ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สองคมผ่ายุทธจักร

    ลำดับตอนที่ #1 : พันธมิตรแห่งเงา

    • อัปเดตล่าสุด 29 ม.ค. 56


     

    ตอนที่ 1 พันธมิตรแห่งเงา

     

    สองมือคู่หนึ่ง…ตั้งแต่วันที่เกิดมาชะตาชีวิตของเขา  ต้องต่อสู้ดิ้นรน  ฝ่าฟัน  เข่นฆ่า  แปดเปื้อนไป

    ด้วยเลือด
      เป็นศัตรูกับทางการ  ก่อตัวเป็นกบฏ  ไม่มีใครในยุทธจักรนี้ไม่รู้จัก “ตุลาการทมิฬ”ลี้จิว ในวัย

    สามสิบห้าปี  เขาบุกวังหลวงหมายสังหารเหนือหัวของอาณาจักรยูซา    แต่การบุกรุกครั้งนั้น  เขาได้รับ

    ความพ่ายแพ้  ลี้จิวและผู้ร่วมก่อการกบฏต้องลี้หนีภัยสูญหายจากยุทธจักร


    หลายสิบปีผ่านไป  ประชาราษฏร์เดือดร้อนแสนสาหัส  โรคระบาด  ความยากจน  การถูกเอารัดเอา

    เปรียบจากขุนนางฉ้อโกง  ขูดรีดภาษีประชาชน  ภัยธรรมชาติน้ำท่วมครั้งใหญ่  ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวน

    มาก  ความเสื่อมศรัทธาต่อทางการ  เริ่มมีผู้คนต่อต้านทางการกันมากขึ้น  ยากจะควบคุมได้  มีการรวบรวม

    คนที่มีพลังพิเศษ  ผู้เก่งกล้าเชี่ยวชาญวิทยายุทธ  ก่อกำเนิดองค์กรลับๆขึ้น  นามว่า “พันธมิตรแห่งเงา” เกิด

    ขึ้น  และผู้นำก็ไม่ใช่ใคร  เป็นผู้ก่อการกบฏเมื่อสิบปีก่อน  ตุลาการทมิฬนั่นเอง


    ดินแดนร้างกันดาร  ยากยิ่งจะมีผู้คนอาศัยอยู่ได้  ประกอบด้วย  เกาะเล็กเกาะน้อย  แต่ลมแรง

    ประกอบกับสายน้ำวนที่ยากแก่การเดินเรือผ่านได้  ทางการของอาณาจักรยูซาหาได้ใส่ใจกับดินแดนนี้ไม่ 

    แต่ที่นี้กลับเป็นดินแดนที่ตั้งหลักของพันธมิตรแห่งเงา  เรียกดินแดนนี้ว่า “แดนพยายม”


    และบัดนี้  พันธมิตรแห่งเงา  เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง  ลี้จิวในวัยล่วงสี่สิบห้าปี  อยู่ในชุดผ้าแพรสีดำ

    ขลับ  สายคาดเอวสีทองเหมือนมังกรพาดผ่าน  มองดูน่าองอาจยิ่ง  เคราดำยาวที่ถูกดูแลอย่างพิถีพิถัน 

    ท่วงท่าองอาจในมาดผู้นำ  ทำให้ผู้คนเกรงขาม  ใบหน้ากลมดุจพระจันทร์วันเพ็ญ  ริ้วรอยที่ผ่านศึกมานับพัน 

    สายตาที่ราวกับมองทะลุทุกสิ่ง  ทำให้ผู้คนอึดอัดถึงความยิ่งใหญ่ของบุคคลผู้นี้


    ในห้องประชุม  ที่มีเขานั่งบนบัลลังก์  เบื้องล่างเป็นยอดยุทธสิบสองคน  นั่งลดหลั่นกันไป  เป็น

    บุคคลที่ลี้จิวเลือกสรร  ซื้อหาด้วยใจ  และยอมสยบต่อเขาและพร้อมจะติดตาม  รับคำสั่งของเขา  แม้ไปสั่ง

    ให้ตายก็ยอมได้  เรียกทั้งสิบสองว่า  สิบสองปีกแห่งพันธมิตรแห่งเงา 


    ลี้จิว  แย้มยิ้มมองสิบสองปีกที่ภักดีกับเขายิ่ง  เขาเริ่มกล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มอันทรงพลัง “เรายินดียิ่ง 

    ที่ได้พบทุกท่านพร้อมหน้ากันเยี่ยงนี้” ลี้จิว  หยิบยื่นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับทุกคน  เงินทอง  ความสะดวกสบาย 

    หญิงงาม  จนซื้อใจทุกคนได้เป็นอย่างดี  นับเป็นชนชั้นปกครองที่น่าเลื่อมใสคนหนึ่ง


    “นับสิบปีแล้ว  ที่เราถอนกำลังมาถึงที่นี่  ก่อร่างสร้างแดนพยายมมากับมือ  ความพ่ายแพ้ครั้งที่แล้วที่

    ล้มราชบัลลังก์ไม่สำเร็จ  นับเป็นรอยด่างพร้อยของชีวิตข้า  แต่ตอนนี้ขุมกำลังใกล้จะพร้อมเพียงแต่  ข้าเองก็

    คงถึงวัยชรา  ขาดซึ่งผู้สืบทอดอำนาจ”  ลี้จิวมิอาจมีบุตรได้เนื่องจากการฝึกวิชามารอมตะ  ทำให้เขากลาย

