ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ย้อนอดีต :: พฤติกรรม ม.6 เทอม 1
ในช่วงบทความพฤติกรรมนี้เนื้อหาอาจจะยาว
และบ่นเยอะนิดนึง
ซึ่งถ้าขี้เกียจอ่านอาจจะข้ามไปก่อนก็ได้
เพราะตอนพิมพ์เสร็จถึงได้รู้สึกว่า เนื้อหามันเยอะจัง >O<"
___________________________________
ในช่วงประมาณปลายกุมภาพันธ์พี่ก็จบ ม.5 อย่างสมบูรณ์
พร้อมกับคอร์สเรียนพิเศษที่ลงไว้ในวันเสาร์ด้วย
เนื่องจากพี่ตั้งใจไว้ว่าพี่จะไม่เรียนพิเศษอีกแล้ว
นับจากกุมภาพันธ์ปีก่อนจนถึงปีนี้ พี่จึงไม่ได้เรียนพิเศษอีกเลย
ฟังดูดีเนอะ อุ๊ยแลดูมีจุดมุ่งหมายจัง
แต่เหตุผลสำคัญที่พี่เลิกเรียนพิเศษก็คือ
เวลาพี่ไปเรียนพ่อพี่ต้องไปส่ง เค้าไม่ให้พี่ไปเอง (คุณหนูปะฟะ)
และคอร์สต่าง ๆ มักจะเริ่มเรียนตอน 7.30 ซึ่งงง
พี่ต้องตื่นเช้ามาแล้วแต่งตัว เพื่อจะไปเรียนพิเศษเนี่ยนะ
ยิ่งเรียนพิเศษที่ว่านี่ก็คือการนั่งดูทีวี ยิ่งน่าหงุดหงิดเข้าไปใหญ่สำหรับคนติสแตกอย่างพี่
(พี่คิดว่าบางคนคงเรียนพิเศษกับ 'คน' ตัวเป็น ๆ แต่พี่ลงคอร์สวิดีโอหมดค่ะ
ถึงจะเป็นตัวเป็น ๆ พี่ก็หงุดหงิดอยู่ดี อาร์ทตัวแม่เลยทีเดียว)
และเนื่องจากติสมาก พี่จึงทำเป็นตื่นสายทุกครั้ง (ปกติพี่มักจะตื่นเช้าเป็นนิสัย)
พ่อพี่ก็จะบ่นทุกครั้งเช่นกัน ทำเอาหูชาไปก่อนเริ่มเรียนตลอด
พอเริ่มเรียนหูก็ชาป้ะ รับรู้อะไรไม่ได้อีก 5555555
หรือไม่พอไปถึงก็ อ่ะ สายแล้วป้ะ ? ก็สายนะ คงไม่น่าสายไปกว่านี้
งั้นหาไรกินก่อนดีกว่า 55555555
อย่างงี้เค้าเรียกทำตัวเกรียนค่ะน้อง
พอเบื่อมาก ๆ เข้าพี่ก็บอกพ่อกับแม่ว่า จบม.5 แล้ว พี่ไม่เรียนพิเศษแล้ว
ขี้เกียจไปเรียน บู่ววววว จะอ่านเอง ใครจาทามมายยย
งุงิ !!!
ไอตอนเริ่มโปรเจคนี่ก็ดูเท่อยู่หรอก อุ๊ยอยู่บ้าน ไม่เรียนพิเศษ
อ่านหนังสือเอง อุ๊ยเก่งจัง -o-
แต่พอเริ่มโปรเจคแล้วบางทีอะไรก็ไม่ง่ายอย่าที่คิด
ซึ่งพี่ค่อนข้างโชคดีที่พี่มีพี่ชายที่ค่อนข้างตั้งใจเรียน
ลงเรียนพิเศษเกือบทุกที่และมีหนังสือเรียนพิเศษเกือบทุกที่ตกทอดมาให้พี่อ่าน >O<"
(ปล.พี่ชายพี่อายุห่างจากพี่สองปีค่ะ สมมติพี่อยู่ปีหนึ่ง พี่ชายพี่จะอยู่ปีสาม)
และเพราะหนังสือก็ไม่ได้เก่าจนเกินไป
พี่เคยนำหนังสือของพี่ที่เรียนเมื่อสองปีก่อนซึ่งเป็นคอร์สเดียวกับที่เพื่อนเรียนเอามาเทียบกัน
พบว่าหนังสือแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งเป็นแบบนี้กับหลายคอร์สของหลายที่มาก
นั่นทำให้พี่เอาหนังสือของพี่ชายมาอ่านแบบไม่ลังเลใจเลยว่าเนื้อหาต่างๆจะเปลี่ยนไปมากป่าว
เพราะเปลี่ยนอย่างมาก ก็นิดเดียว และนิดเดียวก็ไม่ส่งผลอะไรกับข้อสอบเท่าไหร่หรอก
ดูออกจะคิดแบบง่าย ๆ นะแต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
นั่นทำให้พี่พอจับจุดได้ว่าควรจะอ่านแค่ไหน
หรือตรงไหนควรจำไม่ควรจำ
ซึ่งรายละเอียดยิบ ๆ จริง ๆ ของหนังสือแต่ละเล่มเดี๋ยวพี่ไปเล่าให้ฟังอีกทีน้ะ
ก็ช่วงนั้นเพิ่งเริ่มอ่านหนังสือเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ ม.ห้าขึ้นหก
อ่านได้ประมาณวันละสามสี่ชั่วโมง
ฟังดูเยอะนะ ?
