ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่ายรักพญามังกร (มังกรคาบทอง เพื่อเธอ..ที่ฉันรอ)

    ลำดับตอนที่ #2 : รอยยิ้มที่ตราตรึง

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 56


    บทที่ 1

    รอยยิ้มที่ตราตรึง

    ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมาลี่หลีชิงไม่อาจทำอะไรก็ตามในเรื่องที่หย่งไท้เคยฝากเอาไว้ได้สักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตามหาข่าวคราวของหย่งอี้ซึ่งบัดนี้การคาดหวังว่าเธอจะยังคงมีชีวิตอยู่คงเรียกได้ว่าริบหรี่เต็มที หรือว่าจะเป็นการตามหาเจ้าของมังกรคาบทองนี้ก็ตาม  เพราะลำพังแค่เธอต้องทำงานทุกอย่างเพื่อที่จะสามารถหาเลี้ยงตัวเองให้ผ่านไปวันๆได้ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด  หญิงสาวที่เรียนจบแค่เพียงชั้นมัธยมปลายไร้ญาติขาดมิตร  ต้องทำงานทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้เธอเองก็ยังนึกไม่ออกเลยจริงๆ  อีกทั้งยังต้องคอยระแวดระวังผู้คนมากหน้าหลายตาจนแทบจะไม่ค่อยมีเพื่อนเลยด้วยซ้ำ

    เธอต้องเริ่มทุกอย่างใหม่จากจุดที่เรียกว่าเป็นศูนย์เลยก็ว่าได้

    จำได้ว่าหลังจากวันนั้นที่พบว่าห้องของตัวเองถูกรื้อค้น เธอรีบพาตัวเองออกมาจากอพาร์ทเม้นท์แห่งนั้นทันที สองขาวิ่งไปอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่รู้จะไปไหนดี ในใจคิดแค่ว่าตอนนี้ต้องหาที่หลบซ่อนจากผู้คนน่ากลัวพวกนั้นให้ได้ก่อน อย่างน้อยยังดีที่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเธอเป็นญาติกับหย่งไท้และหย่งอี้ ถึงแม้ทั้งสามจะสนิทสนมกันเพราะติดต่อกันมาโดยตลอด แต่ตัวเธอเองเพิ่งย้ายมาอยู่กับสองพี่น้องตระกูลหย่งอย่างจริงๆจังๆได้ไม่นาน หลังจากสูญเสียญาติที่เหลือเพียงคนเดียว คือคุณน้าของเธอไป

    ตอนนั้นสิ่งเดียวที่คิดขึ้นได้ก็คือ เจ้ฟ่งเจ้าของร้านซาลาเปา ซึ่งแทบจะเป็นคนเดียวที่เธอรู้จักและน่าจะให้ความช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ซึ่งเจ้ฟ่งก็ช่างใจดีเหลือเกิน จัดแจงพาเธอซึ่งอ้างไปว่าตอนนี้ไม่มีที่อยู่เนื่องจากพี่ชายย้ายไปทำงานที่อื่นและทิ้งเธอไว้ที่นี่เพียงคนเดียวไปที่หอพักหญิงแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากร้านซาลาเปาเท่าไหร่นัก แล้วติดต่อเจ้าของซึ่งเป็นญาติๆกันให้เธอเข้าพัก ทั้งยังให้ยืมเงินจ่ายค่าเช่าห้องเดือนแรกอีกด้วย

    เด็กสาวในวัยสิบแปดต้องเริ่มทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านซาลาเปา ล้างจานในร้านอาหารติ่มซำ เป็นเด็กเสริฟ ขายอาหารฟาสฟู้ดส์ และงานล่าสุดที่เพิ่งได้เข้ามาทำไม่นานคือ การเป็นไกต์  เรียกได้ว่าเธอทำงานอย่างไม่เคยหยุดเลยด้วยซ้ำ วันๆนึงนอนได้อย่างมากแค่สองถึงสามชั่วโมง ด้วยกำลังใจเพียงหนึ่งเดียวที่เธอเฝ้ารอวัน เฝ้ารอโอกาสที่จะส่งมอบของมีค่าในมือเธอซึ่งหย่งไท้ได้สั่งเสียไว้คืนให้กับคุณเฉินให้ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่รู้หรอกว่าคุณเฉินอะไรนั่นเป็นใคร แล้วเธอจะพบกับเค้าได้ยังไง แต่ก็มั่นใจเหลือเกินว่าวันนึงโอกาสนั้นต้องมาถึงแน่นอน

    สาวน้อยรูปร่างบอบบางอยู่ในชุดเก่งเสื้อเชิ้ตสีดำกางเกงยีนส์สีซีด รองเท้าผ้าใบสีขาว  รวบผมหนานุ่มสลวยยาวเคลียบ่าไว้ด้านหลัง สวมหมวกแก๊ปสีดำซึ่งเป็นของชิ้นเดียวที่เธอหยิบออกมาจากห้องของหย่งไท้ได้ถือเป็นของต่างหน้าของพี่ชาย นอกเหนือจากรูปถ่ายที่เธอพกติดกระเป๋าเงินที่เธอถ่ายไว้คู่กับพี่ไท้และอาอี้ ลงบนศีรษะสวยได้รูป ใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวนวลเนียนไร้การแต่งเติม ถึงแม้จะสวมแว่นสายตาหนากรอบสีดำ ก็ไม่อาจบดบังความน่ารัก สดใสจากดวงตาคู่กลมโตได้ เคยมีคนบอกว่าเธอได้รับดวงตาที่กลมโตมาจากมารดาที่เป็นชาวไทย ดังนั้นเธอจึงมีตาที่โตกว่าเพื่อนๆอยู่มากเลยทีเดียว