    เป็นผู้มิอาจมีบุตรธิดาได้


    “คงต้องหาบุคคลที่มีชาติกำเนิดเหมาะสม  ที่ข้าจะพร้อมให้มันขึ้นมายิ่งใหญ่ในวันหน้าแทนได้” หาก

    แต่ลี้จิวก็ไม่อาจไว้วางใจทั้งสิบสองปีกนี้ได้สนิทใจ  หรือแท้จริงแล้ว  ทั้งสิบสองปีก  ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกับ

    ตำแหน่งนี้


    ชายผู้หนึ่งสวมหมวกฟางปกปิดใบหน้า  บุคคลผู้นี้ชื่นชอบการสวมหมวกฟางเป็นชีวิตจิตใจ  แม้แดด

    ออก  ฝนตก  หิมะโปรยมันก็ไม่ถอดหมวกฟางนี้ออก  จนเป็นที่มาของฉายา  “หมวกฟาง” เตี่ยวซิว ร่างสูง

    เพรียวกับชุดยอดยุทธสีขาวดุจหิมะ  ฝีมือแท้จริงไม่ปรากฏแน่ชัด  เขาลุกยืนจากเก้าอี้ไม่สักที่อยู่ในลำดับใกล้

    สุด  นั่นแสดงถึงลำดับปีกที่หนึ่งในสิบสองปีกของพันธมิตรแห่งเงา


    เตี่ยวซิว  ยืนก้มหน้ามือไพล่หลัง  เริ่มพูดขึ้น “พี่น้องทุกท่าน  ได้เวลาแล้วที่เราจะรุกรานชิงดินแดน

    กลับคืน  ในความอ่อนแอของยูซา  เราต้องช่วงชิงศรัธทาของประชาชนให้ได้ก่อน  แล้วค่อยคิดอ่านต่อไป”


    สิ้นประโยคของเตี่ยวซิว  ลี้จิวเอ่ยตอบขึ้น “ปีกที่หนึ่ง  หมวกฟาง  กล่าวได้ยอดเยี่ยมยิ่ง  ศรัทธาของ

    ประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด  หากแม้เราล้มบัลลังก์ขึ้นเป็นเหนือหัว  แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน 

    ก็หามีความหมายไม่”


    ชายผู้หนึ่ง  ที่ดูเผินๆเหมือนชายอมโรค  ไอตลอดเวลา  นั่งถัดไปเป็นลำดับที่หก  ในแขนเสื้อเหลือง  ที่

    ดูลึกลับนั้นมีอะไรซ่อนอยู่  ผมสีดำถูกมัดรวบๆไว้อย่างลวกๆ  ดูแล้วเขายังอ่อนเยาว์จากเตี่ยวซิวหลายปี  นับ

    เป็นยอดยุทธผู้หนึ่ง  ฉายาเขาคือ  “กระบี่ป่วย” หลีฟาง เขาไอสองครั้งเบาๆ  ก่อนจะประสานมือเคารพลี้จิ

    วก่อนจะเอื้อนเอ่ย “เรียนพี่น้องทุกท่าน  เรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าขออาสา  คือกำจัดขุนนางชั่วคนหนึ่ง  ที่อาศัย

    อำนาจบาตรใหญ่  คุกคามประชาชน  เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง  ซ่องสุมกำลัง  หามีที่ใดก่อประโยชน์แก่

    บ้านเมืองไม่  เซ็กเจา ผู้ครองแคว้นฮาร์บิน  ข้าขอพี่น้องร่วมกับข้าสังหารล้างตระกูลมันผู้นี้แล้วยึดครอง

    แคว้น  นับเป็นก้าวแรกของพันธมิตรแห่งเงาของเรา”


    ลี้จิว  ตบโต๊ะถูกใจ  เสียงดังฉาด  ดังไปทั่วห้องประชุม  “ดี  ดีมาก  ปีกที่หก  กระบี่ป่วย  สติปัญญา

    หาได้ป่วยเช่นฉายาไม่  เราจะไปร่วมกับท่านเอง  เตี่ยวซิว  หลี่ฟาง  รับคำสั่ง”


    หลี่ฟาง  เตี่ยวซิว  คุกเข่ารับคำสั่งพร้อมกัน “รับทราบ”

    “นำมือสังหาร  ห้าสิบคน  พร้อมเดินทางค่ำวันนี้” ลี้จิว  สั่งเลิกประชุม  ก่อนจะขึ้นตึกต้องดาว  ที่อยู่ริม

    ผานางแอ่น  นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่พิสดารยิ่ง  ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายขึ้นไป  หากมิได้รับอนุญาติ  ห้องประชุมนี้

    เองจัดอยู่ในชั้นสามของตึก  ชั้นล่างสุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส  มีทั้งหมดสี่ชั้น  สร้างตามฤดูกาลทั้งสี่  ใช้เวลา

    ก่อสร้างทั้งสิ้นห้าปี  ลี้จิวควบคุมการสร้างด้วยตัวเอง 


     

    ค่ำวันนั้น  เรือสำเภานาม  “คร่าตะวัน” แล่นออกไปด้วยความเงียบ  อีกฝั่งคือแคว้นฮาร์บิน  แคว้นติด

    ทะเล  ที่เป็นเป้าหมายแรกของพันธมิตรแห่งเงา  ตุลาการทมิฬ  เคียงข้างด้วย  หมวกฟาง  และกระบี่ป่วย 

