ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rise of The Wind คมดาบสายลมพิทักษ์

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 : Disturb The Wind

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 57



    Chapter 3 : Disturb The Wind

     

    “ยังไม่นอนเหรอครับคุณมิคัง”

    หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ริมระเบียงค่อยๆ หันไปมองร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาหา เธอรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าชายคนนี้กำลังใกล้เข้ามา หัวหน้าพ่อครัวแห่งร้านคินคาเสะ ผู้มีนามว่า 'สุริยะ'

    “ค่ะ วันนี้ท้องฟ้าเปิด มองเห็นดาวสวยดีนะคะ”

    สุริยะหยุดยืนและเงยหน้ามองท้องฟ้าตามมิคัง ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงข้างกายของหญิงสาว

    หมู่ดาวน้อยใหญ่กำลังเปล่งประกายเจิดจรัสบนท้องฟ้า ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี แต่กลับยังมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนขนาดนี้ นับเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ราวกับจะเป็นใจให้ชายหนุ่มและหญิงสาวได้นั่งชมดาวร่วมกัน

    “สามปีแล้วนะคะ ที่เราเปิดร้านนี้ด้วยกัน” มิคังเอ่ย

    “ครับ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ”

    เป็นเวลากว่าสามปีที่หญิงสาวและชายหนุ่มตัดสินใจเลิกทำงานที่มีแต่กลิ่นอายแห่งความตาย มาเปิดร้านอาหารร่วมกันที่นี่ โดยมีมิคังเป็นนายหญิงเจ้าของร้าน และสุริยะเป็นหัวหน้าพ่อครัว ทั้งสองช่วยกันทุ่มเทพัฒนาร้านจนเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยทำกันมาแค่สองคน ก็เริ่มมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น กลายเป็นครัวครัวใหญ่ที่แสนจะอบอุ่น ภายใต้บารมีของนายหญิงมิคัง

    ท่ามกลางความเงียบสงัดยามราตรี มีเพียงเสียงร้องของจักจั่นดังแว่วอยู่เนืองๆ จากในสวน...และเสียงหัวใจที่เต้นรัวของหญิงสาวซึ่งมีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่ได้ยิน

    มิคังแอบเหลือบมองสุริยะ ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งทอดอารมณ์ไปกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า หญิงสาวอยากจะชวนชายหนุ่มคุยให้มากกว่านี้...แต่เธอกลับนึกบทสนทนาไม่ออกเลย....

    ดูเหมือนชายหนุ่มจะรู้ตัวว่าถูกมองจึงหันมาหาหญิงสาวแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ทำเอามิคังรีบหลบสายตาด้วยความขวยเขิน

    ทว่า ชายหนุ่มกลับเขยิบที่นั่งเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้นจนหญิงสาวสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่สัมผัสกับแขนของเธอ

    เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้บริเวณนี้แล้ว มิคังจึงค่อยๆ เอียงศีรษะโน้มลงไปซบบนไหล่ของสุริยะ ใบหน้าของหญิงสาวเจือสีแดงระเรื่อ รอยยิ้มแห่งความสุขเผยออกโดยไม่ปิดบัง

    ช่วงเวลากลางวัน เธอคือนายหญิงแห่งร้านคินคาเสะ จำเป็นที่จะต้องสำรวมและรักษาท่าทีให้สมกับที่เป็นถึงนายหญิง มีแต่เพียงช่วงเวลากลางคืนแบบนี้เท่านั้น ที่เธอจะกลับกลายเป็นหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่สามารถแสดงอาการต่อคนที่เธอรักได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวสายตาใคร

     

    อยากให้ช่วงเวลานี้คงอยู่...ตลอดไป...

     

    ...........................................................................................

     

    เช้าวันต่อมา ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติ พนักงานทุกคนกำลังทำงานขะมักเขม้นอยู่ในครัวโดยมีสุริยะหัวหน้าพ่อครัวเป็นคนคุมงาน

    สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนทุกวัน คือวันนี้นายหญิงมิคังไม่ได้อยู่ในครัว

    “ทำอะไรอยู่เหรอคะนายหญิง?”

