คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 : Winter Mission
Chapter 5 : Winter Mission
“Fireeeeeeeeeee!!!”
แสงสีแดงเรืองวาบออกมาจากเซ็นเซอร์บริเวณโคนของใบดาบ พลันบังเกิดเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นห่อหุ้มทั่วทั้งใบดาบโค้งมีคมด้านเดียว ยาวประมาณเจ็ดสิบเซนติเมตร มิคังตวัดดาบคาตานะในมือเบาๆ เปลวเพลิงจากดาบก็พวยพุ่งไปด้านหน้าและสลายกลายเป็นละอองไฟ
เมื่อทดสอบจนพอใจหญิงสาวจึงกดปุ่มยกเลิกที่ปลายของด้ามดาบ เปลวเพลิงที่ห่อหุ้มดาบก็สลายหายไปพร้อมกับแสงสีแดงที่เซ็นเซอร์ เผยให้เห็นใบดาบสีทองอร่าม สลักลวดลายคล้ายฟันปลาที่ด้านคมของดาบ ด้ามดาบมีสีน้ำเงินตกแต่งด้วยลวดลายเกล็ดปลา
หญิงสาวยกมือขวาที่มีแหวนสวมอยู่สามวงขึ้นมา โดยสวมอยู่ที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง แบ่งเป็นอัญมณีสามสีคือ สีแดง สีขาว และสีฟ้าตามลำดับ หลังจากทดสอบแหวนสีแดงไปแล้ว คราวนี้เป็นแหวนสีขาวที่อยู่บนนิ้วกลาง
“Freezerrrrrrrrrrrrr!!!”
เมื่อสแกนกับเซ็นเซอร์ที่ดาบ แสงสีขาวก็เรืองออกมาพร้อมกับใบดาบถูกห่อหุ้มไปด้วยละอองน้ำแข็ง พลังแห่งน้ำแข็งนี้เองที่มิคังเคยใช้แช่แข็งสัตว์ประหลาดยักษ์เพื่อช่วยเหลือยุ้ยที่อาคารอันเดอร์วอเทอร์ แต่ครั้งนั้นเป็นดาบสั้นอีกเล่มหนึ่งซึ่งมีพลังด้อยกว่าดาบยาวพอสมควร
ต่อมาเป็นแหวนวงที่สาม แหวนสีฟ้า ถือเป็นแหวนที่มีพลังทำลายมากที่สุด ถ้าไม่นับแหวนวงใหม่ที่มิคังเพิ่งได้รับมาจากโกสต์ซึ่งยังไม่ทราบว่ามีพลังอะไร
“Thunderrrrrrrrrrrrr!!!”
ประกายไฟแสบตาแล่นเปรี๊ยะๆ ออกจากใบดาบที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้า จนหญิงสาวรู้สึกคันยิบๆ ที่มือราวกับได้รับผลกระทบของสายฟ้านั่นไปด้วย ศัตรูที่ถูกดาบธาตุสายฟ้านี้ฟันเข้าจะคล้ายกับโดนพลังแห่งอัสนีบาตผ่าเข้าร่าง ทำให้เป็นอัมพาตไปชั่วขณะ หากโดนช็อกอย่างรุนแรงก็อาจเสียชีวิตทันทีได้
‘ยังใช้งานได้ดีทุกธาตุเลยแฮะ…แต่ก็ยังรู้สึกรำคาญเสียงของคุณหยงอยู่ดี’
สามปีแล้ว ที่มิคังไม่ได้แตะต้องดาบคาตานะเล่มนี้เลย ดาบที่นักประดิษฐ์หยงตั้งชื่อให้ว่า ‘อัลติเมทเอเลเมนต์ไฟเออร์ฟรีซเซอร์ธันเดอร์’ แต่มิคังไม่สนใจชื่อนั้นและตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า ‘ทะจิอุโอะ’ ซึ่งมีความหมายว่า ปลาดาบ