    พร้อมมือสังหารห้าสิบคน  พร้อมแล้วที่จะปฏิบัติการคืนนี้


    คฤหาสน์ตระกูลเซ็ก

                    เซ็กเจาในวัยย่างหกสิบปี  มีภรรยาห้าคน  บุตรธิดาเกือบสิบชีวิต  บ่าวไพร่นับร้อย  มีชีวิตหรูหรา

      ต่างกับประชาชนที่ยากจนข้นแค้น  บุตรชายคนสุดท้องของตระกูลของเขากลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของบิดา 

    เนื่องจากคลอดแล้วมารดาผู้ให้กำเนิด  คือ  อาซ้อห้า  ที่เรียกขานโดยบ่าวไพร่ทั้งปวง  มันคลอดได้เพียงไม่กี่

    ชั่วโมง  ก็เสียชีวิตลง


                    ในวัยห้าขวบ  มันกลับถูกลูกพี่ลูกน้องล้อมันว่า  ดาวพิฆาต  เกิดมาแล้วคร่ามารดา  ถูกกลั่นแกล้ง

    ทุบตี  มันคล้ายเป็นใบ้มาแต่กำเนิดหาได้เอ่ยอันใด  หรือตอบโต้อะไร  มันเพียงใช้ชีวิตของมันโดยลำพัง  ไม่

    ข้องเกี่ยวกับผู้ใด  แต่มันจะขลุกอยู่ในห้องหนังสือเป็นประจำ


                    เซ็กเจาเดินเข้าห้องหนังสือ  พบมันกำลังอ่านตำราม้วนหนึ่งว่าด้วยการปกครอง  มิคาดว่าเด็กวัยห้า

    ขวบจะอ่านเรื่องพวกนี้เข้าใจ  เขาแปลกใจจึงเอ่ยกับบุตรชาย  “เซ็กปวยเกีย  เจ้าอ่านเข้าใจหรือ” เขากล่าว

    พลางนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ  ที่มีพูกันขนนกปักอยู่  รูปมังกรขนาดใหญ่วางไว้เป็นที่ทับกระดาษ  ม้วนกระดาษ

    เปล่าถูกม้วนไว้ด้านข้าง  เซ็กเจามักจะทำงานในห้องนี้เป็นประจำ


                    เซ็กปวยเกีย  ในวัยห้าขวบ  ผมเผ้ายาวปิดหน้าปิดตา  ไม่เคยมีผู้ใดตัดผมให้มันมาก่อน  มันใช้ชีวิต

    ราวกับไม่มีตัวตนอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้  มันม้วนหนังสือกลับก่อนจะคุกเข่าให้บิดาหนึ่งครา  ก่อนจะนำม้วน

    ตำราเก็บที่เดิม  ก่อนจะเดินเบาๆกลับออกไป


                    “กลับมาหาข้านี่  ปวยเกีย” เซ็กเจากล่าว  เซ็กปวยเกียหยุดฝีเท้าน้อยๆนั้น  ก่อนหันกลับมา  ค่อยๆ

    เดินมาหาบิดาอย่างช้าๆ  แล้วคุกเข่าสองข้างลง


                    “เจ้านี่ทำตัวแปลกจริง  ใยเหมือนข้าไม่เห็นเจ้าอยู่เลย  เจ้าเอาแต่มาขลุกตัวอยู่ในนี้  ต่างกับพี่น้อง

    คนอื่นที่เอาแต่เล่นหัว  แต่เจ้ากลับมุ่งอ่านตำรา” เซ็กเจาจับจ้องมองบุตรชาย  นับตั้งแต่มันกำเนิดเกิดมาก็ไม่

    ได้รับความรักจากบิดานัก  หลังงานศพของมารดาของเซ็กปวยเกีย  ราวกับถูกลืมเลือนไปแล้วว่ามันเป็น

    ลูกชายทางสายเลือดคนหนึ่ง


                    “ข้ามิอาจ…”  มันกลับพูดเพียงสามพยางค์  มันมิได้เป็นใบ้เพียงแต่มันไม่เพียงเอ่ยปากกับใคร

    นั่นเอง  หรือมันคือดาวพิฆาตที่ใครๆเขารังเกียจกัน


                    “เจ้าคงต่ำต้อยในคำที่เขาว่าเจ้าเป็น  ดาวพิฆาต” เซ็กเจาเอ่ย  กลับทำให้เซ็กปวยเกียเงียบงันไป

    อีก


                    “ดี  ในเมื่อเจ้าชอบอ่านหนังสือ  ข้าจะให้เจ้าอ่านเคล็ดวิชาเหยียบเมฆเยียบเย็น  ของตระกูลเรา” 

    เซ็กเจาล้วงม้วนกระดาษใบหนึ่งจากด้านล่างของลิ้นชักยื่นให้แก่มัน


                    เซ็กปวยเกีย  ยืนมือขวารับไว้อย่างมั่นมือ  กอดไว้แนบอก  นั่นเป็นรอยยิ้มแรกที่เขาเคยยิ้มตั้งแต่

    ครั้งลืมตาดูโลก


    เซ็กเจาผู้เป็นบิดาเดินมาหามัน  ก่อนจะใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งขยี้ผมที่รุงรังของมันพร้อมพูดกับมันด้วยไมตรี  “ไป

    ตัดผมเผ้าของเจ้าซะปวยเกีย  นี่ผมคนหรือรังนกหรือไร  ยุ่งเหยิงจริง”  ก่อนจะเดินออกไปจากห้องหนังสือ


