ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rise of The Wind คมดาบสายลมพิทักษ์

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6 : Cold Winter

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 57


     

    Chapter 6 : Cold Winter

     

    ชายแดนน้ำแข็ง

    สถานที่ปฏิบัติภารกิจของมิคัง คือ ชายแดนของเขตศูนย์ที่ติดกับดินแดนน้ำแข็งฟรอสแลนด์ ซึ่งมีชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ อาศัยอยู่ เป็นคำเรียกขานที่ชาวเมโทรโปลิสเป็นผู้ตั้งให้จากลักษณะที่ชนเผ่านี้สามารถเดินอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้ราวกับไม่รู้สึกรู้สา ชนเผ่านี้ทำการติดต่อค้าขายกับประเทศเมโทรโปลิสมานาน สินค้ามีตั้งแต่ก้อนน้ำแข็งไปจนถึงวัตถุดิบเฉพาะจากดินแดนแข็ง อาทิ แผ่นหนัง เส้นขน และเขาของสัตว์ที่อาศัยอยู่เฉพาะในฟรอสแลนด์เท่านั้น

    ทว่า เมื่อวานกลับมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น จู่ๆ ชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ได้พยายามอพยพเข้ามาในอาณาเขตของประเทศเมโทรโปลิสอย่างไม่ถูกต้องจนถูกทหารตระเวนชายแดนกักตัวไว้จำนวนมาก ภารกิจของมิคังคือ เจรจากับชนเผ่านี้เพื่อให้ยอมเดินทางไปยังสถานีอพยพซึ่งตั้งอยู่ในเขตสอง

    ในรายละเอียดของภารกิจระบุว่า ชนเผ่านี้อพยพหนีภัยหนาวมา แต่มิคังกลับไม่คิดเช่นนั้น ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในดินแดนน้ำแข็งมาเนิ่นนาน ไม่มีทางที่จะอพยพมาด้วยเหตุผลแค่หนีภัยหนาวเป็นแน่ อีกทั้งเวอร์กัสยังเจาะจงส่งนักรบอย่างเธอมา ถ้าเพียงแค่งานเจรจากับชนเผ่าก็ไม่จำเป็นต้องส่งหน่วยพิเศษมาด้วยซ้ำ มิคังจึงสังหรณ์ใจว่าภารกิจครั้งนี้อาจมีเบื้องหลังบางอย่างที่เวอร์กัสไม่ได้บอกเธอ

    เจ้าเล่ห์นักนะ เจ้าจิ้งจอก

     

    ทันทีที่มิคังเดินออกจากยานบินของกองทัพที่มาส่ง ลมหนาวก็พัดกระทบใบหน้าสวยของเธอจนต้องหรี่ตา เสื้อคลุมยาวถึงเข่าสีขาวโบกสะบัดไปตามแรงลม ดาบคาตานะถูกเหน็บไว้ที่เอวนอกเสื้อคลุม มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมสีดำซึ่งเป็นกระเป๋าสัมภาระของเธอ

    มิคังเดินต่อไปอีกครู่หนึ่งก็พบกับทหารตระเวนชายแดนสองนายที่สวมเสื้อกันหนาวของกองทัพ ทั้งสองตกใจและชักอาวุธปืนขึ้นมาเล็งใส่หญิงสาว

    “เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันมิคัง ฮิโนซารุ จอมพลเวอร์กัสส่งฉันมาเรื่องที่มีชนเผ่าอพยพเข้าประเทศเรามาค่ะ”

    จอมพลเวอร์กัส เมื่อทหารได้ยินชื่อนี้ก็ถึงกับเบิกตากว้าง ใจหนึ่งก็อยากจะรีบลดปืนลงด้วยความยำเกรงในอำนาจของจอมพล แต่อีกใจก็กลัวว่าหญิงสาวตรงหน้าจะปั้นเรื่องขึ้นมาหลอกลวง

    “สักครู่นะครับ”

    ทหารคนหนึ่งหยิบเครื่องมือสื่อสารที่ใช้กันในกองทัพเพื่อติดต่อกับเบื้องบนว่าจอมพลเวอร์กัสเป็นคนส่งหญิงสาวผู้นี้มาจริงๆ

    ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง

    ทหารทั้งสองนายรีบลดปืนลงพร้อมกับก้มหัวขอโทษมิคัง หนึ่งในนั้นอาสาพามิคังไปยังสถานที่พำนักชั่วคราวของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ซึ่งดูแลรับผิดชอบโดยกองทัพ

    เมื่อมิคังมาถึง เธอก็ถูกส่งต่อให้กับทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลที่นี่ พันตรีเกรเกอร์ ซึ่งเขาได้รับการติดต่อจากเวอร์กัสแล้วว่าต้องให้ความร่วมมือกับหญิงสาวทุกอย่าง เธอจึงฝากกระเป๋าไว้กับทหารลูกน้องของเกรเกอร์และเดินตามเขาไปเพื่อเดินดูรอบๆ สถานที่ เต็นท์ขนาดใหญ่มากมายถูกกางไว้เป็นที่นอนหลับพักผ่อนสำหรับชนเผ่า นอกจากนี้ยังมีรถบรรทุกพลของทหารที่ถูกใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวให้แก่ชนเผ่าอีกด้วย

    “อย่างที่เห็นครับ เรามีเต็นท์ไม่เพียงพอต่อจำนวนพวกเขาทั้งหมด” เกรเกอร์กล่าว

    ชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ พวกเขามีผิวคล้ำค่อนไปทางแดง ผมสีดำถูกไว้ยาวทั้งผู้ชายและผู้หญิง มัดผมด้วยเครื่องประดับแปลกตา แต่งกายนุ่งน้อยห่มน้อยไม่เกรงกลัวต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็น ผู้ชายสวมเพียงกางเกงขาสั้นและรองเท้าลุยหิมะที่ทำจากหนังและขนสัตว์ ส่วนผู้หญิงก็มีเพิ่มมาเพียงที่คาดหน้าอกตัวจิ๋ว ห้อยเครื่องประดับที่ทำจะเขี้ยวและกรงเล็บของสัตว์ ตามเนื้อตัวและแขนขามีรอยสักเป็นลวดลายสวยงาม พวกเขาพูดคุยกันด้วยภาษาที่มิคังไม่เข้าใจ

    เกรเกอร์ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ที่อยู่ที่นี่มีอยู่ร่วมสามร้อยคนได้ แต่พื้นที่นี้รองรับคนได้เต็มที่เพียงสองร้อยคนเท่านั้น ดังนั้นทั้งที่พักอาศัย อาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงไม่เพียงพอต่อการดูแลชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ทั้งหมด

    “เราได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เขตสองแล้วว่ามีสถานีอพยพที่สามารถรองรับพวกเขาได้ทั้งหมด...แต่ติดปัญหาเพียงประการเดียวครับ”

    “ปัญหาอะไรคะ?”

    “พวกเขาไม่ยอมไป”

     

    เกรเกอร์พามิคังมายังเต็นท์ที่อยู้ด้านในสุด ซึ่งเป็นเต็นท์ที่ หัวหน้าเผ่า ของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์พำนักอยู่

    ทันทีที่เปิดเต็นท์เข้าไป เรือนร่างสูงสง่าของมิคังที่ก้าวเข้ามาสะกดให้ทุกสายตาจ้องมองมาที่เธอเป็นตาเดียว หญิงสาวค้อมตัวให้แก่ชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์อย่างสุภาพ ทำเอาพวกเขาเผลอค้อมตัวตามราวกับต้องมนต์...เว้นแต่เพียงชายอาวุโสซึ่งนั่งอยู่ด้านในสุดบนเก้าอี้ไม้แบบมีพนักพิง สวมหมวกที่ประดับด้วยเขาโค้งงอสองข้างซึ่งน่าจะเป็นเขาของสัตว์จากดินแดนน้ำแข็ง หัวไม้เท้าในมือของเขามีหัวกะโหลกของสัตว์รูปร่างแปลกประหลาดประดับอยู่

    “เขาพูดภาษาเราได้ไหมคะ?” มิคังกระซิบถามเกรเกอร์

    “ได้ครับ เพียงแต่...” ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง “ให้คุณลองคุยเองจะดีกว่าครับ”

    คำพูดที่ฟังดูมีเลศนัยของเกรเกอร์ทำให้มิคังรู้สึกสงสัย แต่ก็ยังยอมเดินเข้าไปคุยกับหัวหน้าเผ่า

    “สวัสดีค่ะ” มิคังกล่าวอย่างสุภาพพร้อมกับค้อมตัวให้

    “.....”

