คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ▴[AU Fic Sherlock BBC] My Madonna (Sherlock x John) -[One shot]
“ คุณก็มีหมอฝีมือดีขนาดนี้แล้ว
ในแฟลตแคบๆนี่คุณยังจะเอาอะไรมาเพิ่มอีก ”
เป็นประโยคที่ผมเอ่ยสนทนากับเชอร์ล็อคที่นอนบนโซฟา วันนี้อากาศหนาว
และที่แขนข้างซ้ายของผมมีโค้ทสีดำตัวโปรดพาดไว้อยู่
หัวข้อสนทนาเริ่มต้นจากผู้ชายตัวสูงที่นอนพาดยาวบนโซฟาด้วยท่าประสานมือ
มีสีหน้าเครียดหนักกว่าปกติ
ในขณะที่ผมวุ่นวายอยู่กับการแต่งตัวอย่างไรให้ดูดีที่สุด เขาก็เอ่ยประโยค ‘แค่หมอที่มาช่วยสืบคดีอย่างคุณยังไม่พอ ผมต้องการมากกว่านั้น’ ขึ้นมาให้ชวนฉงน
“ เปล่าจอห์น
ผมไม่ได้พูดซักคำว่าอยากรับคนมาเพิ่ม ”
“ ที่ผมจะเอา
คือคุณหมอฝีมือดีคนนั้นต่างหาก ” ดวงตาสีฟ้าหม่นจ้องมองมาที่ผมพร้อมใบหน้านิ่งสนิท
ก่อนจะยกมือที่เคยประสานกันบนอกลง
“ หืม… เดี๋ยว ”
ผมขมวดคิ้วและมองกลับไปยังคนหัวหยิกอย่างไม่เข้าใจ นิสัยเลียริมฝีปากเวลากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกมันกำลังแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว
“
ไม่ต้องเดาคุณก็รู้นะว่าผมไม่ขำ ”
“ ก็คงงั้น ”
เขาตอบกลับมาแค่นั้น แล้วก็กลับเข้าสู่ภวังค์ของตัวเองอีกครั้ง
ผมถอนหายใจก่อนเดินไปหยิบเอาแก้วมัครูปงูพันดาบคู่ใจขึ้นมาดื่ม
เมื่อครู่ผมเพิ่งไปชงกาแฟมาก่อนเข้ามาสนทนากับบทพูดพิลึกพิลั่นนี่
‘อาห์’
เสียงข้อความที่คุ้นเคยดังขึ้นมาได้อย่างถูกจังหวะ
เราสองคนสะดุ้งขึ้นพร้อมกันเพราะเสียงผู้หญิงครางชวนสยิวนั่น
ก่อนที่เชอร์ล็อคจะคว้ามือถือของตัวเองมาเปิดดู
ผมยังจำได้ดีถึงบทสนทนาของผู้หญิงคนนั้นกับผม
ไม่แน่ใจว่าเธอกำลังสนใจเชอร์ล็อค หรือมีเป้าหมายอะไรหรือเปล่า
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่ต้องเกี่ยวข้อง
“
ผมกับเขาไม่ใช่คู่รักกันนะ ” วันนั้น วันที่ผมคิดว่าไอรีน
แอดเลอร์โดนยิงเสียชีวิตที่บ้านพักของเธอแล้ว
แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับอยู่ตรงหน้าและพูดประโยคยั่วโมโหให้ผมต้องพลั้งปากออกไปในทันที
ทำไมไม่ว่าใครๆมักสรุปความสัมพันธ์ของเชอร์ล็อคและผมแบบนั้น …คุณรู้จักคำจำกัดความคำว่า ‘เพื่อนร่วมงาน’ กันหรือเปล่า
วินาทีนั้น ไอรีน แอดเลอร์ไม่ได้สนใจประโยคนั้นของผมนัก
เธอดูตั้งใจพิมพ์ข้อความในมือถือ ซึ่งพอจะเดาได้ไม่ยากว่าปลายทางคือใคร
ก่อนเจ้าของเสียงผู้มากด้วยเสน่ห์คนนั้นจะเอ่ยขึ้น
“ ใช่ พวกคุณนั่นแหละ ”
“ โอเค
คิดว่าผมกับคุณเคยพูดเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว ” กลับมาที่ปัจจุบัน
ผมกำลังสนทนากับนักสืบเอกชนคนนี้ไม่จบ และผู้ชายผมหยิกคนนี้ก็ชอบเพศตรงข้าม
ผมอยู่กับเขานานพอที่จะรู้รสนิยมของเขาได้
“