                    เซ็กปวยเกีย  ยืนกอดม้วนเคล็ดวิชา  ก่อนจะวิ่งออกไปด้วยความดีใจ  มันกลับเข้าห้อง  เป็นห้อง

    เดิมที่แม่เคยนอนเคยพักอยู่  น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงผ้าห่มที่พับอย่างเรียบร้อยไว้  ในใจครุ่นคิดถึงมารดา 

    บิดาใช่ไม่รักมัน  นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่บิดาให้สิ่งของและนับเป็นของล้ำค่ายิ่งประจำตระกูล


                    เซ็กปวยเกีย  คลี่ม้วนตำราออก  ภายในเขียนว่า  “แม้ภูเขาถล่ม  ดินทลาย  สายลมหอบพายุคลั่ง 

    ใจเย็นดุจเมฆเหยียบย่างนภา  มิอาจคร่า”  คล้ายเป็นบทกลอนบทหนึ่ง  แต่เซ็กเจาบอกกับมันว่านี่เป็นเคล็ด

    วิชาเหยียบเมฆเยียบเย็น  ไม่นานเซ็กปวยเกียก็จำขึ้นใจ  ม้วนตำราถูกเก็บไว้หลังตู้  เด็กชายโผขึ้นเตียงหลับ

    ผล็อยไป


                    ในฝัน  มันจูงมือมารดาด้านซ้าย  ด้านขวาจูงมือบิดา  ก้าวสู่คฤหาสน์ตระกูลเซ็ก  พี่น้องพร้อมหน้า 

    แย้มยิ้มยินดี  นี่เป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันเห็น  แต่ความจริงมิเป็นเช่นนั้น  มันเป็นเพียงตัวโชคร้ายน่ารังเกียจตัวหนึ่ง

    ที่ลูกพี่ลูกน้องไม่ต้องการเข้าใกล้  มันมักจะกินข้าวในครัว  ไม่โผล่มาให้เป็นที่รังเกียจสายตาของผู้ใด


                ตูม!!!

                    เสียงระเบิดดังสนั่นทำเอาเซ็กปวยเกีย  ตื่นจากฝัน  นี่เป็นเรื่องอันใดกัน  หลังจากเสียงระเบิดอัน

    รุนแรงตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของคนนับสิบนับร้อย  “มีคนร้าย”  เสียงตะโกนของบ่าวไพร่  ปนกับเสียง

    กรีดร้อง  เสียงฝีเท้าวุ่นวาย  เกิดอะไรเบื้องนอกกันแน่


                    เซ็กปวยเกีย  ปีนขึ้นหยิบม้วนเคล็ดวิชากอดเข้าสู่อ้อมอก  วิ่งออกไป  เพลิงลุกโหมไม่จากทิศทางใด

    ไม่ทราบ  บ่าวไพร่วิ่งหนีมาทางมัน  บ้างมีแผลฉกรรจ์ร่างชุ่มไปด้วยเลือด  ร่างนั่นล้มลงตะเกียกตะกายหามัน 

    บ่าวไพร่คนนั้นพูดกับมัน “นายน้อยหนี  หนีไป”  แล้วสิ้นชีวิตไป


                    เซ็กปวยเกีย  ไม่รู้จะวิ่งหนีหลบไปทางไหน  ทุกทิศทางมีแต่เลือดและคนตาย  และที่น่าสะเทือนใจ

    กว่านั้น  สองศพลูกพี่ลูกน้องของมัน  ถูกเฉือนหลอดลมนั่งพิงกำแพงเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ  มันตอนนี้ห่วง

    แต่บิดาของมัน 


                    และคนร้ายในชุดดำนับสิบ  ทะลุร่างลงมาจากหลังคา  ใครขวางเป็นเข่นฆ่า  เซ็กปวยเกีย  วิ่งหนี

    ออกตัดสวนหย่อมด้านตะวันออกของบ้าน  สะดุดล้มกลิ้งลงบ่อปลา  จนตัวเปียกปอน  แต่ฝีเท้ายังวิ่งหา

    ทางออก  คฤหาสน์หลังใหญ่  ซับซ้อนหาทางออกได้ยากเย็น  มันเคยแต่อยู่ในตัวตึกหาได้เคยออกไปข้าง

    นอกแม้แต่ก้าวเดียว


                    และด้วยเหตุใดมันจึงหันกลับไป  ตัดสินใจวิ่งย้อนกลับทางเดิมเข้าไปในตัวตึก 

                    เซ็กเจาคว้ากระบี่  ต่อสู้กับคนร้ายในชุดดำ  คร่าชีวิตไปได้ห้าหกคน  นับว่ายังมีฝีมืออยู่บ้าง  ชาย

    เสื้อสีเหลือง  พร้อมเสียงไอ  เป็นกระบี่ป่วย  หลี่ฟาง  ที่ยืนปล่อยกระบี่จากชายเสื้อออกมา  ท่วงท่าพร้อม

    สังหาร  มันกลับก้มหน้านิ่งไม่เอ่ยวาจา


                    “แกเป็นใคร  ใยมาเข่นฆ่าเราเยี่ยงผักเยี่ยงปลา  อยากได้เงินทองเราจะจัดหาให้” เซ็กเจาชี้กระบี่

    ด่าทอหลี่ฟาง


                    หลี่ฟาง  ตอบด้วยท่วงท่าเช่นเดิม “แล้วใยท่านเป็นขุนนางปกครองด้วยความชั่วร้าย  ตึกรามในนี้ 

