ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ย้อนอดีต :: พฤติกรรม ม.4 ความอนาถที่หาได้ยากยิ่ง
หัวข้อไม่เว่อร์เกินไปเลยค่ะสำหรับตัวพี่ในชีวิต ม.4
เป็นปีที่พี่รู้สึกผิดหวังในตัวเองมากที่สุดปีหนึ่งเลย
เริ่มจากเมื่อใกล้ ม.3 จะขึ้น ม.4 ความที่เป็นเด็กกรุงเทพฯ (จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นกรุงเทพฯก็ได้มั้ง)
หลายคนก็มักจะนึกถึงชื่อโรงเรียนที่เป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กม.3 ทั่วไป
นั่นคือ "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา"
ใช่แล้ว พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเข้าโรงเรียนนี้เช่นกัน
พี่ก็ไม่หาเหตุผลมากหรอกว่าทำไมอยากเข้า
รู้แต่ว่าเป็นโรงเรียนที่ดี อยู่แล้วเท่ ก็อยากเข้า
เป็นปีที่พี่เริ่มเรียนกวดวิชา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเรียนมาก่อน (เฉพาะในสมัยมัธยมนะ)
และก็เป็นปีที่พี่ได้พบกับความผิดหวังอีกครั้งเมื่อวันประกาศผล ออกมาว่า
"ไม่ติด"
และเป็นอีกครั้งที่พี่ไม่ได้เห็นผลการสอบด้วยตาของพี่เอง
แต่กลับเป็นคนอื่นที่โทรมาบอก...
เช่นเดียวกับสมัยพี่ขึ้นม.1 พี่อยากเข้ารร.รัฐชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับพี่ชายของพี่
และครั้งนั้นก็ ไม่ติด เช่นเดียวกัน
สุดท้ายพี่ก็มาจับฉลากได้โรงเรียนรัฐที่อยู่แถวบ้าน
จะว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงไหม ? ก็กลาง ๆ นะ ค่อนข้างดีใช้ได้
ถึงแม้ว่าในวันนั้นพี่จะไม่ได้ภูมิใจกับโรงเรียนที่พี่อยู่เท่าไหร่ก็ตาม
แต่ ณ วันนี้ พี่จบ ม.6 แล้ว พี่กลับรักและภูมิใจในโรงเรียนนี้มากอย่างหาคำบรรยายไม่ได้
เรียกว่า รักและผูกพัน จะดีกว่า :')
ณ วันนี้ พี่กลับดีใจที่พี่ไม่ติดเตรียมฯ ไม่ใช่ว่าเตรียมฯไม่ดี เตรียมฯดีและดีมาก ๆ
แต่ถ้าพี่ติดเตรียม ณ วันนี้พี่คงไม่รู้สึกซาบซึ้ง
กับการที่ได้อยู่โรงเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวถึง 6 ปีขนาดนี้
อยากรู้ละสิว่าโรงเรียนอะไร 5555
ใบ้ให้ว่าเป็นโรงเรียนที่อยู่ติดห้างในกรุงเทพฯ
ไม่ต้องทายนะ ไม่เฉลยหรอก อิอิ
^O^ เวิ่นเว้อกันไป กลับมาเข้าสู่ชีวิตม.4 ของพี่กันดีกว่า อิอิอิ
เอ้อต้องย้อนกลับไปม.3 นิดนึง
ปีพี่เป็นปีแรกที่มีการสอบเข้า ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์
อ่าวมันคือห้องอะไร(วะ) สงสัยป้ะ ก็เป็นห้องสายวิทย์คณิตธรรมดานี่ละ
แต่ในห้องจะมีนักเรียน 30 คนและการเรียนในบางวิชาจะมีหน่วยกิตมากกว่าห้องอื่น
และเรียนหนักกว่าห้องอื่น จิ๊ดนึง
ในการสอบจะใช้วิชาคณิตกับวิทย์สองตัวเท่านั้น
และก็ชะดีชะร้ายไม่รู้ พี่ก็บังเอิญสอบติด (อ้าว)
จะว่าบังเอิญไหม ก็นิดนึงเพราะพี่เพิ่งมาดูหนังสือคืนก่อนสอบ
แล้วแม่-ง ออกโคดตรงเลยอ้ะ 555555 โดยเฉพาะวิทย์ที่เพิ่งดูมา (หยาบเล็กน้อยเพื่อจะได้เห็นภาพ)
คือตามจริงก็ไม่ได้สนใจจะเรียนวิทย์คณิตขนาดนั้นด้วย
เพราะพี่เป็นคนเก่งคณิต แต่ไม่เก่งวิทย์
พอไปดูคะแนน พี่ก็เห็นว่าเลขคะแนนดีมากกกก แต่วิทย์นี่ก้อเอ่อ - -" อย่างว่าแหละ
ตอนนั้นก็สงสัยเหมือนกันว่าจะเรียนสายวิทย์ได้หรอ เนื่องจากตัวเองไม่เก่งวิทย์มาแต่ไหนแต่ไร
ในห้อง ม.ต้น พี่ได้อยู่ห้องคิงก็จริง แต่คะแนนวิทย์นั้นอยู่เป็นอันดับท้าย ๆ ของห้องมาก
ตอนนั้นก็แบบ อะ อุตส่าห์ฟลุ๊คติดมาแล้วก็ลองเรียนหน่อยละกัน
เพราะช่วงนั้นก็ตามอ่านเรื่องการย้ายสายอยู่ กะว่าจะไปอยู่ศิลป์คำนวณถ้าเกิดไม่ไหวจริง ๆ
และแล้วก็ได้ย้ายมาห้องนี้ เป็นเด็กสายวิทย์เต็มตัวในสมัย ม.4
รุ่นพี่ในตอนนั้นก็มาเล่าว่า ม.ต้น กับ ม.ปลาย เรียนต่างกันมากนะ
น้องรู้มั้ยว่าน้องจะมาอ่านหนังสือแบบ ม.ต้นไม่ได้แล้วนะ บลาบลา
มันเรียนหนักสุด ๆ ไปเลยนะฮะน้อง น้องต้องขยันมาก ๆ ตั้งใจเรียนนะฮะ
บลาบลาบลา
สำหรับคนอย่างพี่ในตอนนั้น
สิ่งที่รุ่นพี่ต่างเตือนมานั้น ก็ทะลุเข้าหูพี่ แล้วก็ทะลุผ่านหูีพี่ไป-_-"
พี่เป็นคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนมากนัก (ในตอนนั้น)
พี่ให้ความสนใจกับเกมส์ ความรัก เพื่อน ดนตรี นิยาย การ์ตูนมากกว่า
เรียกว่าเรื่องเรียนไม่ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตพี่เท่าไหร่
อืมม..พี่เป็นพวกแผ่วต้นแข็งปลาย อย่างนั้นป้ะ ?
ม.6 พี่แทบจะเป็นคนละคนกับตอน ม.4 ค่ะ
หมายถึงเฉพาะพฤติกรรมการเรียนนะ
เห็นหลาย ๆ คนชอบบอกว่าตัวเองขี้เกียจงู้นงี้งั้น ไม่อ่านหนังสือเลย
ชิว ไม่ฟัง เวลาสอบก็มากามั่ว ๆ
แต่พอมาดูพฤติกรรมจริง ๆ แล้วมันออกจะตรงข้ามสุด ๆ ไปเลย ...
คิดว่าน้อง ๆ ก็คงเคยเจอนะ ? หึหึ
แต่ตัวพี่ในตอนนั้น พี่ "ขี้เกียจ" แบบหาที่ติไม่ได้จริง ๆ ค่ะ
ในบางวิชาเช่นเคมีกับชีวะพี่ไม่เคยฟังครูสอนด้วยซ้ำ ทำนู่นนี่นั่นตลอด
แต่บางวิชาเช่้นเลขกับฟิสิกส์ ถ้าพี่เกิดชอบขึ้นมาพี่ก็ฟังทั้งชั่วโมง
ทำตัวแย่มาก ๆ ไม่ได้น่าชื่นชมเลย
และเกรดใน ม.4 เทอมหนึ่งนั้นก็ออกมาแบบหาที่ติไม่ได้จริง ๆ ค่ะ =O=
อ่อใช่ ถ้าถามถึงเรื่องเรียนพิเศษ
พี่่เรียนแค่คอร์สฟิสิกส์เทอมหนึ่งอย่างเดียวค่ะ
ในตอนนั้นก็เรียน ๆ โดด ๆ แล้วแต่อารมณ์
เคมี ชีวะ ไม่ได้เรียนในม.4 เทอมหนึ่ง
คือปกติการเรียนของพี่จะแบ่งเป็นสองเทอม ในหนึ่งปี
เทอมหนึ่งจะมีสอบกลางภาค กับปลายภาค
กลางภาคจะซ่อมได้ แต่ปลายภาคซ่อมไม่ได้แล้ว
และสอบปลายภาคเสร็จก็จะตัดเกรดเลย ให้มันรู้กันไปเยยว่าได้เกรดเท่าไหร่ *0*
ตอนแรกสอบกลางภาคค่ะ
พี่ก็ทำตัวเหมือนตอนเรียน ม.ต้น อ่านหนังสือหนึ่งวันก่อนสอบ
ทั้งวิชาที่ฟังครูสอน และไม่ได้ฟังครูสอนก็อ่านแบบนั้นแหละ
อิอิอิผลออกมา เป็นไง
ตกชีวะค่ะ 555
เคมีเกือบตกค่ะ 555
ฟิสิกส์เกือบท็อป กรี๊ดดดดดดด
มาถึงตรงนี้น้อง ๆ เริ่มสงสัย เอ๊ะ พี่ไม่เก่งชีวะกับเคมี
คิดยังไงมาเรียนหมอ ? ยังค่ะ อ่านไปก่อน ๆ คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ :')
การตกชีวะของพี่นั้น นับว่าไม่ธรรมดา
เพราะมันผ่านเกือบทั้งห้อง แต่พี่ตก !?!? อ่าว ตรูโง่ชิมินะ ??
