นิยายรักนักศึกษา ตอน ฉากหนึ่งของชีวิต - นิยายรักนักศึกษา ตอน ฉากหนึ่งของชีวิต นิยาย นิยายรักนักศึกษา ตอน ฉากหนึ่งของชีวิต : Dek-D.com - Writer

    นิยายรักนักศึกษา ตอน ฉากหนึ่งของชีวิต

    เรื่องรักวุ่นๆของหนุ่มสาวรั้วมหาวิทยาลัย ที่มีทั้งสุข เศร้า ซึ้ง ฮา แต่ไม่ว่าจะยังไง อยากบอกว่า ความรักในมหาวิทยาลัยมันดีนะ รักให้คุ้มซะ !

    ผู้เข้าชมรวม

    1,123

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.12K

    ความคิดเห็น


    51

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ส.ค. 55 / 21:47 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เฟรชชี่  รับน้อง   พี่รหัส  เป็นของคู่กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย นี่เป็นเรื่องความประทับใจของเฟชชี่หน้าใหม่ ที่เข้ามาเรียนในมหาวิทยาัลัยแห่งนี้ แล้วเขาก็ได้พบกับพี่รหัสที่ได้ให้ความหมายของคำว่า ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เรื่องสั้นตอนที่สามของ นิยายรักนักศึกษา ที่ตอนนี้เราจะพาคุณไปซึมซับกับบรรยากาศของมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดบ้าง และยังเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฎ์ด้วย นั่นคือมหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถิ์
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ฉากหนึ่งในชีวิต
      ท้องฟ้าวันนี้ดูสดใสกว่าทุกวัน  ก้อนเมฆสีขาวลอยละลิ่วอยู่อย่างหนาตา  แม้จะเป็นเวลาเกือบสิบโมงแล้วแต่อากาศยังสดใสเหมือนเพิ่งเจ็ดโมงก็กระนั้น เสียงนกกระจอกหน้าบ้านยังขับขานส่งเสียงเหมือนร้องเพลงคลอเคลียอยู่ด้วยกัน  ดอกกุหลาบในกระถางก็เบ่งบานเหมือนรู้ว่าวันนี้เป็นวันดีของเจ้าของตน……..
       
      และแล้วก็มาถึงวันนี้ วันที่ฉันรอคอย  วันที่ฉันมุ่งมาดมานานนักหนาว่าสักวันฉันต้องมาที่นี่ให้ได้  ฉันต้องเข้ามหาวิทยาลัยนี้ให้ได้  มันคือความฝันที่หยั่งรากในจิตใจฉันมานานเหลือเกิน  วันนี้ฉันจะได้ใช้คำว่า “นักศึกษา” อย่างเต็มภาคภูมิเสียที
       
      เหมือนรั้วสีเหลืองเขียวแห่งนี้รอคอยการมาเยือนของผมมานานนักหนา  รั่วที่บ่งบอกว่าผมนั้นคือคนของพระราชาซึ่งพร้อมที่จะรับผมมาเป็นสมาชิกใหม่  ผมรักธรรมชาติ รักต้นหาง-นกยูงที่ในตอนนี้ชูช่อไสว ดอกสีแดงสดของมันทำให้ได้บรรยากาศของการเป็นเมืองร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีดอกไม้หลากสี สายน้ำ แก่งหิน  ดังนั้นผมจึงตัดสินใจมาเรียนที่นี่  มหาวิทยาลัยของผม
       
      นานแล้วที่ผมไม่เคยดีใจอะไรอย่างนี้มาก่อน มันเป็นความปลื้มปริ่มอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก    ก้าวแรกที่ผมเข้ามาสู่รั่วของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มหาวิทยาลัยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา มันช่างอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก รุ่นพี่ต้อนรับขับสู้อย่างดีหาน้ำหาขนมมาให้น้อง  ผมกินไม่ลงหรอก  เพราะมันตื้อไปหมด แปลกที่แปลกทาง  เพื่อนใหม่ พี่ใหม่ สถานที่ใหม่ๆที่เราไม่คุ้นชิน   อารมณ์ดีใจกับอารมณ์ตื่นที่มันสลับกันอย่างบอกไม่ถูก
       