แต่พอพี่มาลองจับเวลาอ่านจริง ๆ
พี่พบว่าไอสามสี่ชั่วโมงเนี่ย พี่อ่านจริงๆไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ -_-
เพราะอ่านไป กินไป เล่นคอมไป ดูละครไป
แล้วมันจะเวิร์คไม๊ละคุณน้องขา =O=
พี่ก็เริ่มปรับเปลี่ยน อ่านไปจับเวลาไป
ให้ได้เวลาที่อ่านอย่างเดียวจริง ๆ ซึ่งก็ได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วพี่ค่อยพัก
ก่อนที่จะอ่านต่อด้วยเวลาเท่า ๆ กัน
พี่เริ่มอ่านแบบนี้ และอ่านอย่างนี้ตลอดมาจนถึงวันสอบหมอในอีกปีหนึ่ง
มีรุ่นพี่ของพี่ตอนนี้เรียนหมออยู่เค้าเคยบอกพี่ว่า
ให้น้องเริ่มอ่านตั้งแต่ขึ้น ม.6 เลย ให้อ่านให้ได้ประมาณวันละ 2-3 ชั่วโมง
ซึ่งพี่ทำได้เฉพาะตอนปิดเทอมน่ะ
เพราะพอเปิดเทอมพี่พบว่ากิจกรรมและงานที่โรงเรียนต่าง ๆ
มันทำให้พี่ไม่สามารถอ่านหนังสือขนาดนั้นได้ในวันธรรมดา
จะอ่านได้อย่างนั้นจริง ๆ ต้องเป็นเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
เคยมีรุ่นพี่บอกให้งดคอม งดเล่นเกม เล่นเฟสหรือไฮไฟว์(ในตอนนั้น ป่าวหว่า)
พี่ พยายาม งดนะน้อง เคยตั้งเป้าหมายเลยด้วยซ้ำว่าพี่จะหยุดเล่นคอม
ปรากฎว่าพี่ไม่เคยทำได้เกินหนึ่งวันเลย -___-
พี่คิดว่าของพวกนี้ น้องไม่จำเป็นต้องงด แต่พี่อยากให้น้องรู้จักแบ่งเวลามากกว่า
เวลาไหนอ่าน เวลาไหนกิน เวลาไหนเล่นคอม เวลาไหนคุยโทสับ(เอ๊ะ?)
แบ่งเวลาให้ดีแล้วถึงน้องไม่เลิกอบายมุขพวกนี้ น้องก็จะไม่มีปัญหา
เพราะน้องได้แบ่งเวลาในการทำิกิจกรรมต่าง ๆ ไว้อย่างดีแล้ว
ม.6 ในสมัยพี่จะเป็นอะไรที่ระบบการศึกษางงงวยมาก ๆ
จะมีคณะเยอะแยะมาเปิดรับน้องก่อนที่จะแอดมิชชั่นด้วยซ้ำ
ซึ่งตอนนี้พี่พบว่าคนเกินครึ่งมีที่เรียนกันหมดแล้ว =O=
(ยังไม่แอดมิชชั่นเลยนะ)
ซึ่งเรียกว่าการรับตรง...... งงป้ะ?