    ลี่หลีชิงก้าวเท้าออกจากห้องพักของตนซึ่งเธอยังคงพักอยู่ที่เดิมที่เจ้ฟ่งเคยช่วยหาให้ มันไม่ไกลจากอพาร์ทเมนต์เก่าของเธอมาก ไม่คิดจะหนีไปไหนไกล ด้วยมั่นใจว่าเบาะแสต่างๆและคุณเฉินคนนั้นคงจะต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแถวนี้อย่างแน่นอน

    วันนี้เธอมีนัดไปรับกรุ๊ปทัวร์จากเมืองไทย หน้าที่ของเธอก็แค่เพียงไปรับลูกทัวร์ที่สนามบินเช็กแล็บก็อก ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง พาลูกทัวร์ขึ้นรถไปส่งที่ที่พักที่แต่ละคนจองไว้จนครบทุกคน จากนั้นลูกทัวร์ก็จะแยกย้ายกันเที่ยวด้วยตัวเอง ส่วนซิตี้ทัวร์ที่เธอจะเป็นผู้พาลูกทัวร์ท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆก็จะนัดวันกันอีกที โดยมากก็จะใช้เวลาประมาณครึ่งวันกว่าๆเป็นอันจบซิตี้ทัวร์ เจอกับลูกทัวร์อีกทีก็ตอนส่งแต่ละคนขึ้นรถไปสนามบินเพื่อกลับเมืองไทย จึงถือจบหน้าที่ของเธออย่างสมบูรณ์ ก็เป็นงานที่สนุกดีเหมือนกัน

    “ชิงชิง ทางนี้” หญิงสาวหันขวับไปหาต้นเสียงแหลมเล็กทันที พร้อมเปิดรอยยิ้มสุดสดใส โบกมือหยอยๆทักทายหญิงสาวที่ตะโกนเรียก เหม่ยฟาง เพื่อนซึ่งเธอรู้จักจากงานเป็นไกต์นำเที่ยว หญิงสาวที่มีความใฝ่ฝันในการท่องเที่ยว เธอเองกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อแห่งหนึ่ง เอกภาษา เธอจึงมาฝึกงานนี้เพื่อถือว่าเป็นการชิมรางอาชีพในอนาคตของตนเอง

    “เหม่ยฟาง วันนี้มารับลูกทัวร์เหมือนกันเหรอ” ลี่หลีชิงถามกลับหญิงสาวหน้าหมวยที่มีดวงตายาวรี ผมหยักศกสีดำถูกรวบตึงไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย เหม่ยฟางเป็นหญิงสาวที่แม้ไม่ได้สวยสะดุดตา แต่รูปร่างอวบอั๋นและผิวขาวๆของเหม่ยฟางก็เสริมให้ผู้หญิงตรงหน้าดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว

    “ใช่ สงสัยจะมาไฟล์ทเดียวกันนะ”

     “เออนี่ ชิงชิง ตอนนี้เธอยังอยากทำงานพิเศษที่รายได้ดีๆอยู่รึเปล่า” ลี่หลีชิงหรี่ตามองเพื่อนสาวซึ่งมักจะแนะนำงานดีๆให้เธอเสมอ

    “ไม่น่าถามนะ งานอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ขอให้บอกเถอะ ขออย่างเดียวอย่าขายศักดิ์ศรี ไม่ผิดกฎหมายและไม่ทำให้ใครเดือนร้อน ชิงชิงคนนี้รับหมด” พูดพลางก้าวเท้าไปตามทางเดินเพื่อรอรับลูกทัวร์ของตัวเอง

     

    ตามทางเดินภายในตึกสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท โกลเด้นดราก้อน กรุ๊ป  บริษัทยักษ์ใหญ่ที่คุมธุรกิจงานก่อสร้างเกือบทั่วทั้งเกาะฮ่องกงและเกาลูน อีกทั้งยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าและโรงแรมหรูหราหลายแห่ง ร่างสูงสง่ารายล้อมด้วยชายฉกรรจ์หลายคนสวมสูทสีดำ กำลังก้าวเท้าเดินไปตามทางเดินที่ปูพรมสีแดง กำแพงระหว่างทางเดินนี้มีตบแต่งด้วยลวดลายมังกรสีทองอย่างหรูหราทอดยาวไป ชายหนุ่มกดลายนิ้วมือของตนเองลงไปที่ผนังกำแพงด้านหนึ่งเพื่อเปิดประตูลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกำแพงออก แล้วก้าวเท้าลงไปด้านล่างทันที

    ร่างกายของชายหนุ่มที่เปลือยช่วงอก นอนฟุบอยู่ที่ภายในมุมห้องที่ตบแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหรูหรา เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่มีคราบเลือดและร่องรอยของตกแตกอยู่มากมาย เรียกได้ว่าห้องนี้เป็นห้องทรมานที่หรูหราเหมือนโรงแรมห้าดาวเลยทีเดียว ร่างกายของชายหนุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด บาดแผลฉกรรจ์ตามร่างกายหลายแห่ง แต่ละแห่งล้วนยังไม่ถูกจุดสำคัญ แสดงให้เห็นว่าผู้กระทำยังไม่ประสงค์ให้ตายแต่อยากให้ทรมานอย่างช้าๆก็เท่านั้น