ความจริงแล้วดาบที่หยงสร้างให้มีความสามารถเพียงเปลี่ยนใบดาบเป็นธาตุต่างๆ เท่านั้น แต่พอมาอยู่ในมือของมิคัง เธอสามารถใช้ ‘เพลงดาบแห่งสายลม’ ผสานเข้ากับธาตุที่ห่อหุ้มใบดาบได้ สายลมที่ฟันออกไปจึงมีคุณสมบัติตามธาตุที่อยู่บนดาบ ก่อให้เกิดความสามารถที่หยงเองก็คาดไม่ถึง ราวกับดาบได้ขานรับเธอซึ่งเป็นเจ้าของและสำแดงพลังอันเกินขีดจำกัดออกมา
มิคังไม่ใช่ชาวเมโทรโปลิสแต่กำเนิด ตระกูล ‘ฮิโนซารุ’ ของเธอเป็นตระกูลเก่าแก่ของดินแดนอาทิตย์อุทัย มีชื่อเสียงในเรื่องของวิชาดาบที่แปลกพิสดาร สามารถสร้าง ‘สายลม’ ออกจากดาบยามที่ฟาดฟันได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่านักดาบจากตระกูลฮิโนซารุทุกคนจะสามารถใช้วิชานี้ได้ เนื่องจากเป็นวิชาที่ต้องผ่านการฝึกฝนร่างกายและขัดเกลาจิตใจอย่างหนัก ซึ่งมีเพียงผู้ที่ใช้เพลงดาบแห่งสายลมได้เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ในการเป็นผู้นำตระกูล
แต่ตามกฎของตระกูลแล้ว ผู้นำจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น แม้ว่ามิคังจะสามารถใช้เพลงดาบแห่งสายลมได้ตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งยังมีฝีมือดาบที่เหนือกว่าผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันทุกคน แต่เธอก็ไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้...เพราะเธอเป็นผู้หญิง
นั่นทำให้พ่อของเธอไม่สบอารมณ์อย่างมาก และพาเธอหนีออกจากตระกูล ออกจากแดนอาทิตย์อุทัยบ้านเกิดมาอยู่ที่เมโทรโปลิสแห่งนี้
ขณะนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าเพียงเล็กน้อย อากาศสดชื่นยามเช้าช่วยให้มิคังรู้สึกผ่อนคลายขณะออกมาฝึกดาบที่สนามหญ้าหน้าฐานทัพ เธอสวมเพียงผ้ารัดหน้าอกสีขาวเผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มและเรือนร่างอันงดงามทว่าดูแข็งแกร่งด้วยกล้ามเนื้อเล็กน้อยจากการออกกำลังกาย ผิวขาวเนียนละเอียดเปียกไปด้วยเหงื่อจากการฝึกซ้อมดาบ ท่อนล่างสวมกระโปรงฮาคามะที่ผ่าตรงโคนขาเพื่อความคล่องตัว
ระหว่างที่มิคังกำลังซ้อมฟันดาบอยู่นั้น เสียงของเครื่องจักรบางอย่างดังหึ่งๆ รบกวนสมาธิของเธอจนต้องหันไปมอง ใกล้กับจุดที่หญิงสาวยืนฝึกซ้อม เอเลี่ยนกำลังง่วนอยู่กับการไถเครื่องจักรไปตามพื้นหญ้า
“......”
มิคังยืนมองอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งเด็กหนุ่มหันมาสบตาด้วย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” มิคังเอ่ยทัก
“อรุณสวัสดิ์” เอเลี่ยนตอบ
“ทำอะไรอยู่เหรอคะ?”