คราวหน้าอย่าพูดอะไรแบบนี้ทั้งๆที่ยังสนใจข้อความนั่นอยู่ก็แล้วกัน ” ผมยกโค้ทขึ้นมาใส่
วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ไม่แปลกนักที่แม่ยอดรักจะส่งข้อความมาหาเชอร์ล็อคเช่นทุกปี
“
ก็เคยบอกแล้วว่าผมแทบไม่เคยตอบข้อความเธอเลยด้วยซ้ำ ”
ผมหยุดมองตัวปัญหาเพียงชั่วครู่
ยักไหล่ให้เขาครั้งหนึ่ง ก่อนเดินไปเปิดประตู
“
วันนี้ผมมีธุระต้องทำต่อ เรื่องคดีคุณก็พยายามสืบไปก่อนแล้วกันนะ ”
พาร่างออกมาทั้งแบบนั้น ทุกทีที่มีเรื่องต้องทำ ผมมักจะทิ้งเขาสืบคดีอยู่คนเดียว
ซึ่งมันก็ไม่จริงไปซะทั้งหมดหรอก เชอร์ล็อคอาจจะตีความหมายประโยคนั้นได้ว่า ‘มีอะไรให้ช่วยก็ส่งข้อความมา’ ก็ได้
วันนี้ผมมีเดทกับผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่คลินิก
เธอเป็นพยาบาลสาวสวยที่คุยถูกคอ เราคุยกันผ่านข้อความมาพักหนึ่ง
จนกระทั่งวันนี้ตัดสินใจได้ว่าจะมาดินเนอร์ด้วยกัน
และทั้งที่วันนี้เป็นวันเดท
แต่ในหัวของผมกลับมีแต่เรื่องที่เชอร์ล็อคเคยพูดอยู่เต็มไปหมด ที่จริงผมไม่ควรไปคิดอะไรกับคำพูดของคนบ้าๆบอๆนี่เลย
ผมได้แต่เม้มปากเข้าหากันอย่างขัดใจ
คู่เดทของผมดูเหมือนจะมาช้ากว่าเวลานัดไปนิดหน่อย
“ ถ้างั้น
คุณก็ไม่มีแฟนผู้หญิง ” บทสนทนายาวๆที่เราได้คุยกันครั้งแรก
คงเป็นที่ร้านอาหารของอดีตลูกจ้างของเขา เชอร์ล็อคถอดโค้ทตัวนอกของตัวเองวางลงกับเบาะ
ผมได้แต่นั่งมองเทียนหอมที่เจ้าของร้านตั้งใจเอามาวางบนโต๊ะให้
โดยเน้นว่าเพื่อความ ‘โรแมนติก’ ด้วยใบหน้าหมดคำพูด
“ ใช่ ”
“
งั้นคุณก็มีแฟนเป็นผู้ชาย …เอ่อ
ผมหมายถึงคุณชอบผู้ชายหรอ เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนะ ”
บทสนทนานี้ไม่ควรเกิดขึ้นขณะตามตัวฆาตกรต่อเนื่อง
ผมแค่สงสัยว่าทำไมเจ้าของร้านคนที่เชอร์ล็อคทำให้เขาเข้าตารางคนนั้นจึงได้ยัดเยียดให้ผมเป็นคู่เดทนักสืบคนนี้นัก
และคำถามนี้คือสิ่งที่แพทย์สนามคนนึงจะสรุปได้
“ โอเค… ”
ผมพยักหน้ายอมแพ้ก่อนหลบสายตาคนตรงหน้าที่จ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้มาที่อาหารตรงหน้าแทน
เป็นความจริงว่าผมหิวมาก แต่ในขณะเดียวกันเราก็กำลังตามจับฆาตกรอยู่
“ ถ้างั้นคุณกับผม
เราก็โสด ไม่มีแฟนเหมือนกัน ” ผมเอ่ยขึ้นขณะกินอาหารในจานต่อไป
ครั้นพอเงยหน้ามามองสีหน้าที่เหมือนชะงักค้างของเชอร์ล็อคที่ก่อนหน้านี้ดูลุกลี้ลุกลนพิกล
ผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่าตัวเองพูดประโยคนั้นออกมาผิดเวลาเสียแล้ว
อย่าได้เชื่อมโยงประโยคเมื่อกี๊กับคำพูดแรกนะ
ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น
“ เอ่อ… คือ
ที่ผมพยายามจะบอกคุณคือ ผมโสด ใช่… แต่ผมแต่งงานกับงานและคดีหมดแล้ว
คุณก็รู้ ”
“ พอก่อน หยุด
ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ”
