้...
“ เจ้าหนู ผ้าคลุมหายไปไหน? ”
เจ้าของใบหน้าโหดเปลี่ยนเป้าหมายมายังคนตัวเล็กที่โดนปล่อยออกเป็นอิสระในทันที กว่าเขาจะหลุดออกจากกองทัพทหารเหล่านั้นก็เสียเวลาไปมากโข ครั้นปลีกตัวออกมาได้กลับพบกลุ่มนายพรานนอนโอดโอยระหว่างทางจนอดเป็นห่วงไม่ได้ ขณะที่กำลังวิตกว่าคนตัวเล็กเกิดอันตรายขึ้นหรือไม่ กลับพบไอ้โรคจิตที่ไหนไม่รู้กำลังจ้องจะขโมยจูบจากริมฝีปากบางนั่น
มันน่าคว้าตัวผอมๆนั่นมาไว้ในอ้อมกอดให้รู้แล้วรู้รอด
ดวงตากลมโตของเด็กหนุ่มมองไปยังคนผมแดงตรงหน้าที่ตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นราวกับจะกินหัวคนที่เข้ามาใกล้เสียให้ได้ ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากันพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจตอบกลับไปด้วยระแวงว่าคำตอบนั้นจะทำให้เขาโดนบีบคอตายไปด้วยหรือเปล่า
“ เอ่อ…ขอโทษนะ มันขาดรุ่งริ่งไปแล้วอะ ” มือเรียวยกซากผ้าคลุมที่เก็บมาด้วยตั้งแต่ตอนนั้นขึ้นประกอบ
ใบหน้ารู้สึกผิดนั้นเรียกเสียงถอนหายใจพร้อมยิ้มขำออกมาจากคนมองแทบจะทันที เป็นจังหวะเดียวกันกับปลายเท้าของใครอีกคนที่เพิ่งมาถึง เจ้าของดาบเล่มยาวกับหมวกขนสัตว์มองผู้ร่วมทางและนักดาบแปลกหน้าสลับกันอย่างนึกฉงน ใบหน้าคมคายราวกับกำลังตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ก่อนเขาจะมาถึงกันแน่
ตุบ…
“ อา…ไม่ไหว หิวจะตายชัก…” เสียงวัตถุบางอย่างกระทบพื้นเป็นตัวดึงความสนใจของคนทั้งหมดให้หันมามอง ร่างสูงโปร่งของชายแปลกหน้าทิ้งตัวลงนอนราบไปกับผืนป่า ใบหน้าของคนผมเขียวอิดโรยราวกับจะเป็นลมไปเสียให้ได้ แค่อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้ก็เกินขีดจำกัดไปไกลแล้ว
ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกดาบขึ้น… แผนการจับ‘สโนว์ไวท์’ไปขึ้นค่าหัวก็ดันพังไม่เป็นท่าด้วยอีก …ช่างเป็นตอนจบที่อนาถใจเสียจริง
“ เจ้านั่นแค่ผ่านทางมา ”
เป็นคนผมแดงที่เอ่ยตอบข้อสงสัยแก่คนที่ยืนมองเหตุการณ์เงียบๆมาพักใหญ่ ลอว์ปรายสายตามองชายผมเขียวอย่างนึกแปลกใจ แม้ชายคนนี้จะแค่ผ่านทางมาอย่างที่กล่าว แต่เหตุใดจึงมานอนแผ่หลาตรงนี้ราวกับพื้นดินเป็นเตียงนอนชั้นดีไปได้
“ งั้นก็ทิ้งมันไว้ที่นี่แหละ ไปกันได้แล้ว ”
แต่เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ประเด็นที่ควรเก็บเอามาสนใจ ใบหน้าคมคายจึงชี้คางไปยังอีกเส้นทางหนึ่ง เหมือนต้องการบอกว่าให้รีบออกเดินทางเสียแต่เนิ่นๆ ลูฟี่มองการกระทำนั้นพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง ร่างเล็กๆเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนสวมหมวกขนสัตว์เหมือนตั้งใจจะขวางเอาไว้
