ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rise of The Wind คมดาบสายลมพิทักษ์

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : Winter is Coming

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 57


     

    Chapter 7 : Winter is Coming

     

    “ไม่มีข้อมูลเหรอคะ?”

    หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ

    “ตามนั้นครับ ในฐานข้อมูลไม่ปรากฏคำว่า ทันทามูในแฟ้มใดๆ เลย” เวอร์กัสย้ำ

    “ถ้าเช่นนั้นขอเปลี่ยนคำเป็น อสุรกายปราการเคลื่อนที่ ค่ะ”

    เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเวอร์กัสก็ตอบกลับ

    “ไม่มีข้อมูลเช่นกันครับ”

    “งั้นเหรอคะ...”

    “ว่าแต่ภารกิจเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ผมฟังที”

    มิคังจึงเล่าเรื่องที่เธอเจรจากับทาอู หัวหน้าเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ จนได้ความว่าพวกเขาไม่ได้อพยพหนีภัยหนาวมา แต่หนีสิ่งที่เรียกว่า อสุรกายปราการเคลื่อนที่ ทันทามู ต่างหาก

    “จากความคิดของฉันนะคะ ทันทามูน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่อาละวาดทำลายหมู่บ้านของพวกเขาจนต้องหนีมาที่ชายแดนเมโทรโปลิส ดังนั้นการเจรจาให้พวกเขาอพยพไปเขตสองจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ควรจะจัดการที่ต้นเหตุนั่นก็คือ กำจัดทันทามูค่ะ” มิคังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

    เวอร์กัสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จนหญิงสาวจินตนาการไปว่าเขาอาจจะกำลังแสยะยิ้มหัวเราะที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขาอยู่ก็ได้

    “ได้ครับ ผมขอออกคำสั่งเพิ่มเติมให้คุณไปจัดการทันทามูตามที่คุณร้องขอมา หากต้องการกำลังเสริมขอให้แจ้งมาได้ทุกเมื่อ แล้วก็ ถ้าคุณพบตัวมันแล้วถ่ายภาพกลับมาได้ อาจจะมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็ได้” เวอร์กัสกล่าว

    “ทราบแล้วค่ะ...”

    หญิงสาวเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ลังเลว่าจะถามดีหรือไม่ สุดท้ายก็ทนเก็บความแคลงใจไว้ไม่ไหว เอ่ยวาจาถามจอมพลของเธอออกไป

    “ฉันขอถามอะไรหน่อยค่ะคุณเวอร์กัส”

    “ครับ”

    “คุณรู้อยู่แต่แรกแล้วสินะคะ ว่าพวกเขาไม่ได้หนีภัยหนาว” มิคังกล่าวถามด้วยเสียงอันเย็นเยียบ

    “ถ้าแค่หนีภัยหนาว ผมจะส่งคุณไปเหรอครับ”

    เวอร์กัสย้อนและกดปุ่มจบการสนทนาทันที

    เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วถึงจุดประสงค์ที่จอมพลผู้ยิ่งใหญ่และแสนเจ้าเล่ห์ส่งเธอมา

    เจ้าจิ้งจอก...

     

    ...........................................................................................

     

    “เจ้าจะไปหาทันทามูเรอะ!” หัวหน้าเผ่าทาอูพูดเสียงดัง

    “ใช่ค่ะ ข้าอยากให้คนของท่านช่วยนำทางเราไป...”

    “เจ้าจะไปหาความตายงั้นเรอะ!!” ทาอูแผดเสียงดังลั่น จนชนเผ่าคนอื่นๆ ตกใจ

    “ทันทามูไม่ใช่สิ่งที่จะเจ้าจะต่อกรได้ เพียงแค่คิดก็ถือว่าโง่เขลาแล้ว หากไม่โดนเหยียบตาย...ก็คงถูกแช่แข็งไปถึงกระดูก” ทาอูกล่าวเสียงสั่น

    “แช่แข็งเหรอคะ?”

    “ทันทามูไม่ใช่อสุรกายยักษ์ธรรมดา ตัวมันใหญ่สูงเทียมเมฆ บันดาลพายุหิมะคลั่ง ดลให้เกิดอาเพศหิมะผกผัน อีกทั้งลำแสงที่จะทำให้เจ้ากลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งในชั่วพริบตา!” ทาอูเล่าไปก็ทำท่าขู่ใส่หญิงสาวไปด้วย

    “อย่างไรฉันก็ต้องไปค่ะ” มิคังกล่าวเสียงราบเรียบ

    “นี่เจ้า...!