“ตัดหญ้า”
มิคังรู้สึกกระดากกระเดื่องเล็กน้อยที่ถามในสิ่งที่เห็นๆ อยู่ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจเธอเสียเท่าไร ตั้งหน้าตั้งตาไถเครื่องตัดหญ้าต่อไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
จากการสังเกตของเธอพบว่า เอเลี่ยนมักจะถามคำตอบคำและไม่เคยเริ่มต้นบทสนทนาก่อนเลย จึงน่าจะเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่ชวนคุยหรือโดนถามก่อนก็จะไม่ปริปากพูด นอกจากนี้ยังปฏิบัติตามคำสั่งของเวอร์กัสอย่างเคร่งครัด อย่างคราวที่บุกมาหาเธอที่ร้านและกระทำการรุนแรงก็เพราะทำตามคำสั่งของเวอร์กัสโดยไม่สนใจเรื่องอื่นทั้งสิ้น ราวเป็นกับหุ่นยนต์รับใช้ผู้ซื่อสัตย์ก็มิปาน
และที่เขาออกมาตัดหญ้าอยู่ที่นี่ ก็คงเป็นคำสั่งเหมือนกัน เมื่อมิคังเห็นเอเลี่ยนที่เป็นแบบนี้แล้ว ความขุ่นเคืองที่เขาเคยมาอาละวาดที่ร้านก็ลดน้อยลง แต่กลับไปเพิ่มพูนให้กับผู้ที่เป็นคนสั่งการแทน...เวอร์กัส
มิคังยังคงสงสัยเกี่ยวกับสมาชิกที่ชื่อแพะ จากภาพจำลองโครงสร้างสามมิติของร่างกายสมาชิกทั้งหกคนของหน่วยพิเศษที่เธอเห็นในห้องประชุม มีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏอยู่ แต่ในห้องประชุมกลับไม่มีเขาคนนั้น ที่นั่งของเขากลับถูกแทนที่ด้วยแพะที่เป็นสัตว์ไม่ใช่คน ซึ่งจนถึงตอนนี้มิคังยังไม่เคยพบเด็กหนุ่มที่ชื่อแพะคนนั้นเลย
ข้อสงสัยอีกประการของมิคังคือ ทำไมสมาชิกของหน่วยพิเศษส่วนใหญ่ถึงอายุน้อยกันขนาดนี้ นอกจากตัวเธอที่อายุยี่สิบแปดและชายในชุดกาวน์แพทย์ที่คาดว่าน่าจะอายุสามสิบปลายๆ นั้น ทั้งเอเลี่ยน คาร์เดีย และรีน่า ดูจากภายนอกแล้วไม่น่าจะเกินยี่สิบเลยสักคน โดยเฉพาะรีน่าที่ไม่รู้ว่าอายุถึงสิบห้าแล้วหรือยัง อีกทั้งเด็กหนุ่มที่อยู่ในภาพสามมิติก็น่าจะอายุประมาณยี่สิบไม่ก็ยี่สิบเอ็ดเท่านั้น
คนเหล่านี้...พิเศษถึงขนาดต้องให้ออกมาสู้ตั้งแต่อายุยังน้อยเชียวหรือ...
หรือเป็นแค่ความคิดอันตื้นเขินของเวอร์กัส
...........................................................................................