“ เดี๋ยวก่อน ” ใบหน้าหวานหงิกงอราวกับเด็กน้อยโดนขัดใจ เดินเข้าไปค้นกระเป๋าที่ลอว์แบกมาด้วยอยู่พักหนึ่ง ความยุกยิกที่สัมผัสได้ผ่านน้ำหนักกระเป๋าส่งให้คนตัวสูงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ไม่นานนักอาหารที่ตั้งใจว่าจะเก็บเป็นเสบียงระหว่างเดินทางชิ้นหนึ่งก็ถูกหยิบออกมา ก่อนดวงตากลมจะมองหน้าคนที่เคยร่วมเดินทางสลับกันราวกับจะตำหนิ
“ ความหิวน่ะมันทรมานมากนะ! ”
ทั้งกำลังถูกตำหนิแต่คนมองกลับทำเพียงกลั้นเสียงขำที่อยู่ในลำคอของตน แทนที่ใบหน้านั้นควรจะน่ากลัว แต่มันกลับมันกลับดูน่ารักมากกว่า ลูฟี่ก้าวมาหยุดตรงหน้านักดาบตกอับที่ปัจจุบันทำได้เพียงนอนหมดแรงอยู่กับพื้น เขาเข้าใจดีว่าความหิวมันบั่นทอนพลังชีวิตไปมากขนาดไหน
ถ้าเอาตัวเองเป็นมาตรฐานล่ะก็นะ…
" ฉันชื่อลูฟี่ นายเป็นใคร? " ยื่นอาหารที่เพิ่งหยิบมาได้แก่คนหิวโดยไม่ได้หวงอะไร รอยยิ้มหวานถูกระบายออกมาบนริมฝีปากน่ารักนั้น ทำให้ใจของคนมองไม่อาจสงบลงได้
ไม่ว่าจะมองอีกกี่ครั้งคนๆนี้ก็น่าหลงไหลไปทั้งหมด...
“ …โซโล โรโรโนอา โซโล เป็นนายพราน ” รับความหวังดีของคนตัวเล็กมาโดยไร้การปฏิเสธ เวลาเพียงชั่วครู่กลับสร้างความไว้ใจต่อคนมากมายได้อย่างไรกันนะเด็กคนนี้... ราวกับมีพลังบางอย่างดึงดูดผู้คนให้เข้าหา ไม่ได้รู้ตัวว่าตนเป็นศูนย์กลางของใครหลายคนเลยหรือ
“ จริงหรอ? นายเหมือนนักดาบมากกว่าอีก ”
ดวงตาคมทอดมองใบหน้าหวานนั้นได้โดยไม่มีเบื่อ สถานะทางอาชีพของเขาเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยแน่นอนนัก เพียงงานอะไรที่ทำแล้วสามารถเลี้ยงปากท้องของตนได้ ชายหนุ่มก็ไม่เคยเกี่ยง ถึงแม้ดาบสามเล่มที่มีจะเป็นเหมือนสมบัติและวิชาความรู้ติดตัวมาด้วยก็ตาม
“ ตอนนี้ก็อิ่มท้องแล้ว อย่าคิดว่าฉันเป็นอาหารอีกล่ะ ” เสียงหัวเราะชิชิกับใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้อดทำให้คนผมเขียวตกใจไม่น้อย ความร้อนตีขึ้นมาบนใบหน้ายามเห็นพวงแก้มเนียนของอีกฝ่ายระบายสีชมพูระเรื่อ
โคตรน่ารักเลยโว้ย…
“ ไปได้แล้วเจ้าหนู ”
คนถือดาบยาวเมื่อเห็นท่าไม่ค่อยจะดีก็รีบเอ่ยขัดสถานการณ์สีชมพูของโซโลแทบจะทันที ชักสังหรณ์ใจไม่ดีว่าการเดินทางนี้จะไม่ได้มีสมาชิกเพียงแค่สามคนอีกต่อไป …สโนว์ไวท์คือสิ่งอันตรายสำหรับคนทุกเพศทุกวัย
“ อ๋อ อื้อ ไปกันเถอะ! ” เจ้าตัวเล็กหันกลับมาตอบพร้อมใบหน้ายิ้มร่า ก่อนปลายเท้าคู่นั้นจะก้าวเตาะแตะเข้าไปหาอย่างว่าง่าย เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงทุ้มแหบที่พูดขึ้นขัดการกระทำนั้นอย่างทันท่วงที
“ เดี๋ยวก่อน ”
