ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SERAFINE เซราฟิเน่

    ลำดับตอนที่ #3 : The Monkey King Ch. 2 : Charming Girl

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 58



    Chapter 2

     

    เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะใบใหญ่ บวกกับควันและกลิ่นของใบกะเพราที่โชยไปถึงปากซอยทำให้เดาไม่ยากว่าใกล้ๆ นั้นมีร้านอาหารริมทางตั้งอยู่ เป็นร้านอาหารตามสั่งที่มีลูกค้าแวะเข้ามานั่งรับประทานจนโต๊ะเต็มทุกวัน ถึงกระนั้นก็ยังมีลูกค้าหลายคนยอมยืนรับประทานกันที่ร้าน โดยเฉพาะลูกค้าผู้ชายที่ตั้งใจมายลโฉมของสาวเสิร์ฟร้านนี้ที่เล่าลือกันว่าน่ารักจนเทวดามาเห็นยังต้องละลาย

                “กะเพราหมูสับไข่ดาวที่สั่งได้แล้วค่า~

    เสียงใสดุจแก้วของสาวน้อยร่างเล็กผู้มาเสิร์ฟอาหารสะกดให้ลูกค้าทั้งโต๊ะหันมามองเธอกันเป็นตาเดียว ผมที่ถูกรวบเป็นหางม้าไว้หลังศีรษะมีสีน้ำตาลเข้ม รับกับดวงตากลมโตที่มีสีน้ำตาลเหมือนกัน หากแต่ใบหน้าเรียวงามของเธอมีความเป็นสาวเอเชียอย่างมาก ทำให้หลายคนสันนิษฐานว่าเธอน่าจะเป็นลูกครึ่ง น่าเสียดายที่วันนี้เธอคาดผ้าปิดปากไว้ ทำให้มองเห็นใบหน้าสวยไม่ถนัดนัก

    “เหมียว ข้าวผัดกุ้งเสร็จแล้วนะ” สาวเจ้ารีบหันไปทันทีตามเสียงเรียกของคุณป้าผู้เป็นทั้งเจ้าของร้านและคนทำอาหารตามสั่งให้ลูกค้า

    “ค่า~

    เหมียว คือชื่อของเธอ เด็กสาวที่ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารให้ร้านอาหารตามสั่งของ ป้าแอ๋ว มาสองเดือนแล้ว ซึ่งตั้งแต่ที่เธอมาทำงานที่นี่ลูกค้าก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะการบริการด้วยท่วงท่าน่ารักที่ทำให้ลูกค้าชื่นชอบ การแต่งตัวด้วยเสื้อยืดรัดรูปกับกางเกงขาสั้นที่เผยให้เห็นต้นขาขาวเนียนแสดงถึงความเป็นเด็กสาววัยรุ่นของเธอ หรือความน่ารักที่บอกเล่ากันปากต่อปากของบรรดาลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าผู้ชายที่เล่ากันว่าหากวันไหนโชคดีก็จะได้เห็นเธอตอนที่ถอดผ้าปิดปากด้วย

    อากาศยามบ่ายเป็นอะไรที่ร้อนมากสำหรับประเทศนี้ แสงจ้าจากดวงอาทิตย์และแดดอันร้อนระอุทำให้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ต้องการที่ร่มเพื่อหลบแดดกันทั้งนั้น ไม่เว้นกระทั่งลิงที่พากันเดินหลบแดดเข้ามาในกันสาดของร้านป้าแอ๋ว สำหรับที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีลิงมาเดินไปมาอยู่กลางชุมชน เพราะที่นี่คือ จังหวัดลพบุรี เมืองแห่งวานรนั่นเอง

    “ไงจ๊ะน้องจ๋อ วันนี้ก็ร้อนเหมือนเดิมเนอะ”