    หัวหน้าเผ่ายังคงนั่งนิ่งด้วยท่าทีสุขุม ไม่ยอมเปิดปากสนทนา สายตาจ้องมองหญิงสาวอย่างไม่ไว้ใจ

    มิคังค่อยๆ นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าหัวหน้าเผ่าด้วยท่าทีที่นอบน้อม ปลดดาบเล่มงามออกจากเอววางไว้ข้างตัว มือทั้งสองข้างประสานไว้ที่ตัก ขยับปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

    “ฉันชื่อมิคังค่ะ มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกท่าน”

    ผู้อาวุโสจ้องมองมิคังด้วยสายตาอันแข็งกร้าว สบประสานกับดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายของหญิงสาว

    “เจ้าจะช่วยเหลืออะไรเรา”

    “ที่นี่แออัดเกินกว่าพวกท่านจะอยู่อย่างสุขสบายได้ เราจึงอยากให้พวกท่านเดินทางไปกับเรา ไปยังสถานที่ที่พวกท่านจะอยู่ได้สุขสบายกว่านี้ค่ะ”

    สิ้นประโยคของหญิงสาว ผู้อาวุโสแห่งเผ่าก็ส่ายหน้า ย่นคิ้วขมวดเป็นปม

    “เราจากดินแดนน้ำแข็งไปไกลมิได้ อำนาจแห่งทูราก้ามิอาจส่งมาถึง”

    ทูราก้า...ชื่อที่มิคังไม่เคยได้ยินมาก่อน

    “หมายความว่าอย่างไรคะ?”

    “หากไร้ซึ่งสายลมหนาว ทูราก้าก็จะไร้ซึ่งพลัง ทำให้มาทานุยสาปพวกเราได้”

    คราวนี้มีชื่อมาทานุยปรากฏออกมา ซึ่งก็ยังไม่คุ้นหูเธออยู่ดี คาดว่าน่าจะเป็นชื่อที่ใช้เรียกขานอะไรสักอย่างของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์

    “เหตุใดมาทานุยถึงจะสาปพวกท่านคะ?” หญิงสาวถามต่อ

    “มันคือปีศาจร้าย! มันต้องการทำลายพวกเราชาวอิลิเดีย!” หัวหน้าเผ่าตะเบ็งเสียง กระแทกปลายไม้เท้าลงพื้น

    “ทูราก้าคอยคุ้มครองเราอิลิเดียมาช้านาน ณ ดินแดนมาโทแรนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและสายลมหนาว อันเป็นขุมพลังแห่งทูราก้า”

    จากคำพูดของหัวหน้าเผ่า มิคังเข้าใจในทันทีว่า ทูราก้า คงเป็นเหมือนเทพเจ้าของชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์ ซึ่งพวกเขาเรียกตนเองว่า อิลิเดีย ส่วน มาทานุยก็คือจอมปีศาจในความเชื่อของพวกเขา

    มิคังพยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัว ชาวอิลิเดียเชื่อว่า เมื่ออยู่ในดินแดนน้ำแข็งที่พวกเขาเรียกว่า มาโทแรน จะได้รับการคุ้มครองจากเทพทูราก้า ทำให้ปีศาจมาทานุยทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่ถ้าหากออกจากดินแดนน้ำแข็งไปก็จะถูกมาทานุยสาปทันที

    นี่คงเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่ยอมไปจากที่นี่ เพราะถ้าออกไปจากบริเวณชายแดนน้ำแข็งนี้ ก็จะเข้าสู่เขตอบอุ่นของเมโทรโปลิสแล้ว

    ...แต่มันมีจุดขัดแย้งอยู่ ถ้าชาวอิลิเดียเชื่อว่าถ้าอยู่ในดินแดนน้ำแข็งแล้วเทพทูราก้าจะคุ้มครองได้ ทำไมถึงพากันอพยพมาจนหลุดเข้าเขตแดนของเมโทรโปลิส?