ตอนไปซ่อมก็เอ่อ สะเทือนใจเล็กน้อย แบบว่าเพิ่งเร่ิมเรียนก็ตกซะแล้ว
แต่ไม่นานค่ะ วันสองวันก็ลืม แป่ววว
ท้าวความไปก่อนหน้านี้ที่พี่บอกว่าพี่ไม่เก่งวิทยาศาสตร์
พี่ไม่เก่งและไม่ชอบด้วยค่ะ ลืมบอก อิอิ
ผลก็เลยไปสำแดงฤทธิ์สมัย ม.ปลายค่ะ T_____T
แต่พี่กลับพบว่าพี่ชอบ ฟิสิกส์จัง >O<
ตอนนั้นเรียนกลศาสตร์ เรื่องแรง นิวตันไรงี้
ถึงใครจะบอกว่า ปญอ อะไร F=ma บ้าอะไรเนี่ย
แต่พี่ช้อบชอบอะ >_____<
ตรงกันข้ามกับเวลาพี่เรียนชีวะ(ตอนนั้นเรียนเรื่องเซลล์)
พี่รู้สึกว่าจะรู้ไปทำไมฟะว่าออแกแนลใดมีกี่ชั้น
แต่ละอันทำอะไรได้ แล้วออแกแนลใดมีมากในอวัยวะชนิดใด
พี่แบบ ? เรียนไปไมอะ
พอเกิดอาการแบบนี้ พี่ก็จะไม่จำสิ่งที่เรียนเลยค่ะ
ซึ่งน้อง ๆ หลายคนที่มาอ่านมักจะเป็นคนชอบชีวะใช่ไหมคะ
น่าจะเป็นส่วนใหญ่เลยด้วยซ้ำ เพราะผู้หญิงมักจะชอบเรียนชีวะ
ผู้หญิงมักจะชอบอ่านละเอียด ๆ และก็มักจะเกลียดฟิสิกส์กันขึ้นสมอง
แต่ฟิสิกส์มักจะเป็นวิชาถนัดของผู้ชายเพราะเป็นวิชาคำนวณ
เอ้อพี่ถนัดวิชาผู้ชายมากกว่าแฮะ
ส่วนเคมี พี่ก็ไม่ชอบอะ บวกกับครูที่สอนพี่เค้าแบบอาไรก็ไม่รู้อะ
เวลาพี่เรียนพี่จะชอบจดมุกอาจารย์มากกว่าฟังเค้าสอน
อาจารย์พี่เค้าชอบปล่อยมุกแป๊ก + ปล่อยคำคม 555555
พี่ลองย้อนไปเปิดหนังสือเคมีเล่มหนึ่งอะ
เต็มไปด้วยเนื้อเพลง + มุกแป๊กและคำคม
คิดถึงนะคะ อาจารย์เค้าเกษียณไปแล้วล่ะน้อง ^O^
ดูชิวใช่ปะ
เกรดออกมา ก็สมใจความชิวเลยละ T_______T
เคมี 2.5
ชีวะ 3 แต่ 3 แบบเกือบ 2.5 อยู่แล้วอะ
ฟิสิกส์ 4 >< ไอเลิฟยูทูมัชโซมัชเวรี่มัชไรท์นาว
วิชาอื่นก็คะแนนดร็อปลงไปจนน่าใจหาย
มันทำให้พี่เริ่มตระหนักขึ้นว่า พี่ควรสนใจการเรียนให้มากกว่านี้
พ่อแม่เริ่มถาม ว่าทำไมเกรดเป็นแบบนี้
เพราะก่อนหน้านี้แม้จะขี้เกียจก็จริง
แต่เกรดก็ไม่เคยแย่ขนาดนี้
การเรียน ม.ต้นมันไม่เหมือน ม.ปลายจริง ๆ ละน้อง
และพี่ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ "ปรับตัวไม่ได้"
พี่ถึงเริ่มคิดได้ว่า พี่คงจะทำตัวแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ
ขอพูดแบบนางเอกหน่อยก็คือ
"พี่ไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ"
นั่นทำให้เทอมสอง พี่เริ่มตั้งใจขึ้น เริ่มฟังครูสอน
เริ่มสนใจว่าเรื่องที่เรียนจริง ๆ แล้วมีอะไรบ้าง
อ่อใช่...ณ เวลานั้นพี่ยังไม่เคยคิดว่าจะเรียนอะไรดี
แต่จากการที่ตกชีวะและเคมีเกรดแย่
พี่จึงวาดภาพคร่าว ๆ ว่าคงไม่น่าเรียนหมอได้
(ที่บ้านเคยแอบเชียร์ให้เรียนหมอ)
ณ ตอนนั้นก็ขำ ๆ แหละ ชีวิตยังสบายไม่ได้ตั้งความหวังอะไร
__________________50%
อืม..ระหว่างช่วงเทอมหนึ่งนั้น
ก็มักจะมีรุ่นพี่ที่คิดถึงโรงเรียนมาเยี่ยมครูบาอาจารย์เป็นระยะ
บางคนก็จะมาพูดแนะนำเราเพื่อเป็นแนวทางการเรียนต่อด้วย
ซึ่งบางคนก็ดี แต่บางคนก็ต้องพิจารณากันนิดนึง
อย่างเช่นพี่จะเจอทุกปีเลย รุ่นพี่ที่มักจะพูดประมาณว่า
"เนี่ย ตอนเรียนหนังสือพี่ก็ไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่หรอก
หลับตลอด กินขนมตลอด ไม่ได้ฟังอาจารย์เลย
เวลาสอบก็พี่ก็ไปกาสด มั่วๆมึนๆงงๆแล้วก็ติดมาอะน้อง"
อืม..อยากจะบอกว่า..การที่พูดแบบนี้
นอกจากจะเป็นการดูถูกตัวเอง ดูถูกคนฟัง ดูถูกครูผู้สอนแล้ว
ยังเป็นการดูถูกสถาบันที่ตัวเองไปศึกษาต่อด้วย
คือ ถ้าเค้าโม้แล้วไม่มีพิษมีภัย พี่ไม่มีปัญหาหรอก
แต่โม้แบบนี้แล้วพี่ดันทะลึ่งเชื่อน่ะสิ ปัญหาก็เกิดเลย
เพราะว่า ม.ต้นก็เรียนแบบนี้ได้เหมือนกัน แบบที่หลับๆไม่สนใจ มากางงๆก็คะแนนดีได้
แต่ไม่ใช่กับ ม.ปลาย พี่เตือนไว้เลยสำหรับคนที่เพิ่งขึ้นม.ปลาย
ขอให้น้องตั้งใจ และขยันมากกว่าเคยน้ะ และก็ขอให้เมื่อน้องติดมหาลัยแล้ว ที่ไหนก็ตาม
ตอนที่น้องกลับมาโรงเรียนพี่หวังว่าน้องจะไม่กลับมาพูดกับรุ่นน้องแบบนี้น้ะ
มันไม่สร้างประโยชน์เลยน้องเอ้ยยย .....
จนม. 6 แล้วพี่ก็ยังพบรุ่นพี่ที่มาพูดจาแบบนี้อีก
ยิ่งทำให้พี่ตั้งใจไว้ว่า ถ้าพี่เข้าคณะไรดีๆสักอย่างได้
พี่จะไม่มีทางมาพูดแบบนี้กับรุ่นน้องเด็ดขาด !!!
