คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คราเคราะห์ของปีกที่เจ็ด
ตอนที่ 2 คราเคราะห์ของปีกที่เจ็ด
ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยกับการนำเด็กสองคนอย่าง เซ็กปวยเกียและเกาเอี่ยนเข้ามาอยู่ในแด
นพยายม แถมยังเป็นคนโปรดของลี้จิวอีกด้วย ทั้งสองถูกฝากให้ซุนกู่ชุบเลี้ยงฝกวิทยายุทธทางกายภาพ
พื้นฐาน และติดตามลี้จิวเป็นศิษย์เอกทั้งสองออกตามแคว้นใกล้เคียง เวลาล่วงเลยผ่านทั้งสองครบวัยสิบ
ขวบปีพอดี
ทั้งสอง ถูกแต่งตั้งให้เป็นปีกที่สิบสามและปีกที่สิบสี่ ตึกสองตึกที่สร้างขึ้นเพื่อสองคนนี้ ตึกติด
ชายหาดสีขาว ออกแบบจากดอกบัวบาน เป็นที่อยู่ของเซ็กปวยเกีย ชื่อตึกว่า “บัวบานริมสมุทร” เป็น
ที่พักผ่อนของชายหนุ่มที่บัดนี้เติบใหญ่ ไหล่ที่กว้างอันนั้นผ่านการเคี่ยวเข็ญจากซุนกู่มาหลายปี ผมที่เคยไว้
ยาวบัดนี้ถูกตัดผมหน้าปรกเสมอคิ้ว ด้านหลังมัดไว้รวบๆด้วยผ้าพันสีขาว
อีกฟากหนึ่ง ตึกนี้สร้างในระหว่างหุบเขา ที่สายลมโชยพัดผ่าน เกาเอี่ยนศิษย์ผู้น้อง ที่มีเอกลักษณ์
คือผมสีเขียวขี้ม้าแต่กำเนิดของเขา เขามักถ่อมตัวและอ่อนน้อมเสมอ ขัดกับศิษย์ผู้พี่ที่เย่อหยิ่ง ไม่ปราศรัย
กับใครมากนัก ตึกวายุภักษ์ คือชื่อที่ถูกตั้งโดยตัวเขาเอง
บัดนี้ทั้งสองติดตามซุนกู่เข้าไปยังตกต้องดาวของลี้จิว
เกาเอี่ยน เอ่ยกับศิษย์ผู้พี่ “ศิษย์พี่ปวยเกีย อาจารย์เรียกเราไปครานี้ ท่านว่าอาจารย์มีประสงค์ใด”
ปวยเกียหาได้ตอบคำใดกลับมา เกาเอี่ยนชินชากับการเอ่ยไปแล้วไม่ได้คำตอบกลับมาแบบนี้บ่อย
ครั้ง เหมือนโยนหินลงทะเล หาก้นบึ้งจากจิตใจของศิษย์ผู้พี่คนนี้ไม่ได้เลย ว่าเขาคิดการอันใดอยู่
ไม่กี่ชั่วอดใจ ทั้งสามมาถึงลานกว้างของตึกต้องดาว ที่จัดเป็นลานกว้าง ไฟคบเพลิงถูกวางไว้โดย
รอบ บัลลังก์สูงนั่นคงเป็นที่ของอาจารย์ของทั้งคู่เป็นแน่ ลี้จิวนั่งรออยู่แล้ว
ทั้งสองคุกเข่าคารวะอาจารย์ ลี้จิวสั่งให้มันทั้งสองลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยกับทั้งคู่ “สิบปีแล้ว สิบปีแล้ว
พวกเจ้าทั้งคู่คงได้เวลาเสียที ข้าขอชมเป็นขวัญตา ว่าซุนกู่สั่งสอนพวกเจ้านี้เป็นดีร้ายอย่างไร”
เกาเอี่ยนหันมองหน้าศิษย์พี่ ทั้งสองประสบสานสายตา หรืออาจารย์จะสั่งให้ทั้งสองประลองยุทธดู
เชิงฝีมือกัน แต่ที่ผ่านมา เกาเอี่ยนยังพ่ายแพ้แก่ศิษย์พี่ของเขาอยู่หลายส่วน แต่วันนี้เกาเอี่ยนก็ยังมิแน่ใจ
ว่าจะเอาชนะคะคานได้หรือไม่