    “ขอเพียงท่านจะกรุณา...นำทางเราไปให้ใกล้ที่สุด ก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้วค่ะ” หญิงสาวพูดพลางก้มหัวให้ทาอู

    “ข้าไม่ส่งคนของข้าให้ไปตายกับเจ้าหรอก! ออกไปซะ!!” ทาอูตะคอก

    “แต่ว่าท่าน...”

    “ออก-ไป!!!

    การเจรจาไม่เป็นผล มิคังไม่มีทางเลือกต้องจำใจยอมถอยกลับ เธอโค้งให้ทาอูอย่างสุภาพก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่ทางออกของเต็นท์

    “ช้าก่อนแม่สาว”

    เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูมีอายุรั้งตัวหญิงสาวเอาไว้ เมื่อมิคังหันกลับไปก็พบกับแม่เฒ่าคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ ถือไม้เท้าที่ประดับด้วยผลึกสีขาวโปร่งแสงราวกับผลึกน้ำแข็ง บนศีรษะสวมหมวกที่ทำจากขนนกขนาดใหญ่เรียงต่อกัน สวมผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากขนสัตว์

    มืออันเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าเอื้อมมาคว้ามือเรียวของมิคังไปกุมไว้พลางหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูดพร้อมกับลืมตาขึ้น

    “เจ้าเคยเห็นทันทามูมาก่อนหรือไม่”

    “ไม่เคยค่ะ” มิคังตอบ

    “แต่เจ้าก็ได้ยินสรรพคุณและฤทธิ์เดชของมันแล้ว ก็ยังจะไปอีกงั้นเรอะ”

    “อสุรกายยักษ์ที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของเมโทรโปลิส จะช้าหรือเร็วยังไงเราก็ต้องกำจัดมันค่ะ” คำตอบของมิคังทำให้แม่เฒ่าเลิกคิ้วขึ้นจนหน้าผากย่น

    “กำจัด?...หึ! ต่อให้เจ้ารวบรวมกำลังคนที่นี่ทั้งหมดก็ไม่อาจล้มทันทามูได้”

    อาจจะจริงของแม่เฒ่า หากทันทามูร้ายกาจดังเช่นที่หัวหน้าเผ่าทาอูบอกมาจริง คงไม่มีทางที่ตัวเธอและทหารเพียงหยิบมือที่อยู่ที่นี่จะไปต่อกรกับอสุรกายยักษ์แห่งดินแดนน้ำแข็งตัวนี้ได้

    “อย่างน้อยขอเพียงได้เห็นตัวมันและส่งข้อมูลกลับมายังกองทัพได้ กองทัพของเมโทรโปลิสจะต้องหาทางรับมือและกำจัดมันได้อย่างแน่นอนค่ะ”

    แววตาแน่วแน่และคำพูดที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของหญิงสาวทำให้แม่เฒ่าคิ้วกระตุก

    “เจ้าดูมั่นใจในกองทัพของเจ้าเสียจริงนะ” แม่เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลนเล็กน้อย

    “เพราะเรามีจอมพลที่ราวกับเป็นปีศาจ อยู่ค่ะ”

    มิคังไม่ได้กล่าวเกินจริง ผู้ที่ไต่เต้าจนสามารถดำรงตำแหน่งจอมพลได้ตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบสาม คุมกำลังทหารทั้งสามเหล่าทัพได้อย่างอยู่หมัด ถ้าไม่เรียกว่าปีศาจ ก็คงหาคำจำกัดความอื่นไม่ได้อีกแล้ว

    เมื่อแม่เฒ่าได้ยินดังนั้น เธอก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นเสียงทุ้มต่ำ

    “ยามเย็นใกล้ค่ำเช่นนี้คงเดินทางไม่สะดวก พรุ่งนี้เช้าข้าจะนำทางให้เจ้าเอง แม่สาว”

    สิ้นคำพูด หัวหน้าเผ่าถึงกับเบิกตากว้างและลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่กลับถูกแม่เฒ่ายื่นฝ่ามือไปเป็นเชิงห้ามปราม

    “ขอบคุณมากค่ะท่านแม่เฒ่า” มิคังกล่าวพร้อมกับค้อมตัวลงต่ำ

    “แม่สาว เรียกข้าว่าราคิ” แม่เฒ่าเอ่ยพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก

    “มิคังค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะท่านราคิ”

     