    พวกเขาหนีอะไรมากันแน่ อะไรที่น่ากลัวขนาดทำให้พวกเขายอมเสี่ยงอพยพมาสุดขอบดินแดนน้ำแข็ง เสี่ยงที่จะหลุดจากการคุ้มครองของเทพทูราก้าที่พวกเขานับถือ และเสี่ยงต่อการโดนปีศาจร้ายมาทานุยสาป

    คงไม่ใช่แค่ภัยหนาวไร้สาระตามข้อมูลของเวอร์กัสเป็นแน่...

    แล้วมันคืออะไรล่ะ?

    “ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมพวกท่านถึงอพยพมาที่นี่ล่ะคะ? อยู่ในมาโทแรนน่าจะได้รับการคุ้มครองจากท่านทูราก้านี่นา” มิคังถามต่อด้วยความสงสัย

    “เพราะขุมพลังแห่งมาทานุยได้ตื่นขึ้นแล้ว! แสงแห่งความชั่วร้ายพวยพุ่งสู่เมฆา ย้อมนภาให้เป็นสีม่วง ปราการเคลื่อนที่แห่งมาทานุยเริ่มเคลื่อนไหว ภัยร้ายคุกคามพวกเราชาวอิลิเดีย”

    ย้อมนภาให้เป็นสีม่วง...แสงแห่งความชั่วร้าย...หรือจะหมายถึงแสงสีม่วงที่พุ่งจากยอดเขาพัมพ์กิ้นส์? ...แล้วปราการเคลื่อนที่แห่งมาทานุยล่ะคืออะไร?

    “มันคืออะไรคะ? ปราการเคลื่อนที่”

    หัวหน้าเผ่าเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไม้ ก้มมองมิคังด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย ปากเหี่ยวย่นขยับพูดด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ

    “ทันทามู”

    อีกครั้งกับชื่อที่หญิงสาวไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทว่า ทันทีที่ชนเผ่าฟรอสวอล์กเกอร์คนอื่นได้ยินชื่อนี้ สีหน้าหวาดกลัวก็พลันปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน บางคนถึงกับมีอาการสะดุ้งตกใจประกอบด้วย

    “รบกวนขยายความได้ไหมคะท่าน”

    “อสุรกายปราการเคลื่อนที่ เพียงมันเคลื่อนผ่านหนึ่งทิวา ทั้งหมู่บ้านก็มลายหายไปสิ้น!

    หัวหน้าเผ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นแต่กลับพยายามตะเบ็งให้ดังขึ้น แววตาเลื่อนลอยราวกับกำลังระลึกอดีตที่ไม่อยากหวนนึกถึง

    มิคังปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ

    “ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ ท่านหัวหน้าเผ่า”

    “นามของข้าคือ ทาอู” หัวหน้าเผ่ากล่าว ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตามเดิม

    มิคังโค้งคำนับให้อย่างสุภาพ ก่อนจะหยิบดาบพร้อมกับลุกขึ้นยืนและค่อยๆ เดินออกจากเต็นท์ไป

    พอเดินออกจากเต็นท์มาได้สักพัก เกรเกอร์ก็เริ่มพูดคุยกับมิคัง

    “พูดไม่ค่อยรู้เรื่องสินะครับ หัวหน้าเผ่าคนนั้น” เกรเกอร์พูดพลางแค่นหัวเราะ

    “ก็พอจับใจความได้บ้างค่ะ”

    หญิงสาวไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทหารเหล่านี้ถึงเจรจากับชนเผ่าไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะความหยิ่งทะนงคิดว่าตนฉลาดกว่า เอาแต่ดูหมิ่นดูแคลน ไม่ยอมพยายามทำความเข้าใจในคำพูดของพวกเขา คิดแต่จะผลักไสพวกเขาให้ไปพ้นๆ

    มิคังเข้าไปนั่งพักภายในเต็นท์ของทหาร กดปุ่มบนสายรัดข้อมือเรียกหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมา และกดต่อสายถึงเวอร์กัส

    เพียงไม่นาน เสียงของจอมพลก็ดังออกมาจากสายรัดข้อมือ

    “มีอะไรครับ คุณมิคัง”

    “ฉันมีเรื่องอยากให้คุณช่วยค่ะ” มิคังกล่าวอย่างสุภาพ

    “ว่ามาครับ”

    “รบกวนหาข้อมูลของ ทันทามู ให้ฉันหน่อยค่ะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×