ผมยกมือขึ้นปรามท่าทางอึกอักราวกับโดนสารภาพรักของนักสืบเอกชนคนนั้น
สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น เขาดันเอาประโยคทั้งหมดไปเชื่อมโยงกันเสียได้
ผมไม่รู้จะแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปดี
“ จอห์น
คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ”
เสียงของคนที่มาใหม่เป็นตัวดึงให้ผมกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง
ผู้หญิงวัยย่างสามสิบในชุดเดรสสีสวยยกมือขึ้นมาไว้ในระดับสายตา ดูเหมือนเธอจะพยายามเรียกผมอยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งผมเพิ่งตอบรับ
“ อ่า ขอโทษที
วันนี้ผมคงเหนื่อยกับงานเกินไปหน่อย ”
ผมรินไวน์ใส่แก้วให้คนตรงหน้าที่ยังคงมีสีหน้างุนงง
ที่จริงก็ผสมกับไม่พอใจเล็กๆด้วย
จนกระทั่งเสียงข้อความจากมือถือดังขึ้นมาขัดจังหวะ
มาเร็วได้เท่าไรยิ่งดี
อาจเกิดอันตราย - S.H.
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าผมไม่มีเข้ากะที่คลินิกวันนี้ …ใช่ เมื่อกี๊ผมโกหก
“
แล้วผมก็ขอโทษสำหรับเดทวันนี้ด้วย ”
ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนทั้งร่างจะผละออกจากเก้าอี้
ขาทั้งสองข้างพาตัวเองออกมาทั้งที่ยังสนใจกับข้อความในมือถืออยู่ ไม่นานนักข้อความใหม่ก็ถูกส่งมา
ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มันคือที่อยู่ของสถานที่ที่ผมไม่รู้จัก
ลงชื่อคนส่ง ‘S.H.’ คนเดิม
“ แท็กซี่! ”
หลายต่อหลายครั้งที่ผู้ชายคนนี้เข้ามาขัดจังหวะผมกับคู่เดทอีกหลายคน
นั่นทำให้ผมไม่อาจคบใครเป็นตัวเป็นตนได้ ทุกครั้งไม่เคยมีคนไหนที่จบสวย
ด้วยงานที่ผมช่วยเชอร์ล็อคทำ ทำให้ผู้หญิงพวกนั้นต้องมาพลอยเสี่ยงชีวิตไปด้วย
คงไม่มีใครอยากจะอยู่กับผู้ชายที่ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงได้หรอก
อันที่จริงคือผมหัวเสียทุกครั้งที่เขาเข้ามาขัดจังหวะ
ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความหรือเดินเข้ามาแทรกกลางวงด้วยตัวเอง
ทั้งเหนื่อยใจที่จะโวยวาย เพราะทำยังไงนักสืบหัวหยิกคนนั้นก็ยังไร้มารยาทวันยันค่ำ
ทั้งที่ข้อความนั้นไม่อาจตีความหมายได้ว่ามันด่วนอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า
หลายครั้งที่ไปถึงก็มักจะเจอเขานอนอยู่ที่โซฟาพร้อมท่าทางประสานมือที่คุ้นเคย
บ้างก็เรียกผมมาเพียงเพราะต้องการยืมมือถือบ้าง ขี้เกียจเดินไปหยิบของบ้าง
แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ผมปฏิเสธที่จะไม่ไปหาเลยซักครั้ง
ใช่ ผมเลือกเขามากกว่า…
ปลายทางของแท็กซี่พามาหยุดยังโกดังเก่าๆ
บางทีอาจเป็นโรงงานร้างหรืออะไรซักอย่าง ผมไม่รู้จักที่นี่
และก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะติดต่อเชอร์ล็อคได้อย่างไร มนุษย์คนนั้นไม่เคยรับโทรศัพท์
