ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] BLUE ROMANCE [KrisLay]

    ลำดับตอนที่ #9 : B L U E : : 09

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 56



    09





     

    เข็มสั้นกับเข็มยาวบนหน้าปัดนาฬิกาหมุนทับกันชี้เลขสิบสองเป็นเส้นเดียว ลู่หานในเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดยังคงก้มหน้าดูประวัติคนไข้รายล่าสุด คุณหมอมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนที่เสียงหวานของคุณลี่เจียว พยาบาลสาวดังขึ้นขัดจังหวะแจ้งประชุมประจำปีเวลาประมาณหกโมงเย็นวันนี้

     

     

     

    “คุณคริสจะมาเยี่ยมโรงพยาบาลด้วยนะคะ” หญิงสาวจบบทสนทนาด้วยประโยคดังกล่าว ชื่อของบุคคลที่สามที่คุณพยาบาลเอ่ยแจ้งเมื่อตะกี้สะดุดหูลู่หานพอดี เขาจึงถามคุณพยาบาลกลับ

     

     

     

    “คุณคริสคือใครหรอครับ”

     

     

     

    “อ๋อ คุณอู๋อี้ฝาน ผู้บริจาครายหลักให้กับโรงพยาบาลค่ะ แหะๆ ฉันก็เผลอเรียกชื่อท่านซะสนิทสนมเลย”

     

     

     

    “เหรอครับ” ลู่หานพยักหน้าขอบคุณลี่เจียวหลังจากเสร็จธุระเธอก็เดินอกจากห้องทำงานไป

     

     

     

    คุณหมอหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยกับอีกชื่อของเพื่อนสนิทแต่ไม่ทันได้ถามซักไซ้อะไรมากนักคุณพยาบาลก็ออกจากห้องไปเสียแล้ว คริส  งั้นหรอ? ลู่หานไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพื่อนสนิทครั้นสมัยมัธยมของตนนั้นมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง คริสชื่อคุ้นนักหนาราวกับว่าเคยได้ยินจากใครสักคนเมื่อไม่นานมานี้ ลู่หานนั่งเคาะปากกานึกย้ำไปย้ำมาในหัวก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวหลังจากวันที่ไปหาจงอิน

     

     

     

    ใช่แล้วเขาดีดนิ้วมือดังเปาะแล้วมือสวยก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหากระดาษแผ่นยับที่จงอินจดที่อยู่ของคนรักของอี้ชิงให้ขึ้นมาดูเพื่อความแน่ใจ...ที่อยู่โรงแรมของคริส “เฮ้ย! …ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย” ลู่หานตกใจที่บังเอิญชื่อทั้งสองเป็นชื่อเดียวกัน เขาถอนหายใจพรู “คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง”

     

     

     

    ตกเย็นทั้งห้องประชุมนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้บริหารโรงพยาบาล เหล่ากรรมการผู้ถือหุ้น คุณหมอหัวหน้าแผนกต่างๆ รวมทั้งอี้ฝานที่เพิ่งจะมาถึง คุณหมอซ่งเชี่ยนและตัวลู่หานเองอยู่ในที่ประชุมพร้อมหน้าพร้อมตา ระหว่างประชุมตาคู่โตมองจอสไลด์รายงานสถิติของผู้ป่วยในปีนี้เทียบกับปีที่แล้ว ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการตลอดจนงบประมาณรวมถึงรายได้ของโรงพยาบาลอย่างหน่าย ๆ  

     

     

     

    ตลอดการประชุมลู่หานเอาแต่เหลือบมองนาฬิกาข้อมือทำให้ไม่มีสมาธิอยู่กับตัวเพราะกำลังประติดประต่อเรื่องที่ตนสงสัยเมื่อตอนเที่ยง กะว่าจะหาจังหวะเหมาะสมเข้าไปถามอี้ฝานตรง ๆ อาการลุกลี้ลุกลนแสดงออกชัดเจนจนคุณหมอซ่งเชี่ยนแอบเอ็ดหมอรุ่นน้องเบา ๆ  

     

     

     

    “เป็นอะไรกันคุณหมอลู่หาน ดูรีบ ๆ นะวันนี้”

     

     

     

    “อะ...อ่อเปล่าหรอกครับ” ลู่หานแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนอาการรีบร้อนของตนเอง

     

     

     