    อยู่อย่างสบายยิ่ง  ยิ่งกว่าประชาชนที่แทบจะต้องกินดินกินทรายอยู่ข้างนอก  เจ้าหาใยดีไม่”


                    “ไม่จริง  ข้าปกครองด้วยความภักดี  ประชาชนข้างนอกเพียงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยติดการพนันงอมแงม 

    พวกมันเลยจนอยู่อย่างนั้น  ไม่เกี่ยวกับข้าแม้สักนิดไม่”  เซ็กเจายังคงเถียงกลับมา


                    “สามหาว  ยังกล้าเถียงข้างๆคูๆ  เจ้าเคยได้ยินชื่อเสียงของพันธมิตรแห่งเงาหรือไม่” หมวกฟาง 

    เตี่ยวซิวเอ่ยสอดขึ้น


                    เสียงฝีเท้าหนักอันทรงพลังเดินมาเบื้องหลัง  เซ็กเจาเงยหน้ามอง  ราวกับพยายมมาคร่าชีวิตมันลง

    นรก  ลี้จิวนี่เอง  มันจดจำใบหน้านี้ได้  เมื่อสิบปีก่อน  มันเป็นเพียงขุนนางเล็กๆในวัง


                    “พี่เซ็ก  ยังจำเราได้หรือไม่”  ลี้จิว  เอ่ยกับเซ็กเจา

                    “ท่านมิใช่สาบสูญไปจากยูซาแล้วหรือ  ลี้จิวอันทรงอำนาจ  ปล่อยปละละเว้นเราและบุตรไป 

    อยากได้สิ่งใดก็เอาไป  ข้าจักไม่เอ่ยปากถึงทางการให้ร้ายท่านแม้แต่วาจาเดียว” เซ็กเจากล่าวขอร้องชีวิต


                    กระบี่ป่วย  ปล่อยพลังสายหนึ่ง  สีม้วงคล้ำ  เป็นกระบี่โรคภัยร้ายอันใดกัน  หากใครสูดดมก็เป็น

    อันต้องสิ้นสติไป  ฉายากระบี่ป่วยคงมาจากปราณม่วงดังกล่าว  ยิ่งป่วยยิ่งแกร่ง  ช่างน่าพิศวงยิ่งนัก


                    หลี่ฟาง  เอ่ย”เกรงจะไม่ได้”ก่อนจะตวัดดาบตรงเข้าสู่ลำคอเซ็กเจา  นับว่าเซ็กเจายังมีฝีมือติดตัว 

    ตอบโต้ปัดกระบี่นั้นออกไปได้หวุดหวิด


                    เซ็กปวยเกีย  วิ่งสุดฝีเท้ามาถึง  ในสมองกลับจำเคล็ดวิชา  ที่เซ็กเจาให้ไว้ได้  ในใจสุดจะกลัวเกรง

    ยิ่ง  แต่ตอนนี้จิตใจกลับไม่หวั่นไหว  มองเห็นทุกสิ่งรอบข้างเชื่องช้าไปหมด  คนร้ายในชุดดำปราดกระบี่ฟัน

    มายังตัวมัน  เซ็กปวยเกียกลับหลบได้อย่างไม่น่าเชื่อ  มันกลับไม่สนใจ  วิ่งตรงไปยังด้านหน้าตึก


                    เซ็กเจาประกระบี่กับหลี่ฟางไปได้ห้ากระบวนท่า  เงื้อมมือฉีกขาดแต่ยังกุมกระบี่แน่น  หากวันนี้

    ไม่มีชีวิตกลับไปก็คงต้องสู้ตาย


                    เซ็กเจากระโดดฟันกระบี่ลงเฉียงๆ  เข้าสู่ไหล่ของหลีฟาง  มือใหญ่ๆข้างนึง  คว้าจับกะโหลกของ

    เซ็กเจา  ราวกับคว้าผลไม้ลูกนึง  เป็นเวลาเดียวกับ  เซ็กปวยเกียวิ่งมาถึง  ลมแรงยามค่ำคืนพัดผมของมัน

    ปลิวไสว  มองเห็นลี้จิวบีบกะโหลกของบิดาแหลกเละกับมือ


                    สายตาทั้งสามคู่กลับแปลกประหลาดใจ  เหตุใดมีเด็กคนหนึ่งเล็ดรอดจากการสังหารล้างตระกูล

    ครั้งนี้ไปได้


                    สายตาของเซ็กปวยเกียและลี้จิวประสานกัน  เหตุใดมันจึงหาญกล้าถึงเพียงนี้  ลี้จิวเห็นม้วนตำรา

    ที่มันกอดไว้แน่น  จึงเอ่ยถาม


                    “เจ้าหนู  นั่นเป็นม้วนตำราอันใด  ขอข้าดูได้หรือไม่”

                    เซ็กปวยเกียจ้องลี้จิวอย่างไม่ละสายตา  “ไม่”  มันเอ่ยคำเดียวสั้นๆ

                    เตี่ยวซิว  ตวาดคำ “บังอาจ”  ก่อนจะตวัดข้อมือขว้างหมวก  นั่นเป็นท่วงท่าสังหารที่ตัดศีรษะคู่ต่อสู้

    ได้ในคราเดียว  ไม่มีใครรอดพ้นจากท่านี้มาก่อน  หมวกลอยพุ่งผ่านลี้จิวไป  ตรงไปยังลำคอเด็กน้อยผู้นี้  เซ็ก

