เด็กชายผู้อยู่ในภาพถ่าย - นิยาย เด็กชายผู้อยู่ในภาพถ่าย : Dek-D.com - Writer
×

    เด็กชายผู้อยู่ในภาพถ่าย

    เรื่องของเด็กชายที่เข้าไปอยู่ในภาพถ่ายได้...

    ผู้เข้าชมรวม

    264

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    264

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    จำนวนตอน :  3 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  17 มี.ค. 58 / 15:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    1

    อาที่ผมเคยรัก...

                “มันก็เหมือนกับย้ายมาเรียนต่างจังหวัดนั่นแหล่ะ” 

                อาโจบอกผมอย่างนั้น  แถมยังบอกอีกว่า 

                “แรกๆก็คงเหงาคิดถึงพ่อแม่บ้าง  แต่ไม่ต้องกลัวอยู่กับอาแล้วมันจะผ่านไปเอง”

                มันไม่เหมือนกันสักนิด ถึงแม้ผมจะอายุแค่ 11 ปี ก็รู้ได้ว่ามันไม่เหมือนกัน  ผมไม่เข้าใจทำไมอาโจถึงพูดแบบนั้นออกมา  ผมค่อนข้างโมโหเลยทีเดียว  มันจะเหมือนกันได้ไง !!!! 

      การได้อยู่กับ อาโจ  ในช่วงวันหยุดสองสองวัน  นั่นเรียกว่าพิเศษ  ทำไมจะไม่พิเศษล่ะ  ก็อาโจ ตามใจผมทุกอย่าง  อย่าเรียกว่าตามใจเลยดีกว่า  มาคิดดูตอนนี้  น่าจะเรียกว่าไม่ใส่ใจไม่ดูแลมากกว่า แต่จะว่าไม่ดูแลก็ไม่ถูก  เพราะช่วงเวลาที่อยู่กับอาโจนั้น  ผมก็ได้กินอาหารที่ แม่มักเรียกมันว่า  “อาหารตัวอ้วน”  รับรองถ้าผมเรียกร้องจะกินในบ้านนะเหรอ  อย่าได้หวังเลย  แม้บางทีพ่อจะแอบพาไปกินบ่อยๆ แต่มักต้องแลกด้วยการทำอะไรบางอย่างที่แบบว่าพ่อชอบทำ  เช่น

    “คริสต์ไปยืนกับเสาไฟฟ้านั่นไป”

    “อะไรอีกล่ะพ่อ”

    “ถ่ายรูปหน่อย”

    “โห  อะไรพ่อ  กับเสาไฟฟ้าก็ต้องถ่ายด้วย”

    “อยากกินพิชซ่าไม่ใช่เหรอ  เป็นนายแบบให้หน่อย”

    ไม่ใช่ว่าเพราะพิชซ่าหรอกนะที่วินาทีต่อมาผมต้องยืนแอคท่า  แล้วให้พ่อถ่าย(ซึ่งบางทีก็ต้องแกล้งฉีกยิ้มเมื่อพ่อพูดว่าคริสต์ ยิ้มหน่อยย  แบบพูดเสียงยานคานอะไรเทือกนั้น)  แต่ผมรู้ว่าถึงปฏิเสธไปสุดท้ายพ่อก็ต้องจับผมถ่ายรูปอยู่ดี  

    แต่สำหรับ อาโจนั้น ผมไม่ต้องยืนฉีกยิ้ม  หรือแอคท่าอะไรทั้งนั้น   ดูเหมือนคนที่โปรดอาหารตัวอ้วนมากกว่าผม ก็คืออาโจนั่นเอง 