ลี้จิวกล่าวต่อ “วันนี้ข้าจะให้เจ้าทั้งสองประลองยุทธด้วยมือเปล่า อย่าลงมือจนอีกฝ่ายถึงแก่ชีวิต
หรือพิกลพิการไป อยากดูว่าศิษย์รักทั้งสอง พร้อมกับการรับการสั่งสอนยอดวิชาจากข้าได้หรือยัง”
ทั้งสองรับคำ ก่อนจะถอยห่างจากกันราวห้าสิบก้าว
“ศิษย์พี่ ข้าขอล่วงเกิน” เกาเอี่ยน พุ่งเข้าหาก่อน สองเท้าดีดตัวพุ่งไปข้างหน้า สันมือฟาดลงกลาง
กระหม่อมของเซ็กปวยเกีย
เซ็กปวยเกียเงยหน้าขึ้นมอง ขยับเท้าซ้ายไปด้านหลังครึ่งก้าว ยกสันแขนขวากัน จากนั้นหมุนตัวใช้
เท้าซ้ายเตะฟาดกลางหลังเกาเอี่ยน
เกาเอี่ยนรับรู้ถึงการมาของเซ็กปวยเกียท่านี้ ชิงยกศอกซ้ายกระแทกกลับไป นับเป็นการรุกรับและ
โจมตีกลับที่ว่องไวยิ่ง
ทั้งสองดีดตัวห่างออกไปสิบเก้า
เซ็กปวยเกียกลับเป็นฝ่ายพุ่งเข้าใส่ก่อน เตะตัดล่าง เกาเอี่ยนโดดทัน กระโดดถีบสองเท้าเข้าที่หัว
ไหล่ เซ็กปวยเกีย เบี่ยงตัวหลบได้ทันควัน มือคว้าจับเกาเอี่ยนฟาดลงกับพื้น ดังโครมเสียงดังสนั่น หลังที่
ฟาดลงพื้นทำเอาเกาเอี่ยนเจ็บแปลบขึ้นมา นับว่าเกาเอี่ยนยังด้อยประสบการณ์กว่าหลายส่วน
เซ็กปวยเกีย ถอยออกไปมือไขว้หลังเช่นเคย ในหัวท่องเคล็ดวิชาเหยียบเมฆเยียบเย็นไว้ แม้รุกรับก็
ไม่หวั่น ต่างจากเกาเอี่ยน ที่แม้พลาดหนึ่งครั้งเป็นการเรียนรู้ที่จะไม่พลาดอีก สมาธิของเขาก็ไม่เป็นสองรอง
ใครเช่นกัน
เกาเอี่ยน ต้องชิงใช้ไหวพริบที่แม้ประลองกันหลายครั้ง สร้างรอยฟกช้ำแก่ศิษย์พี่ได้ไม่มากนัก แต่
คราวนี้หวังสร้างผลงานอันโดดเด่นต่อหน้าอาจารย์
เกาเอี่ยน พุ่งเลียดก้มตัวต่ำ เคลื่อนไหวดุจภูตพราย เซ็กปวยเกีย เกร็งกำลังพร้อมรับการจู่โจมท่านี้
เกาเอี่ยนเตะเสยจากล่างขึ้นบน หมายเข้าที่ปลายคางของเซ็กปวยเกีย แต่เซ็กปวยเกียรู้ระยะและความ
ยาวขาของเกาเอี่ยนดี แต่พลาดถนัดเมื่อเกาเอี่ยน ถอดรองเท้าออกเพื่อยื่นปลายรองเท้าให้ยื่นยาวออกไป
หน่อย เซ็กปวยเกียรับท่านี้เข้าไปเต็มๆจนปากแตกเลือดออกไหลเป็นทาง
“ศิษย์น้องไหวพริบยอดเยี่ยม” เซ็กปวยเกีย เอ่ยปากชม หันไปถุยเลือดออกไปทางหนึ่ง
ซุนกู่เอ่ยกับ ลี้จิว “นายท่านขอซุนกู่ร่วมสนุกด้วยเถอะครับ”
ทั้งสองพุ่งเข้าหาพร้อมกัน แต่ฝ่าเท้าดุจลมพายุหอบหนึ่งเตะตวัดทั้งคู่ออกไปคนละทิศทาง แต่ทั้งคู่
ยกแขนทั้งสองมากันท่าได้พอดี
เป็นซุนกู่ที่โถมเข้าร่วมการประลองนี้ด้วยคน เสียงแหบพร่าเล็ดลอดจากหน้ากากไม้สีเขียวที่ปิดบัง
ใบหน้าอันนั้น “นายท่านทั้งสอง เข้ามาพร้อมกันเลย ซุนกู่วันนี้จะไม่ยั้งมือ”
