คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : Winter is Coming
Chapter 7 : Winter is Coming
“ไม่มีข้อมูลเหรอคะ?”
หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ
“ตามนั้นครับ ในฐานข้อมูลไม่ปรากฏคำว่า ‘ทันทามู’ ในแฟ้มใดๆ เลย” เวอร์กัสย้ำ
“ถ้าเช่นนั้นขอเปลี่ยนคำเป็น ‘อสุรกายปราการเคลื่อนที่’ ค่ะ”
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเวอร์กัสก็ตอบกลับ
“ไม่มีข้อมูลเช่นกันครับ”
“งั้นเหรอคะ...”
“ว่าแต่ภารกิจเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ผมฟังที”
มิคังจึงเล่าเรื่องที่เธอเจรจากับทาอู หัวหน้าเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ จนได้ความว่าพวกเขาไม่ได้อพยพหนีภัยหนาวมา แต่หนีสิ่งที่เรียกว่า อสุรกายปราการเคลื่อนที่ ทันทามู ต่างหาก
“จากความคิดของฉันนะคะ ทันทามูน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่อาละวาดทำลายหมู่บ้านของพวกเขาจนต้องหนีมาที่ชายแดนเมโทรโปลิส ดังนั้นการเจรจาให้พวกเขาอพยพไปเขตสองจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ควรจะจัดการที่ต้นเหตุนั่นก็คือ กำจัดทันทามูค่ะ” มิคังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
เวอร์กัสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จนหญิงสาวจินตนาการไปว่าเขาอาจจะกำลังแสยะยิ้มหัวเราะที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขาอยู่ก็ได้
“ได้ครับ ผมขอออกคำสั่งเพิ่มเติมให้คุณไปจัดการทันทามูตามที่คุณร้องขอมา หากต้องการกำลังเสริมขอให้แจ้งมาได้ทุกเมื่อ แล้วก็ ถ้าคุณพบตัวมันแล้วถ่ายภาพกลับมาได้ อาจจะมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็ได้” เวอร์กัสกล่าว
“ทราบแล้วค่ะ...”
หญิงสาวเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ลังเลว่าจะถามดีหรือไม่ สุดท้ายก็ทนเก็บความแคลงใจไว้ไม่ไหว เอ่ยวาจาถามจอมพลของเธอออกไป
“ฉันขอถามอะไรหน่อยค่ะคุณเวอร์กัส”
“ครับ”
“คุณรู้อยู่แต่แรกแล้วสินะคะ ว่าพวกเขาไม่ได้หนีภัยหนาว” มิคังกล่าวถามด้วยเสียงอันเย็นเยียบ
“ถ้าแค่หนีภัยหนาว ผมจะส่งคุณไปเหรอครับ”
เวอร์กัสย้อนและกดปุ่มจบการสนทนาทันที
เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วถึงจุดประสงค์ที่จอมพลผู้ยิ่งใหญ่และแสนเจ้าเล่ห์ส่งเธอมา
‘เจ้าจิ้งจอก...’
...........................................................................................
“เจ้าจะไปหาทันทามูเรอะ!” หัวหน้าเผ่าทาอูพูดเสียงดัง
“ใช่ค่ะ ข้าอยากให้คนของท่านช่วยนำทางเราไป...”
“เจ้าจะไปหาความตายงั้นเรอะ!!” ทาอูแผดเสียงดังลั่น จนชนเผ่าคนอื่นๆ ตกใจ
“ทันทามูไม่ใช่สิ่งที่จะเจ้าจะต่อกรได้ เพียงแค่คิดก็ถือว่าโง่เขลาแล้ว หากไม่โดนเหยียบตาย...ก็คงถูกแช่แข็งไปถึงกระดูก” ทาอูกล่าวเสียงสั่น
“แช่แข็งเหรอคะ?”
“ทันทามูไม่ใช่อสุรกายยักษ์ธรรมดา ตัวมันใหญ่สูงเทียมเมฆ บันดาลพายุหิมะคลั่ง ดลให้เกิดอาเพศหิมะผกผัน อีกทั้งลำแสงที่จะทำให้เจ้ากลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งในชั่วพริบตา!” ทาอูเล่าไปก็ทำท่าขู่ใส่หญิงสาวไปด้วย
“อย่างไรฉันก็ต้องไปค่ะ” มิคังกล่าวเสียงราบเรียบ
“นี่เจ้า...!”