เอาเป็นว่าพี่จะไม่อธิบายระบบละเอียดมาก เพราะไม่เหมือนปีน้องแน่นอน
เอาง่าย ๆ แค่ปีถัดจากพี่คือปี 2555 นั้นระบบก็เปลี่ยนแล้วอ่ะ
ในส่วนของระบบปีพี่นั้น แบ่งเป็นสองอย่าง(โดยคร่าวๆ)
คือระบบแอดมิชชั่นซึ่งคล้ายๆเอนทรานซ์ที่เป็นระบบกลาง รับเข้าทุกคณะทุกมหาลัย
กับการที่แต่ละคณะของแต่ละมหาลัยมาเปิดรับเอง
ซึ่งจะรับนักเรียนโดยทางมหาลัยทำข้อสอบให้นักเรียนมาสอบ
หรือยื่นเกรด หรือยื่นคะแนน GAT PAT ที่พี่สอบปีละสามครั้งตั้งแต่ม.5
ก็แล้วแต่กฎเกณฑ์ที่เค้ากำหนด
อืม...ถึงจะมีหลาย ๆ คนบ่นว่าระบบแย่ งงไปหมดแล้ว
ต้องตระเวนสอบตรง สอบแกทแพทนู่นนี่นั่น โอ้ยงง ดิฉันต้องสอบอะไรบ้างเนี่ย
แต่พี่กลับชอบนะ ระบบนี้
เพราะมันทำให้พี่เป็นคนชินและคุ้นเคยกับสนามสอบ
พี่ไม่ตื่นสนามสอบและส่งผลดีมาก ๆ ต่อการสอบแพทย์ในเดือน มกราของปีถัดมา
พี่ว่าส่วนนึงที่ทำให้พี่สอบติดได้เพราะพี่ไม่ตื่นสนามนี่ละ
เพราะในวันนั้นพี่ไม่ตื่นเต้นเลย แต่พี่มีสติ นิ่ง และใจเย็นมาก
ซึ่งพี่อยากให้น้องมีสติและสมาธิมาก ๆ ในวันสอบนะ
อ่า ย้อนกลับเข้าชีวิต ม.6 ก่อน ก็เป็นชีวิตของเด็กแอดมิชชั่น
ไม่ค่อยต่างจากม.5 เทอมปลายมากนัก พี่ก็ขยันและตั้งใจฟังอย่างเคย
แต่อาจจะแสดงออกไม่ค่อยชัดเจนนิดนึง
เนื่องจากการนอนดึกเพราะพยายามอ่านหนังสือในวันธรรมดา
พี่พบว่าวันถัดไปพี่มักจะไปฟุบหลับอยู่ในห้อง
เรียกว่าฟุบเฉย ๆ ดีกว่า เพราะฟุบก็จริงแต่พี่ฟังตลอดนะ
แค่หัวมันเชิดไม่ขึ้นอ่ะ อ่อนแรง *0* (โม้)
แต่อาจารย์เค้าไม่เชื่อพี่อ้ะ >O< อุอิอุอิ ก็เลยอาจจะมีโดนว่าบ้าง
ในตอนหลังพี่ก็พยายามปรับปรุงตัว แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร
พี่โชคดีอย่างที่อาจารย์ ม.6 ของพี่ ดีมากแทบทุกคน
ดีในที่นี้คือ เป็นคนดี สอนดี และใส่ใจนักเรียนดีมาก ๆ
ใส่ใจทั้งการเรียน ความเป็นไป พฤติกรรม
เครียดมากป่าว เป็นอะไรน่ะ กินยาไหม บลาๆ ละเอียดม๊าก
ทั้ง ๆ ทีี่บางทีก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก
อืม.. อย่างบางทีเวลาเราวิ่งแข่งแล้วเราล้ม
พอมีมือคนมาฉุดให้ยืน มันก็รู้สึกดีเล็ก ๆ ในใจป้ะ
ถึงแม้จะรู้ว่าเรานั้นสามารถยืนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งใครก็เถอะ
และยิ่งมีหลายๆมือมาช่วยฉุด ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก...
พี่ก็รู้สึกประมาณนั้นล่ะ ^O^
__________60%
อืม... เค้าบอกว่าช่วง ม.6 จะเป็นช่วงที่เครียดมากๆ
ไม่มีวัยไหนดีเท่า ม.5 อีกแล้ว
สำหรับพี่พี่ว่า ก็ไม่เชิงนะ
ม.6 เผลอ ๆ ดีกว่า ม.5 อีก
อย่างที่บอกว่ารุ่นของพี่เป็นรุ่นที่ระบบแปลกมาก
ก็คือจะมีการรับตรงมากกว่ารุ่นอื่น
การรับตรงที่ว่าก็มีตั้งแต่รับตรงของแต่ละคณะ
หรือรับตรงของแต่ละมหาลัย
ซึ่งกำหนดการณ์อันแรกเลยที่พี่จำได้ รู้สึกจะเป็นของรับตรงจุฬา
ออกมาตั้งแต่เมษายนของปีที่พี่จะขึ้นม.6 อะน้องงง
แบบว่าจะรีบไปไหนเนี๊ยยยยย ซึ่งกว่าจะเริ่มรับตรงจริงๆก็พฤศจินู่น
อะ และเนื่องจากรับตรงเยอะมาก ซึ่งบางอันสอบตั้งแต่มิถุนากันเลยทีเดียว
เพื่อน ๆ ก็จะมีมาแจ้งข่าวและคุยกันเรื่องนี้เป็นระยะ
ในส่วนของห้องพี่นั้นไม่ค่อยมีความลังเลในการเลือกสาขาเท่าไหร่
เพราะว่าส่วนใหญ่นั้นอยากเข้าทันตะและแพทย์
รู้สึกจะอยากเป็นทันตะกันเยอะกว่าด้วย
แต่ห้องอื่นก็จะมีคนอยากเรียนสายต่าง ๆ ที่แตกต่างและน่าสนใจกันออกไป
เนื่องจากบทความนี้เกี่ยวกับแพทย์ พี่ก็จะพยายามไม่นอกเรื่องมาก (แหะๆอุอุอิอิ)
ในส่วนของการสอบแพทย์ในปีพี่นั้นจะมีการเลือกอันดับและจ่ายตังค่าสอบกัน
ในช่วงระหว่างวันที่ 1-31 สิงหาคม
ซึ่ง..ค่าสมัครสอบนั้น ไม่เหมาะสำหรับการไปสอบเล่น ๆ เป็นอย่างมาก
เพราะมันมีมูลค่าถึงพันกว่าบาท (จำไม่ค่อยได้ 1300 1400)
แต่ถ้าบ้านรวยอยากสอบเล่น ๆ ก็จัดเรยค่ะน้องงง !! ! !