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ถูกบังคับให้มาอาศัยอยู่ในฐานทัพนี้ชวนให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย แต่ยังมีสถานที่หนึ่งที่ช่วยให้มิคังรู้สึกผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองได้
ห้องครัว
ห้องครัวเป็นห้องแรกที่มิคังเดินมาสำรวจตั้งแต่เพิ่งย้ายเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งของห้องอาหารที่อยู่ด้านในสุดใกล้ๆ กับลิฟต์ ซึ่งห้องอาหารจะแบ่งเป็นส่วนที่มีโต๊ะสำหรับนั่งรับประทาน และครัวที่ใช้ประกอบอาหาร ซึ่งมีเคาน์เตอร์และอุปกรณ์ทำอาหารสุดไฮเทคมากมาย ทั้งเตาอบสารพัดนึก หม้อความดัน เตาไฟฟ้า รวมไปถึงเครื่องมือสารพัดที่ใช้ในการทำอาหารและมีดขนาดต่างๆ ครบเซ็ต มีกระทั่งมีดปอกมะม่วง
ที่สำคัญที่สุดคือตู้เย็นขนาดใหญ่ที่บรรจุวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไว้เต็มเปี่ยม มีทั้งผักผลไม้หลากชนิดและเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ให้เลือกสรร นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรุง ซอส และเครื่องเทศต่างๆ อีกมากมาย มิคังดีใจมากที่มีโชยุและซอสงาด้วย น่าเสียดายที่ไม่มีมิโสะและวาซาบิ แต่ไม่เป็นไร เธอได้เตรียมมันมาจากบ้านแล้ว
หลังจากฝึกซ้อมดาบเสร็จมิคังก็กลับขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวบนห้องพักที่ชั้นสอง แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินและกางเกงขายาว แล้วจึงลงลิฟต์ไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร โดยเธอกะว่านอกจากทำกินเองแล้ว ยังเตรียมวัตถุดิบไว้เผื่อมีสมาชิกคนอื่นอยากชิมอาหารฝีมือเธอด้วย
“มีกระทั่งโบลวทอร์ช (เครื่องพ่นไฟ) ด้วยแฮะ”
มิคังว่าพลางหยิบอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายปืนขึ้นมา เป็นอุปกรณ์ทำอาหารที่ใช้สำหรับพ่นไฟเพื่อเผาผิวด้านบนของอาหารให้มีสีออกไหม้ๆ สวยงามและส่งกลิ่นหอมมากขึ้น เธอจึงคิดจะเอาไปใช้ทำแซลมอนเผาไฟไม่ก็ใช้เผาผิวด้านบนของแผ่นชีสให้เกรียมๆ น่ารับประทาน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณน้า”
เสียงน่ารักสดใสเอ่ยทักมาจากด้านหน้าเคาน์เตอร์ มิคังหันไปก็พบกับรีน่า เด็กสาวตัวเล็กผู้มีนัยน์ตาสีแดงและเส้นผมสีน้ำเงินยาวประบ่า แลดูแปลกตาราวกับไม่ใช่สีธรรมชาติ ผิวขาวเรียบเนียน ใบหน้าปากนิดจมูกหน่อย ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มอันสดใสร่าเริงแบบเด็กๆ แต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมสีดำยาวถึงเข่า
“อรุณสวัสดิ์ค่ะรินะจัง” มิคังทักตอบ
เมื่อทักทายเสร็จเรียบร้อยรีน่าก็เดินอ้อมเคาน์เตอร์เข้ามาภายในครัว
“คุณน้ามีอะไรให้หนูช่วยมั้ยคะ หนูน่ะ เคยช่วยคลอเทียสทำอาหารนะ ถึงเค้าชอบจะบอกว่าหนูไปยุ่งก็เถอะ” รีน่าพูดพลางยกกำปั้นเล็กๆ ขึ้นอยู่ระดับอก ความน่ารักของเธอทำให้มิคังรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้มาก
“เก่งจังเลยรินะจัง ถ้างั้นช่วยตอกไข่ให้น้าสองฟองนะคะ เดี๋ยวน้าจะทำออมเล็ตให้’ทาน”
“ได้ค่ะ!” เด็กสาวขานรับอย่างกระตือรือร้น
‘เด็กน่ารักแบบนี้...ต้องมาเข้าร่วมสงครามจริงๆ เหรอ...’
มิคังได้แต่โอดครวญในใจ
ใช้เวลาไม่นานนัก ออมเล็ตสูตรพิเศษสไตล์มิคังก็ถูกเสิร์ฟให้กับรีน่าที่โต๊ะอาหาร เด็กสาวดูตื่นตากับอาหารตรงหน้า ก่อนจะบรรจงใช้ช้อนตักเข้าปากแล้วเคี้ยวหงุบหงับอย่างมีความสุข
มิคังยืนมองรีน่าผ่านเคาน์เตอร์ได้สักพัก สายตาก็เหลือบไปเห็นคาร์เดียกำลังเดินตรงมาหาเธอ ผมยาวสลวยถึงเอวของเด็กสาวส่ายไปมาทุกย่างก้าวที่เดิน สวมเสื้อแขนยาวแบบมีฮู้ดและกระโปรงสั้นเหนือเข่า
“ ’ดีค่า พี่สาว~”
คาร์เดียทักทายด้วยน้ำเสียงหวานใส
“สวัสดีค่ะคาจิจัง ’ทานอะไรมั้ย เดี๋ยวพี่ทำให้”
ทว่า เด็กสาวกลับไม่ได้ฟังคำถามของมิคัง ดวงตาสีทองเปล่งประกายของคาร์เดียจ้องมองมิคังอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเบิกกว้างเหมือนนึกอะไรออก
“อ้ะ พี่สาวร้านคินคาเสะนี่นา!” คาร์เดียกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“รู้จักร้านของพี่ด้วยเหรอคะ?”
