ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อุลตร้าแมนออรั่ม (Ultraman Aurum)

    ลำดับตอนที่ #1 : ชีวิตประจำวันมันก็อย่างงี้แหละ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 66


    กริ๊งง... กริ๊ง... เสียงดังกังวานจากนาฬิกาปลุกเดินทางผ่านอากาศมายังหูของผม 

     

    ผมลืมตาตื่นขึ้นในห้องนอนที่มีขนาดกลางๆ ถึงแม้ว่าจะรกนิดหน่อย แต่เดี๋ยวก็เข้าที่เองแหละ ผมคิด ถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ เลยก็ตามที

     

    ผมกดปิดนาฬิกาปลุก ลุกจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำแล้วก็อาบน้ำเหมือนทุกวัน...

     

    ผมปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างห้องสุขาและอาบน้ำ กำแพงลายตารางสีขาวของทั้งห้องทำให้รู้สึกว่าไม่แคบเกินไป แล้วจึงหมุนลูกบิดฝักบัว น้ำใสๆ มากมายไหลออกมาจากฝักบัวนั้นก่อนจะกระทบตัวผม 

     

    ซ่า.. ซ่า.. เสียงน้ำกระทบตัวของผมดังขึ้นทั่วห้องอาบน้ำ

     

    ...การได้อาบน้ำอุ่นๆยามเช้านี่มันสดชื่นจริงๆ 

     

    ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำอุ่นๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเช็ดด้วยผ้าขนหนูที่มีสัมผัสนุ่มนวล นั่นก็คือสิ่งที่ทำเหมือนเดิมทุกวันอีกนั่นแหละ ผมคิดราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

     

    ผมใช้เวลาหลังจากนั้นไม่นานในการแต่งชุด ด้วยความที่ยังไม่ถึงฤดูหนาว ชุดของผมก็เลยไม่ได้ยุ่งยากต่อการใส่มากนัก ถึงแม้ฤดูหนาวจะเพิ่มเสื้อนอก กับเน็คไทมาเส้นนึงก็ตามที

     

    “โซตะคูง~ ข้าวเช้าพร้อมแล้วจ้ะ” ในที่สุด เสียงหวานๆ จากข้างนอกห้องก็ดังขึ้น 

     

    “กำลังไปคร้าบบ~” ผมพูดก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายที่ข้างในนั้นมีเครื่องเขียน สมุดบันทึก และหนังสือเรียนนิดหน่อยไปพร้อมๆ กับเปิดประตูห้อง เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอีกตามเคย ถึงแม้ว่าจะอยู่มาเกือบเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ชินสักที

     

    ...จมูกของผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาจากนอกห้อง  

     

    “กลิ่นหอมมาแต่ไกลเชียวนะครับพี่” ผมเอ่ย 

     

    “วันนี้ตั้งใจทำออมไรซ์ แล้วก็ซุปเห็ดสุดฝีมือเลยล่ะ โอกาสที่น้องชายของพี่ได้ขึ้นชั้นม.ปลายแล้วยังไงล่าา~” เธอยิ้มตอบพลางเดินมาหาผม

     

    ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นและนุ่มนิ่มหนุบหนับจากภูเขาสองลูกที่โอบใบหน้าของผมในขณะนี้

     

    “เดี๋ยวสิครับ..! ผม.. หายใจไม่.. อ๊อก!” ผมพูดอย่างติดขัด ด้วยความที่ต้องเค้นอากาศออกมาใช้แทบทั้งหมดนั้นเองที่ทำให้เกือบจะไม่ได้ไปโรงเรียนวันแรกเสียแล้ว เฮ้อ~ พี่นะพี่ 

     

    พี่สาวของผม เคียวโกะ ถึงเธอจะดูโก๊ะๆหน่อยแต่ก็เป็นคนที่มีความสามารถมากๆ คนหนึ่ง ผมเพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่กับพี่สาวคนนี้ได้ไม่นาน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมต้องย้ายโรงเรียนมาใหม่ด้วยนั่นแหละ ต้องขอบคุณบุคลิกภาพและนิสัยส่วนตัวของผมที่ทำให้ผมสนิทกับพี่สาวคนนี้ได้ง่ายเป็นพิเศษ  

     

    “อ๊ะ!! พะ.. พี่ขอโต้ดด~” พี่สาวยกมือไหว้ขอโทษหลังจากปล่อยอ้อมกอดมัจจุราชนั้นแล้ว ส่วนตัวผมนั้นทรุดลงไปนอนกองกับพื้นแล้วเรียบร้อย พี่ไปเอาแรงช้างมาจากไหนกันเนี่ยTOT

     

    แต่หลังจากนั้นไม่นาน พี่สาวก็นึกอะไรขึ้นได้ “อ๊ะ! เกือบลืมไปเลย” พี่สาวสะดุ้ง ร่างกายของเธอนั้นรีบบึ่งไปยังห้องครัวที่ทำกับข้าวกับปลาไว้ 

     

    “เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบเพราะอ้อมกอดเมื่อครู่ ตาก้มมองดูนาฬิกาข้อมือสีเขียวพาสเทลอย่างเคยชิน 

     