ผู้ที่จะสมัครสอบได้นั้นต้องกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ม.๖ หรือมากกว่านั้น
ไม่ได้สอบได้ตั้งแต่ ม.๕ หรือ ม.๔ เหมือนกับแกทแพทสมัยพี่นา
ในช่วงสามสิบกว่าวันนั้น ยิ่งน้องสมัครเร็ว
ยิ่งส่งผลถึงที่สถานที่ที่น้องจะได้สอบ และเลขที่นั่งสอบ
ฉะนั้นคิดอันดับไว้ก่อนถึงวันเลือกก็ดีนะ
น้องจะได้มีสิทธิ์เลือกสนามสอบดี ๆ ใกล้บ้านก่อนที่มันจะเต็ม
ตอนนั้นพี่สมัครช้านิดนึงเพราะพี่ลังเลใจเรื่องอันดับ
อันเนื่องจากการสอบ กสพท.นั้นเลือกได้สี่อันดับ
อันดับแรกเลือกได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มคิดด้วยซ้ำรวมถึงอันดับสุดท้าย
แต่อันดับสองกับอันดับสาม อะไรดี....
พี่คิดอยู่สองอาทิตย์แล้วก็สรุปได้ว่า
อันดับหนึ่ง คณะแพทยศาสตร์ ศร
อันดับสอง คณะแพทยศาสตร์ วชร
อันดับสาม คณะแพทยศาสตร์ ธม
อันดับสี่ คณะแพทยศาสตร์ พระมงกุฎ
(ในที่สุดก็ต้องแอบเผยที่เรียน T_T ชื่ออาจจะเพี้ยนๆเล็กน้อย แค่ให้เห็นภาพคร่าวๆ)
ตอนแรกลังเลอันดับสอง ว่าจะเลือก วชร หรือ รม
เพราะน่าเข้าทั้งสองที่ แต่ รม นั้นคะแนนค่อนข้างติดกับ ศร เกินไป
(น้องไปดูต่ำสุดนะ) พี่จึงเลือก วชร
และลังเลมาก ๆ คืออันดับสาม พี่ลังเลสองที่คือ มศว และ ธม
ซึ่งดีพอ ๆ กันทั้งสองที่ มศว.นั้นคะแนนต่ำกว่า ธม เพราะว่ารับเยอะกว่า
ในขณะที่ ธม นั้นรับน้อยกว่า
อืม..ซึ่งถ้าอยากเรียนหมอที่ไหนก็ได้ก็น่าจะเลือก มศว ใช่ป้ะ
เพราะว่าโอกาสติดสูงกว่า แต่เพราะอะไรไม่รู้นั่นแหละ
สุดท้ายพี่ก็เลือก ธม ไป
(ปล. รู้สึกจะเปิดเผยสถานที่จริงมากไปนิดนึง
ถ้าคนที่มาอ่านเรียนอยู่ ณ มหาลัยนั้นๆ มาอ่านแล้วรู้สึกเคือง
ก็กราบขออภัยมากๆ มา ณ ที่นี่ เนื่องจากเจตนาที่แท้จริง
เพียงแต่อยากให้รุ่นน้องเห็นภาพอย่างชัดเจนเท่านั้น)
อ่า จากการเลือกอันดับน้องอาจรู้สึกว่าเลือกแต่ในกรุงเทพป้ะ?