    ร่างกายสูงใหญ่เกือบสองเมตรในชุดสูทสีดำ สวมทับด้วยเสื้อโคทยาวสีเดียวกันก้าวเดินตรงมาหาชายหนุ่มผู้โชคร้ายเขานั่งชันเข่าลงข้างหนึ่งพลางก้มหน้าลงไปใกล้กับชายคนนั้น ใบหน้าคมคาย ดวงตาเรียวเล็กแต่ตวัดขึ้นอย่างพญาอินทรีคมกริบ จมูกโด่งรั้นได้รูปรับกันอย่างดีกับคิ้วดำดกหนา ผมยาวรองทรงระบ่าหวีเรียบอย่างเป็นทรง ริมฝีปากหนาได้รูปแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ใบหน้าหล่อเหลาแต่ยามยิ้มก็เป็นดังมัจจุราชจำแลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันทรงพลังอำนาจ

    “เป็นยังไงบ้างอาเยี่ย ของขวัญจากฉันแกชอบรึเปล่า” เฉินห้าวหลง หยัดตัวลุกขึ้นยืนพร้อมหยิบมีดพกประจำตัวสลักลายมังกรขึ้นตวัดไปมาอย่างชำนาญพร้อมกับตวัดหางตามองไปยังชายหนุ่มที่มีสภาพสะบักสะบอมคนนั้น เหล่าบรรดาผู้ติดตามหรือบอดี้การ์ดในชุดสูทดำทั้งหลายต่างรู้สึกหวาดผวา ด้วยรู้ว่าเจ้านายของตนคนนี้เป็นคนที่โหดเหี้ยมได้ถึงที่สุดแค่ไหน  คุณเฉินห้าวหลงซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นถึงประธานกรรมการบริหารของบริษัท โกลเด้นดราก้อน ซึ่งฉากหลังคนในวงการต่างรู้ถึงฐานะของชายคนนี้ดีว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของแก๊งจิงหลง ซึ่งเป็นรากฐานของบริษัทโกลเด้นดราก้อนนั่นเอง

    “คุณเฉินครับ ผม ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่เคยลอบส่งข้อมูลอะไรให้ใครทั้งนั้นนะครับ ได้โปรดปล่อยผมไปด้วยเถอะนะครับ” อาเยี่ยก้มหัวคำนับขอความเห็นใจจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพญามัจจุราชที่ไร้ซึ่งหัวใจ ไม่มีความเมตตาปราณีกับศัตรูหรือผู้ที่หักหลังอย่างเด็ดขาด

    เฉินห้าวหลงเดินตรงไปยังอาเยี่ยอีกครั้งนั่งยองๆพร้อมกดมีดของตนลงบนใบหน้าข้างขวาของเชลยของตนอย่างแรงในขณะที่ใบหน้าของเขายังคงยกยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เลือดไหลออกมาไม่หยุด อาเยี่ยใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวชายตรงหน้าอย่างที่สุด ไม่น่าพลาดเลย ถูกจับได้แบบนี้จะรอดรึเปล่าไม่รู้

    “ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง จะสารภาพไหมว่าใครเป็นคนส่งแกมา” ชายหนุ่มตวาดลั่นพร้อมตวัดมีดออกจากใบหน้าของอาเยี่ยทันที เลือดไหลพุ่งกระฉูดออกมาไม่หยุด “ ได้หากแกไม่พูด พรุ่งนี้แกได้เห็นศพลูกแกแน่” พูดจบเฉินห้าวหลงตั้งท่าจะก้าวขาออกไปจากห้องทันที

    “หวังคุน หวังคุน เป็นคนบงการเรื่องนี้ อย่าทำอะไรลูกผมนะครับคุณเฉินผมเองก็ไม่อยากทำข้อมูลที่ผมขโมยไปก็ยังไม่ได้ส่งให้ใคร ได้โปรดเถอะครับ” อาเยี่ยร้องคร่ำครวญขอร้องผู้ชายตรงหน้า

    “หึ แกน่าจะรู้ดีว่าคนที่ทรยศฉันต้องโดนอะไร “ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อเช็ดมีดคู่ใจอย่างหวงแหน จากนั้นก็โยนผ้าผืนนั้นลง พร้อมหมุนตัวกลับออกไป “อาฟง จัดการต่อด้วย” เสียงดังทรงอำนาจสั่งลูกน้องคนสนิทก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย

    ทุกคนล้วนแต่รู้ดีว่าคนทรยศ ตั้งใจทำร้าย หรือล่วงเกินเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง ไม่มีใครที่ทรยศจิงหลงแล้วจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้ เฉินห้าวหลงเดินตรงไปยังลิฟท์พร้อมบอดี้การ์ดอีกหลายคน กดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของตึก ซึ่งเป็นห้องทำงานของเขา ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนโต๊ะทำงานสุดหรูตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราผสมผสานระหว่างกลิ่นอายของตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว โซฟาบุผ้านวมสีทองที่สลักลายมังกร เข้ากันได้อย่างดีกับโต๊ะทำงานสีน้ำตาลขอบทองที่มีมังกรสีทองตัวใหญ่พันรอบโต๊ะอย่างงดงาม จิงหลง เป็นเสมือนที่พักพิงและบ้านของเขา เป็นหน้าที่ที่เขาต้องดูแลให้ดีที่สุด เพราะผู้ชายคนนั้นคนที่มีบุญคุณกับเขาอย่างล้นเหลือได้มอบความไว้วางใจมอบทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง และตำแหน่งสูงสุดที่เขายืนอยู่ในวันนี้ให้กับเขา ทำให้เด็กผู้ชายจนๆคนหนึ่งได้แสดงศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ และให้โอกาสเขาได้เดินมาจนถึงจุดนี้ได้