      “น้องคะน้องที่อยู่สาขาภาษาไทยเชิญทางนี้ค่ะ” 
      ผู้หญิงตัวเล็ก ผมยาว หน้าจิ้มลิ้มคนนั้น ตะโกนเรียกนักศึกษาใหม่ของสาขาภาษาไทย  อยู่ทางด้านหนึ่งของฝูงชนนักศึกษาใหม่ที่มารายงานตัว  
      “ฟังพี่เรียกชื่อและจำรหัสของตัวเองดีๆนะคะ”
      “๐๐๑  สุรศักดิ์  นาหมื่น”
      “๐๒๐  ผกากรอง  หมู่เมฆ”
      “๐๒๑  น้ำฝน  พรมหอม”
      ผมรออยู่นานจนถึงเวลาที่พี่ผู้หญิงคนนั้นขานชื่อของผมจนได้
       
      …… “๑๘๕  วีระยุทธ  ปัญญาแก้ว ”
      และนี่คือรหัสชองผม ผมต้องจำให้ได้ มันจะอยู่กับผมนานจนกว่าจะสิ้นสถานภาพนักศึกษาเชียวล่ะหนา   ผมก็แปลกใจว่าทำไมมันถึงยุ่งยากอย่างนี้นะ   ตังแต่ถ่ายรูปนักศึกษา  ทำบัตรนักศึกษา   ลงทะเบียนเรียน ลงทะเบียนนักศึกษา  เตรียมเอกสาร ซื้อเสื้อ ซื้อชุด ทำนั่น ทำนี่ เยอะแยะจนตาเริ่มลายไปหมดแล้ว   กว่ากรรมวิธีการรายงานตัวที่แสนวุ่นวายดำเนินไปนานพอดู จนเวลาคล้อยบ่ายแล้วจึงจะเสร็จสิ้น  
      “นี่…นายรหัส ๑๘๖ เหรอ เรารหัส ๑๘๕ นะ  เอ่อ…คือ  เราจะเป็นเพื่อร่วมห้องนายด้วยนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
      ผู้ชายตัวสูง ผิวออกจะคล้ำ ชะโงกหน้ามาแสดงมิตรไมตรีด้วยรอยยิ้มที่ดูใสซื่อเสียเต็มประดา  
       
      “ไอ้หมอนี่เหรอวะ  ที่เราจะอยู่ร่วมห้องด้วย หวังว่าคงไม่กรนนะ”
      ผมคิดอยู่ในใจไปพลางๆ  พลันเสียงสัญญาณนกหวีดก็ดังขึ้นเป็นเครื่องหมายให้เราไปรวมตัวกัน ณ จุดนัดพบ  ต่างคนก็ต่างวิ่งกระหืดกระหอบ รีบจัดแถวให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  หากต่างก็ส่งเสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ จนรุ่นพี่ต้องเป่านกหวีดเป็นครั้งที่สอง
      “ปรี๊ด!!!!!!!!!”
      “เงียบค่ะน้องๆ …….   หลังจากนี้นะคะพี่จะให้น้องๆ เข้าหอพักและนำสัมภาระเข้าหอพักนะคะ ใครเป็นเพื่อนร่วมห้องใครหวังว่าน้องๆพอจะทราบแล้วนะคะ   ฉะนั้นให้ทำความรู้จักกันไว้นะคะ สำหรับกิจกรรมรับน้องให้น้องดูตามตารางนัดนะคะ ให้มาตรงเวลาด้วย วันไหน เวลาไหน อย่าผิดนัดนะคะสำหรับวันนี้ไม่มีอะไรแล้วค่ะ เลิกแถวได้ค่ะ”
      แปลกจังทำไมผมรู้สึกเพลียอย่างบอกไม่ถูก  มันเหนื่อยมากกับการที่ต้องดิ้นรนทำอะไรต่างๆมากมายถึงเพียงนี้   และคิดว่าคงจะเหนื่อยอย่างนี้อีกนานเลยล่ะ กับการเรียนในมหาวิทยาลัย  ในขณะที่ผมกำลังเดินไปหยิบสัมภาระเพื่อเข้าหอพักผู้ชายคนเดิมก็เดินตามผมมาข้างหลัง
       