    ...อีกตั้งสามชั่วโมงแน่ะ ผมคิด 

     

    ผมใช้เวลารับประทานอาหารฝีมือพี่สาวอยู่พักใหญ่ๆ แล้วจึงลาพี่สาวก่อนถือกระเป๋าสะพายที่จัดไว้แล้วออกมาพร้อมๆ กับใช้มือข้างหนึ่งช่วยขยับรองเท้าหนังให้มันสวมใส่ได้พอดี ถึงจะมีโซเซไปบ้างแต่ก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น

     

    “อ๊ะ! อย่าลืมเอาอาหารกลางวันของนายไปด้วยสิ โธ่~” พี่สาวพูดบ่น “ลืมไปเลย! สงสัยเมื่อกี้กินข้าวเช้าซะอิ่ม เลยไม่ทันได้เช็คของน่ะ ขอบคุณนะพี่” ผมพูดในขณะที่รับกล่องใส่อาหารที่ถูกหุ้มด้วยผ้าสีชมพูสวยงามลายต้นซากุระ

     

    “จ้าๆ เดินทางปลอดภัยน้า~ โซตะคูง~” พี่สาวให้กำลังใจด้วยการตะโกนห้อยท้ายก่อนประตูจะปิดลง ใบหน้าของพี่ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ดีจังแฮะ! (≧◡≦)

    …เหลือเชื่อเลย 

    ในขณะที่ขาของผมได้ก้าวเข้ามายังด้านในรั้วโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ ความรู้สึกตื่นเต้นทั้งหลายก็ได้รวมทัพกันมารุมล้อมผมอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว ถึงขนาดที่ว่าแม้ผู้คนทั้งรุ่นเดียวกัน หรือรุ่นพี่จะเดินเทียวไปเทียวมาเยอะแค่ไหน ส่งเสียงเอะอะดังเพียงไร ผมก็ยังสัมผัสถึงเสียงหัวใจที่มันดังตึกตักอย่างเร็วคล้ายนักกีฬาที่เล่นกีฬาจนเหนื่อยหอบ

     

    กว่าผมจะรู้สึกว่าหายตื่นเต้นแล้ว ก็ตอนที่เดินไปจนถึงตู้ล็อคเกอร์เก็บรองเท้าของนักเรียนทั้งหลายนั่นเลย ผมย่อตัวลงก่อนจะเจอตู้รองเท้าที่เขียนคำว่า “星乃(โฮชิโนะ)” แล้วจึงยื่นมือไปเปิดประตูตู้เพื่อที่จะสลับรองเท้าสำหรับใช้ในอาคารเรียน พอมาถึงตรงนี้แล้วก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา แน่ล่ะ ตอนม.ต้นก็เป็นอย่างนี้นี่นา

     

    …ชีวิตที่ไม่ได้พิเศษอะไรเนี่ยมันดีจริงๆ เลยนะ

     

    ผมคิดในระหว่างที่กำลังจัดระเบียบโต๊ะตัวเองให้เรียบร้อย กระเป๋าสะพายถูกแขวนไว้ที่ตะขอตรงข้างโต๊ะ ผมจัดแจงหยิบสมุดที่ไส้ข้างในเป็นกระดาษสีเหลืองนวลขึ้นมาจากกระเป๋า ผมเปิดหน้าสมุดว่าง ก่อนจะใช้ดินสอกดมาร่างภาพวาดลงไปในสมุดเล่มนั้น ผมทำแบบนี้ประจำเวลานั่งว่างๆ

     

    ผมเคยจินตนาการไว้ถึงภาพตอนที่อยู่ในเมืองที่ไม่ใช่ชนบท มันคงจะแปลกน่าดูเลยล่ะ ไหนจะเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ยาก แถมเรื่องการเรียนที่น่าจะตามคนอื่นไม่ทันอีก แต่มันก็ต้องไปให้สุดทางแหละนะ…

     

    การแนะนำตัวเริ่มต้นจากคนข้างหน้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่ง…

     

    “เชิญแนะนำตัวได้จ้ะ” ครูประจำชั้นเอ่ยขึ้นหลังจากเดินเข้ามาในห้องได้สักพักหนึ่ง ในมือของเธอถือแฟ้มอะไรบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับสมาชิกในห้องเรียนก่อนว่างมันลงบนโต๊ะหน้าห้อง เด็กหนุ่มทุกคนต่างมองเป็นสายตาเดียวกัน ผมสีดำขลับมัดหางม้ามีปอยเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวรัดรูปเล็กน้อยอยู่คู่กับเน็กไทสีแดงเลือดหมู ถูกคลุมอย่างมิดชิดด้วยเสื้อเบลเซอร์อันเป็นยูนิฟอร์มครูของโรงเรียน มืออีกข้างที่ว่างนั้นก็ใช้ดันแว่นกรอบเหลี่ยมของตัวเองให้เข้าที่

     

    “ 'มาคิมะ ริงโกะ' ค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” เสียงหวานถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากรูปทรงกระจับ เจ้าของเสียงนั้นคือ “ริงโกะ” เด็กสาวผู้ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะทางด้านขวาถัดจากผมไป เธอโค้งคำนับก่อนจะนั่งลงอย่างสง่างาม ในระหว่างนั้นผมสังเกตได้ถึงสายตาหลากหลายคู่จ้องมองมาที่เธอ ดูท่าเธอน่าจะป็อปเอาเรื่องเลยล่ะ