“หนูเรียนที่เขตการศึกษาประจำเขตสองค่ะ ไปกินกับเพื่อนบ่อยๆ”
เขตการศึกษาประจำเขตสอง ตั้งอยู่ภายในเมืองหลวงเขตสอง ห่างจากร้านคินคาเสะเพียงแม่น้ำคั่นกลางเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากนักศึกษาจากที่นั่นจะเคยมาที่ร้านของเธอ
“ขอบคุณที่อุดหนุนร้านพี่นะคะ” มิคังโค้งศีรษะให้คาร์เดียเล็กน้อย
“หนูเห็นคนกินแล้วชักดาบด้วย พี่จับได้มั้ย...”
มิคังพลันนึกไปถึงวันที่โกสต์มาหาเธอที่ร้าน มอบแหวนพิเศษจากนักประดิษฐ์หยงให้เธอ ก่อนจะเดินออกจากร้านไปโดยที่ลืมจ่ายเงิน ต้องลำบากหญิงสาววิ่งออกไปตาม
คาร์เดียคงจะมาที่ร้านของเธอวันนั้นพอดี
“อ๋อ ค่ะ เคลียร์เรียบร้อยแล้วค่ะ”
หลังจากคุยเล่นกันสักพัก คาร์เดียก็ขอผักสลัดเป็นอาหารเช้าจากมิคัง หญิงสาวจึงหันเข้าไปในครัวครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงมีดกระทบกับเขียงดังแว่วออกมา ก่อนจะกลับมาพร้อมกับจานสลัดที่เต็มไปด้วยผักหลายชนิดที่ถูกหั่นมาแบบพอดีคำ เสิร์ฟพร้อมซอสงาที่ใช้เป็นน้ำสลัด
“เชิญค่ะ” มิคังกล่าวพร้อมค้อมตัวเล็กน้อย
“ขอบคุณค่า ว้าว~ น่าทานจังเลย♥”
เด็กสาวใช้ส้อมจิ้มผักชิ้นหนึ่งขึ้นมาหมุนมองด้วยสายตาสนอกสนใจ ก่อนจะนำเข้าปากเคี้ยวกรุบๆ มิคังดูออกว่าเด็กสาวกำลังพิจารณารอยหั่นผักของเธอ ทำให้เธอเข้าใจในทันทีว่า คาร์เดียอาจไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาๆ อย่างที่เธอคิด
ระหว่างที่คาร์เดียกำลังรับประทานสลัดอยู่นั้น เสียงเมลเข้าก็ดังจากสายรัดข้อมือของเธอและมิคังพร้อมๆ กัน จนไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเป็นคนส่งมา
วันที่ 7 พฤษภาคม, เวลา 8.55 น.
ผู้ส่ง: เวอร์กัส
เนื้อหา: ประชุมด่วน เก้าโมง ที่ห้องประชุมในฐานทัพ
...........................................................................................