เจ้าของเสียงคือนักดาบสามเล่มผู้มีสถานะเป็นคนอิ่มท้องเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมมองคนหน้าโหดและเจ้าของดาบยาวตามลำดับ ก่อนดวงตาสีดำจะหยุดนิ่งยังร่างบอบบางของเจ้าของหมวกฟางใบเก่า
“ ฉันก็จะติดตามนายไปด้วย ลูฟี่ ”
“ หา!? ”
นายพรานทั้งสองอุทานขึ้นมาพร้อมกันแทบจะทันที เกิดประกายทางสายตาส่งมายังนักดาบผมเขียวด้วยความอาฆาตแค้น ไอ้การเรียกชื่อแสนสนิทสนมนั่นมันอะไรกัน...
“ ฉันไม่ให้แกไป! ” คนหน้าโหดพูดเสียงดัง ราวกับมีรังสีแห่งการปกป้องแผ่ออกมาจากร่างใหญ่นั้น ยิ่งส่งให้รอยยิ้มอย่างผู้ชนะปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากได้รูปของโซโลเป็นของตอบแทน
“ไม่ได้ขออนุญาตจากพวกแกนี่ ”
การเดินทางเพียงอยู่ที่การเริ่มต้นเท่านั้น… เสียงหัวเราะอย่างขำขันของสโนว์ไวท์ผู้น่ารักเป็นตัวสงบสงครามประสาทลงอย่างง่ายดาย ก่อนคนตัวเล็กจะเอ่ยชวนทุกคนให้ออกเดินทางไปพร้อมกัน โดยให้เหตุผลว่า‘ไปหลายๆคนมันน่าสนุกดี’ …แม้จะรู้สึกขัดใจกับคนคิดไม่ซื่อที่ชักจะเริ่มมีจำนวนมากขึ้นทุกที แต่นายพรานผู้เก่งกาจทั้งสามก็ไม่อาจขัดคำชักชวนและรอยยิ้มที่น่ารักเกินไปของเด็กหนุ่มได้เลย…
การเดินเท้าได้ดำเนินขึ้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง แม้จะหยุดพักระหว่างทางบ้าง แต่ความอ่อนล้าของร่างกายก็เริ่มปรากฏออกมาให้เห็น ลูฟี่อ้าปากหาวหวอดๆ ใบหน้าหวานเจือไปด้วยความเหนื่อยหน่าย ปากก็บ่นว่าหิวข้าวตลอดทางราวกับคนกำลังท่องบทสวดอะไรบางอย่าง
แดดที่ร้อนจัดยามเที่ยงวันค่อยๆผ่อนอุณหภูมิลงพร้อมกับความมืดมิดที่เข้าปกคลุม ผืนฟ้ายามเย็นเคลือบไปด้วยสีส้มแก่และเมฆบางตา นกน้อยหลายฝูงทยอยบินกลับรัง จวนจะได้เวลาพลบค่ำของวันเสียแล้ว…
เส้นทางที่ใช้ตลอดมาล้วนเป็นป่า รวมไปถึงเส้นทางที่จะนำพาไปยังเมืองหลวงที่ปรารถนาก็ล้วนรายล้อมไปด้วยผืนป่าเช่นกัน ทราฟาลก้า ลอว์เข้าใจเช่นนั้น เขาศึกษาแผนที่จนเข้าใจทุกอย่างก่อนจะออกเดินทางมาถึงปัจจุบัน ทั้งสัญลักษณ์ ทั้งเขตที่ไม่ควรเหยียบย่างเข้าไป ทั้งที่เข้าใจว่าตนเลือกเส้นทางได้ดีที่สุดแล้วแท้ๆ…
แต่ทำไมกัน…เหตุใดจึงมีสิ่งปลูกสร้างพร้อมแสงไฟอันศิวิไลซ์เหมือนเมืองขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าได้…
เมืองหลวงที่ว่านั่นไม่น่าจะใช้เวลาในการเดินทางมาถึงได้รวดเร็วขนาดนี้… มันแปลกเกินไป
“ ฉันว่ามันแปลก...ทางไปเมืองหลวงมันไม่มีที่แบบนั้นอยู่เลย ” เสียงทุ้มเอ่ยสนทนากับผู้ร่วมทางพร้อมชี้ไปยังแสงสว่างตรงหน้า เรียกให้คนผมแดงหันมามองก่อนขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก
“แกจะบอกว่าพวกเราหลงทางงั้นหรอ… ”