    แต่หลังจากนั้นไม่นาน บรรยากาศทั้งหมดในห้องเรียนแห่งนี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงันดุจป่าช้า

    “คนต่อไป” เสียงของคุณครูประจำชั้นที่ดังขึ้นอีกรอบนั้นทำให้ผมระลึกได้ว่า ผมนั่งข้างเธอคนนั้น ผมจึงรีบลุกขึ้นยืนในทันที 

     

    “อ๊ะ!... ผะ- ผมชื่อโฮชิโนะ โซตะครับ ความสามารถพิเศษของผมมีไม่มาก แต่จะพยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่ครับ!” ผมกล่าวออกไปอย่างเก้ๆ กังๆ ต้องโทษอาการเหม่อลอยของผมที่ทำให้ผมลืมไปว่าคนที่ต้องพูดต่อจากเธอคือตัวผมเอง

    การพูดแนะนำตัวดำเนินต่อไปจนถึงคนสุดท้าย มีเสียงหัวเราะบ้างประปราย เมื่อทุกคนพูดเสร็จแล้วคุณครูก็ได้เริ่มพูด

    “ในเมื่อทุกคนพูดแนะนำตัวกันไปแล้ว ใครที่ยังจำกันไม่ได้ก็ไปถามกันเองนอกรอบนะ ส่วนครูชื่อ โอโมริ ซากิโกะ นะ จะเรียกว่า ‘ครูโอโมริ’ ก็ได้นะ” เธอเอ่ยก่อนจะขยิบตาขวาให้นักเรียนในห้องเรียน ทำเอานักเรียนชายในห้องเรียนเสียอาการไปหลายคนเลยละ

     

    “เอาละ นี่ก็ใกล้จะถึงคาบแรกแล้ว ถ้างั้น ครูขอตัวก่อนนะ ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ” คุณครูพูดพร้อมกับหยิบเอกสารต่างๆ ก่อนจะโบกมือลานักเรียนแล้วเดินออกจากห้องไป หลังจากนั้นไม่นานนั้นเสียงกระซิบกระซาบที่พุดถึงคุณครูโอโมริก็ได้ก่อตัวขึ้น ก่อนที่เสียงคุยที่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่ผมแทบจะไม่รู้จักเลยจะได้ตามมาทีหลัง

     

    บรรยากาศในการเรียนช่วงเช้านั้นผ่านไปได้ด้วยดี หลายสิ่งหลายอย่างผ่านไปง่ายและเร็วกว่าที่คาดไว้ พอถึงเวลาพักทุกๆ คนก็จะเข้าไปทำความรู้จักกันและกัน จะว่ายังไงดีล่ะ… ด้วยความที่ผมก็ไม่ใช่คนที่เข้าสังคมเก่ง ทำให้ผมแทบจะไม่เข้าไปทักทายหรือทำความรู้จักใครเลยน่ะ

     

    “นี่นาย… ไม่คิดจะทำความรู้จักกับใครเลยเหรอ? ไหนบอกว่าจะทำทุกอย่างให้เต็มที่ไง?” เสียงหนึ่งเอ่ย ผมพอรู้ว่าเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ก็ไม่มั่นใจเท่าไรจึงได้หันไปมองหาต้นทางของเสียง เป็นเหตุให้ใบหน้าของทั้งผมและเธอห่างกันแทบจะไม่ถึงครึ่งไม้บรรทัด ผมเห็นเธอแสดงอาการตกใจเล็กน้อยผ่านใบหน้า ก่อนจะเคลื่อนตัวออกห่างเล็กน้อย

     

    “คุณมาคิ…มะ?” ผมอึ้งเล็กน้อยที่เธอเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา แต่ในขณะนั้นเองผมก็ได้รู้สึกถึงสายตาหลากหลายคู่ที่พุ่งตรงมายังตัวผมราวกับจะฆ่าให้ตาย “ก็อยากนะครับ แต่ว่า..” 

     

    “ไม่มีแต่หรอกนะ มีแต่ต้องพยายามไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า ‘ความพยายามไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ’ ไม่แน่ว่าถ้านายลองพยายามดูสักครั้ง เพื่อนของนายจะต้องเพิ่มขึ้นมาสักคนแน่ๆ อย่างน้อยก็ฉันคนนึงแหละนะ” เธอเอ่ย

     

    “ถ้าไม่รังเกียจ..  งั้นผมขอเป็นเพื่อนกับมาคิมะซัง… จะได้มั้ย?” ในที่สุดผมก็เอ่ยประโยคนั้นออกมา ถึงแม้ว่าผมจะกลัวแค่ไหน แต่พอได้เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขแบบนั้นของเธอ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา

     

    “ได้สิ” เธอเอ่ยขึ้นก่อนจะกุลีกุจอหันไปค้นโทรศัพท์มือถือที่กระเป๋าเรียนของเธอ “ขอไอดีของนายหน่อยสิ” เธอกล่าวพลางยื่นโทรศัพท์ของเธอมาให้ผมพิมพ์ไอดีให้ซึ่งผมใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ผมจัดการทำอะไรต่อมิอะไรให้เสร็จสรรพแล้วจึงคืนโทรศัพท์ให้เธอ