    มิคังมารู้จากพันตรีเกรเกอร์ภายหลังว่า แม่เฒ่าราคิ คือ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ เรียกอีกอย่างว่า ชาแมน ผู้สามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณแห่งเผ่า มีพลังในการรักษาด้วยพลังธรรมชาติ สามารถพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ และล่วงรู้ถึงเจตจำนงแห่งทูราก้าได้ เป็นบุคคลที่ทุกคนในเผ่าให้ความยำเกรงและเคารพนับถือพอๆ กับหัวหน้าเผ่าเลยทีเดียว

    ตกเย็น มิคังเข้าพักในเต็นท์ของทหารพยาบาลผู้หญิง รับกระเป๋าคืนจากนายทหารที่เธอฝากเอาไว้ พลันเหลือบไปเห็นว่าที่สายรัดข้อมือของเธอมีแสงสีส้มเรืองออกมาอ่อนๆ พอแตะดูก็พบข้อความแจ้งเตือนฉายขึ้นมาว่ามีข้อความเข้า จึงกดปุ่มเรียกหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมา

    เมื่อหญิงสาวกดปุ่มเช็คข้อความดูก็พบว่า มันคือภาพถ่ายที่ส่งมาจากคาร์เดียตั้งแต่ช่วงบ่าย เป็นภาพของหอยตัวใหญ่ที่เปิดอ้าให้เห็นเนื้อที่อยู่ภายใน ดูจากพื้นหลังสีครามที่เต็มไปด้วยฟองอากาศแล้วคงถ่ายมาจากใต้น้ำ มีข้อความประกอบภาพว่า หอยตัวใหญ่น่าทานมั้ยคะ

    มิคังถึงกับอมยิ้มในความไร้เดียงสาของคาร์เดีย หอยที่เด็กสาวถ่ายมาคือหอยมุกไม่ผิดแน่ ซึ่งอันที่จริงแล้วเนื้อของหอยมุกมีรสชาติที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร จึงไม่นิยมนำมารับประทานกัน

    ภาพต่อๆ มาคือภาพของคาร์เดียที่ถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่างๆ คู่กับหอย ทั้งยิ้มยิงฟัน ชูสองนิ้ว ทำแก้มป่อง และอื่นๆ อีกนับสิบรูป หญิงสาวถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ จนต้องเอามือป้องปาก การที่คาร์เดียมีโอกาสถ่ายรูปกับหอยมุกเช่นนี้เป็นเพราะเธอได้รับภารกิจจากเวอร์กัสให้ไปตรวจสอบสาเหตุที่ไข่มุกกลายเป็นสีดำอย่างผิดปกติที่หมู่บ้านเพิร์ล เช่นเดียวกับที่เธอได้รับภารกิจให้มาที่ชายแดนน้ำแข็งนี้

    ภารกิจราบรื่นดีสินะคาจิจัง

    พอเห็นข้อความเกี่ยวกับหอยซึ่งเชื่อมโยงไปถึงอาหารแล้วมิคังก็นึกขึ้นได้ ว่าเธอได้ทำข้าวกล่องให้รีน่าไว้รับประทานระหว่างภารกิจขึ้นเขาด้วย เธอจึงส่งข้อความไปหารีน่าถามเกี่ยวกับรสชาติอาหารว่าถูกปากหรือเปล่า รวมถึงคำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วงต่างๆ แต่รีน่าก็ไม่ได้ตอบกลับมา คาดว่าคงกำลังง่วนอยู่กับการขึ้นเขา

    มิคังกดปิดหน้าจอโฮโลแกรมและทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มือก่ายหน้าผากด้วยความเหน็ดเหนื่อย อยากจะนอนพักผ่อนสักงีบ แต่จิตใจกลับว้าวุ่นจนข่มตาหลับไม่ได้ นึกกังวลไปว่าภารกิจในวันพรุ่งนี้ของเธอจะเป็นเช่นไรต่อไป เธอจะสามารถปกป้องชนเผ่าที่นำทางเธอไปหาทันทามูให้รอดปลอดภัยทุกคนได้หรือเปล่า

    ...ออกไปดูครัวของที่นี่ดีกว่า

     

    ...........................................................................................