ใจจริงพี่อยากเลือกมหาลัยต่างจังหวัดมากน้อง
เพราะพี่ได้ยินมาว่ามหาลัยต่างจังหวัดได้ประสบการณ์กว่าเยอะ
และมันน่าตื่นเต้นด้วยอ้ะ พี่อยากเลือกม๊ากกก
แต่เพราะพี่เกิดกรุงเทพอยู่ในกรุงเทพ ญาติโกโหติกาอยู่ในกรุงเทพหมด
พ่อแม่จึงไม่อนุญาตให้เลือก T______T ไม่อยากให้จากไปห่าง ๆ แนวนั้น
ใครมีโอกาสเลือกมหาลัยต่างจังหวัดได้ เลือกเลยนะน้อง สนับสนุนสุดๆ
อืม...หลังจากที่ส่งคำยืนยันเรื่องการเลือกคณะแล้ว
พี่ก็รอเวลา เพื่อที่จะเผชิญกับสนามสอบแรกของการสอบแพทย์
นั่นคือความถนัดแพทย์นั่นเอง
____________________" พบกับบทต่อไปกับ ความถนัดแพทย์และชีวิต ม.6 เทอม 2
และบ่นเยอะนิดนึง
ซึ่งถ้าขี้เกียจอ่านอาจจะข้ามไปก่อนก็ได้
เพราะตอนพิมพ์เสร็จถึงได้รู้สึกว่า เนื้อหามันเยอะจัง >O<"
___________________________________
ในช่วงประมาณปลายกุมภาพันธ์พี่ก็จบ ม.5 อย่างสมบูรณ์
พร้อมกับคอร์สเรียนพิเศษที่ลงไว้ในวันเสาร์ด้วย
เนื่องจากพี่ตั้งใจไว้ว่าพี่จะไม่เรียนพิเศษอีกแล้ว
นับจากกุมภาพันธ์ปีก่อนจนถึงปีนี้ พี่จึงไม่ได้เรียนพิเศษอีกเลย
ฟังดูดีเนอะ อุ๊ยแลดูมีจุดมุ่งหมายจัง
แต่เหตุผลสำคัญที่พี่เลิกเรียนพิเศษก็คือ
เวลาพี่ไปเรียนพ่อพี่ต้องไปส่ง เค้าไม่ให้พี่ไปเอง (คุณหนูปะฟะ)
และคอร์สต่าง ๆ มักจะเริ่มเรียนตอน 7.30 ซึ่งงง
พี่ต้องตื่นเช้ามาแล้วแต่งตัว เพื่อจะไปเรียนพิเศษเนี่ยนะ
ยิ่งเรียนพิเศษที่ว่านี่ก็คือการนั่งดูทีวี ยิ่งน่าหงุดหงิดเข้าไปใหญ่สำหรับคนติสแตกอย่างพี่
(พี่คิดว่าบางคนคงเรียนพิเศษกับ 'คน' ตัวเป็น ๆ แต่พี่ลงคอร์สวิดีโอหมดค่ะ
ถึงจะเป็นตัวเป็น ๆ พี่ก็หงุดหงิดอยู่ดี อาร์ทตัวแม่เลยทีเดียว)
และเนื่องจากติสมาก พี่จึงทำเป็นตื่นสายทุกครั้ง (ปกติพี่มักจะตื่นเช้าเป็นนิสัย)
พ่อพี่ก็จะบ่นทุกครั้งเช่นกัน ทำเอาหูชาไปก่อนเริ่มเรียนตลอด
พอเริ่มเรียนหูก็ชาป้ะ รับรู้อะไรไม่ได้อีก 5555555
หรือไม่พอไปถึงก็ อ่ะ สายแล้วป้ะ ? ก็สายนะ คงไม่น่าสายไปกว่านี้
งั้นหาไรกินก่อนดีกว่า 55555555
อย่างงี้เค้าเรียกทำตัวเกรียนค่ะน้อง
พอเบื่อมาก ๆ เข้าพี่ก็บอกพ่อกับแม่ว่า จบม.5 แล้ว พี่ไม่เรียนพิเศษแล้ว
ขี้เกียจไปเรียน บู่ววววว จะอ่านเอง ใครจาทามมายยย
งุงิ !!!
ไอตอนเริ่มโปรเจคนี่ก็ดูเท่อยู่หรอก อุ๊ยอยู่บ้าน ไม่เรียนพิเศษ
อ่านหนังสือเอง อุ๊ยเก่งจัง -o-
แต่พอเริ่มโปรเจคแล้วบางทีอะไรก็ไม่ง่ายอย่าที่คิด
ซึ่งพี่ค่อนข้างโชคดีที่พี่มีพี่ชายที่ค่อนข้างตั้งใจเรียน
ลงเรียนพิเศษเกือบทุกที่และมีหนังสือเรียนพิเศษเกือบทุกที่ตกทอดมาให้พี่อ่าน >O<"
(ปล.พี่ชายพี่อายุห่างจากพี่สองปีค่ะ สมมติพี่อยู่ปีหนึ่ง พี่ชายพี่จะอยู่ปีสาม)
และเพราะหนังสือก็ไม่ได้เก่าจนเกินไป
พี่เคยนำหนังสือของพี่ที่เรียนเมื่อสองปีก่อนซึ่งเป็นคอร์สเดียวกับที่เพื่อนเรียนเอามาเทียบกัน
พบว่าหนังสือแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งเป็นแบบนี้กับหลายคอร์สของหลายที่มาก
นั่นทำให้พี่เอาหนังสือของพี่ชายมาอ่านแบบไม่ลังเลใจเลยว่าเนื้อหาต่างๆจะเปลี่ยนไปมากป่าว
เพราะเปลี่ยนอย่างมาก ก็นิดเดียว และนิดเดียวก็ไม่ส่งผลอะไรกับข้อสอบเท่าไหร่หรอก
ดูออกจะคิดแบบง่าย ๆ นะแต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
นั่นทำให้พี่พอจับจุดได้ว่าควรจะอ่านแค่ไหน
หรือตรงไหนควรจำไม่ควรจำ
ซึ่งรายละเอียดยิบ ๆ จริง ๆ ของหนังสือแต่ละเล่มเดี๋ยวพี่ไปเล่าให้ฟังอีกทีน้ะ
ก็ช่วงนั้นเพิ่งเริ่มอ่านหนังสือเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ ม.ห้าขึ้นหก
อ่านได้ประมาณวันละสามสี่ชั่วโมง
ฟังดูเยอะนะ ?