    ชายหนุ่มย้อนคิดไปถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเด็กหนุ่มวัยสิบหกปี มีชีวิตอยู่อย่างลำบากค่อนแค้น ต้องทำงานพิเศษส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านเพื่อหารายได้ประทังชีพของตนเองและบิดาที่มีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามไซร์สงานก่อสร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังๆร่างกายเริ่มป่วยออดๆแอดๆจนไม่อาจทำงานได้อย่างเต็มที่แล้ว วันหนึ่งในขณะที่เขาขี่จักรยานไปหาพ่อของเขาที่ไซร์สงานก่อสร้าง เขาได้เห็นพ่อกำลังพยุงผู้ชายคนหนึ่งอายุใกล้เคียงกับพ่อน่าจะราวสามสิบปลายๆเดินตรงมายังเขา

    “อาหลง ลูกพาผู้ชายคนนี้ไปโรงพยาบาลนะ เอ้านี่เงินเรียกรถไปเลยนะ” ผู้เป็นบิดากล่าวพลางหยิบเงินในกระเป๋ากางเกงส่งให้ลูกชายอย่างรีบร้อน

    “เค้าเป็นใครเหรอครับพ่อ” เด็กหนุ่มถามพ่อของตนอย่างงุนงง

    “โดนยิงอยู่ในไซร์สงานที่พ่ออยู่แน่ะ รีบไปเถอะเร็ว” เด็กหนุ่มพยักหน้าพลางรีบพยุงชายวัยกลางคนที่ใกล้จะหมดสติไปยังถนน ระหว่างที่กำลังขึ้นรถที่เรียกไว้ เสียง ปัง ปัง ดังขึ้นติดๆกัน พอหันกลับไปมองเด็กหนุ่มตะลึงกับภาพที่เห็นพร้อมกับตะโกนเสียงดัง

    “พ่อ พ่อครับ”  เด็กหนุ่มตั้งท่าจะวิ่งไปหาพ่อของตนอย่าเร็ว แต่มือหนาของชายข้างตัวยึดข้อมือไว้

    “อย่าไปนะ ไม่งั้นเธอจะไม่รอด เรารีบไปเถอะ” เด็กหนุ่มยังดื้อดึงอยู่ซักพัก จนเมื่อเห็นชายกลุ่มหนึ่งตั้งท่าเดินมายังตนพร้อมกระชับปืนในมือแบบพร้อมจะยิงได้ทุกเมื่อจึงพอเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้มากขึ้น รีบดันร่างของชายที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นรถและตัวเองก็รีบรุดเข้าไปในรถตามไปพร้อมปิดประตูลงทันที “ออกรถเลยครับพี่”

    เฉินเหวินหมิงมองเด็กหนุ่มข้างกายอย่างเอ็นดูและรู้สึกชื่นชม เด็กอายุแค่นี้แต่มาสามารถตั้งรับกับปัญหา และเข้าใจสถานการณ์ที่กดดันได้เป็นอย่างดี ซ้ำท่าทางก็ดูห้าวหาญแต่มีความอ่อนน้อมอยู่ในที

    “คุณเป็นใคร ทำไมถึงมีคนตามฆ่าคุณ” เฉินเหวินหมิงยิ้มบางที่มุมปากให้กับคำถามที่ตรงไปตรงมาและดูไม่กลัวใครของเด็กคนนี้

    “เธอชื่ออะไร แล้วมีญาติที่ไหนอีกบ้างหรือเปล่า”

    เด็กหนุ่มหันมามองชายแปลกหน้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อล้นอยู่เต็มขอบตาแต่พยายามสะกดกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา “ผมไม่มีญาติที่ไหนครับ มีพ่อคนเดียว ผมชื่อ ห้าวหลงครับ หลี่ห้าวหลง” เฉินเหวินหมิงพยักหน้า สองพ่อลูกนี้มีบุญคุณกับเขามาก หากไม่ได้ชายคนนั้นป่านนี้เขาคงได้ลาโลกใบนี้ไปแล้ว แล้วเขาจะปล่อยให้ลูกชายของผู้มีพระคุณต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ยังไง แล้วอีกอย่างเด็กคนนี้มองดูกี่ทีก็มีรัศมีของความเป็นผู้นำ คงไม่ผิดหากเขาจะให้อยู่ข้างกายเพราะในวันข้างหน้าเด็กคนนี้อนาคตไกลแน่นอน

    “ดี ดีมาก ห้าวหลง งั้นต่อไปนี้เธอไปอยู่กับฉันนะ ฉันจะรับเธอเป็นลูกบุญธรรม และจำไว้ต่อไปนี้ชื่อของเธอคือ เฉินห้าวหลง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเฉิน”