      “นาย…รอเราด้วย”
      และผมก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง คราวนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันด้วย  หมอนี่ชื่อ ศุภกร  อิ่มเอม  ชื่อเล่นชื่อหมู เป็นคนภาคใต้    มิน่าล่ะถึงว่าดูผิวออกคล้ำๆพิกล   พูดจาพาทีก็รัวเร็วเหมือนข้าวตอกแตก   
      คืนแรกสำหรับชีวิตนักศึกษาในหอพักมหาวิทยาลัย ก็เลยถือว่าค่อนข้างวุ่นวายกับการจัดสรรพสิ่งของต่าง กว่าจะลงตัวก็เล่นเอาซะเหนื่อย  เฮ้อ…!  ถ้ามันจะเหนื่อยขนาดนี้นะเอาล่ะทีนี้ฉันต้องอยู่ที่นี่อีกนานเราต้องอดทน  ฉันต้องอยู่ให้ได้  อุปสรรคข้างหน้าคงอีกยาวไกล  เราไม่อาจรู้เลยว่าในแต่ละวันเราจะพานพบกับอะไรบ้าง    ผมจะต้องสู้และฝ่าฟันไปให้ได้
      ชีวิตเปลี่ยนไปเหมือนจากหน้ามือเป็นหลังขา  ชีวิตในมหาวิทยาลัยต้องต่อสู้ ดิ้นรน  ขวานขวายเพื่อตนเอง  ไม่มีใครมาคอยชี้แนะว่าอะไรให้เราอีกแล้ว  เราเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะที่เพียงพอต้องเตือนสติตัวเอง  เรื่องแรกที่สำคัญมากของการเป็นนักศึกษาคือ ต้องตื่นไปเรียนให้ทันนั่นเอง
              “กริ๊ง………..!!!!!!!!!!!!!!”
      เสียงนาฬิกาปลุกดังก้องไปทั่วห้อง  ผมเอื้อมปิดนาฬิกาแล้วหลับต่อ ของีบอีกสักนิดเถอะนะ  เมื่อคืนกว่าจะเก็บห้องเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน   พักอีกนิดหนึ่งคงไม่เป็นอะไรไป  แล้วผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งหนึ่ง  มารู้สึกตัวเอาอีกทีก็ตอนที่ศุภกรมาเขย่าตัว   
      “นี่นาย….แปดโมงละนะ  สายแล้ว  เดี๋ยวไปเรียนไม่ทันแน่เลย”
      ผมได้ยินอย่างนั้นก็กระโดดผึงขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว  เหลือบตาเห็นนายหมูสวมชุดนักศึกษาเกือบเสร็จแล้ว   ผมรีบดิ่งตรงไปยังห้องน้ำ  ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าอาบคงไม่ทันเป็นแน่  อย่างมากขอแค่ล้างหน้าพอวะ   ผมรีบล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน  แต่งตัวแบบลวกๆ มันคงเป็นการแต่งตัวที่เร็วที่สุดในชีวิตผมแล้วแหละ    วันแรกของการเรียนดันไม่ได้อาบน้ำซะนี่   คงจะสนุกกันล่ะงานนี้  และคงสนุกตื่นเต้นอย่างนี้อีกนานในที่แห่งนี้
       
      “มาเรียนวันแรกก็สายเลยนะคะ”
      อาจารย์สาวสวย แต่สวมแว่นหนาเตอะ ดูอายุคงไม่เกินสามสิบ ยืนโดดเด่นอยู่หน้าห้อง   วิชาแรกของภาคการศึกษา คือวิชาวรรณกรรม ซึ่งกิตติศัพท์ของผู้สอนกระฉ่อนไปทั้งบางว่า  ดุนักดุหนา   แต่มองดูแล้วคนสวยคงไม่ใจดำเท่าไหร่หรอน่า    
      “เอ่อ….พอดีผมเข้าห้องเรียนผิดแนะครับ”
      ผมแก้ตัวด้วยเหตุผลที่ฟังดูข้างๆคูๆแต่ก็คงเป็นเหตุผลที่ดูดีที่สุดละสำหรับเวลานี้
      “เอาล่ะค่ะ  ครูจะอนุโลมให้สำหรับนักศึกษาใหม่วันนี้วันเดียวเท่านั้นนะคะ  แต่ถ้าวันต่อไปยังมาสาย ครูจะหักคะแนนเข้าห้องเรียน ครั้งละหนึ่งคะแนนนะคะ  และก็ปรับเงินครั้งละสิบบาท  ตามนี้นะคะ  หวังว่าคงไม่ขัดข้องและทราบโดยทั่วกันทุกคน……..”
       