    ยุ้ยเอ่ยถามขึ้นหลังจากเห็นมิคังยืนนิ่งอยู่ที่หลังร้านมานานสองนานแล้ว

    “กำลังคิดว่า จะเอาเจ้าตัวนี้ไปทำเมนูอะไรดีน่ะ”

    เมื่อยุ้ยมองตามมิคังไปก็พบกับร่างของสัตว์ประหลาดยักษ์รูปร่างคล้ายตัวซาลามานเดอร์ที่ไม่มีสองขาหลัง ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่เกือบจะทำร้ายยุ้ยเมื่อสองวันที่แล้วนั่นเอง ทำเอาเด็กสาวถึงกับตกใจจนขนลุกซู่ รีบถอยห่างออกมาทันที

    “มันตายแล้วน่ะยุยจัง ไม่ต้องกลัวนะ”

    แม้มิคังจะกล่าวเช่นนั้น แต่เด็กสาวก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี เธอจึงรีบขอตัวกลับไปทำงานในครัวต่ออย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานหญิงอีกคนหนึ่งเดินสวนออกมา

    “นายหญิงคะ มีคนขอพบค่ะ”

    มิคังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่มีคนมาหาเธอถึงสองวันติดกัน แม้ปกติจะมีคนมาหาอยู่บ้าง แต่ก็แค่นานๆ ทีเท่านั้น

    เมื่อวานก็โกสุโตะคุง วันนี้เป็นใครอีกนะ

    “ใครเหรออันนะจัง”

    “เขาไม่ได้บอกค่ะ แต่เห็นสวมชุดเครื่องแบบทหารด้วยค่ะ”

    เมื่อมิคังเดินออกมา ก็พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งเป็นโต๊ะไม้เตี้ยๆ โดยนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งของทางร้าน

    “สวัสดีค่ะ” มิคังทัก

    “สวัสดีครับ”

    เด็กหนุ่มมีรูปร่างสมส่วน ใบหน้ากลมมนอ่อนเยาว์ซึ่งไม่เผยอารมณ์ใดๆ ดวงตาสีฟ้าแลดูเลื่อนลอย ผิวขาวซีดราวกับกระดาษ เมื่อรวมกับเส้นผมที่มีสีขาวทั่วทั้งหัวแล้ว ทำให้เขาแลดูคล้ายกับคนเป็นโรคผิวเผือก สวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินตัดกับสีเทา สวมถุงมือและรองเท้าบูทสีดำ ตราสัญลักษณ์ที่หน้าอกบ่งบอกว่าสังกัดกองทัพแห่งเมโทรโปลิส

    มิคังไม่คุ้นหน้าเด็กหนุ่มคนนี้เลย จึงน่าจะเป็นการเจอกันครั้งแรก

    “มีธุระอะไรงั้นเหรอคะ?” มิคังเอ่ยถาม

    “ผมมาจากกองทัพ ได้รับคำสั่งให้มาพาตัวคุณไป คุณมิคัง ฮิโนซารุ”

    คำตอบของเด็กหนุ่มทำเอามิคังเปลี่ยนสีหน้าทันที ดวงตาสีฟ้าของเธอฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

    “...กองทัพ? มันเรื่องอะไรกันคะ?”

    “เข้าร่วมหน่วยพิเศษ เตรียมเข้าสู่สงคราม” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    สงครามการต่อสู้การฆ่าฟันคือสิ่งที่มิคังหันหลังให้และไม่เคยคิดหวนคืนมาตลอดสามปี

    เรื่องอะไรที่เธอจะกลับไปหามันอีก

    “แล้วถ้าฉันไม่เข้าร่วมล่ะคะ?”