    เฉินห้าวหลงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่าช้าๆ พ่อบุญธรรมมีพระคุณกับเขาเป็นอย่างมากส่งเสียให้เขาเรียนมหาวิทยาลัยจนจบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ สนับสนุนให้เขาฝึกฝนทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวแทบทุกอย่าง การใช้อาวุธทุกประเภท สอนงานและมอบหมายภาระหน้าที่ในบริษัทให้มากมายตั้งแต่ยังเรียนไม่จบจนเขาเองกลายเป็นมือขวาของจิงหลง และเป็นที่ยอมรับของลูกน้องทุกคน และรวมถึงฝีมือในการทำงานที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างไม่ขาดปากตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบดีด้วยซ้ำ เขาช่วยงานพ่อบุญธรรมอย่างดีมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นงานสะอาดหรืองานในด้านมืดเขาไม่เคยลังเลใจที่จะทำเพื่อจิงหลงเลยสักครั้ง

     จนเมื่อสามปีที่แล้ว เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้น มีคนทรยศของจิงหลงลอบตัดสายเบรกรถยนต์ของพ่อบุญธรรมจนทำให้รถที่พ่อบุญธรรมและเฉินเหวินหลิง ลูกสาวเพียงคนเดียวที่อายุห่างกับเขาสิบปีชนเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างแรงและไม่เพียงแค่นั้น พวกนั้นยังส่งคนมาไล่ยิงการ์ดและพ่อบุญธรรมจนเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ หนำซ้ำยังขโมยเอาจี้มังกรคาบทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำจิงหลงไปอีกด้วย แต่ที่น่าแปลกคือ พวกมันกลับไม่ทำอะไรอาหลิง  บุตรสาวเพียงคนเดียวของเฉินเหวินหมิงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่หญิงสาวแสนซื่อที่พบเจอกับเหตุการณ์ที่น่ากลัว ทำให้เธอสติแตกกระเจิง กลายเป็นคนสติไม่ดีไม่พูดไม่จากับใครอีกเลยนับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น

    ตัวของเขาเองต้องเข้ารับสืบทอดกิจการและภาระหน้าที่ต่างๆของพ่อบุญธรรมต่อทั้งหมด บริษัท โกลเดนดรากอน มีธุรกิจในมือค่อนข้างมาก เรียกได้ว่าครอบคลุมธุรกิจเกือบทั้งหมด แต่ธุรกิจที่ใหญ่และเป็นรากฐานของบริษัทก็คือบริษัทรับเหมาก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดซึ่งตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะนับตั้งแต่เขาได้เข้ามาดูแลบริษัทอย่างเต็มตัว เขาพยายามขยายงานออกไปยังประเทศในแถบเอเซียให้มากยิ่งขึ้น จนทำให้โกลเด้นดรากอนผงาดขึ้นมามีชื่อเสียงครอบคลุมประเทศในแถบเอเซียมากยิ่งขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้นธุรกิจห้างสรรพสินค้าของบริษัทก็กำลังขยายตัวอย่างเต็มที่ ทั่วทั้งเกาะฮ่องกงและเกาลูนมีห้างสรรพสินค้าใหม่ของบริษัทเปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ภาระหน้าที่มากมายนำมาซึ่งชื่อเสียงเงินทองที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างล้นเหลือ แต่ศัตรูก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย

     ใช่ โดยเฉพาะศัตรูผู้ซึ่งเขาคิดว่าเป็นต้นเหตุให้พ่อของเขาเสียชีวิต เป็นผู้บงการลอบสังหารพ่อบุญธรรมเมื่อยี่สิบปีก่อน และรวมถึงน่าจะเป็นผู้ส่งหนอนบ่อนไส้เข้ามาลอบสังหารพ่อบุญธรรมในครั้งนี้ด้วย ส่งคนเข้ามาล้วงข้อมูลของบริษัท และน่าจะเป็นผู้ซึ่งเอามังกรคาบทองสัญลักษณ์ของผู้นำจิงหลงไป แต่ก็น่าแปลก หวังคุน จะเอาของสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร มังกรคาบทองเป็นของสำคัญของจิงหลง หากผู้ที่มีอำนาจในจิงหลงได้ครอบครองไว้และพร้อมกับเป็นผู้มีชื่ออยู่ในพินัยกรรมตามกฎก็จะเป็นผู้นำคนต่อไปอย่างสมบูรณ์แบบ ถือเป็นประเพณีที่สืบทอดมาภายในเนิ่นนาน ผู้นำทุกคนจะต้องดูแลรักษาจี้หยกอันนี้ยิ่งชีวิตของตน แต่ในกรณีของเขาเนื่องจากของสำคัญนั้นได้สูญหายไป และไม่มีใครกล่าวอ้างว่าครอบครองมันอยู่จึงทำให้เขาได้รับช่วงเป็นผู้นำจิงหลงต่อไปก่อนโดยปริยาย และนั่นทำให้เขามั่นใจว่าในจิงหลงต้องมีคนทรยศอยู่แน่นอน

    แล้วตอนนี้มังกรคาบทองอยู่ที่ไหน ผ่านมาสามปีไม่เคยมีใครพบเห็นหรือได้ข่าวคราวของมันอีกเลย ทั้งๆที่คนของจิงหลงก็มีอยู่มากมายยังตามสืบไม่เจอ แต่ยังไงซะเขาจะต้องตามหาให้พบให้ได้ รวมถึง หย่งไท้ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนทรยศนั่นด้วย เสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉินห้าวหลงเอ่ยปากอนุญาต จางฟงเปิดประตูเข้ามาก้มหัวคำนับเจ้านายอย่างอ่อนน้อม

