คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8 : Winter's Roar
Chapter 8 : Winter’s Roar
“วิ่ง!!”
เสียงตะโกนของพันตรีเกรเกอร์ถูกกลบด้วยเสียงร้องคำรามที่ดังกึกก้องปานฟ้าถล่มของทันทามู สองเท้าพยายามวิ่งย่ำลงบนพื้นหิมะสุดกำลัง แต่กลับรู้สึกว่าความเร็วไม่ได้ต่างจากการเดินเร็วเลย
มิคังรู้ได้ในทันทีว่า สาเหตุที่วิ่งช้าลงนั้นเกิดจากอาณาเขตหิมะลอยขึ้นฟ้าที่พวกเธออยู่นั่นเอง ซึ่งหัวหน้าเผ่าทาอูเรียกมันว่า ‘หิมะผกผัน’
“ถอยไปตั้งหลักก่อนค่ะ!”
มิคังตะโกนหลังจากที่เสียงคำรามหยุดไป ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีใครวิ่งแซงเธอไป นักรบเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ซึ่งแบกแม่เฒ่าราคิไว้บนหลังวิ่งฝ่าอาณาเขตหิมะผกผันด้วยความเร็วที่ไม่ต่างจากปกติเลย ราวกับไม่รับผลกระทบใดๆ จากอาณาเขตนี้ จนหญิงสาวอดที่จะตะลึงไม่ได้
หญิงสาวพยายามออกแรงวิ่งไล่หลังเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ไปแม้จะมีความเร็วที่ต่างกันพอสมควร ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากด้านหลัง ทันทามูกำลังอ้าปากแต่ไม่ได้ส่งเสียงร้อง ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของเธอทันที
‘มันกำลังจะยิงลำแสงเยือกแข็งแน่ๆ !’
มิคังหยุดวิ่ง ถอดถุงมือหนาทั้งสองข้างออกให้เหลือถุงมือชั้นในซึ่งสวมแหวนไว้สี่วงที่มือข้างซ้าย ชักดาบคาตานะเล่มสีทองออกมาสแกนแหวนสีแดง เรียกเปลวเพลิงให้ลุกโชนที่ใบดาบ
มิคังใช้วิชาดาบแห่งสายลมฟันไปด้านหน้าเกิดเป็นกำแพงสายลมขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อผสานกับพลังไฟของดาบแล้วกำแพงลมก็แปรเปลี่ยนเป็นกำแพงเปลวเพลิงร้อนระอุ เป็นจังหวะเดียวกับที่ลำแสงสีขาวพุ่งออกจากปากของทันทามู
ตูม!!!
ลำแสงเยือกแข็งกระทบกับกำแพงเปลวเพลิงจนเกิดระเบิดขึ้น ควันจากไอน้ำที่ระเหยอย่างรวดเร็วลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ มิคังถูกแรงระเบิดซัดเข้าจนกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นหิมะ
ทันทามูเริ่มขยับเดินเข้ามาใกล้จนพื้นสั่นสะเทือน มิคังลุกขึ้นและตวัดดาบฟันออกไปเป็นเปลวเพลิงโจมตีใส่ทันทามู แต่ทว่า เปลวเพลิงนั้นกลับทำอะไรผิวหนังที่เป็นเกล็ดแข็งราวกับกับเกราะเหล็กของมันไม่ได้เลย อีกทั้งอาณาเขตหิมะผกผันนี้ก็ทำให้เธอเหวี่ยงแขนฟันดาบไม่สะดวก พลังโจมตีจึงอาจลดลงไปได้
วิ่งหนีจึงน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
อะดรีนาลีนสูบฉีดจนเลือดไหลเวียนวิ่งพล่านไปทั่วร่าง กำลังที่ถดถอยไปจากอาณาเขตหิมะผกผันเริ่มกลับคืนมา มิคังวิ่งตามทีมของเธอจนทัน ยังรู้ถึงแรงสั่นที่พื้นแสดงว่าทันทามูยังคงเดินไล่ตามมา เคราะห์ดีที่ร่างกายอันมหึมาของมันต้องแบกทั้งกระดองและเกราะแข็งไว้ทั่วร่างทำให้มันวิ่งไม่ได้ แต่แค่มันก้าวเดินช้าๆ ก็เท่ากับการวิ่งของมนุษย์ ขนาดอันใหญ่โตมโหฬารของมันคงเห็นมนุษย์เป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กๆ แค่บี้ด้วยปลายเล็บก็ทำให้ตายได้แล้ว