แต่ว่ารุ่นพี่ที่มาแนะนำดี ๆ ก็เยอะนะ ก็ขอให้น้องแยกแยะให้ดี
เอาเป็นว่าจากการฟังรุ่นพี่แนะนำมา พี่รู้สึกว่าเชื่อถือได้พอสมควร
ฟังแล้วพิจารณาแล้วนำมาปรับตัวให้เป็นแบบของตัวน้องเองน้ะ ^O^
อ่า มาถึงขนาดนี้น้องอาจจะสงสัยอยากรู้ว่าพี่เรียนพิเศษอะไรบ้างถึงติดหมอได้บลา ๆ
อืม..เรื่องเรียนพิเศษ พี่ขอไปแนะนำเป็นบทแยกในตอนหลังนะ
แต่โดยส่วนตัวแล้วพี่เป็นคนที่เรียนพิเศษน้อยน่ะ คือเรียนเฉพาะที่จำเป็น
ก็พอจะแนะนำได้คร่าว ๆ ว่าที่ไหนดีอะไรยังไง ซึ่งจะพูดถึงอีกทีน้ะ
เรามาเข้าสู่ชีวิตช่วง ม.4 เทอม 2 ของพี่เลยดีกว่า
อย่างที่บอกว่าเป็นช่วงที่พี่ขยันมากขึ้น ตั้งใจมากขึ้น
แต่ก็ไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น ความที่ไม่เคยขยันมาก่อน
มันทำให้พี่เริ่มขยันแบบ "ไร้ทิศทาง"
เหมือนกับว่าพี่ไม่รู้ว่าพี่ควรจะเริ่มที่ตรงไหน แล้วควรจะไปต่อยังไง
อะ อย่างเวลาน้องเห็นเนื้อหาอะไรสักอย่างยาว ๆ แล้ว
น้องเคยปะ มันแบบว่า "งง" ว่าเราควรจะเริ่มอ่านหรือจะเริ่มจำตรงไหน และอะไรที่สำคัญ ?
อืมม..แม้ว่าจะขยันขึ้นแล้ว โดยเฉพาะชีวะที่พี่ขยันขึ้นเป็นพิเศษ
แต่พี่กลับพบว่า กลางภาคในเทอมนั้น
พี่ ตก ชีวะ...
และนี่คือครั้งแรกในชีวิต ที่พี่เดินออกมาจากห้องสอบปุ๊บ
โดยที่ยังไม่รู้ผล แต่พี่ร้องไห้ออกมาทันที
รู้สึกท้ออย่างบอกไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจแล้วแต่กลับทำข้อสอบไม่ได้เลย
ตอนนั้นรู้สึกว่า โอ้โหเราตั้งใจขนาดนี้ มันยังตกอ่ะ ?
แล้วจะมีปัญญาเรียนสายวิทย์ต่อไหมเนี่ย หรือจะไปสายศิลป์ดีกว่า
แต่ไหนแต่ไรพี่เคยคิดว่า อะ ถ้าพี่ขยันขึ้นมายังไงก็ต้องทำได้ละว้า...
คือพี่คิดว่ายังไงถ้าพี่ขยัน พี่ต้องทำได้แน่นอน
แต่พี่พบว่าครั้งนี้พี่ขยันขึ้นแล้วอ่ะ แต่มันยังทำไม่ได้เลย !?!?
ซึ่งมันทำลายความเชื่อของพี่อย่างสิ้นเชิงเลยอะ
รู้สึกดราม่าดีจัง *0*
ในเทอมหนึ่ง ตอนที่เห็นผลว่าตกชีวะ ตอนนั้นพี่เห็นคะแนนแล้วขำ
แม้จะเศร้านิดนึงตอนที่ไปซ่อม
ตอนที่ได้เคมี 2.5 พี่เห็นเกรดแล้วขำ
แต่ตอนนี้เริ่มขำไม่ออก มันขำไม่ออกจริง ๆ ค่ะน้องงงงงงงง !!!
วันสอบวันนั้นพี่ไปดราม่ากับเพื่อนสมัย ม.ต้นที่อยู่ห้องคิง
(คือห้องพี่เป็นห้องพิเศษ ห้องคิงเป็นอีกห้อง เห็นเค้าเรียกห้องพี่ว่ากิฟเต็ท แต่พี่ว่าไม่ถึงขนาดนั้น)
พี่ก็แบบว่า (เอ่อ แม้พี่จะเป็น ญ แต่พี่พูดจาไม่สุภาพนิดนึงนะ)
"มิง กุไม่ไหวแล้วอะ กุไม่อยากเรียนสายวิทย์แล้ว
ทำไมกุโง่อย่างนี้ ครั้งนี้กุตั้งใจแล้วนะเว่ย แต่ทำไมกุกลับทำไม่ได้เลยอะ T_T"
เพื่อนพี่(ญ)ก็บอกว่า "ไอสาส มิงอย่าคิดมากดิ มิงไม่โง่หรอก มิงเก่งจะตาย แต่ห้องมิงน่ะมันเก่งบ้า
ถ้าเป็นห้องอื่นก็ตกกันระนาวไม่แปลกหรอก เนี่ยเห็นป้ะห้องกุใคร ๆ เค้าก็ตกกันเป็นเรื่องธรรมด๊าาา"
พี่ก็หัวเราะ แล้วจากนั้นก็พี่ก็พยายามลืมเรื่องตกชีวะไป
เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียความเชื่อมั่นในตัวเองนะ ^O^
อ่อ พี่ทำไม่ได้เพราะข้อสอบมันยากหรือป่าวนั้นพี่ไม่รู้ รู้แต่ว่ากลางภาคมีคนตกไม่กี่คนเอง
ก็คงแปลว่าไม่ยากน่ะนะ ____"
พี่ใช้เวลาต่อมานั่งคิดว่าจะทำยังไง ให้คะแนนดีขึ้น
เรื่องที่ตกก็คือตกไปแล้ว แต่พี่ก็ไม่ได้ไปจมอยู่กับมัน
เพราะถ้าเรามัวแต่คิดว่าเราจะตก ชาตินี้น้องก็คงจะตกไปตลอดกาลน่ะ !!!
ที่พูดนี่เตือนสตินะ อาจจะแรงนิดนึง แต่พี่น่ะโปเตโต้กับน้อง ๆ นะ ..
?
หวังดีเสมอไง
5555555555555 ขำหน่อยดิ ก๊ากก
>____< กลับเข้าเรื่องชีวะก่อน 55555
พี่มานั่งทบทวนดี ๆ ทำให้พี่พบว่า
พี่ขยันขึ้นแล้วก็จริง .. แต่ขยันขึ้นนิดเดียวเอง ฉะนั้นก็ต้องขยันขึ้น จริงจังขึ้น ...
และปลายภาคเทอมสองนั้นพี่พบว่าชีววิทยาพี่ได้เกรด 4 ค่ะน้องง ^O^
คือกลางภาคสอบ 20 คะแนน และปลายภาค 30 คะแนน คะแนนเก็บอีก 50 คะแนน
กลางภาคซ่อมได้ แต่ปลายภาคถ้าได้ต่ำกว่า 15 ซ่อมไม่ได้ค่ะ
คะแนนเก็บนั้นโอกาสเต็มแทบไม่มี กลางภาคก็ได้แค่สิบ โอกาสที่จะได้เกรดสี่นั้น
เหลือน้อยมาก ๆ ตอนสอบเสร็จก็จะตัดเกรดเลยไม่บอกว่าปลายภาคพี่ได้กี่คะแนน
นั่นแปลว่าปลายภาคคะแนนพี่ต้องดีมาก ๆ พี่ถึงได้เกรด 4 มาได้
ซึ่งทำให้พี่ ดีใจ ม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ก จริง ๆ
สำเร็จไปอีกขั้น
อ่า พี่อยากจะแจงน้องนิดนึง
พี่ไม่ใช่คนหิวเกรด หวงคะแนน หวงวิชา หวงความรู้ก็ว่ากันไป
อืม..แล้วพี่ก็ไม่อยากให้น้องเป็นแบบนั้นด้วย
เพราะตอนนี้น้องอาจจะแบบ โอ้โห อิบ้านี่ วัน ๆ คิดถึงแต่คะแนน
แต่พี่จะอธิบายว่า การที่พี่พูดถึงเกรดและคะแนนเยอะแยะนั้น
เป็นการบ่งบอกคร่าว ๆ ว่าสภาพการเรียนพี่ไปถึงไหนแล้วในช่วงเวลานั้น ๆ
ซึ่งโดยปกติแล้วคะแนนไม่ได้มีอิทธิพลที่สุดต่อการมีชีวิตอยู่ของพี่
คนรอบตัวและสิ่งรอบตัวสำคัญกว่าสำหรับพี่
แต่ในบทความนี้พี่จะเล่าให้ฟังเฉพาะส่วนของการเรียนเท่านั้นค่ะ
อ่อ พี่อยากขอไว้หน่อย ไม่ว่าคะแนนจะแย่จะดียังไง
การเอาคะแนนตัวเองไปเทียบกับคนอื่น มันดีนะที่ทำให้เรารู้ว่าเรานั้นอยู่ตรงไหน
แต่อย่าไปแข่งกับคนอื่น เทียบได้แต่อย่าแข่ง ไม่เหมือนกันนะ
อืม..โดยเฉพาะแข่งกับ "เพื่อน" น่ะน้อง
เพื่อนไม่ใช่คู่แข่งนะ จะมาเปรียบเทียบอะไรกันขนาดนั้น
และแน่นอนไม่มีใครชอบการเปรียบเทียบหรอก
การเทียบมันดีจริงที่ทำให้เรารู้ว่าจุดที่เรายืนอยู่ตรงไหน
แต่ก็อย่าเทียบจนเกินไป เทียบแค่แว้บแรก ดูว่าเราควรจะพัฒนาตัวเองยังไงก็พอ
ทำตัวเองให้ดีแบบที่คิดว่าจะดีได้ แต่อย่าคิดว่าทำให้ดีเพื่อจะได้ "ดีกว่า" คนอื่น
น้องไม่ต้องรีบไปแข่งคะแนนกับเพื่อนน่ะ
เข้ามหาลัยได้แข่งแน่ เพราะมันต้องเอาคะแนนทุกคนมาเรียงกันแล้วตัดเกรดตามอันดับที่ได้
แต่การเรียนมัธยมนั้น ตัดคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด
ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องเอาคะแนนเพื่อนมาเป็นตัวแปรที่สำคัญในชีวิต
ฉะนั้น อย่าเลยน้ะ แข่งกับเพื่อนน่ะ น้ะน้ะ ^O^
ในเทอมนั้นเคมีกับชีวะพี่ได้ 4
แต่พี่กลับพบว่า ฟิสิกส์พี่ได้ 3
....