    ปวยเกียคงต้องจบสิ้นชีวิตแน่แท้


                    เสียงปง  ดังขึ้นเมื่อหมวกถูกปัดออกด้วยม้วนตำราในอ้อมอกของเซ็กปวยเกีย  มันในวัยห้าขวบ

    กลับรอดพ้นกระบวนท่านี้ของเตี่ยวซิวได้  แต่พลังแฝงมากับหมวกฟางรุนแรงยิ่ง  ม้วนตำราถูกพลังสายนั้น

    ทำลายจนกระดาษปลิวว่อน  แรงกระแทกทำเอาร่างน้อยๆของเซ็กปวยเกียกระเด็นไปไกลหลายวา  สิ้นสติ

    สมประดีไป


                    เตี่ยวซิวเห็นทีจะเสียหน้า  จึงปรี่สังหารให้รู้แล้วรู้รอดไป

                    ลี้จิวร้องตวาดให้หยุดมือ 

                    เตี่ยวซิวสงสัยเอ่ยถาม “เหตุใดไม่ให้ข้าสังหารเด็กคนนี้”

                    ลี้จิว  ยืนมองร่างอันไร้สติของเซ็กปวยเกีย  ความรู้สึกอันใดที่ทำให้ตนหวาดหวั่นต่อสายตาคู่นี้  “ข้า

    จะนำมันกลับไป  เป็นศิษย์คนแรกของเรา”


                    เตี่ยวซิวและหลี่ฟาง  เหมือนหูตนจะฝาดไป  หรือได้ยินอะไรผิดไป  แต่ก็ไม่คัดค้านอันใด  แม้ในใจ

    ขัดแย้งกับการกระทำของลี้จิวก็ตาม


                    ลี้จิว  จึงกล่าวกับทั้งสอง  “ปีกที่หนึ่ง  ปีกที่หกของเรา  อย่าได้ตระหนกไป  ข้าจะฝึกฝนมันให้เป็น

    ปีกที่สิบสามของพันธมิตรของเราในอนาคต” ก่อนจะสั่งให้มือดีคนหนึ่งหอบหิ้วร่างของเซ็กปวยเกียจากไป


                    ทิ้งไว้เพียงซากศพ  และซากปรักหักพัง  ของคฤหาสน์ตระกูลเซ็ก

                   

                    ห้าวันให้หลัง  พันธมิตรแห่งเงา นำโดยลี้จิวและปีกทั้งสิบสอง  มาประกาศแก่ราษฏรทั้งหมด  ถึง

    การปฏิวัติล่าล้างตระกูลเซ็กอันชั่วร้าย  ประชาชนที่เห็นด้วยต่างโห่ร้องยินดี  และยังมีอีกมากที่ไม่เห็นด้วย

    กับการปฏิวัติเลือดครั้งนี้  ข่าวคราวครั้งนี้  สร้างความตื่นตระหนกยังทางการยูซา  แต่ก็ไม่กล้าส่งกองกำลัง

    มาปราบแคว้นฮาร์บิน  นับว่าเป็นก้าวแรกที่สำเร็จของพันธมิตรแห่งเงา


                    เซ็กปวยเกีย  ถูกเลี้ยงอย่างดีดุจราชา  ลี้จิวนำมันติดตามไปทุกที่  มันเองต้องจำยอมโดยทำอะไร

    มิได้  แม้จะเกลียดชังบุรุษผู้ฆ่าบิดาของตนคนนี้ก็ตาม


                    คฤหาสน์ถูกรื้อถอน  ถูกสร้างใหม่  เป็นค่ายเทียมเมฆ  ลี้จิวสั่งไม่เก็บภาษีโรงเรือน  เรียกผู้คนที่

    ต้องการเข้าเป็นทหารเข้ารับการฝึกโดยมีเบี้ยหวัดให้  การปกครองถูกรื้อใหม่ทั้งหมด  เป็นเตี่ยวซิวที่จัดการ

    ทางนี้  ลี้จิวแต่งตั้งเตี่ยวซิวเป็นผู้ว่าการแคว้นฮาร์บิน  ดูแลทุกอย่างโดยขึ้นอยู่กับตน


                    เซ็กปวยเกีย  ถูกนำตัวกลับไปยังแดนพยายม  ถูกฝึกปรือโดยคนสนิทอีกคนของลี้จิว  มันผู้นี้สวม

    หน้ากากไม้สีเขียว  แรกพบปวยเกียกลับกลัวมัน  ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมอง  แต่เวลาผ่านไปพบว่า  บุคคลผู้นี้

    แท้จริงจิตใจดียิ่ง  เขาชื่อซุนกู่  โดยภายหลังปวยเกีย  เรียกมันผู้นี้ว่า  ท่านอากู่  มันสอนปวยเกียทั้งวิชาบุ๋น

    และบู๊ 


                    แคว้นฮาร์บิน  เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  ในเวลาสองปี  กองกำลังที่เข้มแข็ง  ทางการส่งกองทหาร

    มาปราบสองครั้งแต่ก็พ่ายแพ้กลับไป


                    เซ็กปวยเกีย  ในวัยเจ็ดขวบปี  เติบใหญ่ขึ้น  แต่ราวกับโตกว่าเด็กในวัยเดียวกันมากนัก  วันนี้ซุนกู่ 