    ไม่นานการประชุมประจำปีอันน่าเบื่อสำหรับเขาก็จบลง ท่านผู้บริหารชวนอี้ฝานคุยตามมารยาท ลู่หานแอบรู้สึกอิจฉาในใจ อายุก็เท่ากันแต่ทำไมฐานะของตนและอี้ฝานถึงได้แตกต่างจากแต่ก่อนนัก นึกถึงสมัยมัธยมยังเล่นเตะบอลหน้าตาอาบเหงื่อด้วยกันอยู่เลย ผ่านมาไม่ถึงสิบปีเจ้าหมอนี่กลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว เม็ดเงินหมุนเวียนในแต่ละวันนับไม่ถ้วน เป็นคนสำคัญในสังคมคนมีตังค์  มองย้อนกลับมาหาตัวเองช่วงเวลาในอดีตนั้นเป็นคนบ้าฝันจนได้ทุนเรียนจบนอกพอเรียนจบแล้วต้องทำงานจนแทบจะไม่มีเวลาให้กับตัวเองทั้งยังทำงานหามรุ่งหามค่ำกินเงินเดือนจากเพื่อนตัวเอง

     

     

     

    พอท่านผู้บริหารเว้นจังหวะสนทนากับอี้ฝานคนที่จับตาดูอยู่จึงได้จังหวะจะเข้าไปคุยเรื่องที่ทำให้ตัวเองข้องใจตั้งแต่เที่ยง ไม่ทันที่จะเข้าไปลู่หานสังเกตได้ว่าสายตาของอี้ฝานกำลังจับจ้องไปยังใครบางคนอย่างสนอกสนใจสองเท้าที่กำลังจะก้าวย่างจึงหยุดอยู่และดูให้แน่ใจ ภาพที่เห็นร่างสูงรีบเดินสาวเท้าไปยังผู้ชายท่าทางคุ้นตาคนหนึ่งที่กำลังนั่งรอรับยาอยู่หน้าเคาน์เตอร์ อี้ชิง

     

     

     

    อี้ฝานเข้าไปหาอี้ชิง ท่าทางสนิทสนมของคนตัวสูงทำเอาลู่หานไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น และแล้วเรื่องที่เขาไม่อยากให้เกิดที่สุดก็เกิดขึ้น จางอี้ชิงบอบบางมากข้อนี้เขารู้ดีและเขาเองก็รู้จักอี้ฝานตลอดชีวิตวัยมัธยมที่เคยใช้เวลาร่วมกันมา เพื่อนเขาคนนี้เพียบพร้อมทุกอย่างยกเว้นก็แต่ว่าอี้ฝานนั้นไม่เคยมีความรักให้กับใครจริงจัง การที่สองคนนี้รู้จักกันจึงไม่ใช่เรื่องที่ดี ลู่หานรู้สึกสับสนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี อิ้ชิงอ่อนแอเจ็บป่วยออดๆ แอด ๆ มาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวที่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสมบูรณ์แบบก็เป็นเพียงอดีตที่เลวร้ายคอยตามหลอกหลอนเขาทุกขณะ หากจะบอกเรื่องของอี้ฝานทั้งหมดแก่อี้ชิงตรง ๆ  ก็เกรงว่าจะกระทบกับจิตใจของอี้ชิงจนเจ้าตัวไม่อาจทำใจรับรู้เรื่องร้าย ๆ เหล่านี้ได้  อี้ชิงไม่ได้เป็นแค่คนไข้ธรรมดา ๆ ของหมออย่างเขา แต่เป็นทั้งเพื่อนที่คอยแบ่งบันเรื่องราวทุกข์สุขต่างๆ นานาตลอดเวลาที่เขากลับมาอยู่ที่จีน ทางที่คิดว่าดีที่สุดที่ทำได้คือยุติเรื่องทั้งหมดกับอี้ฝานซะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันนี้งานที่ร้านเลิกเร็วกว่าปกติผมจึงมีเวลามาหาหมอซึ่งจริง ๆ ผิดนัดมาตั้งสองงวดแล้ว ผมไม่ได้บอกคริสว่าวันนี้จะไม่ไปหาเพราะยังไงซะถึงแม้จะเข้าไปมันก็ไม่ส่งผลต่อเขาหรอก สิ่งที่ผมทำอยู่จึงเหมือนกับว่าทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ทั้งที่รู้สึกเจ็บแต่ก็ยังทำ ผมแสยะยิ้มด้วยความสมเพชให้กับตัวเองผ่านกระจกตรงหน้า จะว่าไปแล้วหัวใจของผมคงทนกับความรู้สึกเจ็บจนหัวใจมันด้านชาไปหมดแล้ว ผมนั่งรอหมอจ่ายยาอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไม่นานชื่อผมก็ถูกเรียกไปรับยา คุณหมอดุผมนิดหน่อยตามประสาคนเป็นหมอ ผมถามหาลู่หานได้คำตอบว่าวันนี้ติดประชุมประจำปีอะไรสักอย่างจึงไม่อาจเจอได้ ก่อนหมุนตัวกลับจะโบกแท็กซี่ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังแว่ว ๆ ผมไม่ได้สนใจหันไปทางต้นเสียงนั้น บางทีอาจจะทำงานเบลอจนหูอาจจะแว่วก็ได้มั้ง เท้าทั้งสองจึงย่ำเดินเดินต่อไป