“ขอเพียงท่านจะกรุณา...นำทางเราไปให้ใกล้ที่สุด ก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้วค่ะ” หญิงสาวพูดพลางก้มหัวให้ทาอู
“ข้าไม่ส่งคนของข้าให้ไปตายกับเจ้าหรอก! ออกไปซะ!!” ทาอูตะคอก
“แต่ว่าท่าน...”
“ออก-ไป!!!”
การเจรจาไม่เป็นผล มิคังไม่มีทางเลือกต้องจำใจยอมถอยกลับ เธอโค้งให้ทาอูอย่างสุภาพก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่ทางออกของเต็นท์
“ช้าก่อนแม่สาว”
เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูมีอายุรั้งตัวหญิงสาวเอาไว้ เมื่อมิคังหันกลับไปก็พบกับแม่เฒ่าคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ ถือไม้เท้าที่ประดับด้วยผลึกสีขาวโปร่งแสงราวกับผลึกน้ำแข็ง บนศีรษะสวมหมวกที่ทำจากขนนกขนาดใหญ่เรียงต่อกัน สวมผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากขนสัตว์
มืออันเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าเอื้อมมาคว้ามือเรียวของมิคังไปกุมไว้พลางหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูดพร้อมกับลืมตาขึ้น
“เจ้าเคยเห็นทันทามูมาก่อนหรือไม่”
“ไม่เคยค่ะ” มิคังตอบ
“แต่เจ้าก็ได้ยินสรรพคุณและฤทธิ์เดชของมันแล้ว ก็ยังจะไปอีกงั้นเรอะ”
“อสุรกายยักษ์ที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของเมโทรโปลิส จะช้าหรือเร็วยังไงเราก็ต้องกำจัดมันค่ะ” คำตอบของมิคังทำให้แม่เฒ่าเลิกคิ้วขึ้นจนหน้าผากย่น
“กำจัด?...หึ! ต่อให้เจ้ารวบรวมกำลังคนที่นี่ทั้งหมดก็ไม่อาจล้มทันทามูได้”
อาจจะจริงของแม่เฒ่า หากทันทามูร้ายกาจดังเช่นที่หัวหน้าเผ่าทาอูบอกมาจริง คงไม่มีทางที่ตัวเธอและทหารเพียงหยิบมือที่อยู่ที่นี่จะไปต่อกรกับอสุรกายยักษ์แห่งดินแดนน้ำแข็งตัวนี้ได้
“อย่างน้อยขอเพียงได้เห็นตัวมันและส่งข้อมูลกลับมายังกองทัพได้ กองทัพของเมโทรโปลิสจะต้องหาทางรับมือและกำจัดมันได้อย่างแน่นอนค่ะ”
แววตาแน่วแน่และคำพูดที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของหญิงสาวทำให้แม่เฒ่าคิ้วกระตุก
“เจ้าดูมั่นใจในกองทัพของเจ้าเสียจริงนะ” แม่เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลนเล็กน้อย
“เพราะเรามีจอมพลที่ราวกับเป็น ‘ปีศาจ’ อยู่ค่ะ”
มิคังไม่ได้กล่าวเกินจริง ผู้ที่ไต่เต้าจนสามารถดำรงตำแหน่งจอมพลได้ตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบสาม คุมกำลังทหารทั้งสามเหล่าทัพได้อย่างอยู่หมัด ถ้าไม่เรียกว่าปีศาจ ก็คงหาคำจำกัดความอื่นไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อแม่เฒ่าได้ยินดังนั้น เธอก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นเสียงทุ้มต่ำ
“ยามเย็นใกล้ค่ำเช่นนี้คงเดินทางไม่สะดวก พรุ่งนี้เช้าข้าจะนำทางให้เจ้าเอง แม่สาว”
สิ้นคำพูด หัวหน้าเผ่าถึงกับเบิกตากว้างและลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่กลับถูกแม่เฒ่ายื่นฝ่ามือไปเป็นเชิงห้ามปราม