     

    แต่หลังจากนั้นไม่นาน…

     

    “อ๊ากกกก บังอาจแย่งคุณมาคิมะไปคนเดียวงั้นเรอะ!? ไม่ยอมหรอกเฟ้ยย!” บรรดาเพื่อนร่วมห้องมากมายราวฝูงซอมบี้ผู้หิวโหยต่างกรูกันเข้ามาเพื่อจะมาหาคุณมาคิมะ

     

    …แต่แบบนี้ก็ไม่ไหวปะ

     

    ผมโดนกลุ่มคนเหล่านั้นบีบอัดเข้าเต็มๆ ทำเอาผมต้องลงไปคลานอยู่บนพื้นเพื่อที่จะหนีออกมาจากวงนั้น ผมใช้เวลาไปสักพักใหญ่ๆ เลยกว่าจะออกมาได้ เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่เลย เฮ้อ~ ถึงผมจะเห็นว่าคุณมาคิมะดูทำอะไรไม่ถูกเลยก็ตามที แต่ก็นะ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี 

     

    “นี่!!! ปล่อยให้ฉันโดนเจ้าพวกนั้นรุมล้อมอยู่คนเดียวก็ไม่ไหวนะนายน่ะ” เธอขึ้นเสียงเล็กน้อย ตาจ้องเขม็งมายังตัวผมที่มองกลับไปพลางกระหยิ่มยิ้มเยาะ

     

    กว่าผมจะกลับเข้าไปนั่งที่ของตัวเองได้ก็เกือบจะเข้าคาบเรียนต่อไปแล้ว รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกเสียดายเวลาพวกนั้นที่ผมสามารถใช้มันทำอะไรหลายอย่างได้แท้ๆ คิดแล้วก็เซ็ง(ㅡㅅㅡ;;)

     

    หลังจากผ่านช่วงเวลานั้นมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ท่วงทำนองอันไพเราะเป็นสัญญาณว่า ช่วงของคาบเรียนในเวลาเช้านั้นได้จบลงก็ได้ดังขึ้น เหล่านักเรียนที่อยากทำความรู้จักกับคุณมาคิมะก็กรูกันเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง จนผมที่นั่งใกล้เธอที่สุดต้องย้ายไปนั่งกินข้าวตรงที่นั่งใกล้ๆ ที่ผมมั่นใจว่าจะไม่โดนกลุ่มคนตรงนั้นเบียดจนเละ

     

    “ปล่อยให้ฉันโดนรุมล้อมอยู่อย่างนั้น แล้วยังหนีฉันมากินข้าวคนเดียวอีก นายนี่มัน… ฮึ่ย!” 

    เธอทำหน้าบึ้ง ผมที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสะใจขึ้นมา แต่ก็แสดงออกไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนเล่นเอา(>~<)

     

    …จู่ๆ ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา 

     

    ทำไมล่ะ? ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำตัวเด่น แต่ทำไมถึงเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นได้ หรือเป็นเพราะว่าคำพูดแนะนำตัวของเรากันนะ? ถึงทำให้ดาวเด่นของชั้นอย่างคุณมาคิมะเข้าหา ผมนั่งคิดระหว่างที่กำลังเหม่อลอยในคาบคณิตศาสตร์

     

    ผ่านช่วงเวลานั้นมาเล็กน้อย หลังเสียงกริ่งบอกเวลาอาหารกลางวันได้มาถึงแล้ว ผมก็จัดแจงหยิบกล่องข้าวที่ถูกห่อด้วยผ้าลายดอกไม้สีฉูดฉาด กลิ่นหอมโชยมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดกล่องข้าว ฝีมือระดับพี่เคียวโกะเนี่ย ทำไมถึงยังไม่มีแฟนกับเขาสักทีนะ..? 

     

    “ฮัดเช้ย! ใครนินทาเราฟะ?” 

    พี่เคียวโกะนึกในใจหลังจามออกมา ขณะที่กำลังชงกาแฟดื่มในสำนักงานอย่างสบายใจราวกับไม่ได้ทำงาน

     

    “โหหห น่ากินมากเว่อร์ อิจฉานายจังง” 

    คุณมาคิมะเอ่ยขึ้นหลังได้เห็นอาหารข้างในกล่อง ดวงตาสีน้ำตาลกลมใสลุกวาว พร้อมๆ กับน้ำลายในปากที่พากันพร้อมใจเดินขบวนจนแทบจะออกจากปากของเธอเสียแล้ว

     

    “ของคุณมาคิมะก็ไม่แพ้กันแหละครับ มีทั้งแซลมอนย่างเกลือราดซอสเทริยากิ ไข่คนกุ้งหอมๆ แล้วก็ปูอัดกับผักสวยงาม น่ากินสุดๆ” ผมเองก็ตาลุกวาวไม่แพ้กัน 

     