     

     

     

    “อี้ชิง”

     

     

     

    เสียงคุ้นนั้นดังใกล้เข้ามา พลันมือหนาก็จับที่ข้อมือผมดึงรั้งไว้ไม่สามารถก้าวเดินต่อได้ ผมหยุดแล้วหันไปทางต้นเสียงพบกับใบหน้าคุ้นเคยในสถานที่ที่ไม่ควรจะเจอ ผมตกใจจนนิ่งไปชั่วขณะ ตกใจมากจนไม่รู้ว่าหน้าตาของตัวเองตอนนี้แสดงอาการอย่างไร ความรู้สึกตกใจมันเย็นวูบตั้งแต่ใบหน้าจดฝ่าเท้า เหมือนกับถูกอากาศรอบ ๆ ตัวดูดเอาความร้อนในร่างกายไปแล้วทิ้งไว้แต่ความหนาวเย็นยะเยือกปกคลุมทั่วร่าง

     

     

     

    “คุณมาทำอะไรที่นี่  อี้ชิง” เขาเรียกชื่อผมอีกครั้งพร้อมกับกระตุกข้อมือ คริสยิ้มบาง ๆ เหมือนทุกครั้งที่เจอกัน เพียงแต่ตอนนี้ผมกลับคิดว่ารอยยิ้มนั้นเดาได้แค่ไหนกันว่าข้างในจิตใจนั้นคิดยังไง  ไม่สิ ตอนนี้คงไม่ต้องเดาแล้วแหละผมรู้ รู้ดีแต่ยังดื้อรั้น... ผมพยายามรวบรวมสติรวบรวมคำพูดจะตอบคริสแต่สายตาคมที่จ้องมองผมเมื่อครู่ก็จับจ้องไปยังถุงยาที่มืออีกข้างหนึ่งถือไว้ “คุณไม่สบายหรอ เป็นอะไรมากรึเปล่า”

     

     

     

    “ผะ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบตะกุกตะกักเลี่ยงไม่อยากให้คริสรู้ว่าเป็นอะไร ถ้าหากเขารู้ว่าผมเป็นเพียงไอ้ขี้โรคคนหนึ่งที่พยายามมีชีวิตอยู่เพื่อคน ๆ เดียว คงยากที่จะทำใจยอมรับได้ว่าเขาจะคิดอย่างไร

     

     

     

     “ไหนขอดูหน่อยสิ” หลังมือหนายกขึ้นแตะหน้าผากทำหน้าที่คุณหมอจำเป็น

     

     

     

    “ผมไม่เป็นไร” พยายามปฏิเสธให้ถึงที่สุด

     

     

     

    “ไหนขอดูหน่อยหมอให้ยาอะไรมาบ้าง” เขาเอื้อมมือจะจับถุงยาผมตกใจอุทานเสียงดัง

     

     

     

    “ไม่ได้! อะเอ่อ แค่ยาแก้แพ้น่ะ” เขาตกใจกับเสียงอุทานดังของผม จนทำหน้าเหวอไปชั่วครู่ “คุณมาที่นี่มีธุระอะไรหรอ แล้วนี่ไม่ไปทำธุระหรอครับ ผมว่าจะกลับแล้วน่ะ” ว่าจบสองเท้าก็ทำหน้าที่อัตโนมัติออกก้าวเดินแต่แล้วมือหนาก็รั้งข้อมือผมไว้อีกครั้ง