“ ...จะไปที่เมืองหลวงหรอ? ”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกบทสนทนา ในขณะที่นายพรานทั้งสองกำลังวิตกว่าหลงทางอยู่นั้น ชายผู้สวมยูกาตะกลับเอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าไม่ทุกข์ร้อนราวกับรู้อะไรบางอย่าง
“ จากเส้นทางนี้ก็ไปได้ ”
“ จริงหรอวะ? ”
คนหน้าโหดถามกลับ หรี่ดวงตาคมมองอย่างไม่เชื่อใจนัก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าเพิ่งรู้จักกัน แต่เพราะท่าทางมึนงงที่แสดงออกมาผ่านใบหน้านิ่งๆนั่นต่างหาก…
หน้าไอ้หมอนี่ดูไม่น่าเชื่อถือ เหมือนคนที่พร้อมจะหลงทางเมื่อไหร่ก็ได้…
“ ที่นี่คือโคลอสเซียม อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงนักหรอก ” ยืนยันคำพูดของตนด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ คิ้วของนักดาบสามเล่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยยามนายพรานสองคนมองมาราวกับไม่เชื่อ ไอ้ใบหน้าแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน…
เพราะว่าเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้มาแล้วพักหนึ่งถึงได้กล้าพูด… เมืองหลวงที่ว่านั่นก็อยู่ถัดไปจากสถานที่นี้เพียงไม่ไกลเท่าไรนักด้วย
ในเวลานั้นนายพรานทั้งสามต่างก็ไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย… ในโลกที่มีแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลฉันใด เมืองหลวงก็ไม่ได้มีแค่เมืองเดียวเสมอไปฉันนั้น…
“ เหนื่อยแล้ว เราพักกันอยู่ที่เมืองนี้ก่อนเถอะนะ ”
เป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่กล่าวขึ้นหลังเงียบฟังมานาน ใบหน้าหวานที่อิดโรยราวกับจะยืนยันคำพูดนั้นให้ชัดเจนมากขึ้น การเดินทางติดต่อกันหลายชั่วโมงโดยไม่มีพาหนะคงจะทำให้เด็กคนนี้เหนื่อยไม่น้อย
ชายหนุ่มทั้งสามต่างก็มองมายังคนร่างบางพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ท่าทางที่ราวกับจะออดอ้อนโดยไม่รู้ตัวของเด็กหนุ่มดูน่ารักจนทำให้ลืมความเมื่อยล้าไปชั่วขณะ
" ถ้านายว่าอย่างนั้น... "
ใครจะกล้าปฏิเสธคำขอได้ลงคอ…
โรงแรมในระแวกนี้จัดเป็นตัวเลือกอย่างหนึ่งสำหรับที่พักของค่ำคืนที่ยาวนาน หลังจากถกเถียงกันด้วยปัญหาห้องพักอยู่พักใหญ่ บทสรุปจบลงด้วยการจองเพียงห้องพักเดียว แต่มีคนเข้าพักถึงสี่คน สามคนในนั้นเป็นผู้ชายตัวใหญ่ที่ต้องอัดอยู่รวมกัน เนื่องด้วยไม่อยากให้ใครก็ตามอยู่ลำพังกับสโนว์ไวท์ผู้น่ารักคนนั้น…