                    “คุณเฉินครับ ผมจัดการอาเยี่ยตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้วนะครับ แล้วเรื่องหวังคุน ท่านจะเอายังไงต่อดีครับ” อาฟงถามเฉินห้าวหลงด้วยรู้ว่าที่มังกรตัวนี้เงียบสงบมาได้เกือบสามปีเพราะรอเวลาและโอกาสที่จะจัดการกับพยัคฆ์เฒ่าอย่างหวังคุนอยู่นั่นเอง

                    เฉินห้าวหลงยิ้มเหี้ยมลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง “แกไม่ต้องห่วงหรอก หวังคุนหนีฉันไม่พ้นแน่ บัญชีทุกอย่างฉันจะปิดมันอย่างสาสม รอให้เราได้มังกรคาบทองกลับมาก่อนเถอะ” ใช่ตอนนี้ไม่รู้ว่าของสำคัญไปอยู่ที่ไหน หากวู่วามทำอะไรไป ของนั่นสูญหายหรือถูกทำลาย หรือมันเกิดตกไปอยู่ในมือของคนที่หวังในอำนาจจิงหลงขึ้นมาจะยิ่งยุ่ง เพราะคนข้างกายในจิงหลงเองก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกคนซะที่ไหน

                    “อาฟง เดี๋ยวชั้นจะออกไปข้างนอกหน่อย ไม่ต้องให้ใครตามไปนะ” ร่างสูงใหญ่พูดพลางหยิบเสื้อโคทสีดำขึ้นมาพาดแขนของตนไว้

                    “จะดีเหรอครับคุณเฉิน ให้คนของเราตามไปด้วยดีกว่านะครับ หรืออย่างน้อยให้ผมตามไปด้วยสักคนก็ยังดี” เฉินห้าวหลงเดินมายืนข้างกายคนสนิทพร้อมยกมือหนาตบบ่าอาฟงสองสามที “เอาน่า ขอเวลาเป็นส่วนตัวบ้างเถอะ แกก็รู้ฉันดูแลตัวเองได้” พูดจบร่างสูงใหญ่ของเฉินห้าวหลงก็ก้าวออกไปทันที

                    รถสปอร์ตสีเงินสองที่นั่งคันหรูขับขึ้นเขาไปยังวิคตอเรียพีคอย่างชำนาญ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณทางขึ้นเขา ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดสีชาลงจากรถและเดินตรงไปยังจุดชมวิวบนเขาทันที สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่เขาชอบมาเวลาย้อนคิดไปถึงเรื่องในอดีตหรือมีเรื่องที่ต้องขบคิด เพราะมันทำให้เขารู้สึกถึงพ่อแท้ๆของเขาซึ่งตอนเด็กๆพ่อมักจะพามาที่นี่อยู่เป็นประจำ ภาพชายวัยกลางคนที่ดูใจดี แต่ผิวคร้ามแดดเพราะต้องทำงานหนักมาตลอดชีวิตลอยเข้ามาในความทรงจำของเฉินห้าวหลง

    ระหว่างที่กำลังปล่อยสมองและความคิดล่องลอยไป เสียงหวานเจื้อยแจ้วเป็นภาษาอังกฤษที่ดังกังวานอยู่ไม่ไกลดึงความคิดและความสนใจของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ภายใต้เสื้อโคทตัวยาวสีดำให้หันไปหาทันที เสียงพูดหวานกังวาน พร้อมท่าทางน่ารักสดใสตรึงสายตาของชายหนุ่มเอาไว้

                    ลี่หลีชิงบอกเล่าประวัติความเป็นมาของวิคตอเรียพีคให้กับลูกทัวร์ที่มาซิตี้ทัวร์กับตนในวันนี้อย่างคล่องแคล่ว    “วิคตอเรียพีคหรือไท่ผิงซานติ่ง เป็นยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 552 เมตร สูงเป็นอันดับที่ยี่สิบสี่ของฮ่องกง ถึงแม้จะสู้เรื่องความสูงกับยอดเขาอื่นๆไม่ได้ แต่ที่นี่ก็โดดเด่นตรงที่มีทิวทัศน์เบื้องล่างที่งดงามต่างจากยอดเขาอื่นโดยสิ้นเชิง จนได้ชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดในฮ่องกงเลยนะคะ” เฉินห้าวหลงไม่อาจหยุดสองขาของตนเองได้ เมื่อเขาค่อยๆก้าวเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มคนกลุ่มนั้น ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มทัวร์ที่มาเที่ยวที่นี่

     “ทัศนียภาพของที่นี่สวยงามมากคุณจะได้ชื่นชมบรรดาภาพตึกระฟ้าบนเกาะฝั่งฮ่องกงรูปทรงแปลกตาซึ่งล้วนสร้างตามความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย รวมไปถึงภาพของเรือสินค้า เรือเฟอร์รี่ส์ ภาพความเจริญบนฝั่งเกาลูน และหากช่วงดึกๆหน่อยก็จะมีการแสดง Symphony of Lights ที่สวยงามมากเลยค่ะ” ลี่หลีชิงพูดพลางส่งรอยยิ้มหวานให้กับทุกคน เล่นเอาชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งเข้ามาร่วมลงยืนตะลึงในรอยยิ้มสดใสตรึงใจนั้นอย่างมากมาย