    และไอ้มุกตลกที่อาโจ  ชอบปล่อยตอนเห็นผมนั่งเซ็งๆตอนโน๊ตบุ๊คเก่าๆของอาเจ๊งนั้น  มันก็พอจะทำให้ผมอารมณ์ดีบ้างก็ตาม (อย่างน้อยก็แก้เซ็งที่ต้องกับไปเริ่มเลเวลใหม่ทั้งๆที่เกือบผ่านอยู่แล้วเชียว)   มุกของอาโจ ก็จะเป็นแบบประเภท  เรียกว่าไงดี  ตลกคาเฟ่   ผมเกิดไม่ทันหรอกไอ้ตลกคาเฟ่อะไรนี่  ตอนอาโจเล่าว่าเมื่อก่อน อากับพ่อ ชอบเช่าวีดีโอ   เผื่อคุณอาจจะเกิดไม่ทันเหมือนผม  วีดีโอ มันก็เหมือนอารมณ์ประมาณ ดีวีดี สมัยนี้แหล่ะ  แต่แน่นอนมันใหญ่เทอะทะกว่า ดีวีดีมากมาย  ผมไม่เคยเห็นมันหรอกนะ  เอาเป็นว่า ในยุคหนึ่งก่อนจะมียูทูป หรือ  ดีวีดี อะไรนั่น มันเคยมีวีดีโอมาก่อน  และไอ้วีดีโอนี่แหล่ะ ทำให้  อาโจได้มุกตลกจากคาเฟ่ มาใช้หลอกเด็กอย่างผม

    “หม่ำ เท่ง โหน่ง ก็เคยเล่นคาเฟ่กันทั้งนั้นแหล่ะ  ชอบไม่ใช่เหรอเราน่ะ  ตอนเล่นคาเฟ่ พวกนี้ฮากว่านี้อีกนะ” 

    ผมไม่เคยสนใจหรอก  ว่า หม่ำ เท่ง โหน่ง เมื่อก่อนจะตลกขนาดไหน  หรือ อาโจ จะภูมิใจมุกตลกคาเฟ่ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็แป๊กนะ)  ไอ้ที่ผมสนใจจริงๆคือ  การมาอยู่กับ อาโจ  นี่มันทำให้ผมนอนดึกขนาดไหนก็ได้  เล่นเกมส์กระหน่ำกี่ชั่วโมงก็ได้  และแน่นอนอย่างที่บอก การได้กินอาหารตัวอ้วน  ได้ทุกมื้อ  นั่นมันสุขีเพียงใด

    การมาอยู่สองสามวัน หรืออาจะตลอดช่วงปิดเทอม นั้นมันเรียกได้ว่าวิเศษ  แต่กับการที่ต้องมาอยู่กับ อาโจ  ตลอดไปนี่นะซิ   มันไม่เหมือนกันเลย  มันไม่เหมือนที่อาโจบอกว่า  “ก็เหมือนย้ายมาเรียนต่างจังหวัดนั่นแหล่ะ”  ไม่ใกล้เคียงสักกะติ๊ดเลย

    อาโจ  เป็นชายตัวสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ  หน้าตาจะว่าไงดี คือบางมุมสำหรับผม ก็ยังดูโอเคอยู่ แต่บางมุมมันก็แปลกๆ   ซึ่งถือว่าปกตินะ  อย่างผม ที่ใครๆเจอมักจะชมว่าน่ารัก หล่อแบบพ่อ แต่เวลาผมส่องกระจกตัวเองทีไรมันก็ยังมีมุมที่ผมอยากเบือนหน้าหนีซะจริง  อาโจก็คงเป็นเช่นกัน

    ที่ผมอิจฉาที่สุดคือ งานอาโจ   พ่อผมบอกว่า อาโจเป็นนักเขียนไม่ต้องออกไปทำงานเช้ากลับดึกเหมือนพ่อ  นานๆก็ออกไปหาแรงบันดาลใจทีที่ทะเลบ้าง ภูเขาบ้าง  พ่อเล่าอย่างนั้นมา  และการมาอยู่กับอาโจ เกือบเดือนนี่ก็ทำให้รู้ว่า อาชีพนักเขียนมันช่างแสนสบายจริงๆ

    กิจวัตรประจำวันของอาโจ คือ อืม  ขอนึกก่อน  รู้สึกเหมือนว่า  อาโจไม่ได้ทำอะไรเลย บางวันก็เห็นนอนทั้งวัน  บางวันก็ลุกมาเปิดดีวีดีดูหนัง  อยากกินอะไรก็ออกไปกิน ไม่ต้องรอ ไม่ต้องนัดใคร (ยกเว้นตอนผมมาอยู่นี่แหล่ะ)  แถมบางครั้งก็แอบมาดวลเล่นเกมส์กับผมอีกต่างหาก ตกเย็นก็ออกไปวิ่ง  ผมเห็นแกทำทุกอย่าง ยกเว้นการเขียนหนังสือ  หรือบางที  อาโจอาจแอบเขียนตอนที่ผมหลับก็ได้  แต่ก็คงไม่เพราะอาโจมักหลับก่อนผมตลอด