แต่พอพี่มาลองจับเวลาอ่านจริง ๆ
พี่พบว่าไอสามสี่ชั่วโมงเนี่ย พี่อ่านจริงๆไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ -_-
เพราะอ่านไป กินไป เล่นคอมไป ดูละครไป
แล้วมันจะเวิร์คไม๊ละคุณน้องขา =O=
พี่ก็เริ่มปรับเปลี่ยน อ่านไปจับเวลาไป
ให้ได้เวลาที่อ่านอย่างเดียวจริง ๆ ซึ่งก็ได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วพี่ค่อยพัก
ก่อนที่จะอ่านต่อด้วยเวลาเท่า ๆ กัน
พี่เริ่มอ่านแบบนี้ และอ่านอย่างนี้ตลอดมาจนถึงวันสอบหมอในอีกปีหนึ่ง
มีรุ่นพี่ของพี่ตอนนี้เรียนหมออยู่เค้าเคยบอกพี่ว่า
ให้น้องเริ่มอ่านตั้งแต่ขึ้น ม.6 เลย ให้อ่านให้ได้ประมาณวันละ 2-3 ชั่วโมง
ซึ่งพี่ทำได้เฉพาะตอนปิดเทอมน่ะ
เพราะพอเปิดเทอมพี่พบว่ากิจกรรมและงานที่โรงเรียนต่าง ๆ
มันทำให้พี่ไม่สามารถอ่านหนังสือขนาดนั้นได้ในวันธรรมดา
จะอ่านได้อย่างนั้นจริง ๆ ต้องเป็นเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
เคยมีรุ่นพี่บอกให้งดคอม งดเล่นเกม เล่นเฟสหรือไฮไฟว์(ในตอนนั้น ป่าวหว่า)
พี่ พยายาม งดนะน้อง เคยตั้งเป้าหมายเลยด้วยซ้ำว่าพี่จะหยุดเล่นคอม
ปรากฎว่าพี่ไม่เคยทำได้เกินหนึ่งวันเลย -___-
พี่คิดว่าของพวกนี้ น้องไม่จำเป็นต้องงด แต่พี่อยากให้น้องรู้จักแบ่งเวลามากกว่า
เวลาไหนอ่าน เวลาไหนกิน เวลาไหนเล่นคอม เวลาไหนคุยโทสับ(เอ๊ะ?)
แบ่งเวลาให้ดีแล้วถึงน้องไม่เลิกอบายมุขพวกนี้ น้องก็จะไม่มีปัญหา
เพราะน้องได้แบ่งเวลาในการทำิกิจกรรมต่าง ๆ ไว้อย่างดีแล้ว
ม.6 ในสมัยพี่จะเป็นอะไรที่ระบบการศึกษางงงวยมาก ๆ
จะมีคณะเยอะแยะมาเปิดรับน้องก่อนที่จะแอดมิชชั่นด้วยซ้ำ
ซึ่งตอนนี้พี่พบว่าคนเกินครึ่งมีที่เรียนกันหมดแล้ว =O=
(ยังไม่แอดมิชชั่นเลยนะ)
ซึ่งเรียกว่าการรับตรง...... งงป้ะ?