พี่จึงพบสัจธรรมว่า
1. ไม่มีใครเมพได้ตลอดไป
2. ไม่มีใครโง่ได้ตลอดไป
3. พี่ไม่ได้เก่งฟิสิกส์หรอก พี่แค่ 'คิดไปเอง' ว่าตัวเองเก่ง
และก็ 'หลงตัวเอง' ไปเองด้วยว่าตัวเองเก่ง
พี่พบว่าตอนนั้นพี่แค่ชอบเรื่องฟิสิกส์ในเทอมหนึ่งซึ่งคือกลศาสตร์
มันเลยทำให้พี่ตั้งใจฟังและตั้งใจเรียนแบบไม่รู้ตัว ก็เลยเก่ง ก็เท่านั้นเอง
เพราะในตอนหลังพี่ทิ้งฟิสิกส์ คิดว่าตัวเองเก่ง แล้วเป็นไง
ผลออกมาก็อย่างที่เห็น ;')
4. พี่ไม่ได้โง่ชีวะ พี่คิดไปเองเหมือนกัน พี่แค่ไม่ชอบในตอนแรก
มันทำให้พี่ขี้เกียจและไม่ตั้งใจฟังไม่ตั้งใจเรียน ก็เลยไม่เก่งในตอนแรก
แต่พอพี่เริ่มทำตัวให้สนใจชีวะ เริ่มชอบ ก็เลยเก่งขึ้น ก็เท่านั้นเอง
5. กับเคมีที่พี่ไม่ได้พูดถึงเลย มีสภาพเช่นเดียวกับชีวะ แต่เนื่องจากพี่รู้สึกอินกับชีวะมากกว่า
เลยพูดถึงแต่ชีวะ ให้น้องคิดเสมือนว่า ชีวะที่พี่พูดถึงนั้น มีเคมีอยู่ด้วย แต่พี่ยังไม่เคยตกเคมีกลางภาค
แม้ว่าจะหลุดคาบเส้นมาบ้าง แต่ไม่ซีเรียส พี่เลยดราม่าไม่เท่า
ถึงจะตกปลายภาคแต่อารมณ์ว่าพี่ไม่รู้ว่าพี่ตกเพราะมันไม่บอกคะแนนปลายภาค
ก็เลยไม่ได้อยู่ในความกังวลเท่าไหร่
6. พี่คิดว่า คนเราจะเก่งวิชาไหน มันก็อยู่ที่ว่าเราให้ความสนใจบวกกับขยันในวิชาไหนมากกว่ากัน
อย่างพี่เคยรู้สึกว่าชีวะยากมากกกก เกลียดโคด ๆ ก็กลับกลายเป็นวิชาที่พี่ชอบได้ในตอนนี้
ซึ่งสำหรับน้อง ๆ ส่วนใหญ่ก็คงรู้สึกแบบนี้กับฟิสิกส์เช่นเดียวกัน แม้น้องอาจจะรังเกียจมาก
เรียนบ้าอะไรเนี่ยคำนวณเยอะแยะ แต่น้องลองพยายามทำตัวให้สนใจในวิชานี้
เพราะพอเราเริ่มสนใจแล้ว ความขยันกับความอยากรู้อยากเห็นมันก็จะมาเองอะ
สุดท้ายน้องอาจจะชอบและกลายเป็นวิชาโปรดไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ >O<!
7. คนที่มาแนะแนวหรือแนะนำน้อง โดยเฉพาะในตอน ม.4 ที่เรายังไม่รู้อะไรเลยนั้น
ค่อนข้างมีผลต่อความคิดในระยะแรกมาก ฉะนั้นถ้าคนแนะแนวไม่ดี ก็อาจทำให้น้องมีจุดเริ่มต้นที่ผิดที่ผิดทางได้
ขอให้น้องใช้วิจารณญาณในการรับชมให้ดี อย่าให้ผิดพลาดตั้งแต่เริ่มแบบพี่
เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง นะจ้ะนะจ้ะ ^O^
8. เกรดและคะแนนไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ก็เป็นหลายอย่างที่สำคัญเช่นกัน
น้องอาจจะบอกว่า เกรดมันบอกไม่ได้หรอกว่าจะติดหมอได้หรือเปล่า
ใช่ น้องพูดถูกแต่ไม่ใช่ทั้งหมด พี่ก็คิดแบบน้องนี่แหละ
แต่น้องลองมองดี ๆ น้องจะเห็นว่าเกรดสามารถเป็นตัวบอกได้ว่า
ณ เวลานั้น น้องเรียนรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องมากแค่ไหน
และส่วนใหญ่ถ้าไม่รู้เรื่อง ณ ตอนนั้น น้อยคนที่จะพยายามกลับมาเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง
เพราะการที่น้องเข้าใจในตอนนั้นแล้วในภายหลังเมื่อน้องกลับมาอ่าน น้องจะสามารถเข้าใจได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ GPA ยังบ่งบอกถึงพฤติกรรมการเรียนของน้องในช่วงต่าง ๆ ได้ด้วย
และอย่างที่พี่คิดว่าน้อง ๆ น่าจะทราบคือ การสอบเข้าหมอนั้นไม่ใช้ GPA
ถ้าน้องมั่นใจโคตร ๆ ว่าน้องติดแน่นอน ก็ไม่ต้องรักษา GPA
แต่ถ้าน้องยังไม่มั่น GPA ก็เป็นอะไรที่ควรให้ความสำคัญหน่อยก็ดี
และหลังจากที่เริ่มมีการสอบตรง เพื่อน ๆ เริ่มติดนู่นนี่นั่น
รวมทั้งหลังจากที่พี่ติดหมอ มันทำให้ตัวพี่มีมุมมองกว้างขึ้น
เริ่มมองเห็นว่าคนแบบไหน หรือคนเรียนประมาณไหนจะไปอยู่ในคณะและมหาลัยแบบไหน
ถ้าพูดถึงเฉพาะหมอ เอาง่าย ๆ ในห้องพี่ติดหมอรวมทันตะทั้งหมด 10 คน
ร้อยละ 90 เป็นคนที่เกรดเฉลี่ย 4.00 และ 3.97 3.98 ก็ว่ากันไปซึ่งมักจะ 4 444 4 4 เกือบทุกตัว
อีกร้อยละ 10 ก็คือหนึ่งคนสุดท้าย ก็คือพี่น่ะแหละ
มีชีวิตลุ่มๆดอนๆ เกรดขึ้นๆลงๆ รวมแล้วก็ออกมากลางๆไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ดี
คนที่เกรดดี ไม่ใช่แปลว่าเรียนเก่งอย่างเดียว แต่มักจะเป็นคนที่ขยันอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด
ขยันมาเสมอก็คือขยันฟัง ขยันอ่าน ขยันเรียนมาโดยตลอด
การที่เค้าขยันมาตลอดพี่ว่ามันส่งผลโดยตรงเลยล่ะให้ติดคณะที่ต้องการ
อย่างพวกนี้ขยันมาตลอด ก็เลยส่งผลให้เค้าติดหมอ พี่ว่าอย่างนั้น
น้อง ๆ คนไหนที่หวังฟลุ๊ค มาขยัน ม.6 ไม่ใช่ว่าไม่ทัน
มันทันนะน้อง เพราะพี่ก็เริ่มขยันอ่านหนังสือทุกวันช่วงนี้ละ
แต่แค่จะบอกว่า ผลที่ได้อาจจะไม่ดีเท่าถ้าน้องขยันตลอดมา ก็เท่านั้นเอง
สู้ต่อไปน้ะ .. ทาเคชิ !! !~
เป็นปีที่พี่รู้สึกผิดหวังในตัวเองมากที่สุดปีหนึ่งเลย
เริ่มจากเมื่อใกล้ ม.3 จะขึ้น ม.4 ความที่เป็นเด็กกรุงเทพฯ (จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นกรุงเทพฯก็ได้มั้ง)
หลายคนก็มักจะนึกถึงชื่อโรงเรียนที่เป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กม.3 ทั่วไป
นั่นคือ "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา"
ใช่แล้ว พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเข้าโรงเรียนนี้เช่นกัน
พี่ก็ไม่หาเหตุผลมากหรอกว่าทำไมอยากเข้า
รู้แต่ว่าเป็นโรงเรียนที่ดี อยู่แล้วเท่ ก็อยากเข้า
เป็นปีที่พี่เริ่มเรียนกวดวิชา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเรียนมาก่อน (เฉพาะในสมัยมัธยมนะ)
และก็เป็นปีที่พี่ได้พบกับความผิดหวังอีกครั้งเมื่อวันประกาศผล ออกมาว่า
"ไม่ติด"
และเป็นอีกครั้งที่พี่ไม่ได้เห็นผลการสอบด้วยตาของพี่เอง
แต่กลับเป็นคนอื่นที่โทรมาบอก...