อย่างข้อความในเวลานี้อย่าได้หวัง
ผมได้แต่ยืนงงอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง
ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะดังขึ้นมาดึงความสนใจ ร่างหนึ่งวิ่งหน้าตั้งตรงมาทางผม
ทั้งน้ำหนักการลงฝีเท้าและรูปร่างของคนมาใหม่ทำให้ผมทราบได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
“ เชอร์ล็อค ”
“
ไปจัดการตามรายการนี้แล้วโทรเรียกตำรวจซะ ผมมีเรื่องต้องทำ ” ประโยครัวเร็วพูดขึ้นมาตั้งแต่เขายังวิ่งมาไม่ถึง
เชอร์ล็อคยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือผมก่อนผ่านไปโดยไม่ได้หันกลับมาสนใจอีก
ผมรู้ดีว่าท่าทางแบบนั้น
เขากำลังพาตัวเองไปหาอันตราย ไปเผชิญหน้ากับฆาตกร …เขาเป็นแบบนี้ทุกที
แต่ผมก็เชื่อใจผู้ชายคนนี้เสมอ
ผู้ชายคนนั้นไม่ยอมให้ตัวเองตายง่ายๆ
ถึงขั้นคิดแผนมาหลอกให้ผมเศร้าใจโง่ๆอยู่สองปีเต็ม
ใช้ผมเป็นพยานยืนยันว่าตัวเองตายไปแล้ว ทั้งแบบนั้นแหละ
ทั้งที่เขาทั้งปั่นหัวทุกอย่าง …ผมก็ยังยอมให้เขาอยู่เรื่อยไป
ปลายเท้าทั้งสองข้างพาร่างของตัวเองวิ่งออกไปทันทีที่เข้าใจข้อความในกระดาษแผ่นนั้น
มันเป็นเพียงศัพท์สั้นๆไม่กี่คำ แต่คนที่ตามคดีมาตลอดอย่างผมและเชอร์ล็อคเข้าใจดี
เขาจำเป็นต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้เพิ่มเติม นั่นจึงตกเป็นหน้าที่ของผม
จำนวนคนที่รับมือด้วยไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ
ดูเหมือนคราวนี้เชอร์ล็อคและผมจะพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับองค์กรอะไรซักอย่างอีกแล้ว
ผมเกือบพลาดท่าให้ลูกปืนและการถูกล็อคคอจากด้านหลังอยู่หลายครั้ง
มันชุลมุนวุ่นวายอย่างนั้นอยู่พักใหญ่
กว่าจะได้กดมือถือตัวเองเรียกผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อย่างเลสเตรจให้มารับผลงานโดยด่วน
ผมไม่ได้เก่งกาจขนาดจะเชื่อมโยงหลักฐานที่หามากับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้
ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของนักสืบหัวหยิกซึ่งตอนนี้กำลังวิ่งวุ่นอยู่อีกฟากมาสรุปผลให้
ปัง!
เสียงกระสุนที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบเป็นตัวดึงความสนใจให้กลับมา
ผมรีบวางสายจากตำรวจหลังให้ที่อยู่ไปเรียบร้อยแล้ววิ่งไปยังต้นเสียงทันที
มั่นใจว่าจัดการกับลูกกระจ๊อกที่เข้ามาขวางทางไปหมดแล้ว
เสียงนั่นจึงเป็นไปได้ว่ามาจากที่เดียวเท่านั้น
ที่ที่มีเชอร์ล็อคอยู่…
“ เชอร์ล็อค
เกิดอะไรขึ้น ” ผมเอ่ยถามออกไปหลังมาหยุดข้างร่างสูงที่คุ้นเคย
เชอร์ล็อคดูเหมือนคนกำลังหอบหนัก และสายตาของเขาจ้องมองไปข้างหน้า
ตรงนั้นมีร่างของใครคนหนึ่งยืนประจันหน้ากันอยู่
ไม่ต้องเดาให้ยาก
นั่นแหละตัวเป้งของคดีนี้
ปัง!