    เหมียวดึงผ้าปิดปากลงมาอยู่ที่คางแล้วยิ้มให้กับลิงสองตัวที่เดินมาวนอยู่ที่ขาเธอ ทำเอาหนุ่มๆ ในร้านถึงกับหัวใจแทบหยุดเต้นที่อยู่ๆ ก็ได้เห็นใบหน้าภายใต้ผ้าปิดปากตามคำล่ำลือ ใบหน้าเรียวงามรูปไข่แต่งแต้มด้วยปากนิดจมูกหน่อย เมื่อรวมกับดวงตากลมโตและเรือนร่างที่เล็กน่าทะนุถนอม อีกทั้งรอยยิ้มหวานที่ดูมีเอกลักษณ์นั่น ถ้าจะหาอะไรมาเปรียบเปรย คงต้องพูดว่า...

    น่ารักราวกับลูกแมวน้อย

    “สวัสดีจ้ะน้องเหมียว” ลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยทักเหมียวขณะเธอกำลังจะเดินผ่านไป

    “สวัสดีค่า เดี๋ยวจะมารับออเดอร์นะคะ แป๊บนึง” เหมียวทักทายตอบก่อนจะรีบเดินไปเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะข้างๆ แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะของชายหนุ่มพร้อมกับหยิบสมุดจดเล่มเล็กขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง

    “มาแล้วค่า รับอะไรดีคะ?”

    “รับหัวใจของน้องได้ไหมจ๊ะ” ชายหนุ่มหยอดมุกจีบ ทำเอาเพื่อนชายอีกสองคนของเขาที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันทำท่าเบ้ปาก รับไม่ได้กับมุกจีบสาวของเพื่อน

    “ไม่ได้หรอกค่ะ พอดีมีเจ้าของแล้ว ฮิๆ ~

    ราวกับมีลูกธนูพุ่งปักเข้ากลางอกของชายหนุ่ม เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสาวน้อยคนนี้มีเจ้าของหัวใจแล้ว เขาอึ้งไปครู่หนึ่งในขณะที่เพื่อนพากันกลั้นหัวเราะให้กับการรับประทานแห้วของเขา

    “ตกลงรับอะไรดีคะ?” เหมียวยิ้มแล้วเอ่ยถามต่อพร้อมกับเอียงคอ สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนไปเลยทั้งที่เพิ่งจะหักอกชายหนุ่มตรงหน้าไป

    “มีน้ำใบบัวบกไหมจ๊ะน้อง เอามาแก้ช้ำในให้เพื่อนพี่หน่อย” เพื่อนของชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะอย่างสนุกสนาน ทำเอาชายหนุ่มถึงกับหันไปค้อนด้วยสายตา

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีชายหนุ่มมาจีบเหมียว ความน่ารักของเธอเป็นตัวดึงดูดเหล่าชายหนุ่มให้มาที่ร้านนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเธอกล่าวปฏิเสธไปทุกราย ด้วยคำตอบทำนองเดียวกับที่บอกชายหนุ่มคนนี้ว่าเธอมีคนรักอยู่แล้ว แต่ทว่า ยังไม่เคยมีใครเห็นชายผู้ที่เธออ้างว่าเป็นคนรักของเธอแม้แต่ครั้งเดียว บางคนจึงคิดกันไปว่าเธออาจจะแค่โกหกก็ได้ว่ามีคนรักแล้วเพื่อให้ชายหนุ่มทั้งหลายเลิกคิดจะจีบเธอ แต่อย่างไรก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าสาวน้อยขวัญใจมหาชนคนนี้มีแฟนแล้วจริงหรือไม่ เพราะยังไม่เคยมีใครเห็นชายคนนั้นนั่นเอง

    เมื่อคล้อยบ่ายไป แสงแดดที่เคยเจิดจ้าก็ค่อยๆ หุบลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงความร้อนได้แทบไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี เวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่า เหมียวกำลังยืนปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเพราะความร้อนของอากาศ ก็ได้ยินเสียงของเครื่องยนต์แปลกประหลาดที่เธอคุ้นหูดีกำลังใกล้เข้ามา ดวงตากลมโตของเธอส่องประกายทันที เธอรีบดึงผ้าปิดปากออกเผยให้เห็นรอยยิ้มสดใสที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอ

    รถมอเตอร์ไซค์สีขาวแล่นมาจอดอยู่ข้างๆ ร้านป้าแอ๋วโดยมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นผู้ขับขี่มา เหมียวรีบวิ่งเข้าไปหาเธอทันที

    “สวัสดีจ้ะ เซร่า วันนี้มาเร็วจัง”

    หญิงสาวสวมหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบสีขาว ผมสีแดงยาวสลวยถึงกลางหลัง ดวงตาคมกริบสีเขียวธรรมชาติที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก

    “พอดีตื่นเร็วน่ะ ฉันมาเร็วไปสินะ” เซร่ากล่าว

    “อื้อ ยังมีลูกค้าอยู่เลย” เหมียวว่าพร้อมกับหันไปข้างในร้านที่ยังคงมีลูกค้านั่งอยู่หลายโต๊ะ

    “งั้นฉันเอารถไปจอดก่อนนะ เดี๋ยวกลับมารอ”

    “จ้ะเซร่า”

    หลังจากขับมอเตอร์ไซค์หายไปครู่หนึ่งเซร่าก็เดินกลับมาที่ร้าน การปรากฏตัวของเธอแทบจะสะกดทุกสายตาในร้านให้หันมามอง รูปร่างที่สูงราวกับนางแบบ หน้าอกที่ใหญ่ได้รูปและสะโพกดินระเบิดของเธอทำเอาหนุ่มๆ ในร้านอดที่จะจ้องมองจนตาเป็นมันไม่ได้ อีกทั้งหน้าตาที่สะสวยในแบบของสาวตะวันตกยิ่งทำให้เธอดูน่าสนใจมากขึ้น ทำเอานางฟ้าประจำร้านอย่างเหมียวถูกลืมไปชั่วขณะเลยทีเดียว

    เธอค่อยๆ เดินผ่านกลางร้านไปจนถึงหลังร้าน ดึงเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งจากที่ซ้อนกันอยู่หลายตัวไปนั่งรอ หลับตาลงอย่างไม่สบอารมณ์นักต่อสายตาของลูกค้าที่พากันเหลียวหลังมามองเธอ

    “วันนี้พี่สาวเธอมาเร็วนะเหมียว” ป้าแอ๋วพูดคุยด้วยทันทีที่เหมียวเดินมาหา

    “ค่ะป้าแอ๋ว”

    “แหม่...ปกติป้าจะเห็นเค้าแค่แป๊บเดียวตอนเค้าขับมอไซค์มารับเธอ พอเธอขึ้นซ้อนท้ายก็รีบขับออกไปเลยทุกที เพิ่งได้เจอได้เห็นหน้าชัดๆ ก็วันนี้แหละ”

    “พี่หนูเค้าติสท์ๆ ไม่ค่อยชอบสุงสิงน่ะค่ะ”

    แต่ก่อนที่เหมียวจะเดินออกมา ป้าแอ๋วก็เอ่ยทักเหมียวอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังกว่าปกติเล็กน้อย

    “ป้าถามจริงนะเหมียว เซร่าเค้าเป็นพี่สาวของเธอจริงๆ เหรอ”

    “ค่ะ เป็นพี่สาวค่ะ”

    ป้าแอ๋วยังคงทำหน้าสงสัย ไม่ค่อยเชื่อในคำตอบของเหมียวเท่าไรนัก คงเป็นเพราะทั้งใบหน้าและรูปร่างของเหมียวกับเซร่านั่นไม่ได้มีส่วนใดที่คล้ายกันเลยแม้แต่น้อย คนหนึ่งผิวเหลือง ตัวเล็ก หน้าเอเชีย อีกคนผิวขาวซีด ตัวสูง หน้าฝรั่ง ถึงจะบอกว่าเป็นลูกครึ่งที่ได้เชื้อพ่อแม่มาไม่เหมือนกันก็ยังฟังไม่ขึ้นอยู่ดี เพราะมันต่างกันคนละทวีปเกินไป