    “แหมมม พูดซะหิวเลยเนี่ยเห็นไหม? อย่างงี้นายต้องรับผิดชอบ เอามานี่เลย!” พูดไม่ทันขาดคำเธอก็คว้าไส้กรอกราดซอสไปอย่างเร็วไว ก่อนที่มันจะเข้าไปในปากของเธอในที่สุด

     

    “เดี๋ยวสิ...” ผมได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ในใจโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ก่อนจะก้มหน้ารับประทานอาหารที่เหลือต่อไป

     

    แต่แล้วคุณมาคิมะก็ได้คีบเนื้อแซลมอนย่างส่วนหนึ่งมาให้ผม คิดว่าน่าจะเป็นการไถ่โทษที่แย่งไส้กรอกไปกินแหละนะ 

     

    “จากนี้ไปก็เรียกฉันด้วยชื่อตัวเถอะนะ ใครๆ ก็เรียกพ่อแม่ฉันอย่างนั้นจนแยกไม่ออกเลยว่าพูดถึงใครอยู่” 

    เธอเอ่ยขึ้นราวกับไม่รู้จะสนทนาเรื่องอะไรดี ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงตอบไปแบบสั้นๆ ว่า “ครับ คุณริงโกะ”

     

    หลังทานอาหารกลางวันเสร็จก็กลับสู่สภาพปกติ ไม่ได้มีเหตุการณ์ใดๆ ที่พิเศษไปมากกว่านี้จนกระทั่งเลิกเรียน...

     

    “ริงโกะจังเองก็อย่าลืมมาแวะบ้านเราอีกน้า”

    เสียงเด็กสาวผู้หนึ่งเอื้อนเอ่ย

     

    “ได้เลย ไว้เสาร์นี้เจอกันนะ”

     

    “จ้าๆ”

    เด็กสาวผู้นั้นตอบรับก่อนจะหันหลังเดินไปกับเพื่อนสาวคนอื่นๆ

     

    “สนิทกันดีจังนะครับ คุณริงโกะกับคุณมิซากิเนี่ย”

     

    “ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วนี่นา จะสนิทกันก็ไม่แปลกหรอก ว่าแต่นายเหอะ นอกจากฉันแล้วในห้อง.. ไม่สิ ในโรงเรียนนี้ยังไม่มีใครที่สนิทด้วยเลยหรอ?”

    เธอตั้งคำถามขึ้นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

     

    “ไม่มีเลยละครับ” ผมตอบอย่างใสซื่อ

     

    “เอ๋!? เอาจริงดิ แบบ ที่โรงเรียนเก่าก็ไม่มีด้วยรึเปล่าเนี่ย”

    เธอเริ่มแปลกใจมากขึ้น

     

    “ผมเรียนโฮมสคูลน่ะ”

    ผมตอบกลับไป

     

    “เอ๋ เป็นอย่างนั้นเองสิน้า”

     

    ผมละคุณมาคิ... ริงโกะเดินคุยมาเรื่อยๆ โดยระหว่างทางนั้นก็พบเพื่อนใหม่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นทางฝ่ายของคุณริงโกะที่แนะนำผมให้พวกเขารู้จัก ก็ด้วยความที่ผมพูดไม่ค่อยจะเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่จะเริ่มคุยกับใคสักคนมันจึงเป็นเรื่องยากระดับต้นๆ สำหรับผมเลยล่ะ

     

     

    “กลับดีๆ นะ คุณริงโกะ” เสียงของหนุ่มวัยใสเอ่ยพลางโบกมือลาสาวสวยวัยสะพรั่งที่กำลังขึ้นรถแท็กซี่คันสีเขียวเหลืองไปพลางโบกมือกลับมาก่อนจะปิดประตูรถ แล้วรถคันเหลืองก็ได้เดินเครื่องจากไป ดวงตาสีน้ำตาลเงายังคงจ้องมองกระทั่งเงาของรถคันนั้นหายไป

     

    “เราเองก็ต้องกลับบ้านแล้วสิ” ผมพูดกับตัวเองก่อนจะหันหลังเดินกลับไป

    .

    .

    .

    ลูกบิดประตูถูกบิดพร้อมๆ กับประตูไม้สักที่ถูกทำให้แง้มเข้ามา ผมเดินกลับมาอย่างเหนื่อยล้า

    แต่พอถึงบ้าน อะไรไม่รู้ก็ดลใจให้เรี่ยวแรงมันกลับมา ผมเดินเข้าไปยังห้องส่วนตัวของผม แล้วจึงวางสัมภาระที่ถือไปมาตั้งแต่ออกมาจากโรงเรียน จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง แล้วก็เปิดมือถือดูวิดีโอสอนทำอาหารไปพลางตั้งกระทะทำตาม 

    กลิ่นอาหารหอมกรุ่นโชยมาอย่างที่คาดคิด น่าจะกินได้แหละนะ

    ผมรออาหารสุกได้ที่ตามที่ในวิดีโอบอกไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมาจัดใส่จานแล้วแบ่งส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้พี่สาว ห่อพลาสติกแล้วเก็บเข้าตู้เย็น จากนั้นผมก็เดินไปที่ห้องส่วนตัวแล้วนำการบ้านวันนี้ขึ้นมาทำ โดยระหว่างทำก็เปิดเพลงคลอเบาๆ ผ่านหูฟังไร้สายแบบครอบหูทรงเรียบง่าย