                    “งั้นตอนนี้จะให้เวลาทุกท่านประมาณครึ่งชั่วโมงนะคะ เชิญถ่ายรูปและเดินเลือกซื้อของที่ระลึกได้ตามอัธยาศัยเลยคะ แล้วอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่รถค่ะ” หลังจากลูกทัวร์ประมาณสิบกว่าคนแยกย้ายกันออกไป ลี่หลีชิงเองก็เดินออกไปชมวิวยังมุมๆหนึ่ง

                    เฉินห้าวหลงลอบยิ้มให้กับตัวเองที่ไม่อาจละสายตาจากสาวตรงหน้าได้ ผู้หญิงที่ดูธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่งตัวเชยๆด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ และสวมเสื้อคลุมแขนยาวมีฮู้ดสีดำ ผมถูกรวบไว้เป็นหางม้าหลวมๆ สวมแว่นตากรอบสีดำ หากเทียบกับผู้หญิงคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาแล้ว เธอเรียกว่าเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเขาจึงไม่อาจละสายตาจากภาพที่ดูเป็นธรรมชาติตรงหน้าได้เลย อาจเป็นเพราะความเป็นธรรมชาติ ท่าทางน่ารักสดใสของเธอ ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งที่ชีวิตมักอยู่แต่กับความเครียด ความรุนแรงและกลิ่นคาวเลือด  รู้สึกผ่อนคลายไปก็เป็นได้ระหว่างที่เขากำลังใช้ความคิดกับตัวเองจนลืมระมัดระวังสิ่งที่อยู่รายรอบกาย ทั้งๆที่ปกติเขาจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเองเสมอ เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้น

    “คุณคะ ระวังคะ” ลี่หลีชิงรีบวิ่งเข้าไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพราะเธอเหลือบไปเห็นชายฉกรรจ์สองคนสวมแว่นดำกำลังเล็งปืนมาที่ชายคนนั้น พร้อมกับพุ่งเข้าชนชายคนนั้นให้ล้มลงเพื่อหลบกระสุนปืนไปอย่างหวุดหวิด

                    ทั้งสองล้มลงบนพื้น และในแทบจะทันทีเฉินห้าวหลงรีบยันตัวพลิกตัวเองขึ้นและใช้ร่างของตนบังร่างบางที่อยู่ข้างใต้จนมิดเพื่อให้พ้นจากกระสุนที่อาจจะถูกยิงตามมาได้ พร้อมมือขวากระชากปืนที่อยู่ตรงเอวของตนขึ้นมาพลางยิงตอบโต้กลับไปทันที ลี่หลีชิงตกใจหลับตาปี๋กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใหญ่รีบหยัดตัวลุกขึ้นยืนกระชากร่างบางของหญิงสาวขึ้นมายืนข้างตนพร้อมกับดึงแขนของลี่หลีชิงออกวิ่งไปทันที ระหว่างที่กำลังวิ่งหนี เธอเหลือบไปเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำประมาณหกหรือเจ็ดคนกลุ่มหนึ่งวิ่งสวนมาทางที่เธอวิ่งออกมา แล้วหลังจากนั้นเสียงปืนดังสนั่นลั่นไปหมด ผู้คนวิ่งกันแตกตื่น เหตุการณ์วุ่นวายจนสับสนไปหมด ยังกับอยู่ในหนังสงครามอะไรซักเรื่อง แต่ที่แน่ๆก็คือ มือหนาของผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ไม่ปล่อยออกจากข้อมือของเธอเลย สมองมึนงงของหลีชิงทำอะไรไม่ถูกได้ยินแต่เสียงสั่งการของผู้ชายข้างตัวบางอย่างอย่างรวดเร็ว เธอจึงได้รู้ว่ากลุ่มคนในชุดสูทสีดำที่วิ่งสวนไปเป็นคนของเขานั่นเอง และรู้ตัวอีกทีเขาก็ดึงเธอมายังรถคันหนึ่ง จับเธอยัดเข้าไปในรถยุโรปสีดำคันใหญ่ พร้อมตัวเขานั่งลงที่เบาะข้างๆเธอ ชายในชุดสูทสีดำคนหนึ่งนั่งประจำที่คนขับ แล้วขับรถพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวนั่งกระพริบตาปริบๆอย่างแปลกใจอยู่แวบเดียว เสียงทุ้มนุ่มหูแต่ฟังดูช่างมีอำนาจอย่างมากก็ดังขึ้น

                    “คุณเป็นยังไงบ้าง “ น้ำเสียงกร้าวกระด้างแต่เจือไปด้วยความอ่อนโยนดังขึ้น ลี่หลีชิงหันกลับไปก็ถึงกับตะลึงงัน นิยามเดียวที่ให้กับผู้ชายคนนี้ได้คือ เทพบุตร ก่อนหน้านี้เธอไม่ทันสังเกตอะไรไม่ได้มองหน้าเขาชัดๆ แต่พอได้เห็นหน้าตรงๆ เล่นเอาเธอถึงกับตกตะลึงเลยทีเดียว ผู้ชายที่มีเครื่องหน้าบนใบหน้าสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ดวงตาเรียวแต่แสนจะคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากก็ได้รูปเสียจนผู้หญิงยังอาย ยิ่งมาประกอบรวมอยู่กับบุคคลิกที่ดูสง่างามและร่างกายที่ดูแข็งแรงของเขาแล้ว ช่างสมบูรณ์แบบจริงๆ นี่คนรึเปล่าเนี่ยหรือเธอตายไปแล้วและคนๆนี้คือยมบาลกันแน่