    คำตอบของมิคังทำให้แววตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป ราวกับเรืองแสงวาบขึ้นมาชั่วขณะ

    “ผู้บัญชาการอนุญาตให้ใช้กำลัง”

    สิ้นคำพูดของเด็กหนุ่ม กำปั้นของเขาก็พุ่งเข้าใส่ท้องของมิคังอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวหลบไม่ทันต้องใช้ท่อนแขนสองข้างไขว้กันเพื่อตั้งรับ แต่แรงหมัดของเด็กหนุ่มกลับรุนแรงมากเสียจนหญิงสาวกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง

    ขณะที่มิคังกำลังโก่งตัวด้วยความเจ็บ เด็กหนุ่มผิวซีดก็ก้มลงไปจับขาโต๊ะแล้วยกทั้งโต๊ะขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะเงื้อไปด้านหลังสุดแขน

    “ขออนุญาตครับ”

    โต๊ะทั้งตัวถูกเหวี่ยงฟาดลงมาใส่มิคัง คราวนี้หญิงสาวกระโจนตัวหลบทันแล้วม้วนหน้ากลับมาตั้งหลักได้ เสียงโครมครามทำให้พนักงานทุกคนวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

    “อย่าออกมา!!

    มิคังพูดเสียงดัง ก่อนจะรีบกระโดดถอยหลังเพื่อหลบโต๊ะที่ฟาดมาอีกครั้ง

    “กรี๊ดดดดดด…!!

    ภาพของนายหญิงที่กำลังถูกไล่ทำร้ายทำให้พนักงานสาวหลายคนตกใจจนกรีดร้องออกมา

    ขืนสู้ในที่แคบแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่ มิคังคิด

    ด้วยพื้นที่แคบทำให้หญิงสาวหลบการโจมตีด้วยโต๊ะของเด็กหนุ่มได้ไม่ถนัด ขยับตัวเพียงนิดเดียวก็ชนผนังแล้ว อีกทั้งถ้าปล่อยให้เด็กหนุ่มอาละวาดอยู่ในห้องนี้ต่อไปร้านอาจพังพินาศได้ หญิงสาวจึงตัดสินใจกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่าง เพื่อล่อให้อีกฝ่ายตามออกมา

    แผนของมิคังได้ผล เด็กหนุ่มผิวซีดรีบกระโดดตามออกมาทันทีโดยยังคงลากเอาโต๊ะออกมาด้วย

    “มิคัง!!

    เสียงตะโกนของสุริยะทำให้มิคังหันไปมอง ทันใดนั้น ดาบพร้อมฝักสีน้ำเงินก็ถูกโยนออกมาจากหน้าต่างลอยมาสู่มือของหญิงสาวได้อย่างพอดิบพอดี

    “ขอบคุณค่ะ!

    มิคังเอาแขนทั้งสองข้างออกจากชุดกิโมโนจนเสื้อคลุมท่อนบนเลื่อนลงไปกองอยู่ที่สายโอบิ เผยให้เห็นไหล่ขาวเนียนและเนินอกอิ่มที่ถูกรัดด้วยผ้าพันหน้าอกสีขาว ที่คอของหญิงสาวมีสร้อยคอที่ห้อยแหวนสีแดงเอาไว้วงหนึ่ง

    เด็กหนุ่มพุ่งเข้าใส่มิคังอย่างรวดเร็วพร้อมกับเหวี่ยงฟาดโต๊ะลงมา พริบตานั้นเอง ดาบยาวคาตานะเล่มสีทองก็ถูกชักออกจากฝักและฟันใส่โต๊ะตัวนั้นจนขาดเป็นสองส่วน พลันบังเกิดสายลมซัดใส่เด็กหนุ่มจนกระเด็นถอยหลังไป

    เด็กหนุ่มเงื้อโต๊ะขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับถูกสายลมซัดเข้าใส่จนโต๊ะถูกฟันกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหลือแต่เพียงขาโต๊ะกุดๆ ที่เด็กหนุ่มกำอยู่ในมือ เขาดูประหลาดใจเล็กน้อยที่หญิงสาวคู่ต่อสู้ยังไม่ทันขยับจากที่เดิมเลย แต่ทำไมเขาถึงถูกฟันจากระยะห่างขนาดนี้ได้

    เมื่ออาวุธถูกทำลาย เด็กหนุ่มผิวซีดจึงเริ่มมองหาอาวุธชิ้นใหม่ จนไปสะดุดตากับเสาไฟที่อยู่หน้าร้าน เขาไม่รอช้า รีบพุ่งไปที่เสาไฟต้นนั้นแล้วออกแรงดึงขึ้นมาทันทีด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลจนสายไฟที่โยงอยู่ข้างใต้ขาดสะบั้นเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ และมีประกายไฟวาบ สร้างความตื่นตะลึงให้แก่มิคังอย่างมาก