     

    เจ็ดโมงเช้าของวันถัดมา มิคังและทีมก็เริ่มออกเดินทางจากชายแดนฝั่งเมโทรโปลิสออกนอกเขตประเทศเข้าสู่ดินแดนซึ่งปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็น หิมะ และน้ำแข็ง ฟรอสแลนด์ หรือที่ชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์เรียกว่า มาโทแรน

    หลังจากที่มิคังคิดทบทวนดูแล้ว ฝ่ายเราไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับทันทามูเลย แม้กระทั่งฐานข้อมูลของเมโทรโปลิสก็ยังไม่มีข้อมูล ไม่รู้ทั้งลักษณะภายนอกและวิธีรับมือ ข้อมูลในมือมีเพียงคำบอกเล่าจากหัวหน้าเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์เท่านั้น ซึ่งก็ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน เธอจึงตัดสินใจว่า ภารกิจในช่วงเช้านี้คือ การออกไปเก็บข้อมูลของทันทามูกลับมาเพื่อส่งให้กองทัพเท่านั้น จะไม่เสี่ยงโจมตีมันเด็ดขาดหากไม่จำเป็นจริงๆ

    เมื่อเป็นภารกิจเก็บข้อมูล จึงไม่จำเป็นต้องใช้คนมาก ทหารที่ตามเธอไปด้วยจึงมีเพียงพันตรีเกรเกอร์และลูกน้องอีกหนึ่งคนเท่านั้น ส่วนทางชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ นอกจากแม่เฒ่าราคิที่เป็นคนนำทางแล้วก็มีนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอีกหนึ่งคนเพื่อคอยคุ้มครองแม่เฒ่า รวมทั้งสิ้นห้าคนที่ร่วมกันเดินทางเข้าสู่ดินแดนน้ำแข็ง

    มิคังเปลี่ยนมาสวมชุดแท็กติคอลสูทสีขาวของทหารที่สามารถป้องกันความเย็นได้ สวมหมวกนิรภัยเพื่อกันลมหนาวจากดินแดนน้ำแข็ง ดาบสั้นและดาบยาวถูกเหน็บไว้ที่เอวด้านซ้าย ขณะที่เธอต้องสวมชุดป้องกันขนาดนี้ แม่เฒ่าราคิและนักรบอีกคนกลับสวมชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเดินฝ่าลมหนาวอย่างสบายๆ เธอจึงรู้สึกทึ่งในสภาพร่างกายของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์มาก

    ภาพเบื้องหน้าของมิคังเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา มองเห็นภูเขาน้ำแข็งอยู่ไกลๆ แม่เฒ่าราคิหลับตาและพึมพำบางอย่างอยู่คนเดียว พลันผลึกน้ำแข็งที่หัวไม้เท้าของเธอก็ส่องแสงจ้าออกมาราวกับเป็นเวทมนตร์

    “ทางนี้”

    แม่เฒ่าลืมตาขึ้นแล้วเริ่มก้าวเดินนำทันที

    “จะถูกทางแน่เหรอครับ” พันตรีเกรเกอร์ติดต่อกับมิคังผ่านทางหมวกนิรภัยที่มีระบบสื่อสารกับคนในทีมได้ แน่นอนว่าเสียงจากภายในหมวกจะไม่เล็ดรอดออกไปด้านนอกหากไม่กดปุ่มเปิดลำโพง

    “มีแต่ต้องเชื่อเท่านั้นค่ะ”

    มิคังกล่าวสั้นๆ แล้วก้าวเดินตามแม่เฒ่าไป เกรเกอร์จึงต้องเดินตามไปอย่างเสียมิได้

    พื้นที่เต็มไปด้วยหิมะทำให้ยากแก่การย่ำเดินพอสมควร อีกทั้งยิ่งลึกเข้าไปในดินแดนน้ำแข็งมากเท่าไร สายลมหนาวก็ยิ่งพัดแรงมากขึ้นเท่านั้น

    จากสายลมหนาว กลายสภาพเป็นพายุหิมะ ทิวทัศน์ทั้งหมดถูกปิดกั้นด้วยพายุหิมะสีขาวจนแทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า ถึงอย่างนั้นแม่เฒ่าราคิกลับยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าจะหยุดพักแต่อย่างใด

    มิคังกดปุ่มที่หมวกให้เปิดระบบช่วยเหลือทัศนวิสัยจึงทำให้มองเห็นทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกนับถือในความสามารถของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ที่เดินฝ่าพายุหิมะได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งห้าคนยังเดินทางฝ่าพายุหิมะมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพายุหิมะเริ่มอ่อนกำลังลง แต่กลับพบบางอย่างผิดปกติแทน

    เกล็ดน้ำแข็งจากพื้นหิมะ กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับมีใครเล่นภาพวิดีโอย้อนหลัง