เช่นเดียวกับสมัยพี่ขึ้นม.1 พี่อยากเข้ารร.รัฐชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับพี่ชายของพี่
และครั้งนั้นก็ ไม่ติด เช่นเดียวกัน
สุดท้ายพี่ก็มาจับฉลากได้โรงเรียนรัฐที่อยู่แถวบ้าน
จะว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงไหม ? ก็กลาง ๆ นะ ค่อนข้างดีใช้ได้
ถึงแม้ว่าในวันนั้นพี่จะไม่ได้ภูมิใจกับโรงเรียนที่พี่อยู่เท่าไหร่ก็ตาม
แต่ ณ วันนี้ พี่จบ ม.6 แล้ว พี่กลับรักและภูมิใจในโรงเรียนนี้มากอย่างหาคำบรรยายไม่ได้
เรียกว่า รักและผูกพัน จะดีกว่า :')
ณ วันนี้ พี่กลับดีใจที่พี่ไม่ติดเตรียมฯ ไม่ใช่ว่าเตรียมฯไม่ดี เตรียมฯดีและดีมาก ๆ
แต่ถ้าพี่ติดเตรียม ณ วันนี้พี่คงไม่รู้สึกซาบซึ้ง
กับการที่ได้อยู่โรงเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวถึง 6 ปีขนาดนี้
อยากรู้ละสิว่าโรงเรียนอะไร 5555
ใบ้ให้ว่าเป็นโรงเรียนที่อยู่ติดห้างในกรุงเทพฯ
ไม่ต้องทายนะ ไม่เฉลยหรอก อิอิ
^O^ เวิ่นเว้อกันไป กลับมาเข้าสู่ชีวิตม.4 ของพี่กันดีกว่า อิอิอิ
เอ้อต้องย้อนกลับไปม.3 นิดนึง
ปีพี่เป็นปีแรกที่มีการสอบเข้า ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์
อ่าวมันคือห้องอะไร(วะ) สงสัยป้ะ ก็เป็นห้องสายวิทย์คณิตธรรมดานี่ละ
แต่ในห้องจะมีนักเรียน 30 คนและการเรียนในบางวิชาจะมีหน่วยกิตมากกว่าห้องอื่น
และเรียนหนักกว่าห้องอื่น จิ๊ดนึง
ในการสอบจะใช้วิชาคณิตกับวิทย์สองตัวเท่านั้น
และก็ชะดีชะร้ายไม่รู้ พี่ก็บังเอิญสอบติด (อ้าว)
จะว่าบังเอิญไหม ก็นิดนึงเพราะพี่เพิ่งมาดูหนังสือคืนก่อนสอบ
แล้วแม่-ง ออกโคดตรงเลยอ้ะ 555555 โดยเฉพาะวิทย์ที่เพิ่งดูมา (หยาบเล็กน้อยเพื่อจะได้เห็นภาพ)
คือตามจริงก็ไม่ได้สนใจจะเรียนวิทย์คณิตขนาดนั้นด้วย
เพราะพี่เป็นคนเก่งคณิต แต่ไม่เก่งวิทย์
พอไปดูคะแนน พี่ก็เห็นว่าเลขคะแนนดีมากกกก แต่วิทย์นี่ก้อเอ่อ - -" อย่างว่าแหละ
ตอนนั้นก็สงสัยเหมือนกันว่าจะเรียนสายวิทย์ได้หรอ เนื่องจากตัวเองไม่เก่งวิทย์มาแต่ไหนแต่ไร
ในห้อง ม.ต้น พี่ได้อยู่ห้องคิงก็จริง แต่คะแนนวิทย์นั้นอยู่เป็นอันดับท้าย ๆ ของห้องมาก
ตอนนั้นก็แบบ อะ อุตส่าห์ฟลุ๊คติดมาแล้วก็ลองเรียนหน่อยละกัน
เพราะช่วงนั้นก็ตามอ่านเรื่องการย้ายสายอยู่ กะว่าจะไปอยู่ศิลป์คำนวณถ้าเกิดไม่ไหวจริง ๆ
และแล้วก็ได้ย้ายมาห้องนี้ เป็นเด็กสายวิทย์เต็มตัวในสมัย ม.4
รุ่นพี่ในตอนนั้นก็มาเล่าว่า ม.ต้น กับ ม.ปลาย เรียนต่างกันมากนะ
น้องรู้มั้ยว่าน้องจะมาอ่านหนังสือแบบ ม.ต้นไม่ได้แล้วนะ บลาบลา
มันเรียนหนักสุด ๆ ไปเลยนะฮะน้อง น้องต้องขยันมาก ๆ ตั้งใจเรียนนะฮะ
บลาบลาบลา
สำหรับคนอย่างพี่ในตอนนั้น
สิ่งที่รุ่นพี่ต่างเตือนมานั้น ก็ทะลุเข้าหูพี่ แล้วก็ทะลุผ่านหูีพี่ไป-_-"
พี่เป็นคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนมากนัก (ในตอนนั้น)
พี่ให้ความสนใจกับเกมส์ ความรัก เพื่อน ดนตรี นิยาย การ์ตูนมากกว่า
เรียกว่าเรื่องเรียนไม่ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตพี่เท่าไหร่
อืมม..พี่เป็นพวกแผ่วต้นแข็งปลาย อย่างนั้นป้ะ ?
ม.6 พี่แทบจะเป็นคนละคนกับตอน ม.4 ค่ะ
หมายถึงเฉพาะพฤติกรรมการเรียนนะ
เห็นหลาย ๆ คนชอบบอกว่าตัวเองขี้เกียจงู้นงี้งั้น ไม่อ่านหนังสือเลย
ชิว ไม่ฟัง เวลาสอบก็มากามั่ว ๆ
แต่พอมาดูพฤติกรรมจริง ๆ แล้วมันออกจะตรงข้ามสุด ๆ ไปเลย ...
คิดว่าน้อง ๆ ก็คงเคยเจอนะ ? หึหึ
แต่ตัวพี่ในตอนนั้น พี่ "ขี้เกียจ" แบบหาที่ติไม่ได้จริง ๆ ค่ะ
ในบางวิชาเช่นเคมีกับชีวะพี่ไม่เคยฟังครูสอนด้วยซ้ำ ทำนู่นนี่นั่นตลอด
แต่บางวิชาเช่้นเลขกับฟิสิกส์ ถ้าพี่เกิดชอบขึ้นมาพี่ก็ฟังทั้งชั่วโมง
ทำตัวแย่มาก ๆ ไม่ได้น่าชื่นชมเลย
และเกรดใน ม.4 เทอมหนึ่งนั้นก็ออกมาแบบหาที่ติไม่ได้จริง ๆ ค่ะ =O=
อ่อใช่ ถ้าถามถึงเรื่องเรียนพิเศษ
พี่่เรียนแค่คอร์สฟิสิกส์เทอมหนึ่งอย่างเดียวค่ะ
ในตอนนั้นก็เรียน ๆ โดด ๆ แล้วแต่อารมณ์
เคมี ชีวะ ไม่ได้เรียนในม.4 เทอมหนึ่ง
คือปกติการเรียนของพี่จะแบ่งเป็นสองเทอม ในหนึ่งปี
เทอมหนึ่งจะมีสอบกลางภาค กับปลายภาค
กลางภาคจะซ่อมได้ แต่ปลายภาคซ่อมไม่ได้แล้ว
และสอบปลายภาคเสร็จก็จะตัดเกรดเลย ให้มันรู้กันไปเยยว่าได้เกรดเท่าไหร่ *0*
ตอนแรกสอบกลางภาคค่ะ
พี่ก็ทำตัวเหมือนตอนเรียน ม.ต้น อ่านหนังสือหนึ่งวันก่อนสอบ
ทั้งวิชาที่ฟังครูสอน และไม่ได้ฟังครูสอนก็อ่านแบบนั้นแหละ
อิอิอิผลออกมา เป็นไง
ตกชีวะค่ะ 555
เคมีเกือบตกค่ะ 555
ฟิสิกส์เกือบท็อป กรี๊ดดดดดดด
มาถึงตรงนี้น้อง ๆ เริ่มสงสัย เอ๊ะ พี่ไม่เก่งชีวะกับเคมี
คิดยังไงมาเรียนหมอ ? ยังค่ะ อ่านไปก่อน ๆ คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ :')
การตกชีวะของพี่นั้น นับว่าไม่ธรรมดา
เพราะมันผ่านเกือบทั้งห้อง แต่พี่ตก !?!? อ่าว ตรูโง่ชิมินะ ??