    เขาต้องไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ…’ มิคังคิด

    เด็กหนุ่มยกอาวุธชิ้นใหม่ขึ้นพาดบ่าไปด้านหลัง ก่อนจะหันมาดูเชิงหญิงสาว

    เมื่ออีกฝ่ายเล่นของหนักขนาดนี้ มิคังจึงคิดว่าควรจะเริ่มเอาจริงบ้าง เธอดึงแหวนสีแดงซึ่งห้อยอยู่ที่คอออกมาแล้วนำไปสวมที่นิ้วชี้ข้างซ้าย กดปุ่มที่ปลายด้ามดาบเพื่อให้ระบบของดาบทำงาน เสียงเพลงบรรเลงสนุกสนานดังขึ้นทันทีขัดกับบรรยากาศซีเรียสตอนนี้อย่างมาก

    เพราะอย่างนี้แหละฉันถึงไม่ค่อยชอบอาวุธของหยงเลย มิคังบ่นในใจ

    หญิงสาวนำแหวนที่นิ้วชี้หันเอาอัญมณีสีแดงไปสแกนที่เซ็นเซอร์บริเวณใบดาบเหนือที่กั้นมือ

    Fireeeeeeeeeee!!!

    เสียงคำพูดดังก้องออกมาจากตัวดาบ ซึ่งก็ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน เป็นเสียงของหยงผู้ประดิษฐ์ดาบเล่มนี้ขึ้นมานั่นเอง ฉับพลัน ใบดาบสีทองอร่ามก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงร้อนแรง

    มิคังกระชับดาบเพลิงในมือแล้วพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ซึ่งอีกฝ่ายก็รับคำท้า วิ่งลากเสาไฟทั้งต้นมาเพื่อนำมาเหวี่ยงฟาดใส่หญิงสาว

     

    เคร้ง!!!

     

    ดาบแห่งเปลวเพลิงของมิคังปะทะเข้ากับโล่เหล็กกล้าขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับเสาไฟที่เด็กหนุ่มเหวี่ยงฟาดมาก็ปะทะกับโล่ขนาดใหญ่อีกอัน ตรงกลางระหว่างโล่ทั้งสองอันมีชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่

    “หยุดตีกันก่อน!” ชายหนุ่มตะโกนลั่น

     มิคังรีบถอยฉากออกมาตั้งหลัก ดูท่าทีของชายหนุ่มผู้นี้ว่าจะมาดีหรือมาร้าย เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกำยำเหมือนคนที่ออกกำลังเป็นประจำ เส้นผมสีเทา นัยน์ตาสีเขียวฉายแววเจ้าเล่ห์ สวมเสื้อแขนกุดสีส้ม กางเกงขาจั๊มพองๆ รองเท้าบูทยาวสีดำมันวาว ที่เอวมีเข็มขัดสีขาวที่ห้อยกระเป๋าเล็กๆ ไว้หลายใบ

    ชายหนุ่มทิ้งโล่ใหญ่ยักษ์ทั้งสองอันลงพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นและฝุ่นตลบไปทั่ว แล้วจึงเดินกระทืบเท้าเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งถือเสาไฟอยู่ในมือ

    “เฮ้ย! ไอ้เอเลี่ยน ตูบอกให้มาเอาตัวคุณมิคัง ไม่ได้ให้มาเอาเสาไฟ”

    ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วตวาดใส่เด็กหนุ่มผิวซีด เด็กหนุ่มยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ยืนนิ่งสบตากับดวงตาเกรี้ยวกราดสีเขียว ก่อนจะหันหลังเดินแบกเสาไฟนำไปปักลงที่เดิม แลดูง่ายดายราวกับเป็นเพียงการปักชำต้นกล้า

    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายวางอาวุธแล้ว มิคังจึงลดดาบลงและกดปุ่มยกเลิกโหมดเปลวเพลิง สายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีสบายๆ

    “ผมปริภูมิ ได้รับคำสั่งให้มาจีบคุณไปเข้ากองทัพ” ชายหนุ่มพูดเข้าประเด็นทันที

    มิคังรู้จักชื่อของชายคนนี้ ปริภูมิ แม่ทัพแห่งประเทศเมโทรโปรลิส ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องความบ้าดีเดือด หุนหันพลันแล่น ได้รับการยกย่องว่าเป็นแนวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุด ความสามารถของเขายังถือเป็นเรื่องพิศวง หลายคนให้คำนิยามว่า ราวกับเขาสามารถเสกสิ่งของออกมาได้ด้วยการขยับมือไม่กี่ที

    “ตอนแรกฝากให้ไอ้หมอนี่มาทำ แต่คิดดูแล้วคงจะวุ่นวายเลยตามมาดู ดีที่มาทันแค่เสาไฟต้นเดียว”

    ปริภูมิหันไปทำตาเขียวใส่ชายที่เขาเรียกว่า เอเลี่ยน อีกครั้ง ซึ่งก็ถูกอีกฝ่ายตีหน้ามึนกลับมา

    “พวกคุณต้องการอะไรจากฉัน?” มิคังถาม

    ปริภูมิยืนล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วพูดด้วยเสียงที่ดัง

    “เราอยากได้กำลัง”

    เป็นคำตอบที่ชัดเจน แต่ก็รวบรัดเกินไป จนหญิงสาวไม่อาจเข้าใจเรื่องราวได้

    “ผมก็ไม่ค่อยถนัดเจรจา ถ้าคุณไม่ตกลงผมก็คงต้องใช้กำลังเหมือนกัน”

    สิ้นคำพูด ปริภูมิก็เอามือออกจากกระเป๋ากางเกง แรงกดดันมหาศาลเอ่อล้นออกมาจนหญิงสาวผุดเม็ดเหงื่อที่ข้างแก้ม แค่ปะทะกับเด็กหนุ่มผิวซีดคนนั้นก็ตึงมือแทบแย่แล้ว คราวนี้ยังมีแม่ทัพแห่งโมโทรโปลิสผู้เก่งกาจมาเสริมอีก

    จะสู้ยังไงดี…’

    แต่แล้วปริภูมิก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงพวยพุ่งออกมาจากชายหนุ่มร่างสูงที่บัดนี้ถือปืนด้วยมือข้างเดียวเล็งไปที่ศีรษะของปริภูมิ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับแข็งกร้าวจนน่ากลัว แววตาไร้ซึ่งความลังเลใดๆ

    ถ้าเราขยับตัว ชายคนนี้ยิงจริงๆ แน่... ปริภูมิคิด

    แน่นอนว่าถ้าสุริยะทำท่าจะลั่นไก เด็กหนุ่มผิวซีดต้องไม่อยู่นิ่งเฉยแน่

    “อย่าเพิ่งค่ะคุณสุริยะ”

    มิคังเดินไปหาสุริยะแล้ววางมือประทับลงบนปืนของชายหนุ่ม ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้อีกฝ่ายยอมลดปืนลง สุริยะสบตากับมิคังครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาจ้องมองปริภูมิเขม็ง และค่อยๆ ลดปืนลงตามคำขอของหญิงสาว

    มิคังเดินเข้าไปยืนประจันหน้ากับปริภูมิ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

    “คุณแม่ทัพแห่งเมโทรโปรลิส คุณต้องการกำลังของฉันไปทำอะไร?

    แม้มิคังจะไม่อยากหวนคืนสู่สมรภูมิอีกแล้ว แต่เธอก็เป็นคนที่ฟังเหตุผล ทว่าด้วยข้อมูลน้อยนิดที่อีกฝ่ายบอกมานั้นยังไม่เพียงพอที่จะให้เธอตัดสินใจได้ เธอจึงต้องการข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้นจากชายหนุ่มตรงหน้าผู้เป็นถึงแม่ทัพแห่งเมโทรโปรลิส

    ปริภูมินิ่งไปราวกับกำลังพยายามคิดคำตอบที่ฟังดูเข้าใจง่ายที่สุด ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงดังด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

    “ปกป้องเมโทรโปลิสจากสงคราม”

     

     

    อ่านเรื่องราวของเอเลี่ยนได้ที่ [Me who came from the star]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×