“ขอบคุณมากค่ะท่านแม่เฒ่า” มิคังกล่าวพร้อมกับค้อมตัวลงต่ำ
“แม่สาว เรียกข้าว่า ’ราคิ’ ” แม่เฒ่าเอ่ยพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก
“มิคังค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะท่านราคิ”
มิคังมารู้จากพันตรีเกรเกอร์ภายหลังว่า แม่เฒ่าราคิ คือ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ เรียกอีกอย่างว่า ‘ชาแมน’ ผู้สามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณแห่งเผ่า มีพลังในการรักษาด้วยพลังธรรมชาติ สามารถพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ และล่วงรู้ถึงเจตจำนงแห่งทูราก้าได้ เป็นบุคคลที่ทุกคนในเผ่าให้ความยำเกรงและเคารพนับถือพอๆ กับหัวหน้าเผ่าเลยทีเดียว
ตกเย็น มิคังเข้าพักในเต็นท์ของทหารพยาบาลผู้หญิง รับกระเป๋าคืนจากนายทหารที่เธอฝากเอาไว้ พลันเหลือบไปเห็นว่าที่สายรัดข้อมือของเธอมีแสงสีส้มเรืองออกมาอ่อนๆ พอแตะดูก็พบข้อความแจ้งเตือนฉายขึ้นมาว่ามีข้อความเข้า จึงกดปุ่มเรียกหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมา
เมื่อหญิงสาวกดปุ่มเช็คข้อความดูก็พบว่า มันคือภาพถ่ายที่ส่งมาจากคาร์เดียตั้งแต่ช่วงบ่าย เป็นภาพของหอยตัวใหญ่ที่เปิดอ้าให้เห็นเนื้อที่อยู่ภายใน ดูจากพื้นหลังสีครามที่เต็มไปด้วยฟองอากาศแล้วคงถ่ายมาจากใต้น้ำ มีข้อความประกอบภาพว่า ‘หอยตัวใหญ่น่าทานมั้ยคะ’
มิคังถึงกับอมยิ้มในความไร้เดียงสาของคาร์เดีย หอยที่เด็กสาวถ่ายมาคือหอยมุกไม่ผิดแน่ ซึ่งอันที่จริงแล้วเนื้อของหอยมุกมีรสชาติที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร จึงไม่นิยมนำมารับประทานกัน
ภาพต่อๆ มาคือภาพของคาร์เดียที่ถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่างๆ คู่กับหอย ทั้งยิ้มยิงฟัน ชูสองนิ้ว ทำแก้มป่อง และอื่นๆ อีกนับสิบรูป หญิงสาวถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ จนต้องเอามือป้องปาก
‘ภารกิจราบรื่นดีสินะคาจิจัง’
พอเห็นข้อความเกี่ยวกับหอยซึ่งเชื่อมโยงไปถึงอาหารแล้วมิคังก็นึกขึ้นได้ ว่าเธอได้ทำข้าวกล่องให้รีน่าไว้รับประทานระหว่างภารกิจขึ้นเขาด้วย เธอจึงส่งข้อความไปหารีน่าถามเกี่ยวกับรสชาติอาหารว่าถูกปากหรือเปล่า รวมถึงคำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วงต่างๆ แต่รีน่าก็ไม่ได้ตอบกลับมา คาดว่าคงกำลังง่วนอยู่กับการขึ้นเขา
มิคังกดปิดหน้าจอโฮโลแกรมและทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มือก่ายหน้าผากด้วยความเหน็ดเหนื่อย อยากจะนอนพักผ่อนสักงีบ แต่จิตใจกลับว้าวุ่นจนข่มตาหลับไม่ได้ นึกกังวลไปว่าภารกิจในวันพรุ่งนี้ของเธอจะเป็นเช่นไรต่อไป เธอจะสามารถปกป้องชนเผ่าที่นำทางเธอไปหาทันทามูให้รอดปลอดภัยทุกคนได้หรือเปล่า
‘...ออกไปดูครัวของที่นี่ดีกว่า’
...........................................................................................
