>> แนะนำตัว #3 :: ตรวจสุขภาพจิตและสอบสัมภาษณ์..." />
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กว่าจะ "ติด" หมอ

    ลำดับตอนที่ #3 : >>> แนะนำตัว #3 :: ตรวจสุขภาพจิตและสอบสัมภาษณ์...

    • อัปเดตล่าสุด 21 มี.ค. 54


    และแล้วก็ล่วงเลยมาวันที่สองของการรายงานตัว...
    ในวันนี้สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือ
    "การตรวจสุขภาพจิต" ค่ะะะ
    ฟังดูน่าหวั่นใจไหมจ๊ะ ? ฮ่า ๆๆ

    ในวันตรวจสุขภาพจิตทางมหาลัยนัดให้มาบ่ายโมงค่ะ
    พี่ก็ไปถึงประมาณเวลาพอดี จากนั้นรุ่นพี่ก็พาพี่ไปห้องรวมค่ะ
    น่าจะเป็นห้องเลกเชอร์ขนาดประมาณ 70-80 คนได้
    จากนั้นรุ่นพี่ก็พูดโม้นันทนาการไปเรื่อย ๆ 
    สักพักก็จะมีคนมาประกาศเรียกชื่อนักเรียนให้ออกไปตรวจสุขภาพจิตค่ะ
    เค้าจะมาเรียกทีละคนสองคน เหมือนเรียกนำไปเชือดเลยอ่ะ
    แล้วก็ถึงตาพี่ที่โดนประกาศชื่อให้ไปตรวจสุขภาพจิต
    พอพี่ออกมาจากห้องก็พบว่าบรรยากาศข้างนอกแตกต่างกับข้างในอย่างสิ้นเชิง
    ข้างใน เฮฮาร่าเริงปนกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ
    ส่วนข้างนอก .. เงียบ .. กริบ ...

    เค้าจะพาเรามายังทางเดินยาว ๆ แล้วมีห้องหลายห้องเรียงเป็นตับ
    แต่ละห้องจะมีป้ายชื่ออาจารย์แพทย์เขียนอยู่
    ของห้องพี่เป็น อ.พญ. ค่ะ >O<
    มีเก้าอี้ตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้าห้อง ให้เรานั่งรอจนกว่าคนข้างในจะออกมา
    ใจจริงพี่เฉย ๆ นะกับการตรวจสุขภาพจิต
    แต่บรรยากาศกลับพากดดันจริงจังอะ มองไปห้องทางซ้ายเค้าก็นั่งก้มหน้าเครียดรอตรวจ
    มองไปทางขวาก็อาการเดียวกันอะ แบบว่า... =O=
    แต่พี่ก็ยังเฉย ๆ นะ

    และแล้วคนข้างในห้องพี่ก็ออกมาค่ะ
    พี่ก็ลุกจากเก้าอี้ เคาะประตูขออนุญาตทีนึงก่อนจะเข้าห้อง
    อ่อ เค้าค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับการเคาะประตูก่อนเข้าห้องนะคะ
    เป็นมารยาทอันงดงามเนอะ :')

    พอพี่เข้าไป พี่ถึงรู้ว่าการตรวจสุขภาพจิต(ของมหาลัยพี่)นั้น
    ก็คือการเข้าไปคุยกับอาจารย์แพทย์เพียงท่านเดียว ตัวต่อตัวนั่นเอง
    พี่ไม่แน่ใจนะ แต่คาดว่าน่าจะเป็น จิตแพทย์
    เนื่องจากอาจารย์แพทย์ของพี่เป็นผู้หญิง
    พี่ก็คาดหวังแบบตอนที่เจออาจารย์แพทย์ครั้งแรกน่ะแหละ
    ว่าน่าจะเป็นอาจารย์ผู้หญิงมีอายุ ดัดผมฟู ๆ สั้น ๆ  น่ารักใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส
    ซึ่งก็เป็นแค่ความคาดหวังน่ะนะ

    ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่พี่พบก็คือ
    อาจารย์แพทย์ผู้หญิง อายุน่าจะประมาณสามสิบต้น ๆ
    ผมยาวดัด แต่งหน้าอ่อน ๆ และหน้าเหมือนนุสบา ปุณณกันต์เลยยยย
    ก็คือสวยม๊ากมากกก (อีกแล้ว) ๕๕๕๕๕  ปล.พี่บ้าดาราเก่า ๆ น่ะค่ะ >__<

    หลังจากตะลึงกับความงามของผู้สัมภาษณ์แล้ว
    พี่ก็วางกระเป๋าของพี่ไว้ข้าง ๆ แล้วก็นั่งบนเก้าอี้
    บรรยากาศเริ่มเงียบ อาจารย์พลิกดูเอกสาร(ซึ่งน่าจะเป็นของพี่)เปิดผ่าน ๆ
    แล้วก็สะดุดหยุดมองอะไรสักอย่างบนเอกสาร
    "เลือกพระมงกุฎไว้อันดับสี่หรอ แปลกนะ ไม่ค่อยเห็นใครเลือกพระมงกุฎเท่าไหร่
    ไหนลองบอกเหตุผลหน่อยว่าทำไมถึงเลือกพระมงกุฎ"
    พี่ก็อึ้งไป ไม่คิดว่านี่น่าจะนำมาเป็นคำถามได้ 
    พี่ก็ตอบไปว่าพี่เป็นคนชอบเครื่องแบบ โดยเฉพาะทหาร
    ซึ่งพี่ทราบดีว่าการเป็นแพทย์ทหารนั้นต้องฝึกหนักและเรียนหนักมากแค่ไหน
    แต่พี่ก็ชอบมาก ๆ และสนใจคณะแพทย์ที่นั่น
    อาจารย์เค้าก็ถามว่า อ่าว งั้นมาติดคณะแพทย์ที่นี่ เราไม่มีเครื่องแบบให้ใส่นะ
    จากนั้นก็บลา ๆ เถียงกันเรื่องเครื่องแบบนี่ละ ๕๕๕๕๕
    แต่สุดท้ายก็ลงเอยว่า สำหรับพี่ แม้จะชอบเครื่องแบบมาก แต่ถ้าไม่ได้ใส่พี่ก็ไม่มีปัญหาและไม่เสียใจเลย

    ระหว่างสัมภาษณ์พี่รู้สึกว่าอาจารย์จะมองพี่ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์มาก เหมือนสแกนตัวพี่เลย
    จากที่เฉย ๆ ก็กลับทำให้พี่รู้สึกกดดันหน่อย ๆ

    จากนั้นอาจารย์เค้าก็ถามเรื่องเกรดเฉลี่ย และถามเรื่องถ้าเรียนหนักจะเรียนไหวไหม
    มาถึงประเด็นที่พี่ฟังแล้วรู้สึกหวิวในใจ
    อาจารย์ถามพี่ว่า ทำไมถึงอยากเป็นหมอ
    พี่ตอบว่า เพราะพี่อยากจะทำอาชีพที่อุทิศตัวให้ผู้อื่น อยากจะเป็นหมอที่ดีที่ใส่ใจถึงจิตใจคนไข้
    เป็นหมอที่จิตใจดี ไม่ใช่หมอที่เย็นชาต่อคนไข้ พูดจาห้วน ๆ แล้วก็จากไป ทิ้งให้คนไข้รู้สึกแย่ ๆ อยู่ฝ่ายเดียว
     