    ข้อดีของอาโจอีกข้อก็คือ แม้อาโจจะอายุใกล้เลขสี่เต็มทน  แต่เวลาคุยกับอาโจแล้ว เหมือนจะคุยภาษาเดียวกันกับผมเลย แบบที่เรียกว่า  เด็กอายุ 11 เขาคุยกัน  คือบางทีจะมีผู้ใหญ่บางคนพยายามจะเป็นเด็กอายุ 11  เลยสรรหาคำแบบที่เรารู้ได้เลยว่าเซิทหาทางเน็ทแล้วเอามาใช้มากกว่าอย่าง  “ก็ไม่รู้ซินะ”   “จุงเบย”  “ถูกต้องนะครัชชช”  อะไรประมาณนี้  ซึ่งขอบอกในมุมมองเด็กว่า  “ก็ไม่รู้ซินะ” 

    แต่อาโจไม่เป็นอย่างนั้น  อาโจสามารถพูดภาษาพวกนี้ หรือคุยกับเรารู้เรื่องก็เพราะว่า  เหมือนในชีวิตจริงพี่แกก็คุยแบบนี้  เพราะผมยังเห็นพี่เขาเล่นเฟซบุ๊ค คุยไลน์  สั่งซื้อแผ่นเกมส์ ps3  (อันนี้ผมชอบมากๆเลย)   เรียกได้ว่า  อาโจ คือเด็กในร่างผู้ใหญ่ดีๆนั่นเอง

    เพื่อนของอาโจ มีน้อยมาก  อาโจ เคยมีแฟนคนหนึ่ง  ตอนที่อาโจ ยังทำงานที่พวกผู้ใหญ่เรียกกันว่า มนุษย์เงินเดือน  อาโจมักพา  อาฝน แฟนของอาโจมาที่บ้านเราบ่อยๆ  อาฝนเป็นคนสวยและใจดีมากๆ  ไม่ใช่ว่าเด็ก 11 ปี จะชอบผู้หญิงทุกคนที่เจอนะ แต่ อาฝนต้องยกเว้นเป็นกรณีพิเศษเลย   ผมชอบอาฝนมากและ อาโจ ก็มีความสุขดีเวลามีอาฝนอยู่ใกล้ๆ  แต่อาฝนกับอาโจก็เลิกกันไป จริงๆไม่มีใครบอกผมหรอก  ตอนที่ผมถามพ่อว่าทำไมเดี๋ยวนี้อาฝนไม่มาบ้านเราเลย พ่อก็มักจะเงียบแล้วก็เฉไฉ แบบไม่รู้จะอธิบายอะไร   โถ พ่อ  ผมอายุ 11 แล้ว รู้น่ะว่าแฟนกันเลิกกันน่ะเป็นไง  ทำไมผู้ใหญ่มักคิดว่าเรื่องอย่างนี้เด็กอย่างเราจะไม่รู้ หรือ ไม่ควรรู้  จริงๆเรารู้หมดทุกอย่างแหล่ะ เราแค่ไม่พูดออกมา  ก็ในเมื่อ พ่อแม่อยากมองเราเป็นเด็ก  งั้นก็ได้เลย  เราก็เป็นเด็กไป  แต่เรารู้  ถึงไม่รู้   ถ้าเราสนใจ  เราก็เปิดคอมฯเซิทกูเกิ้ล สุดท้ายเราก็รู้อยู่ดี  ถ้าเราสนใจนะ  แต่พ่อแม่ยังโชคดีอยู่อย่างตรงที่เรื่องที่เด็ก 11 สนใจมีไม่มากเท่าไรหรอก  นอกจากเกมส์  โม้กับเพื่อน เท่านั้นแหล่ะ

    เมื่ออาฝนจากไป   แม้อาโจ จะทำตัวปกติ ตอนเจอกับเรา แต่ผมรู้เลยว่าอาโจ ไม่เหมือนเดิม  ยิ่งตอนมาอยู่ด้วยกันแล้ว  อาโจมักจะนั่งเหม่อบ่อยๆ  ทำไมผมถึงคิดว่าอาโจนั่งเหม่อคิดถึงอาฝนนะเหรอ  ก็เพราะบางครั้งผมก็คิดถึงอาฝนเหมือนกัน  และรูปใบนั้น ที่อาโจถ่ายคู่กับอาฝนมันยังติดอยู่ผนังห้องนอนอาโจไม่เปลี่ยนแปลง