     

     

     

    “ผมเดินไปส่งนะ” เขายกยิ้มให้อีกครั้งก่อนที่ร่างของผมจะเดินตามต้อย ๆ ไม่อาจขัดใจได้เลย คริสจับมือผมหลวม ๆ ระหว่างทางเดิน พลางเหลือบมองใบหน้าด้านข้างเป็นระยะ เขาถามนั่นนี่หลายคำถามหากแต่เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ตลอดทางจึงไร้บทสนทนาระหว่างเรา...อันที่จริงคือไร้คำพูดใด ๆ จากปากของผม “คุณรู้ไหมถึงผมจะร้องเพลงไม่เพราะแต่ผมผิวปากเพราะนะ” ประโยคบอกเล่าที่เหมือนจะเป็นคำขออนุญาตเสียมากกว่า จากนั้นคริสก็เริ่มผิวปากโดยที่ผมไม่ได้อนุญาตเลยสักนิด

     

     

     

    ผมไม่ได้อนุญาต...แต่ไม่คิดจะห้ามเขาหรอกนะ

     

     

     

    เราทั้งสองเดินเอื่อย ๆ เรื่อยมาหยุดอยู่หน้าห้องหมายเลข 107 ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างคริสอีกครั้งก่อนจะควานหากุญแจเปิดห้อง  คริสเป็นฝ่ายแง้มบานประตูเข้าไปแต่ผมเอาตัวขวางแล้วดันอกเขาไว้เสียก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงทำอย่างนั้น คริสส่งสายตาเว้าวอนแต่ก็ไร้คำพูดจากปากผม

     

     

     

    “ทำไมล่ะ”

     

     

     

    “คุณกลับเถอะคริส”

     

     

     

    “เวียนหัวไม่ใช่หรอ แล้วนี่ก็ยังไม่กินข้าวกินยาเลย ผมอยู่ส่งคุณเข้านอนก่อนค่อยกลับดีกว่านะ”

     

     

     

    “...”  ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ไม่ใช่ไม่อยากให้เขาอยู่แต่เพราะอะไรผมก็ไม่ทราบ มันเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างติดอยู่ที่ลำคอทำให้ไม่พูด ได้แต่กลืนมันลงไป

     

     

     

    “เดี๋ยวคุณอาบน้ำเถอะนะ ผมจะไปซื้อโจ๊กเดี๋ยวกลับมา” คนตัวสูงจัดแจงเยี่ยงผู้ปกครองสั่งนั่นนี่ให้ทำตาม เช่นเคยแหละผมก็ยอมทำตาม หัวใจของผม...ไร้การควบคุมเมื่อมีคริสเข้ามาครอบครอง  

     

     

     

    อย่างแรกที่ผมทำคือเอาถุงยาที่หมอให้มาซ่อนในที่ลับก่อนจะจัดการเข้าห้องน้ำชำระร่างกายไม่นานเสียงลูกบิดประตูก็ดังก๊อกส่งสัญญาณว่าเขากลับมาพร้อมกับเมนูที่ว่าคริสจัดการเทใส่ชามทำหน้าที่ผู้ปกครองจำเป็น จู่ๆ ผมก็นึกอยากขำขึ้นมา ผมรับชามโจ๊กมาตั้งใจจะกินมันซะ

     

     

     

    “ร้อนนะ ระวังลวก”

     

     

     

    “ไม่หรอกน่า”

     

     

     

    “ผมป้อนดีกว่านะ” คริสยื่นมือมาหวังจะแย่งชามโจ๊กไปแต่เสียงโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน เขาออกไปคุยข้างนอกสักครู่ซึ่งผมก็ไม่ได้แยแสว่าใครโทรมาว่าอะไรยังไงยังคงนั่งกินโจ๊กต่อจนหมดชาม คริสกลับเข้ามาท่าทางเร่งรีบพอควรเขาโผเข้ามากอดผมเต็มแรง จนแทบสำลักน้ำ “กินยาแล้วรีบพักผ่อนนะ”

     

     

     

    “อื้อ” ผมพยักหน้ารับคำเสียงอู้อี้ในอ้อมกอด

     

     

     

    “แล้ว...” เขาเว้นจังหวะพลางผละร่างผมออกช้า ๆ ดวงตาคู่คมจ้องมองมาที่ผมอย่าเว้าวอน “อย่าหายไปไหนอีกนะ” ก่อนที่จะรีบเดินออกจากห้องหมายเลข 107 นี้ไป