เจ็ดโมงเช้าของวันถัดมา มิคังและทีมก็เริ่มออกเดินทางจากชายแดนฝั่งเมโทรโปลิสออกนอกเขตประเทศเข้าสู่ดินแดนซึ่งปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็น หิมะ และน้ำแข็ง ‘ฟรอสแลนด์’ หรือที่ชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์เรียกว่า ‘มาโทแรน’
หลังจากที่มิคังคิดทบทวนดูแล้ว ฝ่ายเราไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับทันทามูเลย แม้กระทั่งฐานข้อมูลของเมโทรโปลิสก็ยังไม่มีข้อมูล ไม่รู้ทั้งลักษณะภายนอกและวิธีรับมือ ข้อมูลในมือมีเพียงคำบอกเล่าจากหัวหน้าเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์เท่านั้น ซึ่งก็ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน เธอจึงตัดสินใจว่า ภารกิจในช่วงเช้านี้คือ การออกไปเก็บข้อมูลของทันทามูกลับมาเพื่อส่งให้กองทัพเท่านั้น จะไม่เสี่ยงโจมตีมันเด็ดขาดหากไม่จำเป็นจริงๆ
เมื่อเป็นภารกิจเก็บข้อมูล จึงไม่จำเป็นต้องใช้คนมาก ทหารที่ตามเธอไปด้วยจึงมีเพียงพันตรีเกรเกอร์และลูกน้องอีกหนึ่งคนเท่านั้น ส่วนทางชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ นอกจากแม่เฒ่าราคิที่เป็นคนนำทางแล้วก็มีนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอีกหนึ่งคนเพื่อคอยคุ้มครองแม่เฒ่า รวมทั้งสิ้นห้าคนที่ร่วมกันเดินทางเข้าสู่ดินแดนน้ำแข็ง
มิคังเปลี่ยนมาสวมชุดแท็กติคอลสูทสีขาวของทหารที่สามารถป้องกันความเย็นได้ สวมหมวกนิรภัยเพื่อกันลมหนาวจากดินแดนน้ำแข็ง ดาบสั้นและดาบยาวถูกเหน็บไว้ที่เอวด้านซ้าย ขณะที่เธอต้องสวมชุดป้องกันขนาดนี้ แม่เฒ่าราคิและนักรบอีกคนกลับสวมชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเดินฝ่าลมหนาวอย่างสบายๆ เธอจึงรู้สึกทึ่งในสภาพร่างกายของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์มาก
ภาพเบื้องหน้าของมิคังเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา มองเห็นภูเขาน้ำแข็งอยู่ไกลๆ แม่เฒ่าราคิหลับตาและพึมพำบางอย่างอยู่คนเดียว พลันผลึกน้ำแข็งที่หัวไม้เท้าของเธอก็ส่องแสงจ้าออกมาราวกับเป็นเวทมนตร์
“ทางนี้”
แม่เฒ่าลืมตาขึ้นแล้วเริ่มก้าวเดินนำทันที
“จะถูกทางแน่เหรอครับ” พันตรีเกรเกอร์ติดต่อกับมิคังผ่านทางหมวกนิรภัยที่มีระบบสื่อสารกับคนในทีมได้ แน่นอนว่าเสียงจากภายในหมวกจะไม่เล็ดรอดออกไปด้านนอกหากไม่กดปุ่มเปิดลำโพง
“มีแต่ต้องเชื่อเท่านั้นค่ะ”
มิคังกล่าวสั้นๆ แล้วก้าวเดินตามแม่เฒ่าไป เกรเกอร์จึงต้องเดินตามไปอย่างเสียมิได้
พื้นที่เต็มไปด้วยหิมะทำให้ยากแก่การย่ำเดินพอสมควร อีกทั้งยิ่งลึกเข้าไปในดินแดนน้ำแข็งมากเท่าไร สายลมหนาวก็ยิ่งพัดแรงมากขึ้นเท่านั้น
จากสายลมหนาว กลายสภาพเป็นพายุหิมะ ทิวทัศน์ทั้งหมดถูกปิดกั้นด้วยพายุหิมะสีขาวจนแทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า ถึงอย่างนั้นแม่เฒ่าราคิกลับยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าจะหยุดพักแต่อย่างใด
มิคังกดปุ่มที่หมวกให้เปิดระบบช่วยเหลือทัศนวิสัยจึงทำให้มองเห็นทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกนับถือในความสามารถของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ที่เดินฝ่าพายุหิมะได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งห้าคนยังเดินทางฝ่าพายุหิมะมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพายุหิมะเริ่มอ่อนกำลังลง แต่กลับพบบางอย่างผิดปกติแทน