ตอนไปซ่อมก็เอ่อ สะเทือนใจเล็กน้อย แบบว่าเพิ่งเร่ิมเรียนก็ตกซะแล้ว
แต่ไม่นานค่ะ วันสองวันก็ลืม แป่ววว
ท้าวความไปก่อนหน้านี้ที่พี่บอกว่าพี่ไม่เก่งวิทยาศาสตร์
พี่ไม่เก่งและไม่ชอบด้วยค่ะ ลืมบอก อิอิ
ผลก็เลยไปสำแดงฤทธิ์สมัย ม.ปลายค่ะ T_____T
แต่พี่กลับพบว่าพี่ชอบ ฟิสิกส์จัง >O<
ตอนนั้นเรียนกลศาสตร์ เรื่องแรง นิวตันไรงี้
ถึงใครจะบอกว่า ปญอ อะไร F=ma บ้าอะไรเนี่ย
แต่พี่ช้อบชอบอะ >_____<
ตรงกันข้ามกับเวลาพี่เรียนชีวะ(ตอนนั้นเรียนเรื่องเซลล์)
พี่รู้สึกว่าจะรู้ไปทำไมฟะว่าออแกแนลใดมีกี่ชั้น
แต่ละอันทำอะไรได้ แล้วออแกแนลใดมีมากในอวัยวะชนิดใด
พี่แบบ ? เรียนไปไมอะ
พอเกิดอาการแบบนี้ พี่ก็จะไม่จำสิ่งที่เรียนเลยค่ะ
ซึ่งน้อง ๆ หลายคนที่มาอ่านมักจะเป็นคนชอบชีวะใช่ไหมคะ
น่าจะเป็นส่วนใหญ่เลยด้วยซ้ำ เพราะผู้หญิงมักจะชอบเรียนชีวะ
ผู้หญิงมักจะชอบอ่านละเอียด ๆ และก็มักจะเกลียดฟิสิกส์กันขึ้นสมอง
แต่ฟิสิกส์มักจะเป็นวิชาถนัดของผู้ชายเพราะเป็นวิชาคำนวณ
เอ้อพี่ถนัดวิชาผู้ชายมากกว่าแฮะ
ส่วนเคมี พี่ก็ไม่ชอบอะ บวกกับครูที่สอนพี่เค้าแบบอาไรก็ไม่รู้อะ
เวลาพี่เรียนพี่จะชอบจดมุกอาจารย์มากกว่าฟังเค้าสอน
อาจารย์พี่เค้าชอบปล่อยมุกแป๊ก + ปล่อยคำคม 555555
พี่ลองย้อนไปเปิดหนังสือเคมีเล่มหนึ่งอะ
เต็มไปด้วยเนื้อเพลง + มุกแป๊กและคำคม
คิดถึงนะคะ อาจารย์เค้าเกษียณไปแล้วล่ะน้อง ^O^
ดูชิวใช่ปะ
เกรดออกมา ก็สมใจความชิวเลยละ T_______T
เคมี 2.5
ชีวะ 3 แต่ 3 แบบเกือบ 2.5 อยู่แล้วอะ
ฟิสิกส์ 4 >< ไอเลิฟยูทูมัชโซมัชเวรี่มัชไรท์นาว
วิชาอื่นก็คะแนนดร็อปลงไปจนน่าใจหาย
มันทำให้พี่เริ่มตระหนักขึ้นว่า พี่ควรสนใจการเรียนให้มากกว่านี้
พ่อแม่เริ่มถาม ว่าทำไมเกรดเป็นแบบนี้
เพราะก่อนหน้านี้แม้จะขี้เกียจก็จริง
แต่เกรดก็ไม่เคยแย่ขนาดนี้
การเรียน ม.ต้นมันไม่เหมือน ม.ปลายจริง ๆ ละน้อง
และพี่ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ "ปรับตัวไม่ได้"
พี่ถึงเริ่มคิดได้ว่า พี่คงจะทำตัวแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ
ขอพูดแบบนางเอกหน่อยก็คือ
"พี่ไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ"
นั่นทำให้เทอมสอง พี่เริ่มตั้งใจขึ้น เริ่มฟังครูสอน
เริ่มสนใจว่าเรื่องที่เรียนจริง ๆ แล้วมีอะไรบ้าง
อ่อใช่...ณ เวลานั้นพี่ยังไม่เคยคิดว่าจะเรียนอะไรดี
แต่จากการที่ตกชีวะและเคมีเกรดแย่
พี่จึงวาดภาพคร่าว ๆ ว่าคงไม่น่าเรียนหมอได้
(ที่บ้านเคยแอบเชียร์ให้เรียนหมอ)
ณ ตอนนั้นก็ขำ ๆ แหละ ชีวิตยังสบายไม่ได้ตั้งความหวังอะไร
__________________50%
อืม..ระหว่างช่วงเทอมหนึ่งนั้น
ก็มักจะมีรุ่นพี่ที่คิดถึงโรงเรียนมาเยี่ยมครูบาอาจารย์เป็นระยะ
บางคนก็จะมาพูดแนะนำเราเพื่อเป็นแนวทางการเรียนต่อด้วย
ซึ่งบางคนก็ดี แต่บางคนก็ต้องพิจารณากันนิดนึง
อย่างเช่นพี่จะเจอทุกปีเลย รุ่นพี่ที่มักจะพูดประมาณว่า
"เนี่ย ตอนเรียนหนังสือพี่ก็ไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่หรอก
หลับตลอด กินขนมตลอด ไม่ได้ฟังอาจารย์เลย
เวลาสอบก็พี่ก็ไปกาสด มั่วๆมึนๆงงๆแล้วก็ติดมาอะน้อง"
อืม..อยากจะบอกว่า..การที่พูดแบบนี้
นอกจากจะเป็นการดูถูกตัวเอง ดูถูกคนฟัง ดูถูกครูผู้สอนแล้ว
ยังเป็นการดูถูกสถาบันที่ตัวเองไปศึกษาต่อด้วย
คือ ถ้าเค้าโม้แล้วไม่มีพิษมีภัย พี่ไม่มีปัญหาหรอก
แต่โม้แบบนี้แล้วพี่ดันทะลึ่งเชื่อน่ะสิ ปัญหาก็เกิดเลย
เพราะว่า ม.ต้นก็เรียนแบบนี้ได้เหมือนกัน แบบที่หลับๆไม่สนใจ มากางงๆก็คะแนนดีได้
แต่ไม่ใช่กับ ม.ปลาย พี่เตือนไว้เลยสำหรับคนที่เพิ่งขึ้นม.ปลาย
ขอให้น้องตั้งใจ และขยันมากกว่าเคยน้ะ และก็ขอให้เมื่อน้องติดมหาลัยแล้ว ที่ไหนก็ตาม
ตอนที่น้องกลับมาโรงเรียนพี่หวังว่าน้องจะไม่กลับมาพูดกับรุ่นน้องแบบนี้น้ะ
มันไม่สร้างประโยชน์เลยน้องเอ้ยยย .....
จนม. 6 แล้วพี่ก็ยังพบรุ่นพี่ที่มาพูดจาแบบนี้อีก
ยิ่งทำให้พี่ตั้งใจไว้ว่า ถ้าพี่เข้าคณะไรดีๆสักอย่างได้
พี่จะไม่มีทางมาพูดแบบนี้กับรุ่นน้องเด็ดขาด !!!