     

     

     

    ทิ้งไว้ก็แต่กลิ่นน้ำหอมติดจมูกและสัมผัสอบอุ่นเมื่อครู่

     

     

     

    หลังจากคริสกลับไปแล้วผมนั่งปล่อยความคิดกับตัวเองโดยลำพัง บางขณะผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งน้ำตาก็เอ่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมเหมือนคนโง่และคนบ้าในคราวเดียวกัน ผมรักเขาจนไม่อาจปฏิเสธเสียงเรียกร้องของตัวเองได้เลยแม้ว่ารู้ดีอยู่แก่ใจถึงจุดประสงค์ที่คริสเข้ามารู้จักผม บางครั้งผมหวาดระแวงทุกการกระทำทุกคำพูด หวาดระแวงแม้กระทั่งคนรอบข้าง ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไม ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ ค่ำคืนที่ไร้ดวงดาวสักดวง คุณคิดดูสิแม้แต่ดวงดาวที่คอยยิ้มให้กันทุกคืน ตอนนี้กลับใจร้ายทิ้งผมไว้โดยลำพังไม่เหลียวแล ช่วงเวลาของการหายใจต่อจากนี้ผมเองไม่รู้ว่าเหลือนานแค่ไหน ผมพยายามที่จะยื้อเพื่อให้ตัวเองได้มีความสุขมากที่สุด ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับได้เลย รู้ตัวอีกที่นี่ก็เป็นเวลากว่าตีสามแล้ว

     

     

     

    ผมนอนไม่หลับ

     

     

     

    ข้อความทางโทรศัพท์ที่เพิ่งกดส่งไปหาคริสด้วยความหวังโง่ๆ ว่าเขาจะเปิดอ่าน...

     

     

     

     

     

     

     

     

    แสงแดดเวลาสายส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กทำหน้าที่แทนนาฬิกาปลุกให้ผมตื่นจากนิทรา รู้สึกปวดหนึบที่ขมับจนไม่อยากลุกไปไหน เดาว่าเมื่อคืนผมคงร้องไห้จนเผลอหลับไป มือถือแสดงรายการสายที่ไม่ได้รับสองสาย พี่ดาน่าโทรหาผมเมื่อหนึ่งชั่งโมงที่แล้ว ผมตัดสินใจกดโทรออกเพื่อลางานทั้งวัน สาเหตุเพราะนอนไม่หลับพาลทำให้ปวดหัวหนักจึงไปทำงานไม่ได้ เลื่อนกดดูกล่องข้อความขาเข้าเช็คเพื่อความมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด ว่างเปล่า... ไร้ข้อความตอบกลับ

     

     

     

    ผิดหวัง ผมยอมรับว่าผิดหวัง ผิดหวังเพราะความหวังโง่ๆ นึกแล้วก็อยากจะขำ บ้าเอ๊ย! ผมนอนเกลือกกลิ้งบนฟูกราคาถูกต่อไปด้วยความขี้เกียจบวกกลับอาการหนักหัวนิดหน่อยไม่นานเสียงมือถือเจ้าปัญหาก็ดังขึ้นผมเด้งตัวขึ้นจากฟูกโดยพลัน แต่หน้าจอกลับแสดงชื่อลู่หาน ไม่ใช่ชื่อที่ผมหวังจะเห็น บอกตามตรงว่าผมรู้สึกผิดหวังอีกแล้วนะที่ไม่ใช่คริส ผมกดรับสาย น้ำเสียงลู่หานแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนที่ผมหายไปตลอดหนึ่งสัปดาห์โดยที่ไม่บอกเขาและขาดการติดต่อกัน ผมฟังคำบ่นต่างๆ นานาจากเขาข้อนี้ผมยอมรับผิดตามตรง โอเค ผมผิดเต็ม ๆ แหละที่หายไปแบบนั้น

     

     

     

    “แล้วนี่วันนี้ไม่ทำงานหรอ”

     

     

     

    “ลาน่ะ ปวดหัวนิดหน่อยเมื่อคืนนอนไม่หลับกว่าจะหลับก็เกือบสว่างแน่ะ”

     

     

     

    “มีปัญหาอะไรรึเปล่า” ประโยคคำถามที่ฟังดูแล้วน้ำเสียงลู่หานเป็นห่วงผมอยู่พอควร

     