    “เค้าเป็นพี่สาวของหนูจริงๆ ค่ะป้า ใช้นามสกุลเดียวกันด้วยค่ะ” เหมียวยังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

    “จ้าๆ”

    ป้าแอ๋วยิ้มแล้วหยิกแก้มเหมียวเบาๆ ส่วนเหมียวก็ได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ โดยไม่เข้าใจว่าป้าแอ๋วคิดอะไรอยู่

     

    ...........................................................................................

     

    เมื่อลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วก็ถึงเวลาเก็บร้าน เซร่าที่นั่งรอจนเบื่อไม่มีอะไรทำจึงลุกขึ้นมาช่วยเก็บร้านด้วย เธอทั้งตัวสูงและแรงเยอะ สามารถช่วยยกของหนักๆ ได้อย่างรวดเร็วและไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยจนป้าแอ๋วแอบทึ่งเล็กน้อย

    เมื่อเก็บร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วป้าแอ๋วก็เดินมาหาเซร่า

    “ขอบใจนะจ๊ะหนู เอ้ย...ภาษาอังกฤษว่าไงนะ อ้อ! แท้งกิ้วๆ”

    “ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อยเอง” เซร่าตอบ

    “อ้าว พูดไทยได้ด้วยเหรอ ป้านึกว่าหนูเป็นแหม่มพูดไทยไม่ได้ซะอีก”

    “ฉันอยู่เมืองไทยมานานแล้วน่ะ”

    “เหรอ แล้วหนูเป็นคนประเทศอะไรจ๊ะ”

    “พวกเราเป็นลูกครึ่งไทย-เนเธอร์แลนด์ค่ะ” เหมียวเข้าร่วมการสนทนาได้อย่างทันท่วงที เธอขยิบตาให้เซร่าทีหนึ่งเป็นการบอกว่าเดี๋ยวฉันคุยเอง

    “หน้าตาเป็นแหม่มขนาดนี้แต่พูดไทยชัดมากเลยนะเนี่ย”

    “พี่เซร่าเค้าย้ายมาอยู่ประเทศไทยกับหนูตั้งแต่เด็กน่ะค่ะป้าแอ๋ว เลยพูดภาษาไทยได้คล่อง”

    “แหม่...เธอสองคนนี่ เป็นพี่น้องที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยเนอะ”

    คำพูดแทงใจดำของป้าแอ๋วทำให้เหมียวถึงกับนึกคำแก้ตัวไม่ออก ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แก้เขิน

    ระหว่างที่บทสนทนาขาดช่วงจนความเงียบเข้าปกคลุม เซร่าก็ยกมือมาลูบหัวของเหมียวเบาๆ ทำเอาสะดุ้งเล็กน้อย เหมียวเงยหน้ามองเซร่าอย่างงุนงงเพราะเธอไม่รู้ว่าเซร่าจะสื่ออะไร แต่มันกลับทำให้เธอสบายใจขึ้นอย่างน่าประหลาด

    “งั้นพวกหนูกลับก่อนนะคะป้าแอ๋ว” เหมียวกล่าวลาเพื่อตัดจบบทสนทนาอย่างเนียนๆ

    “เดี๋ยวก่อนจ้า เอานี่ไปด้วย” ป้าแอ๋วว่าก่อนจะหันไปหยิบถุงขนมครองแครงเจ้าดังขึ้นมา “เอากลับไปกินกันที่บ้านนะ”

    “แหม...เกรงใจจังเลยค่ะ” เหมียวกล่าว

    “ไม่เป็นไรจ้า แค่ของเล็กๆ น้อยๆ เอง เหมียวก็ช่วยงานป้ามาตั้งเยอะนะ” ป้าแอ๋วไม่พูดเปล่า เธอยื่นถุงขนมมาให้เหมียวด้วย เหมียวจึงรับไว้ตามมารยาท