เอาเป็นว่าพี่จะไม่อธิบายระบบละเอียดมาก เพราะไม่เหมือนปีน้องแน่นอน
เอาง่าย ๆ แค่ปีถัดจากพี่คือปี 2555 นั้นระบบก็เปลี่ยนแล้วอ่ะ
ในส่วนของระบบปีพี่นั้น แบ่งเป็นสองอย่าง(โดยคร่าวๆ)
คือระบบแอดมิชชั่นซึ่งคล้ายๆเอนทรานซ์ที่เป็นระบบกลาง รับเข้าทุกคณะทุกมหาลัย
กับการที่แต่ละคณะของแต่ละมหาลัยมาเปิดรับเอง
ซึ่งจะรับนักเรียนโดยทางมหาลัยทำข้อสอบให้นักเรียนมาสอบ
หรือยื่นเกรด หรือยื่นคะแนน GAT PAT ที่พี่สอบปีละสามครั้งตั้งแต่ม.5
ก็แล้วแต่กฎเกณฑ์ที่เค้ากำหนด
อืม...ถึงจะมีหลาย ๆ คนบ่นว่าระบบแย่ งงไปหมดแล้ว
ต้องตระเวนสอบตรง สอบแกทแพทนู่นนี่นั่น โอ้ยงง ดิฉันต้องสอบอะไรบ้างเนี่ย
แต่พี่กลับชอบนะ ระบบนี้
เพราะมันทำให้พี่เป็นคนชินและคุ้นเคยกับสนามสอบ
พี่ไม่ตื่นสนามสอบและส่งผลดีมาก ๆ ต่อการสอบแพทย์ในเดือน มกราของปีถัดมา
พี่ว่าส่วนนึงที่ทำให้พี่สอบติดได้เพราะพี่ไม่ตื่นสนามนี่ละ
เพราะในวันนั้นพี่ไม่ตื่นเต้นเลย แต่พี่มีสติ นิ่ง และใจเย็นมาก
ซึ่งพี่อยากให้น้องมีสติและสมาธิมาก ๆ ในวันสอบนะ
อ่า ย้อนกลับเข้าชีวิต ม.6 ก่อน ก็เป็นชีวิตของเด็กแอดมิชชั่น
ไม่ค่อยต่างจากม.5 เทอมปลายมากนัก พี่ก็ขยันและตั้งใจฟังอย่างเคย
แต่อาจจะแสดงออกไม่ค่อยชัดเจนนิดนึง
เนื่องจากการนอนดึกเพราะพยายามอ่านหนังสือในวันธรรมดา
พี่พบว่าวันถัดไปพี่มักจะไปฟุบหลับอยู่ในห้อง
เรียกว่าฟุบเฉย ๆ ดีกว่า เพราะฟุบก็จริงแต่พี่ฟังตลอดนะ
แค่หัวมันเชิดไม่ขึ้นอ่ะ อ่อนแรง *0* (โม้)
แต่อาจารย์เค้าไม่เชื่อพี่อ้ะ >O< อุอิอุอิ ก็เลยอาจจะมีโดนว่าบ้าง
ในตอนหลังพี่ก็พยายามปรับปรุงตัว แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร
พี่โชคดีอย่างที่อาจารย์ ม.6 ของพี่ ดีมากแทบทุกคน
ดีในที่นี้คือ เป็นคนดี สอนดี และใส่ใจนักเรียนดีมาก ๆ
ใส่ใจทั้งการเรียน ความเป็นไป พฤติกรรม
เครียดมากป่าว เป็นอะไรน่ะ กินยาไหม บลาๆ ละเอียดม๊าก
ทั้ง ๆ ทีี่บางทีก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก
อืม.. อย่างบางทีเวลาเราวิ่งแข่งแล้วเราล้ม
พอมีมือคนมาฉุดให้ยืน มันก็รู้สึกดีเล็ก ๆ ในใจป้ะ
ถึงแม้จะรู้ว่าเรานั้นสามารถยืนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งใครก็เถอะ
และยิ่งมีหลายๆมือมาช่วยฉุด ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก...
พี่ก็รู้สึกประมาณนั้นล่ะ ^O^
__________60%
อืม... เค้าบอกว่าช่วง ม.6 จะเป็นช่วงที่เครียดมากๆ
ไม่มีวัยไหนดีเท่า ม.5 อีกแล้ว
สำหรับพี่พี่ว่า ก็ไม่เชิงนะ
ม.6 เผลอ ๆ ดีกว่า ม.5 อีก
อย่างที่บอกว่ารุ่นของพี่เป็นรุ่นที่ระบบแปลกมาก
ก็คือจะมีการรับตรงมากกว่ารุ่นอื่น
การรับตรงที่ว่าก็มีตั้งแต่รับตรงของแต่ละคณะ
หรือรับตรงของแต่ละมหาลัย
ซึ่งกำหนดการณ์อันแรกเลยที่พี่จำได้ รู้สึกจะเป็นของรับตรงจุฬา
ออกมาตั้งแต่เมษายนของปีที่พี่จะขึ้นม.6 อะน้องงง
แบบว่าจะรีบไปไหนเนี๊ยยยยย ซึ่งกว่าจะเริ่มรับตรงจริงๆก็พฤศจินู่น
อะ และเนื่องจากรับตรงเยอะมาก ซึ่งบางอันสอบตั้งแต่มิถุนากันเลยทีเดียว
เพื่อน ๆ ก็จะมีมาแจ้งข่าวและคุยกันเรื่องนี้เป็นระยะ
ในส่วนของห้องพี่นั้นไม่ค่อยมีความลังเลในการเลือกสาขาเท่าไหร่
เพราะว่าส่วนใหญ่นั้นอยากเข้าทันตะและแพทย์
รู้สึกจะอยากเป็นทันตะกันเยอะกว่าด้วย
แต่ห้องอื่นก็จะมีคนอยากเรียนสายต่าง ๆ ที่แตกต่างและน่าสนใจกันออกไป
เนื่องจากบทความนี้เกี่ยวกับแพทย์ พี่ก็จะพยายามไม่นอกเรื่องมาก (แหะๆอุอุอิอิ)
ในส่วนของการสอบแพทย์ในปีพี่นั้นจะมีการเลือกอันดับและจ่ายตังค่าสอบกัน
ในช่วงระหว่างวันที่ 1-31 สิงหาคม
ซึ่ง..ค่าสมัครสอบนั้น ไม่เหมาะสำหรับการไปสอบเล่น ๆ เป็นอย่างมาก
เพราะมันมีมูลค่าถึงพันกว่าบาท (จำไม่ค่อยได้ 1300 1400)
แต่ถ้าบ้านรวยอยากสอบเล่น ๆ ก็จัดเรยค่ะน้องงง !! ! !