     

     

    “...” ผมเว้นจังหวะถอนหายใจยาวจนอีกฝ่ายถามย้ำอีกครั้งจึงจำเป็นต้องตอบเลี่ยง ๆ ไป “มีเรื่องไม่สบายใจน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะผมดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”

     

     

     

    “โกหกคุณหมอไม่ดีต่อตัวเองนะรู้รึเปล่า”

     

     

     

    “เฮ้อ เรื่องมันยาวน่ะไว้ผมไปหาหมอแล้วจะเล่าให้ฟังละกัน”

     

     

     

    “ก็ได้ๆ อ่าอี้ชิงผมต้องวางสายแล้ววันนี้คนไข้เยอะน่ะ อย่าเครียดล่ะหมอเป็นห่วง อ้อผมหมายถึงหมอซ่งเชี่ยนน่ะ ฮ่าๆ”

     

     

     

    “ครับ ฝากความคิดถึงคุณหมอด้วย” ผมกดวางสายไปแล้วลุกขึ้นจากเตียงนอนเข้าห้องน้ำชำระร่างกายเผื่อเรื่องบ้า ๆ ที่ขบคิดทั้งคืนจะหายไปบ้าง ใช้เวลาสักพักผมในชุดอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำเสร็จสรรพแอบเห็นประตูห้องเปิดอยู่ บ้าจริง ผมตกใจกลัวคริสรู้เรื่องที่ผมป่วยจนเบอลลืมปิดห้องตั้งแต่เมื่อคืนแน่ ๆ ทันที่ที่ลงกลอนประตูก็รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นอันคุ้นเคยจากด้านหลัง ผมดีใจเหลือเกิน ดีใจจนตอนนี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี

     

     

     

    “หอมจัง” ปลายจมูกโด่งซุกไซร้ซุกซนไปมาที่แก้มขวาลามมาถึงใบหูและต้นคอ

     

     

     

    “คริส” ผมเรียกชื่อเขาก่อนที่การกระทำซุกซนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

     

     

     

    “หืม?” กระนั้นเขาก็ยังไม่หยุด เขาหมุนตัวผมหันมาประจันหน้ากัน แล้วออกแรงนิดหน่อยดันแผ่นหลังผมติดกับประตูที่ถูกล็อคไปเมื่อครู่ จมูกซุกซนเล่นกับร่างกายผมแล้วมือหนายังเลื่อนมายังปมเชือกที่ผมผูกไว้หลวม ๆ ที่บริเวณเอวก่อนออกจากห้องน้ำหวังจะปลดปมนั้นออกเสีย “โอ๊ย!” ผมหยิกที่ติ่งหูคริสแรง ๆ ครั้งหนึ่งก่อนที่ทุกอย่างจะถูกเขาควบคุมไปมากกว่านี้ อีกคนก็ร้องโอดโอยเกินจริง

     

     

     

    “คริส ไม่เอาน่า” ผมพูดปราม

     

     

     

    “อะไรกันหรอ” หน้าตาแสนซนเมื่อกี๊กำลังทำหน้าเหยเกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

     

     

    “อะไรเล่า” ผมพูดแก้เขิน “แล้วนี่คุณเข้ามาได้ยังไง” มือซนตะกี้ชูลูกกุญแจห้องอีกดอกไว้พร้อมหน้าตาทะเล้นกวนอารมณ์ โอ้โหพ่อคุณ แอบปั๊มไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน “ร้ายนักนะ” พูดจบพร้อมกับเบะปาก

     

     

     

    “ผมขอโทษนะ พอดีลืมมือถือไว้ในรถน่ะ”

     

     

     

    “เหอะ! กว่าจะมา...” ผมแกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่คริส จะเรียกว่าเรียกร้องความสนใจก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

     

     

     

    “มาแล้วไง นี่น่ะคนหล่อๆ ตรงหน้าคุณนี่ไง ๆๆๆๆๆๆ” ไม่ว่าเปล่าแถมยังพรมจูบที่แก้มซ้ายขวาไปมา เลื่อนหน้ามาที่ปลายคางแล้วแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปาก

     

     

     

    “คุณนี่ได้ใจใหญ่แล้วนะ” ผมตีต้นแขนคริสเบาๆ เพื่อหยุดเขาอีกครั้ง

     

     