เกล็ดน้ำแข็งจากพื้นหิมะ กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับมีใครเล่นภาพวิดีโอย้อนหลัง
“นี่มัน...อะไรกัน...” เกรเกอร์เอ่ยขึ้นขณะเอื้อมมือไปคว้าเกล็ดน้ำแข็งที่กำลังล่องลอย ซึ่งก็เป็นแค่เกล็ดน้ำแข็งธรรมดา ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
“อาณาเขตหิมะผกผันของทันทามู”
แม่เฒ่าราคิเอ่ยตอบราวกับได้ยินคำถามจากชายหนุ่ม ทั้งที่หมวกนิรภัยน่าจะป้องกันไม่ให้เสียงจากภายในดังออกไปข้างนอกหากไม่กดปุ่มเปิดลำโพง
“ทันทามูอยู่ใกล้ๆ นี้แล้ว” แม่เฒ่ากล่าวเสริม
เมื่อทราบว่าสัตว์ประหลาดยักษ์อยู่ใกล้กับบริเวณนี้ บรรยากาศของทีมก็ตึงเครียดขึ้นอย่างรู้สึกได้
ตั้งแต่มิคังเดินเข้ามาในอาณาเขตที่หิมะลอยย้อนกลับสู่ท้องฟ้านี้ เธอรู้สึกได้ว่าการเคลื่อนที่ของตัวเองนั้นช้าลงอย่างมาก การขยับขาก้าวเดินแต่ละทีต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นจนผิดสังเกต แม้แต่การขยับแขนเพียงเล็กน้อยก็ต้องใช้แรงที่มากขึ้น
ราวกับหิมะผกผันพวกนี้ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอช้าลง
มิคังและทีมเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งมาสุดทางที่ภูผาหินสูงตระหง่าน มองขึ้นไปเห็นแต่เพียงหมอกสีขาวที่ปกคลุมหนาทึบจนไม่อาจมองเห็นยอดได้
“ทางตันนี่ครับ” เกรเกอร์กดปุ่มเปิดลำโพงเพื่อพูดกับแม่เฒ่าราคิ
แม่เฒ่าไม่ตอบ แต่หลับตาลงพร้อมกับชูไม้เท้าขึ้น ขยับปากพึมพำบางอย่าง
ฉับพลัน แม่เฒ่าก็เบิกตาโพลง สีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว
“ออกไปจากตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย” เสียงของแม่เฒ่าสั่นเครือเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่กลับพูดด้วยเสียงที่เบาผิดปกติ
“หา...เกิดอะไรขึ้นครับ?” เกรเกอร์ถาม
ทันใดนั้น ภูผาสูงเบื้องหน้าก็สั่นไหว ไม่ใช่สั่นแบบแผ่นดินไหว แต่สั่นเหมือนมันสามารถ ‘ขยับ’ ได้
“ออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
แม่เฒ่ากล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้น ทั้งทีมจึงกลับหลังหันแล้ววิ่งออกจากตรงนี้ทันที
เมื่อมิคังเหลียวหลังกลับไปมอง สิ่งที่หญิงสาวคิดว่าเป็นภูผาหินสูงชะลูดนั้น แท้จริงแล้วเป็น ‘ขา’ ของสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวใหญ่มโหฬาร ท่อนขาอันมหึมายกสูงขึ้นจนเผยให้เห็นเล็บเท้าแหลมคมที่ฝังอยู่ใต้หิมะ เมื่อย่ำลงกระทบพื้นก็เกิดแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจนทุกคนในทีมต้องชะงักฝีเท้าเพื่อยืนทรงตัว
หมอกสีขาวค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นร่างของสัตว์ประหลาดยักษ์สูงเสียดฟ้า สูงยิ่งกว่าตึกระฟ้าบางตึกในประเทศเมโทรโปลิสเสียอีก รูปร่างภายนอกดูคล้ายกับสัตว์ยักษ์โบราณที่หุ้มร่างกายด้วยเกราะแข็ง หากเทียบก็สัตว์ในยุคปัจจุบันก็คงคล้ายกับเต่าบก ร่างมหึมายืนอยู่บนขาสี่ข้าง หางขนาดใหญ่กวัดแกว่งไปมา ส่วนหัวคล้ายกิ้งก่าผสมกับเต่า มีหนามแหลมลักษณะเป็นซี่ใบมีดขนาดใหญ่วางยาวเป็นแถวตลอดแผ่นหลังที่เหมือนกับกระดอง
‘นี่น่ะเหรอ...ทันทามู’
ความคิดเห็น