      สิ้นเสียงอาจารย์สาวสัญชาตญาณของฉันบ่งบอกแล้ว  ว่าอาจารย์คนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน  เธอสวยแต่ซ่อนคม  คิดไปทำให้อดเสียวสันหลังไม่ได้ว่าฉันต้องเสียเงินอีกเท่าไหร่หนอ…..ชีวิต มันคืออีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ที่เราต้องเรียนรู้ล่ะนะ เอาล่ะทีนี้จะพยายามตื่นแต่เช้า ปลุกนาฬิกาแล้วจะไม่นอนอีก สู้โว๊ย!!
       
      การเรียนวันนี้ผ่านไปด้วย(เกือบ)ดีอีกหนึ่งวัน   เล่นเอาเหนื่อยพอตัว แต่ก็คงจะเหนื่อยอย่างนี้อีกนานโขทีเดียวแต่หากยังมีกำลังใจ  มีรอยยิ้มจากคนรอบข้าง  ตราบใดที่ฉันยังได้ยินเสียงนก  ตราบได้ฉันยังอบอุ่นในอ้อมกอดของขุนเขาที่โอบฉันไว้     ตราบใดที่ยังมีความหวังจากคนทางหลัง   ฉันต้องก้าวไปให้ได้  ก้าวไปสู่อนาคตที่สดใสที่กำลังรอฉันอยู่ไงหลังจากการเรียนที่หนักหน่วงในวันนี้ทำให้ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลับเสียใหม่แล้วผมคิดในใจ 
      ระหว่างที่กำลังเดินทอดน่องอยู่นั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันแรกของการรับน้อง ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากไปช้าเพียงเสียววินาทีเดียวจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองซึ่งตอนนี้เป็นเสมือนลูกไก่ตัวน้อยๆที่จะถูกบีบให้ตายคามือเมื่อไหร่ก็ได้
      เมื่อไปถึงสถานที่นัดทุกคนหันมามองฉันเหมือนเป็นตัวประหลาด เสียงจากรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนถามด้วยเสียงห้วนๆฟังดูแล้วน่าขนลุก
      “ทำไมถึงมาเอาป่านนี้”
       