แต่ครั้นรู้สึกตัวอีกที
มือเรียวๆนั้นก็พรวดพราดเข้ามาคว้าปืนซึ่งปกติผมจะเก็บไว้ในโค้ทของตัวเองแล้วลั่นไกทันที
ผมได้แต่ยืนเหรอหราทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าดันล้มพับลงไปกับพื้นเรียบร้อยแล้ว
“ ทำอะไรของคุณ
นั่นเบาะแสสำคัญนะ! ”
ผมรีบคลำโค้ทตัวเองทันทีที่ได้สติ
มันหายไปจริงๆและผู้ชายหัวหยิกก็รู้ดีว่าผมเก็บไว้ที่กระเป๋าด้านขวา
เขารู้ว่าหลังเสียงปืนนั่นผมจะมาที่นี่แน่นอน
“ ไม่ตายหรอก
อย่างมากคือเสียเลือดเยอะและนอนเป็นผักซักอาทิตย์นึง ” น้ำเสียงของคนตัวสูงหอบหนัก
เขาพูดประโยคนั้นอย่างรวดเร็วตามปกติ
ก่อนทั้งร่างจะทิ้งตัวลงไปกับพื้นทันทีที่พูดจบ
“ เชอร์ล็อค! ”
ผมรีบเข้าไปพยุงร่างสูงทันที
เพราะชุดที่ดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้ผมไม่ได้ทันสังเกต
อาจเพราะกลิ่นของเหล็กที่คละคลุ้งไปทั่ว
ผมไม่ได้เอะใจท่าทางหอบผิดปกติของคนๆนี้เลยซักนิด
“ ค่อยๆหายใจ
อยู่กับผมก่อน! ”
กระสุนเจาะทะลุลิ้นปี่ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้หัวใจ ผมรีบห้ามเลือดเท่าที่ทำได้
ชีพจรของเชอร์ล็อคจวนจะแผ่วลงทุกที
ความรู้สึกราวกับหัวใจกำลังถูกบีบรัดตีเข้ามาที่ผมทันที
กระสุนนัดนั้นที่ได้ยิน
ไม่ใช่ลั่นขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณเรียก แต่เป็นกระสุนที่ทำร้ายเขาต่างหาก
“ เชอร์ล็อค ลืมตามองผม
” ผมลงแรงตบไปที่ใบหน้าของผู้ชายคนที่อยู่บนตัก ลมหายใจแผ่ว ตาปรือคล้ายจะปิด
ภายในสามนาทีนี้หากไม่มีรถพยาบาลมา ชีพจรของผู้ชายคนนี้กำลังจะหยุดเต้น
“
คุณจะตายไม่ได้เด็ดขาด ห้ามตายต่อหน้าผมอีก ”
โดยเฉพาะผมที่เป็นหมอ เขาจะมาตายแบบนี้ไม่ได้
ขอบตามันร้อนผ่าวไปหมด แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขามักจะเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง
แต่ไม่ได้หมายความว่าผมอยากให้เขาจากกันไปง่ายๆเสียหน่อย
“ เรื่องคนที่อยากได้
ผมพูดจริงนะจอห์น”
น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นขณะฝ่ามือที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาคว้าเข้ากับฝ่ามือของผม
ดวงตาสีฟ้าหม่นจ้องมองเข้ามา แม้ไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย
ผมก็เข้าใจว่าประโยคดังกล่าวหมายถึงคำพูดก่อนที่ผมจะออกจากแฟลตมา
“
ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ คุณอยากให้เลือดคั่งในปอดตายหรือไง ”
ผมเผลอบีบมือคนบาดเจ็บแน่นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
อาการร่อแร่ขนาดนี้แล้วเขายังมีเวลามาฉีกยิ้มให้กันอีก
“ กระดาษที่แปะหัวคุณ
ผมก็ไม่ได้สุ่มเปิดมาจากนิตยาสารด้วย ”
นั่นเป็นเพียงประโยคสุดท้าย
ก่อนที่ทั้งตำรวจและพยาบาลจะกรูเข้ามาพาร่างของเชอร์ล็อคขึ้นรถพยาบาลไป
ผมได้แต่ยืนนิ่งมองภาพนั้นดำเนินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย
ยกมือที่แม้ในเวลานี้จะเปื้อนเลือดของคนที่ช่วยพยุงอาการมาพักหนึ่งขึ้นมาสัมผัสกับหน้าผากที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
เขาหมายถึงกระดาษอะไรกัน…
ผมเก็บสัมภาระต่างๆลงกระเป๋าของตัวเอง
ก่อนจัดโต๊ะทำงานให้เข้าที่และเดินออกมา
เป็นเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ที่เชอร์ล็อคพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล
เขาเสียเลือดมากจนต้องวุ่นวายหาเลือดมาเปลี่ยนให้ นาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลาห้าโมงเย็น
เป็นช่วงที่หมดกะทำงานในวันนี้ลง
แท็กซี่คือตัวเลือกเดียวที่จะพาผมไปยังโรงพยาบาลบาโธโลมิวในตอนนี้
หน้าประตูห้องพักมีตำรวจท่าทางขึงขังยืนเฝ้าอยู่
แม้ไม่ต้องเดาผมก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นอภินันทนาการจากพี่ชายผู้เป็นห่วงน้อง
กลัวโดนองค์กรที่ว่าวกกลับมาทำร้ายเป็นแน่
ผมผลักประตูเข้าไปในห้องนั้นโดยไม่ลังเล
แต่คนป่วยที่ควรจะนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงในเวลานี้กลับกำลังเอนหลังเล่นมือถือของตัวเองด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย
ทันทีที่ดวงตาสีฟ้าหม่นสังเกตเห็นผม เขาก็เอ่ยสนทนาขึ้นในทันที
“ Hi Madonna, คุณช่วยบอกไมครอฟต์ทีนะว่าปล่อยผมออกไปจากโรงพยาบาลได้แล้ว
ผมจำเป็นต้องออกไปหาเบาะแส ตอนนี้! ”
แม้ผมจะตกใจกับประโยคทักทายที่แสนประหลาดนั่นไม่น้อย
แต่ก็ทำได้เพียงชะงักปลายเท้าก่อนขมวดคิ้วเข้าหากัน
พร้อมมองกลับไปที่ประตูห้องอีกครั้ง
ก็พบพี่ชายตัวสูงของเขาที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
“
คิดว่าคงไม่จำเป็นนะเชอร์ล็อค ” ผมยักไหล่พร้อมส่งยิ้มน้อยๆให้ไมครอฟต์
อย่างน้อยเขาน่าจะแอบหนีออกไปด้วยตัวเองคืนนี้ …คิดว่าอย่างนั้น
ต่อให้ไมครอฟต์จะคุมเข้มอยู่ก็ตามที
MADONNA คำนั้นแปะอยู่บนหน้าผากผมจนกระทั่งมีลูกจ้างรายใหม่เข้ามาในกลางดึกคืนนั้น
ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการแฮงก์ที่ทำให้ปวดหัวอย่างหนักหนาสาหัส
ซ้ำยังต้องรับผิดชอบกับเรื่องวุ่นวายที่ไปก่อไว้ขณะเมาเหมือนหมา
เชอร์ล็อคถึงขั้นเก็บมันเป็นเรื่องที่ไม่อยากพูดถึงที่สุดในชีวิตนักสืบ
คืนนั้นเราเมากันมาก
เมาจนจำหน้าใครไม่ได้ แต่ก็ยังกลับมาที่แฟลตได้
แต่ถึงจะเมามากแค่ไหน… แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้
คนอย่างเชอร์ล็อคไม่อ่านนิตยาสาร
เขาไม่ใช่คนตามข่าวดารา และ MADONNA ก็ไม่ใช่คำที่จะเอาไปแปะหน้าผากใครก็ได้เสียหน่อย
เราทั้งคู่ต่างรู้อยู่แก่ใจกันทั้งนั้น… ไม่ใช่ไม่รู้สึก
แต่ไม่ได้แสดงออกให้ใครเห็นต่างหาก
ย้ายมาไว้ในบทความนี้แทนนะคะ
เนื่องจากตอนแรกจัดผิดหมวดไปหน่อย;-;
ปล. Madonna เป็นคำเปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่รักของฝรั่งนะคะ
หลายๆคนอาจจะนิยามถึงความเซ็กซี่(?) แสบซ่า เป็นที่รัก และอะไรได้อีกหลายอย่างค่ะ^^
ความคิดเห็น