    พาเซ็กปวยเกียเข้าพบลี้จิวที่ชั้นล่างของหอต้องดาว


                    “ข้าน้อยปวยเกียคารวะนายท่าน” เซ็กปวยเกียก้มคำนับแนบพื้นไม่เงยหน้าขึ้นมา

                    “ปวยเกีย  ลุกขึ้นเถอะ” ลี้จิวกล่าวกับปวยเกีย  สายตาจับจ้องมันอย่างไม่วางตา

                    “สองปีมานี้  เจ้าโตขึ้นมากทีเดียว  ต่อแต่นี้เจ้าเรียกเราว่าอาจารย์  อย่าได้เรียกนายท่านอีก”ลี้จิวก

    ล่าว  นับเป็นกรุณากับมันยิ่งนัก  ลี้จิวไม่เคยรับศิษย์มาก่อน  มันนับเป็นศิษย์คนแรกตั้งแต่ก่อตั้งพันธมิตร

    แห่งเงาขึ้นมา  โดยมีซุนกู่เป็นอาจารย์อาอีกคน


                    “ข้าน้อย  ปวยเกีย  คารวะอาจารย์”  มันคำนับอีกครา

                    “ต่อแต่นี้  เจ้าติดตามข้าไปอย่าได้ห่างกาย  ซุนกู่  เจ้าฝึกปรือมันจนเข้มแข็งกว่านี้  เมื่อเจ้าได้สิบ

    ขวบปี  เจ้าจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากข้า” สิ้นประโยค  ปวยเกียและซุนกู่ล่าถอยจากไป


                    ระหว่างทาง  เซ็กปวยเกีย  เงียบงันมาตลอด  ซุนกู่เข้าใจเด็กผู้นี้ดี  “ปวยเกีย  เจ้าอย่าได้โกรธเคือง

    นายท่าน…ท่านอาจารย์ไป  นับแต่นี้เจ้าคือปวยเกีย  หาใช่บุตรตระกูลเซ็กอีกต่อไปไม่”


                    เซ็กปวยเกียผงกศีรษะรับฟังคำของซุนกู่  แต่ในใจหามีใครรู้ไม่ ว่ามันนี้คิดการสิ่งใดอยู่

     

                    แคว้นฮาร์บิน  กลับกลายจากเมืองร้าง  กลายเป็นเมืองที่คึกคัก  เศรษฐกิจเฟื่องฟู  ประชาชนมีอยู่

    มีกินกันดีมากขึ้น  นับเป็นการปกครองที่มองเห็นถึงชาวประชาเป็นหลักของลี้จิว  ผู้คนส่วนใหญ่ลืมเลือนการ

    ปฏิวัติเลือดที่ผ่านมา


                    วันนี้เป็นวันครบรอบสองปี  ที่ก่อร่างสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา  เหล่าพ่อค้า  ต่างนำของกำนัลมาให้ลี้จิว

    เพื่อแสดงความเอาอกเอาใจและภักดี  ลี้จิวจัดโต๊ะเลี้ยงจัดงานรื่นเริงสามวันสามคืน 


                    ลี้จิว  ตรวจตราของขวัญ  ของกำนัลด้วยตนเอง  ไม่มีสิ่งใดให้เขาสนใจ  นอกจากม้วนภาพวาดหนึ่ง 

    ที่วาดด้วยพู่กันเป็นภาพพยัคต่อสู้พัวพันกับมังกร  มองแล้วคล้ายกับโดนต้องมนต์สะกด  ลี้จิวเรียกบ่าวมาผู้

    นึงไต่ถามว่า


                    “ใครกันเป็นคนวาดภาพนี้”

                    บ่าวไพร่ผู้นั้น  กล่าวตอบไปอย่างตะกุกตะกักว่า  “เป็นจิตรกรแขนขาด  ที่อยู่ในตรอกดิน

    เหนียว
    นั่น”


                    ตรอกดินเหนียว  เป็นชื่อของตรอกของชนชั้นยากจนของแคว้นฮาร์บินอาศัยอยู่  แล้วจิตรกรแขน

    ขาดผู้นั้นเป็นใคร  วาดได้ประทับใจลี้จิวยิ่ง


                    “ข้าจะไปตอบแทนจิตรกรผู้นี้ด้วยตนเอง”

     

    ขบวนรถม้าของลี้จิว  เดินทางผ่านใจกลางแคว้น  ผู้คนต่างทำความเคารพทันทีที่รถม้าเคลื่อนผ่าน 

    มือดีนับสิบ  และปีกที่ห้า  ชายผมแดงคาดผมด้วยผ้าลายเสือ  ฉายาของเขาคือ “ธนูล่าวิญญาณ” มีธนูคัน

    ดำขลับ  พาดอยู่ด้านหลัง  เรียกขานธนูนั้นว่าธนูดาวตก  เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่  นาม  ต้วนอี้


    จุดหมายของขบวนรถม้า  คือตรอกดินเหนียว  สถานที่ซึ่งไม่ค่อยมีใครอยากย่างกรายเข้าไป  กลิ่นที่

    ไม่พึงประสงค์ลอยคละคลุ้ง  ผู้คนแต่งกายมอมแมม  อยู่ด้วยเพิงไม้กำแพงทำด้วยดินเหนียว  มีชีวิตอยู่อัน

    ยากลำบาก


    ลี้จิว  ยืนหยัดมองไปรอบๆก่อนจะเอ่ยขึ้น  “ยังมีหลายชีวิตที่ยังลำบากยิ่ง  อีกหลายปีคงจะทำให้พวก

    เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้”


    ชาวบ้านพร้อมครอบครัวกำลังตากปลาแห้งอยู่  เห็นลี้จิวเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง  ต่างกริ่งเกรง  ทั้งยินดี