ทั้งสองแทบไม่ต้องให้สัญญาณ พุ่งเข้าหาซุนกู่จากสองทิศทางพร้อมกัน นับว่าการต่อสู้ด้าน
กายภาพทั้งสองเหนือกว่าใครในรุ่นราวคราวเดียวกันนี้แล้ว ซุนกู่บางครั้งต้องล่าถอยใช้มือเท้าป้องกันพัลวัน
ทั้งสองรุกรับสอดประสานกันอย่างน่าทึ่ง
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซุนกู่หยุดอยู่ห่างจากทั้งคู่ยี่สิบเก้า เอ่ยปากกับทั้งสองที่บัดนี้ หอบหายใจแทบ
ไม่ทัน เรี่ยวแรงแทบจะหมดไปในเวลาเพียงไม่นาน เพราะใช้กำลังเข้าเต็มที่ “นายน้อยทั้งสองยอดเยี่ยม
มาก อีกไม่นานซุนกู่คงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”
ทั้งสามหันไปมองผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ ลี้จิวลุกขึ้นเอ่ยกับทั้งสาม “ซุนกู่ยอดเยี่ยมไม่เสียแรงที่ร่วมเป็น
ร่วมตายมากับข้า เกาเอี่ยน ปวยเกีย เจ้าทั้งสองพร้อมแล้วหรือยัง”
“พร้อมครับอาจารย์” ทั้งสองกล่าวรับพร้อมเพรียงกัน
“ดี จากที่ข้าเฝ้าดู เจ้าพร้อมแล้วกับการฝึกของข้าเอง ห้าปีจากนี้ จงรับการฝึกกรำของข้า เพลง
ยุทธที่ถ่ายทอดให้ เซ็กปวยเกีย เจ้ามีก้าวเท้าที่มั่นคง แต่ถนัดการใช้ร่างกายท่อนบนเป็นหลักเหมาะกับ
วิชา”ฝ่ามือบัวบาน” ส่วนเกาเอี่ยน ใช้เท้าได้อย่างอัจฉริยะเหมาะสมยิ่งกับวิชา “เพลงเตะวายุสลาตัน”
ทั้งสองสบตามั่นเหมาะ ว่าหากประลองกันครั้งหน้าคงต้องหมายชัยสยบอีกฝ่ายให้ได้
เมืองหลวงของราชอาณาจักรยูซา
“กระบี่เก้าราชา” จูโซ ผู้เป็นดั่งองค์ตัวแทนของเหนือหัว ควบคุมทุกอย่างในราชสำนัก เหนือหัว
ที่อ่อนแอ เฝ้าแต่หมกมุ่นในกาม มัวเมาสุรา หาได้เป็นที่พึ่งไม่ หากขาดจูโซไปครานั้นคงพ่ายแพ้แก่กบฏ
อย่างลี้จิวเป็นแน่ มันคือผู้เชี่ยวชาญด้านการยุทธและการปกครอง และยังเป็นคนสยบลี้จิวด้วยกระบี่สีทอง
อันนั้นเอง
จูโซ เดินเข้าตำหนักกระบี่เทพ ที่บัดนี้รวมหัวหน้าพรรคน้อยใหญ่ไว้ด้วยกัน “พี่น้องทั้งหลาย บ้าน
เมืองระส่ำระส่าย เหนือหัวเป็นเพียงหุ่นเชิด หลายเสียงสนับสนุนให้ข้าล้มราชบัลลังก์สถาปนาตัวเองขึ้น
เป็นเหนือหัวองค์ใหม่”
“แต่เวลานี้ หลายแคว้นถูกยึดครองโดยเงื้อมมือของลี้จิว ยากจะหยิบคืนมาได้ในเร็ววัน”
นักบวชห่มผ้าเหลือง ถือกระบองเหล็ก หน้าตาดุร้าย ราวกับปีศาจในม้วนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ
ของนักบวชผู้นี้คือ “ราชูปา” ในทำเนียบยอดยุทธ อยู่ในอันดับต้นๆหาคนตอแยได้ไม่ กล่าวขึ้น “ประสกจู