    ทั้งหมดนั่นคือ อาโจที่ผมรัก  ไม่ซิ เรียกว่า ผมเคยรักก็ได้   ตอนนี้ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดหรอกนะ  ผมว่าถ้าให้ผมเลือกระหว่าง กลับไปอยู่กับตากับยายที่นครสวรรค์  กับอยู่กับ อาโจ ในบ้านนี้  ผมก็ต้องเลือกอาโจอยู่แล้ว   แม้ตากับยายจะบอกว่า  อยู่กับอาโจให้ครบเทอมก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยทำเรื่องย้ายมาอยู่ตากับยาย  ครั้งแรกตอนฟัง ผมก็คิดว่า  ไม่อาวว  ผมขออยู่กับอาโจ กินอาหารตัวอ้วน ตลอดดีกว่า ไปอยู่นครสวรรค์ จังหวัดที่ผมกลับไปปีละครั้งในช่วงปีใหม่  และผมก็รู้ว่าบ้านตากับยายไม่มีไวไฟด้วยนะซิ

    เอาเถอะ  นั่นมันก็ยังอีกเทอมหนึ่ง  ที่สำคัญ แค่เริ่มวันแรกผมก็รู้แล้วว่ามันอาจไม่เวิร์คก็ได้ 

    จริงๆมันก็เริ่มวันที่ดีนะ  เหลืออีกสองสามวันจะเปิดเทอม  ผมนอนตื่นสายนิดหน่อย จริงๆก็ไม่นิดหน่อยหรอก ตื่นเกือบเที่ยง  อาโจก็ไม่มาปลุกผม  ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมชอบนะ  ตื่นมา อาโจก็เตรียมข้าวให้แล้ว  แต่คราวนี้ไม่ใช่อาหารตัวอ้วน แล้ว  อาจเป็นเพราะว่า เรากลับมาสู่ชีวิตจริงที่ไม่ใช่เรียกว่าการพักร้อนแล้วก็ได้  (อย่าสงสัยว่าผมคิดคำพวกนี้มาจากไหน การที่ต้องนอนดูหนังฝรั่งกับอาโจตลอดปิดเทอมนี้ทำให้ผมติดการพูดจาแบบนี้มาด้วย)  กับข้าวเป็นไส้กรอก ไข่ดาว ที่อาโจเป็นคนทำ  อาโจถามว่าจะกินข้าวผัดด้วยไหม  ผมปฏิเสธไป  ผมเคยกินข้าวผัดฝีมืออาโจครั้งนึงขอบอกว่าถ้าเลี่ยงได้จงเลี่ยงเสียเถิด อย่างที่ผมกำลังทำอยู่ แต่มาฉุกคิดได้ว่าผมคงเลี่ยงได้ไม่ตลอดแน่ๆ  มันก็ทำให้ผมเศร้าขึ้นมาทันที 

    หลังจากนั้น  ผมก็ไปอาบน้ำ  แน่นอนครับ ผมกินข้าวก่อนอาบน้ำครับ  เหมือนกับที่อาโจทำ  ถ้าพ่อแม่อยู่ละก็คงว่าผมเละแน่ๆ   ตอนนั้น อาโจยังเป็นคนโปรดของผมอยู่  จนกระทั่ง....

    พอตกเย็น  ในห้องนอนเดิมๆของผม   มีภาพพ่อแม่และผม พร้อมม้าหนึ่งตัว  แขวนอยู่ปลายเตียง  รูปนี้เราถ่ายกันที่หัวหิน  ตอนนั้นพระอาทิตย์ตกกำลังสวย   พ่อถ่ายให้ผมหนึ่งรูป  พอเรียกให้ถ่ายคู่กับแม่  ผมก็ไม่ยอมถ่าย  ไม่รู้ทำไมผมมักไม่ชอบถ่ายรูปคู่กับแม่ หรือคู่กับพ่อตัวเองเท่าไร  อาจเป็นเพราะว่าผมเขิน  เวลาที่คนผ่านไปผ่านมาหยุดยืนรอเราถ่ายรูปเสร็จ  ทำไมจะไม่เขินล่ะ  ผมเป็นหนุ่มนะครับ และไอ้การยังต้องมาเที่ยวกับพ่อแม่นี่มันเหมือนลูกแง่น่าดู   คุณอาจจะบอกว่า  เด็กอายุ 11  คิดอะไรขนาดนั้น  นั่นซิ  ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  แต่ถ้าคุณลองย้อนกลับไปตอนคุณอายุ 11 (หรืออาจจะต่ำกว่านั้น)  คุณก็อาจจะเขินแบบผมเหมือนกัน