    อาจารย์หมอนิ่งไป แล้วบอกพี่ว่า
    ไม่คิดมั่งหรอ ว่าก่อนที่หมอหลายคนจะเป็นแบบที่หนูบอกนั้น
    เค้าก็เคยคิดแบบหนูมาก่อน เคยตั้งใจจะเป็นคนแบบที่หนูบอก
    แต่เพราะเค้าผ่านอะไรมามาก หลายอย่างก็ทำให้เค้ากลายเป็นหมอแบบนั้น
    ตอนนี้หนูยังเด็กมากหนูยังต้องเจออะไรอีกเยอะ สิ่งที่หนูตั้งใจก็เป็นแค่ความตั้งใจในวัยนี้เท่านั้น
    ในอนาคตถ้าหนูเป็นหมอที่เย็นชาแบบที่หนูบอก หนูจะทำยังไง

    พี่ก็ยิ้ม แล้วก็บอกว่า
    หนูเป็นคนให้ความสำคัญในคำพูดของหนูมาก แม้ว่าตอนนี้หนูจะมีแค่ความตั้งใจกับคำพูดลอย ๆ
    ที่ตัวหนูเองยังรับประกันไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอีกหน่อยหนูจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่ 
    แต่หนูก็ให้ความสำคัญกับมันอย่างเต็มที่ และจะตั้งใจเป็นหมอที่ดีแบบที่หนูฝันค่ะ

    อาจารย์ก็ยิ้ม แล้วก็บอกว่า โอเคค่ะ สัมภาษณ์เสร็จแล้ว เรียกคนต่อไปมาเลย ...
    อ้อ บอกเค้าให้เคาะประตูด้วยนะ

    คำพูดของอาจารย์เค้ามันทำเอาพี่กลับไปคิดนะ...
    และก็คิดอยู่หลายวันเลยเหมือนกัน เพราะมันจริง จริงมาก ๆ
    อย่างที่พี่บอก แม้ว่าพี่จะให้ความสำคัญกับคำพูดตัวเองมาก
    แต่พี่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ ว่าวันใดวันหนึ่งพี่จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
    เป็นเรื่องของอนาคตสินะ ;')

    และแล้วก็ จบไปกับวันที่สองกับการตรวจสุขภาพจิต ^O^

    _______________________________________________________________


    มาถึงวันสุดท้ายกับ

    การสอบสัมภาษณ์

    ซึ่งถ้าน้องเจอการตรวจสุขภาพจิตมาแล้ว
    การสอบสัมภาษณ์นับว่าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลยค่ะ
    แต่ก็นั่นแหละ หลาย ๆ คนก็กลัวการสอบสัมภาษณ์มาก ๆ 
    กลัวไม่ผ่าน กลัวโหด กลัวถามกดดัน กลัวออกมาร้องไห้มั่งอะไรมั่ง
    ก็ว่ากันปายยย......

    สำหรับพี่ก็เฉย ๆ นะ  ไม่ได้คิดว่าตัวเองเมพขิงอะไรหรอก
    แต่รุ่นพี่เค้าบอกมาว่า "ถ้าน้องไม่บ้า ก็ผ่านทุกคนอยู่แล้ว"
    พี่คิดว่าจริงเพราะที่อื่นก็พูดแบบนี้ เลยทำให้พี่รู้สึกสบาย ๆ สำหรับการสอบสัมภาษณ์
    เพราะพี่ว่าพี่ไม่น่าบ้านะ   เหรอ ? ก๊ากกก ก