อย่าได้กังวลไป ข้าจักนำกำลังของสำนักสังฆปาละ ไปปกป้องแคว้นหยินซี แทนประสกเอง”
จูโซ บอกกับนักบวชราชูปา “ครานี้ได้ข่าวว่าลี้จิว รับศิษย์ไว้สองคน แต่นั่นไม่สำคัญเท่าปีกที่เจ็ด
คนนี้ ที่จะเป็นผู้นำในการยึดแคว้นหยินซีของเรา ครานี้คงต้องฝากท่านราชูปาแล้ว”
ตำหนักกระบี่เทพ เป็นสถานที่รวบรวมยอดยุทธทั่วหล้าในยูซา ปีหนึ่งจะประชุมกันทุกๆสามเดือน
เพื่อสอบถาม และเขียนเทียบอันดับยอดยุทธกันใหม่ โดยหน่วยข่าวสาร ที่เขียนโดยในนามที่ชื่อว่า “แมว
หลวง” ที่เคลื่อนไหวโดยไม่มีผู้ใดรับรู้มาก่อน ยอดยุทธทุกคนผ่านตามันมาทั้งนั้น หากแต่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับ
ยุทธจักรเป็นเพียงคนจดบันทึกเท่านั้น โดยปีนี้มีการเขียนบันทึกยอดยุทธขึ้นมาใหม่
บันทึกยอดยุทธหนึ่งร้อยอันดับแรก อันดับหนึ่งเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก จูโซ กระบี่เก้าราชา
อันดับสองเป็น ตุลาการทมิฬ ลี้จิว และลดหลั่นลงมา ปีทั้งสิบสองติดอยู่ในห้าสิบอันดับแรก รวมทั้ง
นักบวชราชูปาผู้นี้ด้วย
และอีกบันทึกหนึ่งคือยอดยุทธหน้าใหม่ ที่เกิดขึ้นน่าจับตามอง แต่มิได้จัดอันดับ มีชื่อของเกา
เอี่ยน และเซ็กปวยเกียปรากฏอยู่ด้วยเช่นกัน
ตึกเจ็ดราตรี บุคคลสามคนนั่งร่ำสุราท้าแสงจันทร์กัน หนึ่งในนั้นคือ ปีกที่เจ็ด ถังจ้ำ ฉายาคือ
“กระบี่มายา” และอีกคนที่สวมหมวกฟางอยู่เป็นนิตย์ ปีกที่หนึ่ง เตี่ยวซิว และปีกที่สิบ ชายผู้มีแผลเป็น
บนใบหน้าเป็นแผลยาวบาดตาซ้ายลงมาถึงคาง ฝ่ามือปรมัตถ์ “ไซฮะ”
ทั้งสามสนทนากันถึงเรื่องกรำศึกในวันที่ใกล้เข้ามา ถังจ้ำกล่าวกับเตี่ยวซิว “พี่เตี่ยว ข้าได้รับมอบ
หมายงานครั้งนี้ คงต้องขอคำแนะนำจากพี่ท่าน”
เตี่ยวซิววางสุราในมือลงบนโต๊ะ กล่าวตอบ “ถังจ้ำ เจ้าอย่าได้กังวลไป สิ่งที่น่ากังวลคือ เด็กสอง
คนนั้นต่างหาก ที่ลี้จิวรับมันเข้ามาเป็นศิษย์ แม้ตอนนั้นข้าเองจะแย้งแต่ไม่กล้าพอจะพูดไป”
ไซฮะ ที่ตลอดเวลาไม่นิยมชมชอบเด็กทั้งสองนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “มาไม่กี่ปี ก็เป็นคนโปรดของลี้จิว
เห็นพวกเราเป็นสิ่งของอันใดกัน”
เตี่ยวซิวกล่าวต่อ “หากเป็นเช่นนี้แล้ว มันอาจจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเราในวันข้างหน้าได้”
ไซฮะกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวด้วยฤทธิ์สุรา “อย่างนี้สิบสองปีกรวมกันใยจะต่อกรกับลี้จิวไม่ได้”