    พอผมเกี่ยงงอนไม่ถ่ายกับแม่แล้ว  แทนที่จะจบๆ  พ่อก็พูดขึ้นมาประมาณว่า

    “พระอาทิตย์สวยดีนะ  ทริปนี้เรายังไม่มีรูปรวมเลยนี่” 

    เมื่อพ่อพูดอย่างนี้เป็นอันรู้กัน  พ่อเห็นคนจูงม้าเดินมาพอดี พ่อไม่รีรอขอให้เขาถ่ายรูปให้ พร้อมยัดเงินให้เขาไปน่าจะประมาณร้อยนึงได้มั้ง   ในรูปจึงมีม้าอยู่คู่ครอบครัวเราด้วย  แน่นอนว่าคนจูงม้าคนนั้นไม่ได้พูดว่ายิ้มหน่อย  แต่พ่อที่แม้จะไม่ได้มองผมก็รู้ว่า  ผมคงไม่ยิ้มแน่ๆ  พ่อจึงพูดว่า

    “คริสต์ ยิ้มหน่อย”

    ถ้าคุณเห็นรูปแล้วจะรู้ว่าผมไม่ได้ยิ้ม  ถ้าพ่อถ่ายเองคงต้องบังคับให้ผมยิ้มจนได้ หรือไม่ก็เล่นมุกตลกคาเฟ่แบบอาโจเป็นแน่ๆ  แต่พ่อไม่ได้เห็น  ในรูปนั้น พ่อกับแม่ยิ้มอย่างมีความสุข 

    นั่นเป็นรูปสุดท้ายที่เราถ่ายด้วยกัน

    ผมนอนอยู่เตียงเดิม  มองไปที่รูป   ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองน้ำตาไหลหรือเปล่า  บางทีอาจจะแค่ซึมๆ  แต่ผมคิดว่า  ผมน่าจะยิ้ม และนั่นเองเป็นจังหวะที่ อาโจเดินเข้ามา  อาโจอาจจะเห็นน้ำตา  (ที่ผมคิดว่าผมไม่ได้ร้อง) จึงมานั่งลงข้างๆ   และตอนนั้นเอง  ประโยคที่อาโจพูดขึ้นมาที่จากอาที่ผมรัก กลายเป็น อาที่ผมเคยรักในทันที

    “มันก็เหมือนกับย้ายมาเรียนต่างจังหวัดนั่นแหล่ะ” 

                มันไม่เหมือนสักหน่อย.....ไม่แม้แต่จะใกล้เคียง

                “แรกๆก็คงเหงาคิดถึงพ่อแม่บ้าง  แต่ไม่ต้องกลัวอยู่กับอาแล้วมันจะผ่านไปเอง”

                จะให้ผมตอบไง   ดีใจจังอยู่กับอาแล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ผมก็เชื่ออย่างนั้นนะเหรอ

                อาโจพูดต่อว่า

                “ถ้าคิดถึงมากๆ ลองเขียนจดหมายหาพ่อแม่ไหม ?

    จดหมาย นี่มัน ศตวรรษไหนแล้ว  มันมีเฟซไทม์  ไลน์  เฟซบุ๊ค อีกสารพัด แต่อาให้ผมเขียนจดหมายหาพ่อแม่  แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก  ที่สำคัญคือ อาโจจะให้ผมเขียนจดหมายหาคนที่ตายไปแล้วนี่นะ !!!     ใช่แล้ว  พ่อแม่ผมตายแล้ว !!!!    อาโจยังจะมาบอกกับผมอีกว่า  “มันก็เหมือนกับย้ายมาเรียนต่างจังหวัดนั่นแหล่ะ”   มันไม่เหมือนเลยสักนิด  นั่นเป็นคำปลอบใจที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา   และนั่นคุณคงรู้แล้วว่าทำไมอาโจจึงไม่ได้เป็นคนโปรดของผมอีกต่อไป..

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น