เมื่อวิ่งมาสักพัก มิคังก็หันกลับไปมองว่าทันทามูไล่ตามมาถึงไหนแล้ว แต่กลับพบว่าพันตรีเกรเกอร์ได้หกล้มลงบนพื้นหิมะที่ห่างจากเธอไปเป็นสิบเมตร
ไม่นานเกินรอ ฝ่าเท้าอันใหญ่โตของทันทามูก็ลอยอยู่เหนือร่างของเกรเกอร์เสียแล้ว เงาทมิฬแห่งมัจจุราชฉายทับบนตัวของพันตรีและพื้นที่โดยรอบบ่งบอกถึงอาณาเขตที่เท้าขนาดยักษ์นั่นจะเหยียบลงมา เกรเกอร์พยายามจะลุกหนีแต่ขาแขนกลับสั่นเทิ้มไม่ยอมฟังคำสั่งซึ่งเป็นผลจากอาการตื่นตระหนกอย่างสุดขีด
ครั้นหญิงสาวจะวิ่งเข้าไปช่วยก็คงไม่ทันการณ์ มีหวังถูกเหยียบตายทั้งคู่เป็นแน่ จะโจมตีด้วยเปลวเพลิงก็คงไม่สะกิดผิวหนังของมัน น้ำแข็งยิ่งไม่ต้องพูดถึง สายฟ้าก็ใช้โจมตีระยะไกลไม่ได้
คงเหลือแหวนอยู่วงเดียวที่จะใช้การได้
“Risingggggg~Sunnnnnnnnnnnnnnn!!!”
พริบตาต่อมา เสี้ยววินาทีก่อนที่เท้าของทันทามูจะเหยียบลงบนร่างของเกรเกอร์ ลำแสงสีทองขนาดใหญ่ก็ปาดเข้าที่ฝ่าเท้านั่นจนเกิดแผลยาว ทำให้มันชะงักและผงะเท้าถอยหลัง ก่อนจะเหยียบลงบนพื้นที่ห่างจากพันตรีเกรเกอร์ไม่ถึงเมตร
ใบดาบของมิคังถูกห่อหุ้มด้วยลำแสงสีทองขนาดใหญ่จนมีสภาพเหมือนดาบเลเซอร์ขนาดยักษ์ยาวกว่ายี่สิบเมตร ที่กั้นดาบถูกขยายออกให้กว้างขึ้นรองรับกับขนาดของดาบที่เปลี่ยนไป เป็นพลังแห่งแหวนสีทองที่เธอได้รับมาจากโกสต์ ซึ่งชื่อของมันก็ยาวจนเธอจำได้แต่คำว่า ‘ไรซิ่งซัน’
นักรบแห่งฟรอสวอล์กเกอร์เป็นคนวิ่งกลับไปพาร่างของเกรเกอร์ออกมา ด้วยร่างกายที่ต้านทานพลังของอาณาเขตหิมะผกผันได้ ทำเอาพันตรีถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูกที่ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มคนที่เขาเคยดูแคลน มิคังเก็บดาบเข้าฝัก จากนั้นทุกคนก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
การสั่นสะเทือนที่พื้นหยุดลงราวกับทันทามูไม่ได้ก้าวเดินต่อ หรือการโจมตีด้วยดาบแสงของมิคังจะได้ผลกว่าที่คิด ในที่สุดทั้งห้าชีวิตก็สามารถวิ่งหลุดออกมาจากอาณาเขตหิมะผกผันได้สำเร็จ หรือพูดอีกนัยก็คือหนีจากทันทามูมาพ้นแล้วนั่นเอง
แต่ยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอ จู่ๆ ก็เกิดพายุหิมะขึ้นพัดโหมกระหน่ำราวกับจะซ้ำเติม แต่หากคิดดูอีกที นี่อาจจะเป็นพลังเรียกพายุหิมะของทันทามูตามที่หัวหน้าเผ่าบอกก็ได้
“มันจะตามเรามาไหมคะท่านราคิ” มิคังเอ่ยถามแม่เฒ่าพลางหอบจนตัวโยน
แม่เฒ่าหลับตาลงและขยับปากพึมพำอย่างทุกที หากมองในมุมของชนเผ่าก็คงกำลังติดต่อกับจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ ไม่ก็สื่อสารกับเทพเจ้าทูราก้า
“ทันทามูไม่ได้ตามเรามา แต่กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก” แม่เฒ่ากล่าว
มิคังรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี กดปุ่มเปิดแผนที่ภายในหมวกนิรภัยเพื่อดูว่าทางทิศตะวันตกนั้นคืออะไร แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าทิศตะวันตกจากที่นี่ คือ...ประเทศเมโทรโปลิสนั่นเอง
ทันทามูกำลังมุ่งหน้าไปที่เมโทรโปลิส
‘ต้องแจ้งเวอร์กัส’
นี่คือความคิดแรกของมิคัง เธอต้องรีบติดต่อเวอร์กัสให้เร็วที่สุด แม้จะไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพทันทามูกลับมาเลย แต่อย่างน้อยแค่บอกลักษณะภายนอกและความสามารถของทันทามูให้เวอร์กัสรู้ก็น่าจะเพียงพอแล้วต่อการหาวิธีรับมือมัน ก่อนที่มันจะไปถึงชายแดนของเมโทรโปลิส
มิคังรีบยกแขนซ้ายขึ้นและกดปุ่มที่สายรัดเรียกหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมา แต่ทว่า ท่ามกลางพายุหิมะที่พัดโหมรุนแรงตอนนี้ส่งผลให้เธอไม่สามารถมองเห็นหน้าจอโฮโลแกรมได้เลย สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงหิมะสีขาวที่ลอยไปลอยมาอย่างรวดเร็วเท่านั้น ระบบช่วยเหลือทัศนวิสัยก็ชำรุดจากการล้มเพราะแรงระเบิดก่อนหน้า เธอจึงเปลี่ยนไปใช้ระบบคำสั่งเสียงแทน
“ติดต่อเวอร์กัส”
“คำสั่งไม่ชัดเจน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง”
“ติดต่อเวอร์กัส!”
“คำสั่งไม่ชัดเจน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง”
มิคังพูดย้ำคำสั่งอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล เสียงของลมพายุหิมะรบกวนจนระบบได้ยินเสียงของเธอไม่ชัดเจน จึงไม่อาจใช้คำสั่งเสียงได้
วิธีที่จะสามารถติดต่อกับเวอร์กัสได้ เหลืออยู่เพียงวิธีเดียว...
มิคังหงายข้อมือขึ้นและเปิดฝาครอบที่ใต้สายรัดข้อมือออก เผยให้เห็นปุ่มสีแดงที่ซ่อนอยู่ด้านใน
‘ปุ่มขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน’
หากกดปุ่มนี้ ทุกคนในหน่วยพิเศษรวมไปถึงเวอร์กัสก็จะรับรู้ว่ามีคนในหน่วยกำลังต้องการความช่วยเหลือด่วน มิคังไม่รอช้ารีบกดปุ่มนั้นทันที พลันสายรัดข้อมือของเธอก็เรืองแสงสีแดงออกมา
‘หวังว่าเวอร์กัสจะติดต่อกลับมานะ’
เร็วเท่าความคิด เวอร์กัสก็ติดต่อกลับมา
“เกิดอะไรขึ้นคุณมิคัง?”
น้ำเสียงยังคงราบเรียบ แต่จังหวะพูดที่เร็วทำให้ทราบได้ว่ามีความตกใจปนอยู่ คงไม่คาดคิดว่าหญิงสาวจะคับขันขนาดต้องกดสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน
“ทันทามูกำลังมุ่งหน้าไปที่เมโทรโปลิสค่ะ!”
“ได้ยินคุณไม่ชัดเลย อะไรนะครับ?”
มิคังลืมไปว่าเสียงจากพายุหิมะยังคงรบกวนอยู่ เธอยกแขนขึ้นเอาสายรัดไปจ่อกับลำโพงที่หมวกนิรภัยพร้อมกับเอามือป้องลมไว้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหูของเวอร์กัสคงจะดีกว่าระบบดีเท็กต์เสียงรับคำสั่งของสายรัด
“ทันทามูกำลังมุ่งหน้าไปที่เมโทรโปลิสค่ะ!”
เวอร์กัสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา
“ถ่ายภาพมันมาได้รึเปล่า?”