เตี่ยวซิวได้ยินดังนั้น กลับตวาดไซฮะจนผวา “เจ้าอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้มาอีกเป็นคำรบที่สอง ลี้จิวฉุด
ลากพวกเราจากนรกขุมนั้นมา ดูแลดุจพี่น้อง อย่าได้คิดเรื่องนี้มาอีก” แม้เตี่ยวซิวจะไม่ชอบเด็กน้อยทั้งสอง
แต่ก็ยังภักดีต่อลี้จิวเรื่อยมา และหลังจากลี้จิวทุ่มเทเพื่อถ่ายทอดวิชา ให้กับเกาเอี่ยนและเซ็กปวยเกีย ก็
เป็นเตี่ยวซิวที่เป็นปีกอันดับหนึ่งของพันธมิตรแห่งเงานี้ ดูแลทุกอย่าง รวมทั้งการยึดแคว้นหยินซีด้วย
“น้องถัง เจ้าเป็นทัพหน้าบุกตะลุย ส่วนพวกเราจะตามไปสมทบภายหลัง” เตี่ยวซิวกล่าว
กองกำลังของพันธมิตรแห่งเงาถูกฝึกปรือมาอย่างดี สามารถรับมือกับทหารเลวได้หนึ่งต่อห้า แม้
กำลังจะน้อยกว่าแต่ฝีมือเก่งกล้ากว่า แต่การยึดแคว้นหยินซี ที่มีกองกำลังกล้าแข็ง การป้องกันที่เข้มแข็ง
ของแคว้นหาจะได้บุกยึดง่ายเหมือนเช่นที่ผ่านมา นับว่าปีกที่เจ็ดเป็นกังวลอยู่มากทีเดียว
และแล้ววันที่ต้องสัปประยุทธก็มาถึง
ปีกที่เจ็ดถังจ้ำควบม้านำกำลังพลในชุดดำห้าร้อยนายมาถึงหน้าประตูแคว้นหยินซี ด้าน
หน้าเป็นลานกว้าง เต็มไปด้วยหมอกควัน นับเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ หลังหมอกควันคงมีคมอาวุธซ่อนอยู่ ผู้
ว่าการแคว้นหยินซี นำโดยคนแซ่กวน นามว่า กวนเป๋ง นับว่ามีฝีมือพอตัว ทหารป้องกันเข้มแข็งการจะ
ตีชิงหักเอาเมืองนี้หาได้ง่ายไม่
กำแพงสูงตระหง่าน ต้องใช้บันไดปีนขึ้นไป แต่ปีกที่เจ็ดคงมีแผนที่เตรียมการมาแล้วเป็นอย่างดี
ปีกที่เจ็ดหันมากล่าวเร่งเร้าขวัญกำลังใจกับพี่น้องทุกคน “พี่น้องทุกคน เราแข็งแรงกว่า เก่งกว่า
รวดเร็วกว่า ข้าจะข้ามกำแพงนั้นแล้วนำแคว้นหยินซีมาฝากลี้จิว”
เสียงโห่ร้องกำลังใจมาเต็มที่เมื่อสิ้นประโยค
แต่แล้วท่ามกลางหมอกควันยามเช้า กลับปรากฏนักบวชผู้หนึ่ง เดินตรงเข้ามา เสียงกระบอง
เหล็กกระแทกพื้น พลังกดดันฝ่ามาถึงแถวหน้าของกองกำลังของปีกที่เจ็ดจนกระอักเลือดล้มลง
“ขอทราบชื่อคนที่ข้าจะส่งไปลงนรกหน่อย” นักบวชผู้นั้นชี้นิ้วตรงมายังถังจ้ำ
“ถ้าอย่างนั้น นักบวชเยี่ยงท่านจงจำชื่อ ปีกที่เจ็ดถังจ้ำไว้ไปกล่าวกับยมบาลในนรกก็แล้วกัน” ถัง
จ้ำโผลงจากม้า ก่อนจะพุ่งเคลื่อนไหวหายไปในหมอกควัน กระบี่ที่ไม่ได้ชักฝัก ปะทะกับกระบองเหล็ก
เสียงดังแสบแก้วหู
ถังจ้ำตีลังกาลงพื้นห่างออกมา ถังจ้ำชายหนุ่มวัยสามสิบปี ผมสั้นดำขลับ ในชุดพร้อมรบสีดำ