    ณ วันสอบสัมภาษณ์ทางมหาลัยนัดมาแปดโมงตรงค่ะ
    นัดมาห้องเดียวกับที่มีการสอบบุคลิกภาพซึ่งก็เป็นห้องโถงใหญ่ ๆ มีเก้าอี้เยอะ ๆ เช่นเคยย
    เหมือนกับการตรวจสุขภาพจิตก็คือจะให้นักเรียนรอให้ห้องโถงใหญ่ ๆ นี่ก่อน
    แล้วจะมีรุ่นพี่มานันทนาการ ให้เราได้ยิ้มได้หัวเราะกัน
    จากนั้นก็จะมีคนมาประกาศชื่อผู้ที่จะต้องไปสอบสัมภาษณ์ค่ะ
    แต่คราวนี้จะประกาศทีละแปดคน ไม่ใช่ทีละคนสองคนแบบตอนตรวจสุขภาพจิต
    อิอิอิ ซึ่งพี่ได้ออกไปเป็นกรุ๊บแรกเลยอ่า =O= เวรกรรม
    เค้าก็พาพี่ไปนั่งรอหน้าห้องซึ่งก็เป็นเก้าอี้ตัวเดียวเหมือนตอนตรวจสุขภาพจิต
    แต่คราวนี้ห้องที่เข้าไปสัมภาษณ์มันจะมีสองฝั่ง ไม่ได้เรียงเป็นตับฝั่งเดียวเหมือนตอนแรก
    ระหว่างรอเข้าห้องก็เลยได้สบตาปิ๊งๆๆๆ กับคนที่จะสอบสัมภาษณ์ห้องตรงข้ามค่ะ
    เค้าก็ปิ๊งๆๆวิ้งๆๆ กลับมาเหมือนกัน ๕๕๕๕๕
    แปบเดียวก็มีคนมาบอกว่าให้เข้าห้องสัมภาษณ์ได้เลย
    อ่อ เคาะประตูด้วยนะคะ

    ..
    พี่ก็เคาะสองสามที ค่อยๆแง้มประตู
    แล้วก็ยิ้มแป้นแล้นให้อาจารย์สองท่านที่จะสัมภาษณ์ค่ะ
    อ่อเป็นอาจารย์แพทย์ทั้งสองท่านค่ะ
    คราวนี้แหละ อาจารย์แพทย์ในอุดมคติของจริง 555555
    มีอายุนิดนึง เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ดูใจดีน่ารัก ตัวท้วมๆหน่อย นั่นแหละค่ะ
    พี่ก็ยิ้มมมมมม ไว้ก่อน  ยกมือไหว้อาจารย์ วางกระเป๋าแล้วก็นั่งลงค่ะ
    อาจารย์ทั้งสองก็เหมือนจะยังงง ๆ กันอยู่เพราะพี่เป็นผู้สัมภาษณ์คนแรกค่ะ
    เค้าก็พลิกเอกสารแล้วมองหน้ากันงง ๆ ๕๕๕๕๕
    จากนั้นเค้าก็เริ่มยิงคำถามค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่คล้าย ๆ คำถามของการตรวจสุขภาพจิต
    แต่บรรยากาศผ่อนคลายกว่าเยอะ อาจเพราะว่าอาจารย์แพทย์ของพี่ทั้งสองท่านดูอารมณ์ดีสบาย ๆ ด้วย
    จะมีบางคำถามแรง ๆ หน่อยอย่าง คิดว่าจะเรียนไหวหรอ หมอเรียนหนักนะ
    แต่เผอิญตอนนั้นพี่ไม่ได้คิดตามคำถามเท่าไหร่ว่ามันจะถามเพื่อให้เรากดดันป่าว
    พี่ก็เลยตอบแบบไม่คิดอะไรไปว่า เรียนไม่ไหวก็ต้องเรียนให้ไหวอะค่ะ ก็ขยันกันไปนะคะ ฮ่าๆๆๆ
    แล้วพี่ก็ขำค่ะ เอออ -_-" นะ
    คือสมัยม.ปลาย พี่เป็นคนที่แบบ คะแนนสูงสุดในห้องก็เคยมาแล้ว อันดับสุดท้ายก็เคยมาแล้ว
    กลาง ๆ ก็เคยมาแล้ว  พี่เลยมีภูมิต้านทานต่อคำดูถูกพรรค์นี้มากอะ
    ไม่เชิงภูมิต้านทาน เรียกว่าไม่สนใจจะดีกว่า  ใครว่าพี่โง่ก้พี่ก็เฉย ๆ น่ะ ประมาณนั้น