กลางดึกของวันเดียวกัน ในขณะที่ดวงจันทร์สีเหลืองนวลกำลังเด่นหลาอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าสีดำสนิท กายบอบบางพลิกตัวขึ้นจากที่นอนด้วยความยากลำบาก มีแขนของใครบ้างก็ไม่รู้มาวางทับอยู่บนตัวเขาเต็มไปหมด ปลายเท้าเล็กพาร่างเดินโซซัดโซเซไปยังห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก่อนจะเตรียมตัวกลับไปทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
แต่ครั้นเมื่อร่างนั้นได้เดินผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องพักก็เป็นอันต้องชะงัก มือเล็กยกขึ้นมาถูขอบตาของตนด้วยความงัวเงีย ร่างของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในสายตา ทั้งทรงผมและการแต่งตัวเด่นสะดุดตา ขาทั้งสองข้างเดินเป๋ไปมาบนถนนยามค่ำคืนราวกับคนเมา ก่อนที่ความสนใจของเด็กหนุ่มจะไม่ได้หยุดแค่การแต่งกายอันฉูดฉาดของชายคนนั้นอีกต่อไป
สวบ!
ฝีเท้าของกลุ่มคนที่หลบซ่อนอยู่ในมุมตึกพรวดพราดเข้ามายังร่างนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ลูฟี่จะสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ว่า คนแต่งตัวฉูดฉาดถูกเอากระสอบคลุมทั้งร่างก่อนโดนหามไปทั้งอย่างนั้น ในขณะที่เจ้าตัวทำได้เพียงดิ้นต่อต้านอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ราวกับว่าเขาได้เผลอไปอยู่เหตุการณ์ที่ไม่ควรจะมีใครพบเห็นเข้าเสียแล้ว…
สีหน้าของลูฟี่พลันถอดสี ตัดสินใจวิ่งตามคนกลุ่มนั้นไปโดยไม่ต้องคิด แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ แต่ความรู้สึกหนึ่งของคนตัวเล็กกลับเด่นชัดกว่าสิ่งใดทั้งหมด …ต้องช่วยคนๆนั้นออกมาให้ได้
ค่ำคืนอันเงียบสงัดยังคงดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า นามแห่งสถานที่นี้คือ‘โคลอสเซียม’ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางชายแดนของแผ่นดินอันกว้างใหญ่ทั้งสาม เมื่อดวงตะวันได้เคลื่อนขึ้นสู่ฟากฟ้า ยามนั้นความวุ่นวายของวันใหม่และการประลองจะเริ่มต้นขึ้น
การเดินทางยังดำเนินต่อไป จนกว่าจะไปถึงจุดหมายที่ต้องการ หากแต่นักเดินทางแห่งโชคชะตากลับไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ว่าเส้นทางที่กำลังใช้งานได้ถูกบิดเบือนปลายทางไปเสียแล้ว
…สิ่งนั้นเป็นไปตามความตั้งใจของใครคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกัน… ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบนั้น เด็กหนุ่มในคำทำนายกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ…
อัพแล้วววว ขอโทษที่ตอนนี้มาช้าหน่อยนะคะ
กำหนดการณ์กลับมหาวิทยาลัยของเราเลื่อนเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมอีกค่ะ
ทำให้ตารางที่วางไว้รวนหมดเลย เวลาการอัพอาจจะไม่แน่นอน
ถ้ายังไงจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น