“ไม่ได้ถ่ายค่ะต้องขออภัยด้วย แต่ฉันบอกลักษณะและความสามารถของมันได้ค่ะ”
แล้วมิคังก็พยายามบอกลักษณะของทันทามูให้เวอร์กัสเข้าใจง่ายที่สุด เต่ายักษ์โบราณสูงกว่าเก้าร้อยฟุต มีเกล็ดแข็งหุ้มทั้งตัว มีออร่าสโลว์รอบตัวเส้นผ่านศูนย์ประมาณสี่ร้อยเมตร เรียกพายุหิมะได้ และสามารถยิงบีมเยือกแข็งออกจากปากได้
เมื่อหญิงสาวตะเบ็งเสียงบอกรายละเอียดแก่เวอร์กัสเสร็จ พายุหิมะก็พลันสงบลง ราวกับที่ผ่านมาจงใจจะกลั่นแกล้งเธอไม่ให้ติดต่อกับเวอร์กัสได้สะดวก
“จากลักษณะที่คุณกล่าวมา ผมพบข้อมูลเพิ่มเติมแล้วครับ” เวอร์กัสกล่าว “ในฐานข้อมูลเราพบสัตว์โบราณตัวหนึ่ง ลักษณะตรงตามที่คุณกล่าวมาทุกประการ มันมีชื่อว่า ‘อูริออส’ ครับ”
“อูริออส? ไม่ใช่ทันทามูเหรอคะ?” มิคังถามอย่างสงสัย
“อูริออสเป็นชื่อที่ชาวเมโทรโปลิสตั้ง ส่วนทันทามูคงเป็นชื่อเรียกเฉพาะของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์” เวอร์กัสตอบ
“แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไรต่อคะ?”
“รออยู่ตรงนั้นก่อน เดี๋ยวผมจะส่งยานบินไปรับคุณและทีมกลับมาที่ชายแดน แล้วก็...เตรียมรอรับคำสั่งต่อไปด้วย”
พูดจบเวอร์กัสก็ตัดสายไป
มิคังไม่มีทางเลือก จึงต้องทำตามคำสั่งยืนรอเฉยๆ ให้ยานบินมารับ นึกในใจว่าอย่างน้อยก็ทำให้ตัวเธอและคนอื่นได้พักเหนื่อยบ้าง หลังจากต้องวิ่งหนีสัตว์ประหลาดยักษ์ติดต่อกันโดยไม่ได้หยุดพักเลย
ห้านาทีต่อมา ท่ามกลางสภาพอากาศที่สงบเงียบราวกับพายุหิมะเมื่อครู่เป็นแค่เรื่องโกหก มิคังก็เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างกำลังบินมาทางเธอจากขอบฟ้าไกลๆ คาดว่าจะเป็นยานบินที่เวอร์กัสส่งมารับ
แต่พอมองดูดีๆ ขนาดของมันเล็กเกินกว่าจะเป็นยานบินของกองทัพได้ ยิ่งพอมันบินเข้ามาใกล้จนเห็นรูปร่างชัดเจน หญิงสาวก็ยิ่งเบิกตากว้างด้วยความตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
สิ่งที่บินมาคือสัตว์สี่เท้าผิวกายมันวาวเป็นโลหะ จมูกยื่นยาวและดวงตากลมโตสีฟ้าส่องสว่าง เขาเหล็กขนาดใหญ่ที่โค้งงอไปด้านหลัง ปีกแบบเครื่องบินกางออกข้างลำตัวพร้อมด้วยไอพ่นสีทองพวยพุ่งจากปีก ขับเคลื่อนให้ร่างนั้นทะยานอยู่บนอากาศได้
‘...แพะเหล็ก?’
...........................................................................................
“ปริภูมิ ไปเจอกันที่สถานีวาร์ปด่วนเลย”
เวอร์กัสสั่งการผ่านวิทยุสื่อสารที่ติดอยู่หลังใบหู น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยสู้ดีนัก
“มีไรวะ เรื่องด่วนเหรอ?” ปริภูมิถามกลับมา
“เกิดเรื่องยุ่งยากที่ชายแดนน้ำแข็งน่ะสิ”
“หา? มันจะยุ่งยากสักแค่ไหนกันวะ” ปริภูมิกล่าวอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไร
“ขนาดที่ถ้ามัวโอ้เอ้ เมืองที่ชายแดนหายราบเป็นหน้ากลองแน่”
ระหว่างที่เวอร์กัสสนทนากับมิคัง เอเลี่ยนก็อยู่ที่นั่นด้วย [Me who came from the star]
ความคิดเห็น