     

    เริ่มเรียนวันแรกก็มีการบ้านติดตัวเลยหรือนี่? ผมได้แต่นึกกัดฟันในใจ

     

    แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานแหละ พอคิดได้ดังนั้นก็รู้สึกท้อแท้  จึงลุกขึ้นไปที่ตู้เย็น หวังว่าจะพอมีอะไรกินนะ

     

    “ไม่มีอะไรกินเลย!?” ผมเอ่ยขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ ถึงแม้ว่าตู้เย็นจะมีวัตถุดิบอยู่ข้างใน แต่สิ่งที่ผมต้องการคืออาหารสำเร็จรูป หรืออะไรก็ได้ที่หยิบกินได้เลย จึงรู้สึกเซ็งเล็กน้อย

     

    “คงต้องลงไปซื้อแล้วแหละ” 

    ผมคิดในใจ แล้วจึงเดินออกไปจากห้องพัก

     

    [ตี๊ด…ตี๊ด] 

    สัญญาณแจ้งเตือนแผ่นดินไหวดังขึ้นประมาณห้าวินาทีที่โทรศัพท์มือถือของผมในขณะที่เดินออกมาจากตึกได้ไม่นาน ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวที่รุนแรง แต่แรงสั่นนั้นก็ได้หยุดลงในอีกไม่กี่อึดใจ

     

    ก็คงแผ่นดินไหวธรรมดานั่นแหละ ผมคิดในใจ แล้วจึงเดินไปซื้อข้าวเย็นกินที่ร้านใกล้ๆ

     

    ผมเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกับเบอร์เกอร์ขนาดพอดีมือและน้ำแก้วหนึ่ง 

     

    ง่ำ คำแรกผ่านไป คำที่สองและสามตามมาแทบจะทันที แล้วก็ดูดน้ำเข้าไปด้วย รสชาติที่เอร็ดอร่อยอย่างบอกไม่ถูกเคล้าผสานกันในปากอย่างเต็มที่ ผมทานต่อจนหมดอย่างรวดเร็วดดยไม่สนใจว่ามันเพิ่งจะอุ่นเสร็จใหม่ๆ เลยทำให้รู้สึกร้อนในปากราวกับถูกน้ำร้อนลวกปากตั้งแต่ตอนนั้น ผมนั่งยองๆ ลงไปตรงทางเดินที่เวลานั้นคนเดินไปมาน้อย 

     

    “อ๊ากก ร้อนโว้ยยยย” ผมพูดขึ้น 

     

    “แล้วทำไมไม่ดูก่อนล่ะค้าา ว่ามันร้อนอยู่น่ะ” 

     

    หืม?

    ผมหันไปตามเสียงพูดนั้น เด็กสาวหน้าตาน่ารัก ปล่อยผมยาวประบ่า มองมาที่ผมด้วยสายตาและท่าทางเอ็นดู  

     

    “จำฉันไม่ได้หรอ?” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่รู้สึกเสียดาย เธอเอามือทัดหูเผยให้เห็นใบหูข้างหนึ่ง แล้วจึงย่อตัวลงมาใกล้ๆ ผม “ฉันเอง ริงโกะไง” เธอกล่าว

     

    ลุคของเธอในตอนนี้เปลี่ยนไปจากตอนอยู่โรงเรียนอย่างไม่น่าเชื่อ เสื้อคอปกแขนยาวสีกรมท่า กระโปรงสีขาวที่สวมเลยหัวเข่าประมาณหนึ่ง ที่คอมีหูฟังแบบครอบหูสีเทาสว่างแขวนอยู่

     

    “น่ารัก…” 

    ผมเผลอเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ก็อยู่ในระยะที่ริงโกะได้ยิน ทำให้เธอแสดงอาการเขินออกมาเล็กน้อย แก้มขาวๆ นั้นได้เผยสีแดงระเรื่อออกมา ใบหูของเธอก็เช่นกัน เธอรีบถอยตัวเองห่างออกมาเล็กน้อยแล้วยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว

     

    “อะ-- เอ่อ.. ว่าแต่นายมาทำอะไรแถวนี้เหรอ?” เธอเปลี่ยนเรื่องโดยชิงถามผมเสียก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรราวกับเพิ่งนึกได้ว่าต้องถามถึงเรื่องนี้

     

    “อะ-- อ้อ! ฉัน พอดีว่าหิวข้าวก็เลยออกมาหาอะไรกินน่ะ แหะๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ เพราะยังไม่หายเขิน 

     

    “บังเอิญจังเลยนะ ฉันก็เหมือนกัน พอดีว่าพ่อแม่ฉันไม่อยู่บ้าน ท่านบอกจะกลับมาตอนค่ำๆ ก็เลยให้ฉันออกมาหาอะไรกินพร้อมกับทิ้งเงินไว้ให้ด้วย ฉันที่ไม่รู้จะไปกินที่ไหนดีก็เลยเดินเล่นมาสักพักนึง จนมาเจอนายกำลังนั่งโอดโอยอยู่เมื่อกี้เนี่ย” 

    พูดจบเธอก็หยิบธนบัตรมูลค่าหนึ่งหมื่นเยนห้าใบขึ้นมาอวด ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะคิดอีกรอบว่าเธอนั้นน่ารัก แต่รอบนี้เห็นทีคงจะพูดออกมาไม่ได้ซะแล้วละ^o^ 

     

    “ว่าแต่เราจะไปกินที่ไหนกันดีล่ะ โซตะคุงช่วยคิดหน่อยสิ”

    เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ ‘เรา’ เหรอ? 