แต่ว่ารุ่นพี่ที่มาแนะนำดี ๆ ก็เยอะนะ ก็ขอให้น้องแยกแยะให้ดี
เอาเป็นว่าจากการฟังรุ่นพี่แนะนำมา พี่รู้สึกว่าเชื่อถือได้พอสมควร
ฟังแล้วพิจารณาแล้วนำมาปรับตัวให้เป็นแบบของตัวน้องเองน้ะ ^O^
อ่า มาถึงขนาดนี้น้องอาจจะสงสัยอยากรู้ว่าพี่เรียนพิเศษอะไรบ้างถึงติดหมอได้บลา ๆ
อืม..เรื่องเรียนพิเศษ พี่ขอไปแนะนำเป็นบทแยกในตอนหลังนะ
แต่โดยส่วนตัวแล้วพี่เป็นคนที่เรียนพิเศษน้อยน่ะ คือเรียนเฉพาะที่จำเป็น
ก็พอจะแนะนำได้คร่าว ๆ ว่าที่ไหนดีอะไรยังไง ซึ่งจะพูดถึงอีกทีน้ะ
เรามาเข้าสู่ชีวิตช่วง ม.4 เทอม 2 ของพี่เลยดีกว่า
อย่างที่บอกว่าเป็นช่วงที่พี่ขยันมากขึ้น ตั้งใจมากขึ้น
แต่ก็ไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น ความที่ไม่เคยขยันมาก่อน
มันทำให้พี่เริ่มขยันแบบ "ไร้ทิศทาง"
เหมือนกับว่าพี่ไม่รู้ว่าพี่ควรจะเริ่มที่ตรงไหน แล้วควรจะไปต่อยังไง
อะ อย่างเวลาน้องเห็นเนื้อหาอะไรสักอย่างยาว ๆ แล้ว
น้องเคยปะ มันแบบว่า "งง" ว่าเราควรจะเริ่มอ่านหรือจะเริ่มจำตรงไหน และอะไรที่สำคัญ ?
อืมม..แม้ว่าจะขยันขึ้นแล้ว โดยเฉพาะชีวะที่พี่ขยันขึ้นเป็นพิเศษ
แต่พี่กลับพบว่า กลางภาคในเทอมนั้น
พี่ ตก ชีวะ...
และนี่คือครั้งแรกในชีวิต ที่พี่เดินออกมาจากห้องสอบปุ๊บ
โดยที่ยังไม่รู้ผล แต่พี่ร้องไห้ออกมาทันที
รู้สึกท้ออย่างบอกไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจแล้วแต่กลับทำข้อสอบไม่ได้เลย
ตอนนั้นรู้สึกว่า โอ้โหเราตั้งใจขนาดนี้ มันยังตกอ่ะ ?
แล้วจะมีปัญญาเรียนสายวิทย์ต่อไหมเนี่ย หรือจะไปสายศิลป์ดีกว่า
แต่ไหนแต่ไรพี่เคยคิดว่า อะ ถ้าพี่ขยันขึ้นมายังไงก็ต้องทำได้ละว้า...
คือพี่คิดว่ายังไงถ้าพี่ขยัน พี่ต้องทำได้แน่นอน
แต่พี่พบว่าครั้งนี้พี่ขยันขึ้นแล้วอ่ะ แต่มันยังทำไม่ได้เลย !?!?
ซึ่งมันทำลายความเชื่อของพี่อย่างสิ้นเชิงเลยอะ
รู้สึกดราม่าดีจัง *0*
ในเทอมหนึ่ง ตอนที่เห็นผลว่าตกชีวะ ตอนนั้นพี่เห็นคะแนนแล้วขำ
แม้จะเศร้านิดนึงตอนที่ไปซ่อม
ตอนที่ได้เคมี 2.5 พี่เห็นเกรดแล้วขำ
แต่ตอนนี้เริ่มขำไม่ออก มันขำไม่ออกจริง ๆ ค่ะน้องงงงงงงง !!!
วันสอบวันนั้นพี่ไปดราม่ากับเพื่อนสมัย ม.ต้นที่อยู่ห้องคิง
(คือห้องพี่เป็นห้องพิเศษ ห้องคิงเป็นอีกห้อง เห็นเค้าเรียกห้องพี่ว่ากิฟเต็ท แต่พี่ว่าไม่ถึงขนาดนั้น)
พี่ก็แบบว่า (เอ่อ แม้พี่จะเป็น ญ แต่พี่พูดจาไม่สุภาพนิดนึงนะ)
"มิง กุไม่ไหวแล้วอะ กุไม่อยากเรียนสายวิทย์แล้ว
ทำไมกุโง่อย่างนี้ ครั้งนี้กุตั้งใจแล้วนะเว่ย แต่ทำไมกุกลับทำไม่ได้เลยอะ T_T"
เพื่อนพี่(ญ)ก็บอกว่า "ไอสาส มิงอย่าคิดมากดิ มิงไม่โง่หรอก มิงเก่งจะตาย แต่ห้องมิงน่ะมันเก่งบ้า
ถ้าเป็นห้องอื่นก็ตกกันระนาวไม่แปลกหรอก เนี่ยเห็นป้ะห้องกุใคร ๆ เค้าก็ตกกันเป็นเรื่องธรรมด๊าาา"
พี่ก็หัวเราะ แล้วจากนั้นก็พี่ก็พยายามลืมเรื่องตกชีวะไป
เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียความเชื่อมั่นในตัวเองนะ ^O^
อ่อ พี่ทำไม่ได้เพราะข้อสอบมันยากหรือป่าวนั้นพี่ไม่รู้ รู้แต่ว่ากลางภาคมีคนตกไม่กี่คนเอง
ก็คงแปลว่าไม่ยากน่ะนะ ____"
พี่ใช้เวลาต่อมานั่งคิดว่าจะทำยังไง ให้คะแนนดีขึ้น
เรื่องที่ตกก็คือตกไปแล้ว แต่พี่ก็ไม่ได้ไปจมอยู่กับมัน
เพราะถ้าเรามัวแต่คิดว่าเราจะตก ชาตินี้น้องก็คงจะตกไปตลอดกาลน่ะ !!!
ที่พูดนี่เตือนสตินะ อาจจะแรงนิดนึง แต่พี่น่ะโปเตโต้กับน้อง ๆ นะ ..
?
หวังดีเสมอไง
5555555555555 ขำหน่อยดิ ก๊ากก
>____< กลับเข้าเรื่องชีวะก่อน 55555
พี่มานั่งทบทวนดี ๆ ทำให้พี่พบว่า
พี่ขยันขึ้นแล้วก็จริง .. แต่ขยันขึ้นนิดเดียวเอง ฉะนั้นก็ต้องขยันขึ้น จริงจังขึ้น ...
และปลายภาคเทอมสองนั้นพี่พบว่าชีววิทยาพี่ได้เกรด 4 ค่ะน้องง ^O^
คือกลางภาคสอบ 20 คะแนน และปลายภาค 30 คะแนน คะแนนเก็บอีก 50 คะแนน
กลางภาคซ่อมได้ แต่ปลายภาคถ้าได้ต่ำกว่า 15 ซ่อมไม่ได้ค่ะ
คะแนนเก็บนั้นโอกาสเต็มแทบไม่มี กลางภาคก็ได้แค่สิบ โอกาสที่จะได้เกรดสี่นั้น
เหลือน้อยมาก ๆ ตอนสอบเสร็จก็จะตัดเกรดเลยไม่บอกว่าปลายภาคพี่ได้กี่คะแนน
นั่นแปลว่าปลายภาคคะแนนพี่ต้องดีมาก ๆ พี่ถึงได้เกรด 4 มาได้
ซึ่งทำให้พี่ ดีใจ ม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ก จริง ๆ
สำเร็จไปอีกขั้น
อ่า พี่อยากจะแจงน้องนิดนึง
พี่ไม่ใช่คนหิวเกรด หวงคะแนน หวงวิชา หวงความรู้ก็ว่ากันไป
อืม..แล้วพี่ก็ไม่อยากให้น้องเป็นแบบนั้นด้วย
เพราะตอนนี้น้องอาจจะแบบ โอ้โห อิบ้านี่ วัน ๆ คิดถึงแต่คะแนน
แต่พี่จะอธิบายว่า การที่พี่พูดถึงเกรดและคะแนนเยอะแยะนั้น
เป็นการบ่งบอกคร่าว ๆ ว่าสภาพการเรียนพี่ไปถึงไหนแล้วในช่วงเวลานั้น ๆ
ซึ่งโดยปกติแล้วคะแนนไม่ได้มีอิทธิพลที่สุดต่อการมีชีวิตอยู่ของพี่
คนรอบตัวและสิ่งรอบตัวสำคัญกว่าสำหรับพี่
แต่ในบทความนี้พี่จะเล่าให้ฟังเฉพาะส่วนของการเรียนเท่านั้นค่ะ
อ่อ พี่อยากขอไว้หน่อย ไม่ว่าคะแนนจะแย่จะดียังไง
การเอาคะแนนตัวเองไปเทียบกับคนอื่น มันดีนะที่ทำให้เรารู้ว่าเรานั้นอยู่ตรงไหน
แต่อย่าไปแข่งกับคนอื่น เทียบได้แต่อย่าแข่ง ไม่เหมือนกันนะ
อืม..โดยเฉพาะแข่งกับ "เพื่อน" น่ะน้อง
เพื่อนไม่ใช่คู่แข่งนะ จะมาเปรียบเทียบอะไรกันขนาดนั้น
และแน่นอนไม่มีใครชอบการเปรียบเทียบหรอก
การเทียบมันดีจริงที่ทำให้เรารู้ว่าจุดที่เรายืนอยู่ตรงไหน
แต่ก็อย่าเทียบจนเกินไป เทียบแค่แว้บแรก ดูว่าเราควรจะพัฒนาตัวเองยังไงก็พอ
ทำตัวเองให้ดีแบบที่คิดว่าจะดีได้ แต่อย่าคิดว่าทำให้ดีเพื่อจะได้ "ดีกว่า" คนอื่น
น้องไม่ต้องรีบไปแข่งคะแนนกับเพื่อนน่ะ
เข้ามหาลัยได้แข่งแน่ เพราะมันต้องเอาคะแนนทุกคนมาเรียงกันแล้วตัดเกรดตามอันดับที่ได้
แต่การเรียนมัธยมนั้น ตัดคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด
ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องเอาคะแนนเพื่อนมาเป็นตัวแปรที่สำคัญในชีวิต
ฉะนั้น อย่าเลยน้ะ แข่งกับเพื่อนน่ะ น้ะน้ะ ^O^
ในเทอมนั้นเคมีกับชีวะพี่ได้ 4
แต่พี่กลับพบว่า ฟิสิกส์พี่ได้ 3
....