      สิ้นคำถามทำเอาน้องใหม่อย่างผมถึงกับพูดไม่ออกได้แต่ยืนทื่อแข็งเป็นหิน จนรุ่นพี่คนหนึ่งอนุญาตให้นั่งลงได้ 
      “รุ่นพี่คนนี้ทำเอาเด็กใหม่อย่างผมเกือบช๊อคคาที่แล้วไหมละ ผมคิดในใจ”
      แล้วกิจกรรมนันทนาการต่างๆก็ได้เริ่มขึ้นจนเวลาผ่านไปหลายวันทำให้รุ่นน้องได้รู้จักรุ่นพี่ได้รู้ว่าสิ่งต่างๆที่พี่มอบให้ หรือที่พี่ให้ทำล้วนเป็นการปลูกฝังให้เรารู้จักการใช้ชีวิต ปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ ถึงแม้บางครั้งจะเลอะจนดูไม่ได้บ้าง ร้อนจนตัวดำปี๊ดปี๋บ้าง แต่ทั้งหมดก็สอนให้เราอดทนและพร้อมที่จะออกไปใช้คำว่า“คนของพระราชา” ได้อย่างภาคภูมิ 
      หากวันใดท้อก็คิดเสียว่า พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกเหมือนเดิมนั่นแหละ หรืออาจจะให้กำลังใจตัวเองและบอกกับคนอื่นในยามที่ท้อถอยและหมดกำลังใจว่า..
      “พรุ่งนี้ที่สดใสรอเราอยู่”
      คำพูดที่เราเคยได้ยินมาบ่อยครั้งมันเตือนสติเราได้ดีมาก  และผมก็หวังว่าอนาคตที่สดใสกำลังรอผมอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง  ไม่แน่ความสำเร็จมันอาจอยู่ใกล้ๆนี่ก็เป็นได้
      เช้านี้ยังเป็นอีกเช้าหนึ่งที่มีเสียงนกต่างร้อง จิ๊บ จิ๊บ ช่างไพเราะเสียงจริง ฝนที่ตกเมื่อคืนทำให้ผมนอนหลับสนิทถึงเช้า ช่างเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีความสุขเหลือเกิน แต่ทว่า ความสุขที่กำลังเกิดขึ้นช่างมีน้อยนิดเหลือเกิน เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เบอร์โทรที่โชว์ขึ้นมาช่างไม่คุ้นเสียเหลือเกิน 
      “สวัสดีครับ วีระยุทธ พูดครับ”
      “เอ่อ....ไม่ทราบว่าใช่เบอร์ของน้องดุ๊กไม่ค่ะ” ปลายสายเอ่ยถามชื่อเล่นอย่างคุ้นเคย
      “อ้อ...ใช่ครับ ไม่ทราบว่าใครพูดครับ” ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นน่าดู
      “พี่เอง พี่พิมพ์ ที่ขอเบอร์น้องเมื่อวานนี้ไง จำพี่ได้ไหม พี่เป็นพี่รหัสของน้องนะค่ะ”
      “อ้อ...ครับพี่พิมพ์ว่าไงครับ”
      “คือวันนี้พี่อยากจะพาน้องไปเลี้ยงข้าวสักมื้อ
         แล้วอาจจะคุยเรื่องวิธีการลงทะเบียนเรียนและวิชาที่น้องจะเรียนในเทอมนี้ค่ะ” พี่พิมพ์บอก
      จากการที่ได้พูดคุยกันในวันนั้นทำให้น้องรหัสกับพี่รหัสมีความเข้าใจกันมากขึ้น ด้วยพื้นเพเป็นคนจังหวัดเดียวกันทำให้พูดคุยกันได้อย่างสนุกสนาน และเป็นกันเอง พี่พิมพ์ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย อย่างที่ไม่เคยได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน พี่ไม่เคยหวงความรู้ ไม่เคยหวงตำรา หากผิดพลาดก็จะคอยให้คำแนะนำในการหาแนวทางแก้ไข จนน้องเกิดความสบายใจ เหมือนมีพี่สาวเพิ่มมาอีกหนึ่งคนในครอบครัว
      พี่พิมพ์บอกกับผมเสมอว่า เราต้องพยายามบอกกับตัวเองว่า เราไม่ได้เรียนเก่ง ไม่ได้เรียนดี ไม่ได้เหนือกว่าคนอื่น เพราะหากเราคิดว่าเราเรียนเก่ง เรียนดี หรือคิดว่าเราเหนือกว่าคนอื่นเราก็จะเหมือนกบในกะลาครอบ ทางที่ดีเราควรเปิดโลกให้กว้างคิดเสียว่าโลกนี้ทุกอย่างคือประสบการณ์ที่จะสอนให้เราเก่งและชำนาญขึ้น ยิ่งทำยิ่งออกไปเรียนรู้ ยิ่งจะทำให้เรารู้จักโลกใบนี้มากขึ้นเช่นกัน คำพูดของพี่พิมพ์ทำให้ผมคิดได้ว่ายังมีคนเกงกว่าเรามากมายเหลือเกินบนโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้…..
      ในบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า หลายคนที่เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยเพื่อต้องการอะไร??ต้อการอาชีพ ไม่อยากตกงาน ไม่อยากเป็นเกษตรกรตากแดดตากลม แต่ในทางตรงกันข้ามผมคิดว่าการจะประประกอบอาชีพใดอาชีพหนึ่งนั้นสิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกนั้น ใจต้องรัก ในสิ่งที่ตนเองทำอยู่ ไม่ใช่เกิดจากการถูกบังคับ เพราะหากเป็นเช่นนั้น งานที่ทำอาจไม่ประสบผลสำเร็จดังใจหมาย….
      แต่ หากถามกลับไปว่า…มันเนื่องด้วยเหตุผลอะไรละที่เราจะต้องมานั่งเรียน งกๆ บางคนเรียนสบาย  เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง จนในบางครั้งลืมนึกไปว่าคนที่ส่งเสียเรามาเรียน ท่านต้องการสิ่งใดมากที่สุดในชีวิต สิ่งเหล่านั้นอาจไม่ใช่ความสุขสบายในบั้นปลายชีวิตของท่าน อาจไม่ใช่เงินทองที่มากมาย สิ่งนั้นคืออะไร?? จะเป็นสิ่งที่เราตั้งใจจะมอบให้ท่านหรือปล่าว 

                                                                                                                                                 วีระยุทธ
       
       
       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×