    “นี่มัน...อะไรกัน...” เกรเกอร์เอ่ยขึ้นขณะเอื้อมมือไปคว้าเกล็ดน้ำแข็งที่กำลังล่องลอย ซึ่งก็เป็นแค่เกล็ดน้ำแข็งธรรมดา ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ

    “อาณาเขตหิมะผกผันของทันทามู”

    แม่เฒ่าราคิเอ่ยตอบราวกับได้ยินคำถามจากชายหนุ่ม ทั้งที่หมวกนิรภัยน่าจะป้องกันไม่ให้เสียงจากภายในดังออกไปข้างนอกหากไม่กดปุ่มเปิดลำโพง

    “ทันทามูอยู่ใกล้ๆ นี้แล้ว” แม่เฒ่ากล่าวเสริม

    เมื่อทราบว่าสัตว์ประหลาดยักษ์อยู่ใกล้กับบริเวณนี้ บรรยากาศของทีมก็ตึงเครียดขึ้นอย่างรู้สึกได้

    ตั้งแต่มิคังเดินเข้ามาในอาณาเขตที่หิมะลอยย้อนกลับสู่ท้องฟ้านี้ เธอรู้สึกได้ว่าการเคลื่อนที่ของตัวเองนั้นช้าลงอย่างมาก การขยับขาก้าวเดินแต่ละทีต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นจนผิดสังเกต แม้แต่การขยับแขนเพียงเล็กน้อยก็ต้องใช้แรงที่มากขึ้น

    ราวกับหิมะผกผันพวกนี้ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอช้าลง

    มิคังและทีมเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งมาสุดทางที่ภูผาหินสูงตระหง่าน มองขึ้นไปเห็นแต่เพียงหมอกสีขาวที่ปกคลุมหนาทึบจนไม่อาจมองเห็นยอดได้

    “ทางตันนี่ครับ” เกรเกอร์กดปุ่มเปิดลำโพงเพื่อพูดกับแม่เฒ่าราคิ

    แม่เฒ่าไม่ตอบ แต่หลับตาลงพร้อมกับชูไม้เท้าขึ้น ขยับปากพึมพำบางอย่าง

    ฉับพลัน แม่เฒ่าก็เบิกตาโพลง สีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว

    “ออกไปจากตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย” เสียงของแม่เฒ่าสั่นเครือเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่กลับพูดด้วยเสียงที่เบาผิดปกติ

    “หา...เกิดอะไรขึ้นครับ?” เกรเกอร์ถาม

    ทันใดนั้น ภูผาสูงเบื้องหน้าก็สั่นไหว ไม่ใช่สั่นแบบแผ่นดินไหว แต่สั่นเหมือนมันสามารถ ขยับได้

    “ออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้!

    แม่เฒ่ากล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้น ทั้งทีมจึงกลับหลังหันแล้ววิ่งออกจากตรงนี้ทันที

    เมื่อมิคังเหลียวหลังกลับไปมอง สิ่งที่หญิงสาวคิดว่าเป็นภูผาหินสูงชะลูดนั้น แท้จริงแล้วเป็นขาของสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวใหญ่มโหฬาร ท่อนขาอันมหึมายกสูงขึ้นจนเผยให้เห็นเล็บเท้าแหลมคมที่ฝังอยู่ใต้หิมะ เมื่อย่ำลงกระทบพื้นก็เกิดแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจนทุกคนในทีมต้องชะงักฝีเท้าเพื่อยืนทรงตัว

    หมอกสีขาวค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นร่างของสัตว์ประหลาดยักษ์สูงเสียดฟ้า สูงยิ่งกว่าตึกระฟ้าบางตึกในประเทศเมโทรโปลิสเสียอีก รูปร่างภายนอกดูคล้ายกับสัตว์ยักษ์โบราณที่หุ้มร่างกายด้วยเกราะแข็ง หากเทียบก็สัตว์ในยุคปัจจุบันก็คงคล้ายกับเต่าบก ร่างมหึมายืนอยู่บนขาสี่ข้าง หางขนาดใหญ่กวัดแกว่งไปมา ส่วนหัวคล้ายกิ้งก่าผสมกับเต่า มีหนามแหลมลักษณะเป็นซี่ใบมีดขนาดใหญ่วางยาวเป็นแถวตลอดแผ่นหลังที่เหมือนกับกระดอง

    นี่น่ะเหรอ...ทันทามู

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×