พี่จึงพบสัจธรรมว่า
1. ไม่มีใครเมพได้ตลอดไป
2. ไม่มีใครโง่ได้ตลอดไป
3. พี่ไม่ได้เก่งฟิสิกส์หรอก พี่แค่ 'คิดไปเอง' ว่าตัวเองเก่ง
และก็ 'หลงตัวเอง' ไปเองด้วยว่าตัวเองเก่ง
พี่พบว่าตอนนั้นพี่แค่ชอบเรื่องฟิสิกส์ในเทอมหนึ่งซึ่งคือกลศาสตร์
มันเลยทำให้พี่ตั้งใจฟังและตั้งใจเรียนแบบไม่รู้ตัว ก็เลยเก่ง ก็เท่านั้นเอง
เพราะในตอนหลังพี่ทิ้งฟิสิกส์ คิดว่าตัวเองเก่ง แล้วเป็นไง
ผลออกมาก็อย่างที่เห็น ;')
4. พี่ไม่ได้โง่ชีวะ พี่คิดไปเองเหมือนกัน พี่แค่ไม่ชอบในตอนแรก
มันทำให้พี่ขี้เกียจและไม่ตั้งใจฟังไม่ตั้งใจเรียน ก็เลยไม่เก่งในตอนแรก
แต่พอพี่เริ่มทำตัวให้สนใจชีวะ เริ่มชอบ ก็เลยเก่งขึ้น ก็เท่านั้นเอง
5. กับเคมีที่พี่ไม่ได้พูดถึงเลย มีสภาพเช่นเดียวกับชีวะ แต่เนื่องจากพี่รู้สึกอินกับชีวะมากกว่า
เลยพูดถึงแต่ชีวะ ให้น้องคิดเสมือนว่า ชีวะที่พี่พูดถึงนั้น มีเคมีอยู่ด้วย แต่พี่ยังไม่เคยตกเคมีกลางภาค
แม้ว่าจะหลุดคาบเส้นมาบ้าง แต่ไม่ซีเรียส พี่เลยดราม่าไม่เท่า
ถึงจะตกปลายภาคแต่อารมณ์ว่าพี่ไม่รู้ว่าพี่ตกเพราะมันไม่บอกคะแนนปลายภาค
ก็เลยไม่ได้อยู่ในความกังวลเท่าไหร่
6. พี่คิดว่า คนเราจะเก่งวิชาไหน มันก็อยู่ที่ว่าเราให้ความสนใจบวกกับขยันในวิชาไหนมากกว่ากัน
อย่างพี่เคยรู้สึกว่าชีวะยากมากกกก เกลียดโคด ๆ ก็กลับกลายเป็นวิชาที่พี่ชอบได้ในตอนนี้
ซึ่งสำหรับน้อง ๆ ส่วนใหญ่ก็คงรู้สึกแบบนี้กับฟิสิกส์เช่นเดียวกัน แม้น้องอาจจะรังเกียจมาก
เรียนบ้าอะไรเนี่ยคำนวณเยอะแยะ แต่น้องลองพยายามทำตัวให้สนใจในวิชานี้
เพราะพอเราเริ่มสนใจแล้ว ความขยันกับความอยากรู้อยากเห็นมันก็จะมาเองอะ
สุดท้ายน้องอาจจะชอบและกลายเป็นวิชาโปรดไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ >O<!
7. คนที่มาแนะแนวหรือแนะนำน้อง โดยเฉพาะในตอน ม.4 ที่เรายังไม่รู้อะไรเลยนั้น
ค่อนข้างมีผลต่อความคิดในระยะแรกมาก ฉะนั้นถ้าคนแนะแนวไม่ดี ก็อาจทำให้น้องมีจุดเริ่มต้นที่ผิดที่ผิดทางได้
ขอให้น้องใช้วิจารณญาณในการรับชมให้ดี อย่าให้ผิดพลาดตั้งแต่เริ่มแบบพี่
เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง นะจ้ะนะจ้ะ ^O^
8. เกรดและคะแนนไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ก็เป็นหลายอย่างที่สำคัญเช่นกัน
น้องอาจจะบอกว่า เกรดมันบอกไม่ได้หรอกว่าจะติดหมอได้หรือเปล่า
ใช่ น้องพูดถูกแต่ไม่ใช่ทั้งหมด พี่ก็คิดแบบน้องนี่แหละ
แต่น้องลองมองดี ๆ น้องจะเห็นว่าเกรดสามารถเป็นตัวบอกได้ว่า
ณ เวลานั้น น้องเรียนรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องมากแค่ไหน
และส่วนใหญ่ถ้าไม่รู้เรื่อง ณ ตอนนั้น น้อยคนที่จะพยายามกลับมาเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง
เพราะการที่น้องเข้าใจในตอนนั้นแล้วในภายหลังเมื่อน้องกลับมาอ่าน น้องจะสามารถเข้าใจได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ GPA ยังบ่งบอกถึงพฤติกรรมการเรียนของน้องในช่วงต่าง ๆ ได้ด้วย
และอย่างที่พี่คิดว่าน้อง ๆ น่าจะทราบคือ การสอบเข้าหมอนั้นไม่ใช้ GPA
ถ้าน้องมั่นใจโคตร ๆ ว่าน้องติดแน่นอน ก็ไม่ต้องรักษา GPA
แต่ถ้าน้องยังไม่มั่น GPA ก็เป็นอะไรที่ควรให้ความสำคัญหน่อยก็ดี
และหลังจากที่เริ่มมีการสอบตรง เพื่อน ๆ เริ่มติดนู่นนี่นั่น
รวมทั้งหลังจากที่พี่ติดหมอ มันทำให้ตัวพี่มีมุมมองกว้างขึ้น
เริ่มมองเห็นว่าคนแบบไหน หรือคนเรียนประมาณไหนจะไปอยู่ในคณะและมหาลัยแบบไหน
ถ้าพูดถึงเฉพาะหมอ เอาง่าย ๆ ในห้องพี่ติดหมอรวมทันตะทั้งหมด 10 คน
ร้อยละ 90 เป็นคนที่เกรดเฉลี่ย 4.00 และ 3.97 3.98 ก็ว่ากันไปซึ่งมักจะ 4 444 4 4 เกือบทุกตัว
อีกร้อยละ 10 ก็คือหนึ่งคนสุดท้าย ก็คือพี่น่ะแหละ
มีชีวิตลุ่มๆดอนๆ เกรดขึ้นๆลงๆ รวมแล้วก็ออกมากลางๆไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ดี
คนที่เกรดดี ไม่ใช่แปลว่าเรียนเก่งอย่างเดียว แต่มักจะเป็นคนที่ขยันอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด
ขยันมาเสมอก็คือขยันฟัง ขยันอ่าน ขยันเรียนมาโดยตลอด
การที่เค้าขยันมาตลอดพี่ว่ามันส่งผลโดยตรงเลยล่ะให้ติดคณะที่ต้องการ
อย่างพวกนี้ขยันมาตลอด ก็เลยส่งผลให้เค้าติดหมอ พี่ว่าอย่างนั้น
น้อง ๆ คนไหนที่หวังฟลุ๊ค มาขยัน ม.6 ไม่ใช่ว่าไม่ทัน
มันทันนะน้อง เพราะพี่ก็เริ่มขยันอ่านหนังสือทุกวันช่วงนี้ละ
แต่แค่จะบอกว่า ผลที่ได้อาจจะไม่ดีเท่าถ้าน้องขยันตลอดมา ก็เท่านั้นเอง
สู้ต่อไปน้ะ .. ทาเคชิ !! !~
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น