    “ขอบคุณค่ะป้าแอ๋ว” เหมียวกล่าว ส่วนเซร่าแค่โค้งให้ป้าแอ๋วเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากร้านมา

    ระหว่างที่เหมียวกับเซร่ากำลังเดินไปยังที่ที่เซร่าจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ เหมียวก็ชวนเซร่าคุยด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวลเล็กน้อย

    “ป้าแอ๋วเค้าดูสงสัยมากเลยอ่ะ ว่าพวกเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ”

    “ก็ช่างเค้าสิ” เซร่าตอบทันควันอย่างไม่แยแสทำเอาเหมียวถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย

    แต่คำตอบนั่นก็ทำให้เด็กสาวคลี่ยิ้มออกมา ด้วยความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

    สองสาวเดินเข้ามาในซอยเปลี่ยวถึงบริเวณพื้นที่รกร้างที่มีหญ้าขึ้นหนาทึบ ไม่น่าแปลกใจเลยหากจะเจองูซ่อนอยู่สักตัวสองตัว รถมอเตอร์ไซค์ของเซร่าจอดอยู่ในนั้น ด้วยสภาพโทรมต่างกับตอนขับไปหาเหมียวที่ร้านลิบลับ

    “จอดรถได้ไม่กลัวโดนขโมยเลยเนอะเซร่า” เหมียวกล่าว

    “ถ้าคนสมัยนี้จะขโมยกระทั่งซากมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งไม่ได้อ่ะนะ”

    เซร่าเอื้อมมือไปจับที่แฮนด์มอเตอร์ไซค์ ทันใดนั้นก็บังเกิดแสงสว่างวาบขึ้น รถมอเตอร์ไซค์ทั้งคันส่องแสงราวกับเป็นหลอดไฟ เมื่อแสงจางลง รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าก็กลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์สีขาวสว่างใหม่เอี่ยมอ่องทั้งคัน

    เซร่าเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนรถ เอาฝ่ามือไปวางทับที่รูกุญแจแล้วบิดมือเพื่อสตาร์ทรถแทนการเสียบกุญแจ เมื่อเหมียวขึ้นมานั่งซ้อนท้าย เซร่าก็ดีดนิ้วหนึ่งทีพลันปรากฏหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบสีขาวบนศีรษะของตัวเธอเองและบนศีรษะของเหมียว

    เซร่าบิดคันเร่งจนเสียงเครื่องดังสนั่น ถ้าหากฟังดีๆ เสียงของเครื่องยนต์นั้นกลับแฝงไปด้วยเสียงแปลกๆ คล้ายกับเสียงจ้อกแจ้กของฝูงค้างคาวดังปนอยู่กับเสียงอึกทึกของเครื่องยนต์ อีกทั้งควันจากท่อไอเสียก็แลดูประหลาด ราวกับเป็นรูปร่างของฝูงค้างคาวบินออกมา

    “จับแน่นๆ นะแมว” เซร่าว่าพร้อมกับเหลือบมองกระจกข้างรถ ก็เห็นเหมียวยื่นหน้าออกมายิ้มให้

    “อื้อ~” เหมียวกอดเอวเซร่าแน่น พร้อมที่จะให้รถมอเตอร์ไซค์พุ่งทะยานออกไปพาเธอกลับบ้าน

     

    ...........................................................................................