ชุดประจำของพันธมิตรแห่งเงา กระบี่สีควันบุหรี่เล่มนั้น ดูกลมกลืนกับสีของหมอกควันที่ปกคลุมทั่วบริเวณ
ในเวลานี้
“นักบวชอย่างเจ้าสมควรจะอยู่ในวัด สวดมนต์มิใช่หรือ ใยมาข้องเกี่ยวกับทางโลก” ถังจ้ำเอ่ย
ถาม
นักบวชนามราชูปา กล่าวตอบกลับมา “ก็เพราะกลุ่มก่อการร้ายอย่างพวกเจ้า เข่นฆ่ารุกราน
สมควรแก่การกำจัดทิ้งไม่ต่างอะไรกับมดปลวก”
“เปรียบเราดั่งมดปลวก แล้วดูเหล่าชนชั้นเลวที่ปกครองบ้านเมือง หาได้สนใจประชาชนไม่ ถึง
เวลาที่ต้องล้มล้างแล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่” ถังจ้ำเถียงกลับไป
“แต่คนส่วนใหญ่หาได้ยอมเป็นเช่นนั้นไม่ คนก่อกบฏสมควรโดนกำจัดทิ้ง”
นักบวชราชูปา พุ่งควงกระบองเข้าหา พลังสีแดงแผ่พุ่งจากปลายกระบอง ทันทีที่กระบองยื่น
ออกไป พลังสีแดงพุ่งวาบออกไประเบิดออกกลางอากาศ เป็นคลื่นพลังอันน่ากลัว แต่หาได้มีผู้ใดยืนอยู่
ตรงนั้น ปีกที่เจ็ดหายไปกับกลุ่มหมอกควัน
ไร้ฝีเท้า ไร้เสียง ไร้กลิ่น หรือนี่เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของถังจ้ำ
เสียงดังเคร้งของกระบี่ที่ถูกชักออก ถังจ้ำ ฟาดฟันกระบี่ลงกลางศีรษะ แต่กระบองเหล็กหมุน
ปัดกระบี่กลับไป แรงของกระบองทำเอาง่ามมือของถังจ้ำด้านชา นับว่านักบวชรูปนี้มีพลังปราณที่ขับ
ประสานกระบองได้น่าสะพรึงกลัวยิ่ง
กระบี่มายาถูกชักออก กระบี่ด้ามจับเป็นไม้ พันผ้ากับข้อมือของถังจ้ำเลยมาถึงข้อมือ กระบี่เล่ม
เล็กบาง แทบจะหักได้ด้วยมือ ใยจึงมีชื่อว่ากระบี่มายาได้ หรือปีกที่เจ็ดยังไม่ได้เอาจริง เอาแต่เงยหน้า
มองฟ้า ที่ไม่มีแม้แสงตะวันเล็ดรอดออกมา
นักบวชราชูปา เคลื่อนไหวอีกครา ก้าวเท้ายาวสลับสั้น มองชวนพิศวงกับการเคลื่อนไหวครานี้
กระบองเสียงดังราวระฆังที่พระสงฆ์เคาะเป็นสัญญาณยามเช้าตรู่ให้พระสงฆ์องค์เจ้าออกทำกิจนิมนต์ แต่
มันเป็นการสะกดคู่ต่อสู้ให้หยุดเคลื่อนไหว ภายในโสตประสาทได้ยินเสียงก้องนี้ตลอดเวลา ขาทั้งสองข้าง
ของถังจ้ำราวกับถูกใครเอาเชื่อกมาตรึงไว้ จะรุกก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่า เห็นจะอันตรายแล้ว
กระบองเหล็กรวดเร็วกว่าคน พุ่งถึงตัวถังจ้ำก่อน พลังสีแดงอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ระเบิดทันทีที่
กระบองถึงตัว
ตูม!!! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หรือว่าถังจ้ำ ปีกที่เจ็ดจะจบชีวิตลงด้วยกระบวนท่าของนักบวชราชูปาผู้นี้…..
จบตอน
ความคิดเห็น