“ขอโทษที่ต้องเรียกมาด่วน ฉันมีภารกิจมาให้พวกเธอทำ”
เวอร์กัสปาดนิ้วลงบนกระจก พลันภาพโฮโลแกรมก็ฉายขึ้นมาจากโต๊ะวงกลมกลางห้อง เป็นวิดีโอคลิปที่ถ่ายเห็นลำแสงสีม่วงขนาดใหญ่พุ่งตรงจากยอดเขาสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวนโดยรอบ โหมกระหน่ำด้วยพายุหิมะ
“ลำแสงประหลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนที่ยอดเขาพัมพ์กินส์ บริเวณชานเมืองเวสเทิร์นฟอร์ด ประชาชนตื่นตระหนกว่านี่อาจจะเป็นเวทต้องห้ามของทางฝ่ายแฟนตาเซีย อีกทั้งบริเวณเทือกเขายังปกคลุมไปด้วยพลังงานบางอย่างทำให้ไม่สามารถขับพาหนะทุกชนิดขึ้นไปได้ ฉันจึงอยากให้รีน่าไปตรวจสอบสาเหตุของลำแสงประหลาดนั่น” เวอร์กัสกล่าวพลางหันไปมองรีน่า
“หนู...คนเดียวเหรอคะ?”
ร่างเล็กเอ่ยถามตะกุกตะกัก ดวงตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ใช่ เธอคนเดียว” เวอร์กัสย้ำ
เมื่อมิคังได้ยินดังนั้น ราวกับเส้นด้ายแห่งความอดทนของเธอเริ่มสั่นคลอน
“ขออนุญาตค่ะ”
มิคังยกมือพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สะกดความไม่พอใจเอาไว้
“เชิญครับ” เวอร์กัสตอบรับพลางผายมือไปทางหญิงสาว
“นี่คุณคิดจะส่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไปปีนยอดเขาฝ่าพายุหิมะแบบนั้นคนเดียวหรือคะ?”
“เข้าใจถูกแล้วครับ” เวอร์กัสตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฉันขอคัดค้านค่ะ ฉันเกรงว่าภารกิจนี้จะหนักเกินไปสำหรับ...”
“ผมว่าคุณคงจะลืมอะไรไปนะ” เวอร์กัสเอ่ยขัดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“หน้าที่ของคุณคือทำตามคำสั่ง ไม่ใช่คัดค้าน”
เส้นด้ายแห่งความอดทนขาดผึงลงตรงนั้น มิคังลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอามือไปทาบไว้ที่ด้ามดาบพร้อมที่จะชักออกมาฟันคนตรงหน้าได้ทันที ดวงตาสีฟ้าคมกริบจ้องมองเวอร์กัสราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ขณะเดียวกัน เอเลี่ยนก็ลุกขึ้นแตะปืนที่เอวเพื่อขู่มิคังเช่นกันในฐานะลูกน้องของเวอร์กัสที่ต้องปกป้องเจ้านาย บรรยากาศอันตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง
“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้ามิคัง หนูจะทำภารกิจนี้ค่ะ”
เสียงใสเอ่ยแทรกขึ้นท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่น ดึงสายตาของมิคังให้เหลือบไปมอง
ดวงตาสีแดงที่สบมานั้นเต็มไปด้วยความสับสน แต่กลับแฝงไปด้วยความมุ่งมั่น มือเล็กๆ ยกขึ้นกำแน่นระดับอกเพื่อเสริมความมั่นใจ จนหญิงสาวใจอ่อนยอมผละมือจากดาบและนั่งลง แต่ยังมิวายหันไปจ้องเวอร์กัสเขม็งด้วยสายตาอาฆาต
“ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรอกครับ คุณเองก็มีภารกิจที่ต้องทำเช่นกัน”
เวอร์กัสกล่าวอย่างไม่ยี่หระท่าทีของหญิงสาว นิ้วเคาะเปิดจอใหม่ขึ้นมาเป็นทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน และผู้คนที่แต่งกายคล้ายชนเผ่า มีรอยสักเต็มตัว กำลังเดินอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ
“ที่ชายแดนน้ำแข็ง”
อ่านฉากการประชุมในมุมมองของเอเลี่ยนได้ที่ [Me who came from the star]
อ่านฉากการประชุมในมุมมองของรีน่าได้ที่ [Robot's breath]
ความคิดเห็น