    แล้วอาจารย์เค้าก็จะถามพวกว่าดูข่าวมั่งป่าว ข่าวตอนนี้มีไรมั่ง 
    คือตอนนั้นมันมีข่าวอียิปต์ประท้วงป้ะ พี่ก็บอกข่าวที่อียิปต์ค่ะ
    ข่าวที่เด็กขับรถชนคนเสียชีวิตไปเกือบสิบคนเมื่อปลายปีค่ะ
    แล้วเค้าก็บอก
    ข่าวเก่าไปแล้วม้าง อียิปต์นะมันตั้งแต่เดือนที่แล้วตอนนี้มันมีใหม่กว่านั้นอีก
    (ซึ่งตอนหลังพี่ถึงรู้ว่าเค้าจะพูดถึงการจลาจลในลิเบีย แง๊วว)
    พี่ก็เอ่ออ... ข่าวอะไรดีอะค่ะ นี่ก็ใหม่แล้วนะคะ แล้วพี่ก็ยิ้ม
    เค้าก็ถาม แม่ไม่ได้ทำกับข้าวมั่งหรอ (?)
    พี่ก็(?) หา อะไรนะคะ ก็ไม่ค่อยได้ทำน่ะค่ะ
    เค้าก็อืม..เหรอ..
    (ซึ่งพี่ไปรู้ตอนหลังเหมือนกันว่าเค้าจะพูดถึงข่าวราคาน้ำมันปาล์มตกหรือขึ้นเนี่ยแหละ ๕๕๕๕๕)

    ก็คือช่วงใกล้สัมภาษณ์น่ะน้อง ๆ ก็ไปอัพเดตข่าวสารให้ทันโลกบ้างอะไรบ้างนะ ฮ่าๆ
    ปกติพี่ดูทีวีพี่ก็ดูละครเป็นส่วนใหญ่อะ ยิ่งช่วงสอบหมอเสร็จยิ่งไม่อยากรู้ข่าวอะไรเลย

    จากนั้นเค้าก็ถามว่าเคร่งศาสนาป่าว
    หืม..เคร่งศาสนาหรอคะ..?
    ใช่
    ไม่ได้เคร่งมากอะค่ะ
    เค้าบอกว่า เพราะอีกหน่อยหนูจะต้องฆ่าสัตว์หลายอย่าง อะอย่างฆ่ากระต่าย
    ฆ่าหนู ฆ่านก บลาๆๆ แล้วถ้าหนูเคร่งศาสนามันจะมีปัญหา เพราะมันเคยมีคนที่เรียนแพทย์ถึงปีสอง
    แล้วมันต้องฆ่าสัตว์เพื่อผ่าดู แต่เค้าไม่ยอมฆ่า มันทำให้เค้าไม่สามารถจบปีสองได้
    และสุดท้ายต้องย้ายไปเรียนคณะอื่นกันเลยทีเดียว

    พี่ก็ อ๋ออ โหห ท่าทางเค้าจะซีเรียสมากเลยนะคะ
    ก็ว่ากันไป ๕๕๕๕๕ พี่ก็กวนตรีนหน่อย ๆ อะนะ

    จากนั้นเค้าก็ถามเรื่องอยู่หอ เรื่องที่บ้าน เรื่องนิสัยส่วนตัว
    ซึ่งพี่ว่าไม่ค่อยมีอะไร บวกกับพี่เป็นคนตรง ๆ ไม่ค่อยตกแต่งคำพูดให้สวยหรูมากนัก
    เค้าก็เลยสัมภาษณ์ไม่นานมากน่ะ
    เพราะพี่ได้ยินมาว่าคนที่ใช้คำพูดสวยหรูหรือพยายามเมคตัวเองขึ้นมาให้ดูเป็นคนใหม่นั้น
    จะโดนสอบสัมภาษณ์นานจนกว่าจะแสดงความเป็นตัวเองออกมา
    สักพักพี่ก็ออกมา

    พร้อมกับยิ้มกับตัวเอง

    "เสร็จแล้ววววววว^O^"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×