    มันจะไม่เร็วไปหน่อยรึไง!? เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ 

     

    “นี่ คิดไปไกลละใช่ไหมเนี่ย ฉันไม่ได้จะไปทำอะไรพวกนั้นซะหน่อยนะ” 

    เธอพูดออกราวกับสีหน้าผมมันฟ้อง เอทำหน้าบูดเล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอะไรบางอย่าง

     

    “ไปร้านนี้กัน!”

    เธอเอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าเริงร่า ดวงตาสีน้ำตาลที่เปล่งประกายนั้นทำเอาผมปฏิเสธเธอไม่ลง

     

    คุณริงโกะยื่นโทรศัพท์ที่เปิดหน้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆกับตำแหน่งที่เราทั้งคู่ยืนอยู่ประมาณกิโลครึ่ง ผมตกลงปลงใจไปเพราะเริ่มรู้สึกหิวมากขึ้นจนอยากจะรีบๆกินให้มันจบๆ ไปซักที

     

    เมื่อพากันเดินมาถึงแล้วก็เห็นว่า ร้านที่ดูไว้เล็กกว่าที่คิดประมานหนึ่ง แต่ด้วยความอยากกิน ผมเลยนำเธอเดินเข้าไปนั่งในร้าน ข้างในนั้นก็พอมีคนมาบ้าง แต่ด้วยความที่เวลาตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว แน่นอนว่าบางคนในร้านก็มานั่งก๊งเบียร์ดื่มเหล้ากันเสียส่วนใหญ่

     

    “ร้านดูดีมากเลย นี่ดูสิ ตรงนี้สวยมากอ่ะ” 

    ผมสังเกตเห็น ตั้งแต่ตอนเข้าร้านเธอดูตื่นเต้นมาก ชี้โน่นนี่นั่นไปหมด นี่ถ้าคนเยอะผมคงอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปแล้ว 

     

    “นั่งตรงนี้แล้วกันนะโซตะคุง ทั้งวิวดีแล้วแอร์ก็ตกพอดีด้วย นายรู้ไหม ฉันล่ะชอบที่ๆ แอร์ตกมากเลยล่ะ” 

    จะพูดเยอะไปไหนเนี่ย ผมได้แต่คิด หรือว่าคนที่เรียนเก่งๆ มันมักจะมีด้านที่ซ่อนไว้เสมอนะ?

     

    จากนั้น ผมก็คุยกับเธอพลาง จดเมนูไปพลาง ก่อนจะส่งที่จดให้กับพนักงาน

     

    “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้มากินข้าวกับเพื่อน…ผู้หญิง ถ้าไม่นับพี่สาว แล้วก็แม่ของฉัน” 

    ผมเอ่ยออกไป

     

    “เอ๋!? เอาจริงดิ”

    เธอสงสัยในคำพูดของผม คงเป็นเพราะหว่าหน้าตาของผมมันดูเหมือนคนเนื้อหอมละมั้ง(อวยตัวเองไปอีก)

     

    “จริงๆ นะ…”

    แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ ก็มีเสียงใครบางคนพูดขึ้น

     

    “นี่… โฮชิโนะคุง กับ มาคิมะจัง ใช่มั้ย?”

    ผมนึกสงสัย ใครกันนะ?

     

    เมื่อหันไป จึงได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมสีดำมัดหางม้าแบบนั้น มองยังไงก็ดูคุ้นๆ ชอบกล 

     

    “คุณครูโอโมริเหรอคะ!!?” 

    ริงโกะเอ่ยขึ้น เธอรู้ได้ยังไงกัน 

     

    “เอ๊ะ คุณครูเองหรอครับเนี่ย”

    ผมกล่าวออกไป

     

    “แหม่ ปกติครูก็มากินข้าวร้านนี้ประจำแหละจ้ะ ใช้มั้ยคะคุณลุง”

    คุณครูหันไปถามเจ้าของร้าน เจ้าของร้านก็พยักหน้าพลางยิ้มตอบรับให้แทนคำตอบ

     

    “ถ้างั้นคุณครูก็มานั่งทานกับพวกเราสิคะ”

    เธอเอ่ยปากชวน 

     

    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พอดีวันนี้ครูมีงานต่ออีกน่ะ เลยต้องรีบไป ขอโทษด้วยนะ”

    ครูกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย ริงโกะและผมพยักหน้ารับ

     

    “บังเอิญจังเลยเนอะ”

     

    “นั่นสิ” 

     

    “มันจะมีเรื่องบังเอิญที่ทำให้ใครสักคนที่ชะตาต้องกันมาเจอกันรึเปล่านะ?”