    “เสียงปืนมันทำให้คุณหูตึงไปแล้วหรือไง” เสียงเดิมดังขึ้นกระชากความคิดเพ้อฝันของหญิงสาวกลับสู่ความเป็นจริงทันที ปากร้าย ไม่เหมาะกับหน้าตาเลยจริงๆ

    “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่ช่วยพาฉันออกมาค่ะ”  ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก หันไปมองทางหน้าต่างฝั่งของตัวเองทันที

    “ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่คุณหวังดีเข้ามาช่วยผลักผม” ลี่หลีชิงกำลังจะยิ้มและเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยกับคำขอบคุณของเขาแต่แล้ว

     “แต่ผมว่าคราวหน้าคราวหลังหากคิดว่าตัวเองไม่ได้มีทักษะการต่อสู้หรือคุ้นเคยกับเรื่องพรรค์นี้ละก็ อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นจะดีที่สุด” ลี่หลีชิงอ้าปากค้างกับคำพูดของผู้ชายตรงหน้า จางฟงเองก็งงกับคำพูดของเจ้านายตัวเองไม่ใช่เพราะคำตำหนินั่นหรอก แต่เป็นเพราะผู้นำจิงหลงคนนี้ไม่เคยใจดีขนาดมาสั่งสอนหรือเตือนสติใครหรอก อย่างมากก็ขอบคุณและให้เงินรางวัลน่าจะเหมาะกับนิสัยของเขามากกว่า

    “นี่ นี่คุณว่าฉันยุ่งเรื่องของคุณงั้นเหรอ หากฉันไม่ช่วยคุณอาจตายไปแล้วก็ได้นะ” ลี่หลีชิงโกรธจัด คนอะไรปากคอเลาะร้าย คนอุตส่าห์ช่วยยังจะมาว่าอีก

    “ผมจะบอกให้คุณทราบ ต่อให้คุณไม่เข้ามาช่วยผมก็หลบทัน แถมยังไม่ต้องมีภาระคอยช่วยคุณอีกต่างหาก” ชายหนุ่มตอบกลับทันที ผู้หญิงอะไรใจกล้าเกินตัว ตัวเล็กนิดเดียวกล้าวิ่งเข้ามาหาวิถีกระสุนได้ คนแปลกหน้าไม่รู้จักกันแท้ๆ ยังช่วยขนาดนี้ แล้วอยู่รอดมาจนป่านนี้ได้ยังไง ที่จริงไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาซะหน่อย แต่หัวใจมันรู้สึกแปลกๆเมื่อคิดว่าเธออาจจะถูกยิงหรืออะไรก็ตาม เลยห้ามไม่ได้ที่จะต้องเตือนไว้บ้าง

    ลี่หลีชิงพยักหน้าสองสามทีด้วยสีหน้าเอือมระอาเป็นที่สุด “โอเค ฉันมันยุ่งไม่เข้าเรื่อง จอดรถได้แล้ว” ชายหนุ่มในรถทั้งสองยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่อไป คนหนึ่งขับรถอยู่ก็ขับต่อโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตามที่เธอบอก ส่วนอีกคนก็ยังคงนั่งหน้าโหดอยู่ข้างๆมองไปนอกหน้าต่างโดยไม่ฟังเธอพูดเลย

    “จอดรถเดี๋ยวนี้นะฉันต้องกลับไปรับลูกทัวร์” หญิงสาวเพิ่มระดับเสียงของตนให้ดังขึ้น เฉินห้าวหลงถอนหายใจเบาๆพร้อมค่อยๆผินหน้ากลับมาทางหญิงสาวก่อนพูดว่า

    “เสียใจด้วย ผมคงให้คุณกลับไปที่นั่นไม่ได้ เรากำลังจะลงไปข้างล่างกันและหยุดพูดได้แล้ว” น้ำเสียงที่เย็นชาและชัดถ้อยชัดคำพูดจากปากด้วยท่วงท่าโหดเหี้ยม ยัยนี่สติยังดีหรือเปล่าเพิ่งโดนไล่ยิงมา คนของเขาจัดการเสร็จรึยังไม่รู้ยังจะกลับไปตรงนั้นอีก นี่ถ้าไอ้มือปืนมันเห็นผู้หญิงที่เข้ามาช่วยเขาเข้าหละก็ เธอได้เละเป็นโจ๊กแน่

    ลี่หลีชิงนั่งงง จะพูดต่อก็ไม่กล้าด้วยสงสัยว่าคนพวกนี้เหมือนพวกมาเฟียโหดอะไรซักอย่าง หากเธอดื้อดึงอะไรมากเกินไปเธออาจจะถูกจับโยนลงไปสภาพไม่สวยเป็นแน่ หญิงสาวคิดพลางหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาจะโทรหาเหมยฟางให้ช่วยขึ้นมารับลูกทัวร์ต่อ แต่มือใหญ่กระชากโทรศัพท์ออกและเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองทันที “ ไว้ถึงข้างล่างผมถึงให้โทรศัพท์คุณได้”  เป็นคำพูดสุดท้ายที่หลุดออกจากปากของเขา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×