     

    รถมอเตอร์ไซค์คันสีขาวสว่างพาหญิงสาวทั้งสองคนมาถึงบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งที่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน เป็นบ้านสองชั้นที่สร้างจากไม้ ทาสีผนังด้วยสีขาวทั้งหลัง มีบันไดขึ้นไปชั้นสองได้จากหน้าบ้าน หลังบ้านเป็นป่าที่มีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ บนหลังคามีลิงหาวยาวฝูงหนึ่งกำลังเดินไปเดินมา

    “ฉันละเบื่อลิงพวกนี้จริงๆ” เซร่าบ่นทันทีที่เห็น

    “แต่ฉันว่าพวกมันน่ารักดีออกนะ” เหมียวว่า ก่อนจะค่อยๆ ลงจากมอเตอร์ไซค์

    เมื่อเหมียวลงไปแล้ว เซร่าจึงลงจากมอเตอร์ไซค์บ้าง เธอเดินจูงมอเตอร์ไซค์ไปจอดอยู่ข้างๆ บ้านตรงจุดที่มีหลังคายื่นออกมา และทันทีที่เธอปล่อยมือ มอเตอร์ไซค์คันสีขาวสว่างก็ส่องแสงวาบแล้วกลับกลายเป็นมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ที่สีถลอกทั้งคัน

    ทั้งสองเดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นสองของตัวบ้าน โดยมีเสียงลิงร้องเจี๊ยกๆ จากบนหลังคาเป็นการต้อนรับ

    “ชาวบ้านที่นี่ก็เก่งเนอะ อาศัยอยู่กับลิงพวกนี้ได้มาตั้งนมนาน” เซร่าเอ่ยขึ้นระหว่างไขกุญแจเพื่อเปิดประตูเข้าบ้าน

    “แล้วเซร่ารู้รึเปล่าว่าทำไมที่นี่ถึงมีแต่ลิงเต็มไปหมด” เหมียวถามพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย

    “ไม่”

    ประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นภายในตัวบ้านที่แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ตั้งอยู่เลย มีแต่เพียงตู้กับข้าว โต๊ะที่วางอุปกรณ์ทำอาหารกับจานชาม และโต๊ะตัวเล็กๆ ที่เอาไว้นั่งพื้นกินข้าวเท่านั้น

    “เค้าว่ากันว่า จังหวัดลพบุรีเนี่ย ในสมัยก่อนนู้นนนนน เคยเป็นนครแห่งวานรล่ะ” เหมียวกล่าว

    “คือจะบอกว่าพื้นที่แถบนี้เคยเป็นป่าที่มีลิงอาศัยอยู่เยอะ อะไรทำนองนั้นเหรอ”

    “ไม่ใช่ๆ ...คือเป็นเมืองเลยอ่ะ เมืองที่มีแต่ลิงอาศัยอยู่ แล้วก็มีลิงเป็นเจ้าเมือง ลิงที่เป็นเจ้าเมืองมีชื่อด้วยนะ แต่ฉันจำไม่ได้”

    “ลิงเนี่ยนะเป็นเจ้าเมือง” เซร่าถามย้ำอีกครั้ง

    “อื้อ~

    “แล้วลิงที่ไหนมันจะสร้างเมืองเป็นยะยัยแมว!” เซร่าแผดเสียง

    แมว คือชื่อที่เซร่าใช้เรียกล้อเลียนเหมียว ซึ่งก็เรียกจนติดปากไปเสียแล้ว

    “เง้อ...ฉันก็ไม่รู้อ้ะ ก็เค้าเล่ามาอย่างนี้” เหมียวตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ความมั่นใจในเรื่องที่เล่ามลายหายไปทันที

    “เค้านี่ใครล่ะ”

    “ก็ลูกค้าที่ร้าน...” เหมียวก้มหน้างุดพร้อมกับทำตัวลีบกลัวจะถูกเซร่าดุอีก

    “ฉันว่ามันคงเป็นแค่เรื่องเล่าแหละ อย่าไปเชื่อมากนักเลย”

    เซร่ากล่าวด้วยท่าทีที่สงบลงกว่าเมื่อครู่ พลางลูบหัวเหมียวเบาๆ สองสามทีแล้วจึงเดินหายเข้าไปในห้องนอน เหมียวมองตามหลังเซร่าไปแล้วยิ้มออกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินไปที่ตู้กับข้าวเพื่อเตรียมอาหารเย็น

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×