ผู้ที่จะสมัครสอบได้นั้นต้องกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ม.๖ หรือมากกว่านั้น
ไม่ได้สอบได้ตั้งแต่ ม.๕ หรือ ม.๔ เหมือนกับแกทแพทสมัยพี่นา
ในช่วงสามสิบกว่าวันนั้น ยิ่งน้องสมัครเร็ว
ยิ่งส่งผลถึงที่สถานที่ที่น้องจะได้สอบ และเลขที่นั่งสอบ
ฉะนั้นคิดอันดับไว้ก่อนถึงวันเลือกก็ดีนะ
น้องจะได้มีสิทธิ์เลือกสนามสอบดี ๆ ใกล้บ้านก่อนที่มันจะเต็ม
ตอนนั้นพี่สมัครช้านิดนึงเพราะพี่ลังเลใจเรื่องอันดับ
อันเนื่องจากการสอบ กสพท.นั้นเลือกได้สี่อันดับ
อันดับแรกเลือกได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มคิดด้วยซ้ำรวมถึงอันดับสุดท้าย
แต่อันดับสองกับอันดับสาม อะไรดี....
พี่คิดอยู่สองอาทิตย์แล้วก็สรุปได้ว่า
อันดับหนึ่ง คณะแพทยศาสตร์ ศร
อันดับสอง คณะแพทยศาสตร์ วชร
อันดับสาม คณะแพทยศาสตร์ ธม
อันดับสี่ คณะแพทยศาสตร์ พระมงกุฎ
(ในที่สุดก็ต้องแอบเผยที่เรียน T_T ชื่ออาจจะเพี้ยนๆเล็กน้อย แค่ให้เห็นภาพคร่าวๆ)
ตอนแรกลังเลอันดับสอง ว่าจะเลือก วชร หรือ รม
เพราะน่าเข้าทั้งสองที่ แต่ รม นั้นคะแนนค่อนข้างติดกับ ศร เกินไป
(น้องไปดูต่ำสุดนะ) พี่จึงเลือก วชร
และลังเลมาก ๆ คืออันดับสาม พี่ลังเลสองที่คือ มศว และ ธม
ซึ่งดีพอ ๆ กันทั้งสองที่ มศว.นั้นคะแนนต่ำกว่า ธม เพราะว่ารับเยอะกว่า
ในขณะที่ ธม นั้นรับน้อยกว่า
อืม..ซึ่งถ้าอยากเรียนหมอที่ไหนก็ได้ก็น่าจะเลือก มศว ใช่ป้ะ
เพราะว่าโอกาสติดสูงกว่า แต่เพราะอะไรไม่รู้นั่นแหละ
สุดท้ายพี่ก็เลือก ธม ไป
(ปล. รู้สึกจะเปิดเผยสถานที่จริงมากไปนิดนึง
ถ้าคนที่มาอ่านเรียนอยู่ ณ มหาลัยนั้นๆ มาอ่านแล้วรู้สึกเคือง
ก็กราบขออภัยมากๆ มา ณ ที่นี่ เนื่องจากเจตนาที่แท้จริง
เพียงแต่อยากให้รุ่นน้องเห็นภาพอย่างชัดเจนเท่านั้น)
อ่า จากการเลือกอันดับน้องอาจรู้สึกว่าเลือกแต่ในกรุงเทพป้ะ?
ใจจริงพี่อยากเลือกมหาลัยต่างจังหวัดมากน้อง
เพราะพี่ได้ยินมาว่ามหาลัยต่างจังหวัดได้ประสบการณ์กว่าเยอะ
และมันน่าตื่นเต้นด้วยอ้ะ พี่อยากเลือกม๊ากกก
แต่เพราะพี่เกิดกรุงเทพอยู่ในกรุงเทพ ญาติโกโหติกาอยู่ในกรุงเทพหมด
พ่อแม่จึงไม่อนุญาตให้เลือก T______T ไม่อยากให้จากไปห่าง ๆ แนวนั้น
ใครมีโอกาสเลือกมหาลัยต่างจังหวัดได้ เลือกเลยนะน้อง สนับสนุนสุดๆ
อืม...หลังจากที่ส่งคำยืนยันเรื่องการเลือกคณะแล้ว
พี่ก็รอเวลา เพื่อที่จะเผชิญกับสนามสอบแรกของการสอบแพทย์
นั่นคือความถนัดแพทย์นั่นเอง
____________________" พบกับบทต่อไปกับ ความถนัดแพทย์และชีวิต ม.6 เทอม 2
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น