    เธอเอ่ยคำถามขึ้น ฉับพลันนั้นผมคิด บางทีคนที่ชะตาต้องกันที่เธอว่า 

     

    อาจจะเป็นเราสองคนก็ได้

     

    ผ่านไปสองชั่วโมง พวกเรายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางผู้คนที่เริ่มมาที่ร้านเพราะเวลาก็เริ่มเข้าใกล้หัวค่ำแล้ว 

     

    “กลับกันเลยมั้ย?”

    ริงโกะเอ่ยถาม ผมเห็นด้วยกับเธอนะ ผมก้มมองดูนาฬิกาข้อมือที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เช้า เวลาทุ่มกว่าๆ 

     

    พวกเราเดินไปที่เคาน์เตอร์ร้าน ตรงที่คุณลุงเจ้าของร้านยืนอยู่ ก่อนจะบอกให้ลุงเช็คบิล ถึงแม้คุณลุงจะยุ่งแค่ไหน แต่คุณลุงก็หาคนมาทำงานแทนเขาแล้วเจ้าตัวก็มาคิดเงินให้เรา

    “แหม่ ลุงเห็นพวกเธอแล้วคิดถึงตอนตัวเองยังหนุ่มยังแน่นขึ้นมาเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ” 

    คุณลุงพูดไปพลางหัวเราะไป

     

    “นี่หลานรู้มั้ย ตอนลุงอายุเท่าหลานน่ะนะ ลุงเนี่ยคอยแต่ดูแลเมียลุงไม่เว้นแต่ละวันจนไม่เป็นอันเรียนเลยนะ เลยต้องมาทำงานจนดึกจนดื่นแบบนี้นี่แหละ”

    คุณลุงเล่า คงเห็นว่าผมกับริงโกะเป็นแฟนกันละมั้ง                    

     

    “นี่เงินทอนนะพ่อหนุ่ม ดูแลว่าที่ภรรยาให้ดีล่ะ ฮ่าๆๆ” พอคุณลุงพูดจบแล้วก็นำเงินจำนวนหนึ่งใส่ถาดบนโต๊ะแคชเชียร์ที่กั้นอยู่ ผมรับมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของริงโกะ แต่ก็ไม่ได้หันไปทัก

     

    “โชคดีนะพ่อหนุ่ม” คุณลุงเอ่ยทิ้งท้ายก่อนเราทั้งคู่จะเดินออกมาจากร้านอาหารนั้น

     

    “เดินมาไกลบ้านเธอมากแค่ไหนแล้วเนี่ย จะไปไหนต่อรึเปล่า?” ผมถามหลังจากที่เราเดินเล่นย่อยอาหารมาสักพัก

     

    “ฉันจำได้ว่าแถวๆ นี้มีห้างเล็กๆ ด้วย ไหนไหนก็มืดละ อยากไปเดินต่ออ่ะ” ริงโกะรบเร้าจนผมไม่มีทางเลือก เลยจำยอมตามเธอไป 

    .

    .

    .

    เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่ๆ ผมกับเธอต่างเดินเล่นไปทั่วห้างจนขาแทบทรุด สุดท้ายผมเลยส่งเธอขึ้นแท็กซี่ที่หน้าห้าง 

     

    “กลับถึงบ้านแล้วก็อย่าลืมทักแชทมาบอกล่ะ แลกคอนแทคกันแล้วนะอย่าลืม” ผมยิ้มให้กับคำพูดนั้นของเธอ นั่นมันคำพูดฉันต่างหากเล่า แต่ก่อนจะได้พูดอะไร เธอก็ปิดประตูรถแท็กซี่คันเหลืองแล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป

     

    “เอาละ กลับดีกว่าเรา” ผมเลิกคิดมากก่อนจะเริ่มย่ำเท้ากลับไปยังห้องพักของตน

    กลับมาถึงห้อง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ชาร์จแบตอีกครั้งหนึ่ง ผมรีบเปลี่ยนชุด แล้วอาบน้ำใหม่อีกรอบนึง การได้อาบน้ำแต่ละครั้งนี่มันสดชื่นมากจริงๆ ผมคิด 

    ตึ๊งตึ่ง เสียแจ้งเตือนดังขึ้น ผมรีบปิดฝักบัวแล้วหยิบมือถือมาดู 

    ริงโกะส่งข้อความมาบอก 

    ถึงบ้านแล้วนะ กำลังจะอาบน้ำ

    1ข้อความเสียง

     

    ผมไม่ได้สนใจอะไร ก็เลยปิดเครื่องแล้วอาบน้ำต่อให้เสร็จ

    ผ่านไปสักพัก ผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และกำลังจะเข้านอน ก่อนนอนเลยถือดอกาสเปิดดูข้อความเมื่อตอนอาบน้ำเสียหน่อย แต่ก็แปลกใจ ที่ข้อความเสียงที่ริงโกะส่งมาตอนแรกได้ถูกยกเลิกไป แต่ผมก็ไม่ได้คิดถามอะไร เลยพิมพ์ไปว่า 

    ขอบคุณที่มาทานข้าวด้วยกันนะ ฝันดี

    พิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็เอาโทรศัพท์ไปชาร์จแบตแล้วเข้านอน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×