    ยิ่ง  น้ำตาไหลดีใจปีติ  วิ่งเข้ามาคำนับ  ลี้จิว  ทรุดลงประคองร่างชาวบ้านก่อนจะเอ่ยถามหา  จิตรกรที่แขน

    ขาดคนนั้น


                    ชื่อของมันคือ  เกาอิง  มีบุตรชายหนึ่งคน  นามว่า  เกาเอี่ยน  มีอาชีพวาดภาพขาย  แขนข้างนั้นที่

    ขาดมีความหลังอันใดไม่ทราบ  ทราบแต่เมื่อก่อนมันเป็นเพียงชายพเนจรมาอาศัยที่เมืองนี้  บ่อยครั้งที่

    คลุ้มคลั่งทุบตีบุตรชาย  ฝีมือวาดภาพที่แฝงพลังลี้ลับชนิดหนึ่ง  ทำเอาลี้จิวต้องตามหาตัวมันให้พบ


                    ประตูไม้ผุพังใกล้จะหัก  ต้องก้มหัวเข้าไป  ภายในห้องหับอับยิ่ง  แต่แสงเล็ดลอดมาเพียงพอให้

    วาดภาพได้  เกาอิง  กลับมิได้อยู่ในบ้าน  ทิ้งไว้เพียงบุตรชาย  ที่เอาแต่พับนกกระดาษ  เป็นกระดาษที่ผู้เป็น

    พ่อวาดเสีย  มันเลยหยิบฉวยมาพับเป็นนก  หากแต่นกที่พับกลับน่าแปลกยิ่ง  คล้ายมันมีชิวิตชีวาจริงๆ


                    ลี้จิว  ก้มหยิบนกกระดาษขึ้นมา  กล่าวกับเด็กน้อย  ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซ็กปวยเกีย  “เจ้า

    หนู  เจ้าคงเป็นบุตรของจิตรกรนามเกาอิง  เจ้าพับนกได้ยอดเยี่ยมยิ่ง”


                    เกาเอี่ยนหาได้เงยหน้าขึ้นมามองไม่  นับว่ามันมีสมาธิยอดเยี่ยมยิ่ง  แขนยาวเรียว  ดูเหมาะกับการ

    ฝึกยุทธ  ลี้จิวถูกชะตากับเด็กผู้นีอย่างบอกไม่ถูก


                    ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง  ชายแขนขวาขาด  เดินเข้ามา  เขาคือจิตรกร  เกาอิ่ง  ชายที่ลี้จิวตามหา

    นั่นเอง


                    เกาอิ่งทำความเคารพลี้จิวด้วยท่าทีถ่อมตัวยิ่ง  “นายท่านลี้จิวมาหาข้าถึงที่นี่  ข้าน้อยปลาบปลื้มยิ่ง

    นัก”


                    ลี้จิว  ยังคงถือนกกระดาษในมือ  อีกมือ  ยื่นคว้าถุงเงินยื่นใส่มือเกาอิ่ง  “เจ้าวาดภาพได้ประทับใจ

    ข้ามาก  นี่เป็นรางวัล”


                    เกาอิ่งก้มมองต่ำหาได้เงยหน้าสบตากับลี้จิว  แต่ความสงสัยหนึ่งคือแขนข้างนั้น  เหตุใดจึงขาด

    สะบั้นเป็นคนพิกลพิการ  แต่ลี้จิวก็มิได้ถามกระไร


                    เกาอิ่งคุกเข่า  โขกศีรษะสามครา  จนหน้าผากแตกเลือดไหลเป็นทาง

                    “ข้าน้อยเกาอิ่ง  มีเรื่องขอร้องท่าน”

                    ลี้จิวบอกให้มันลุกขึ้น  แต่เกาอิ่งยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น

                    “ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว  เกาเอี่ยน  บุตรชายข้า  ข้าขอยกให้ท่าน”  เกาอิ่งก้มคำนับอีกครา

                    สมใจลี้จิวยิ่ง   มันคิดจะขอบุตรชายของมันเข้าเป็นศิษย์อีกคนพอดี  “ได้ข้ารับปากเจ้า  ข้าจะเลี้ยง

    มันเป็นอย่างดี”


                    เกาอิ่งเรียกบุตรชาย  เกาเอี่ยนหยุดมือจากการพับนก  แต่มันได้ยินทั้งสองคุยกันทั้งหมด “เกา

    เอี่ยนมาคารวะฝากตัวกับนายท่าน”


                    เกาเอี่ยนเดินเชื่องช้าคุกเข่าคำนับ 

                    “ต่อแต่นี้  ข้าคืออาจารย์ของเจ้า  จงติดตามข้ากลับไป  เป็นศิษย์คนที่สองของข้า  เจ้ามีศิษย์พี่คน

    หนึ่ง  ไปแล้วเจ้าจงผูกมิตรไมตรีไว้  ลาก่อนเกาอิ่ง  หากมีเรื่องใดเดือดร้อนจงเขียนหนังสือไปที่คนของข้า”


                    ลี้จิวจูงมือเกาเอี่ยนเดินจากไป  ทิ้งเกาอิ่งไว้แต่เพียงผู้เดียว  หากแต่มันมิได้เศร้าสร้อยเสียใจ  ร้อย

    ยิ้มมุมปากของเกาอิ่งปรากฏขึ้น

    ……………………………………………………………………………………………………

    จบตอน

                   

                   

                   

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×