     

    “ก็จริงนี่ อ่าคุณเพิ่งอาบน้ำนี่รีบแต่งตัวเร็ว เดี๋ยวเป็นหวัดนะครับ ถ้าไม่รีบแต่งตัวเดี๋ยวผมช่วยแต่งดีไหมนะ หืม?” คริสกดเสียงเป็นเชิงเจ้าเล่ห์พร้อมส่งสายตาทะเล้นอีกครั้ง บ้าจริง ผมน่าจะชินกับอาการแบบนี้แล้วนะแต่เสียงหัวใจมันกลับเต้นถี่และแรงเหลือเกินเมื่อสบตากับเขา

     

     

     

    “คนเจ้าเล่ห์” ว่าจบก็รีบเดินไปแต่งตัวก่อนที่คนเจ้าเล่ห์จะทำอะไรตามใจตัวเองอีก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “คุณหิวไหม” คริสถามขณะเอี้ยวตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้

     

     

     

    “หิวจนจะกินคริสได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย” ผมพูดประชดพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ รู้สึกหมั่นไส้การแสดงอาการเอาอกใจเต็มที เขาเพียงแต่ส่งอมยิ้มน้อย ๆ กลับมาให้จากนั้นจึงออกรถไปยังร้านอาหารที่เจ้าตัวบอกว่าอร่อยนักหนา ระหว่างทางคริสให้ผมเลือกเพลงที่อยากฟังแล้วเจ้าตัวก็เริ่มผิวปากให้ฟังอีกครั้งหลังจากที่บอกว่าตัวเองผิวปากเพราะกว่าร้องเพลงตั้งแต่วันนั้นก็เอาใหญ่เลย นอกจากหลงตัวเองแล้วยังบ้ายอตัวเองอีก

     

     

     

    อันที่จริง...มันก็เพราะจริง ๆ นั่นแหละ ผมล่องลอยไปกับเสียงลมที่ออกจากปากของผู้ชายคนนี้ จินตนาการไปต่างๆ นานา พอคิดอีกทีถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่วิมานที่ผมสร้างขึ้นมาหลอกตัวเองให้มีชีวิตอยู่ มันก็คงเป็นวิมานที่มีสองด้าน หากแต่ผมเลือกที่จะมองแต่ด้านสวยงามเท่านั้น ผมจะมองเห็นแต่ด้านสวยงามและมีความสุขกับมัน เสียงลมจากปากจากคนข้าง ๆ เบาลงความคิดของผมก็หยุดลงเช่นกัน

     

     

     

    “หยุดทำไมล่ะ”

     

     

     

    “...”

     

     

     

    “ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่เพราะนะ ผิวต่อสิ” ผมเซ้าซี้ให้เขาผิวปากอีกครั้ง

     

     

     

    “วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของคุณพ่อ” คริสเอ่ยเสียงแผ่ว ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างสัมผัสได้ถึงความเศร้าในแววตาของเขา ผมรู้จักเขาน้อยไปจริงๆ ความจริงแล้วคริสไม่ใช่คนที่มีจิตใจเข้มแข็งอย่างที่ใครๆ คิดนักหรอก ผมเว้นว่างให้เขาพูดต่อเผื่ออยากจะพูดอะไรที่อยากพูดอีกครั้ง “คุณพ่อจากไปเป็นปีที่ห้าแล้วแหละแต่ผมก็ยังคิดถึงท่านอยู่ดี ชีวิตผมมีพ่อคนเดียว” ประโยคล่าสุดที่เอ่ยออกมาทำให้ผมมั่นใจว่าเขาโดดเดี่ยวมาก...มากกว่าที่รู้จัก เรามีบางอย่างที่เหมือนกัน คริสหันหน้ามาทางผม “คุณไปเยี่ยมท่านกับผมนะ” เขาเอ่ยชวนผมราวกับต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างแต่ผมไม่สามารถคาดเดาได้

     

     

     

    “ไปสิ” ผมตอบตกลงทันที

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากทานข้าวเสร็จ คริสจอดรถที่หน้าร้านดอกไม้เล็ก ๆ ย่านชานเมือง ผมช่วยเลือกดอกไม้สักพักก่อนจะออกมา ตลอดเส้นทางเขาไม่พูดอะไรสักคำ ผมรู้สึกถึงความรู้สึกอึดอัดรอบตัว บรรยากาศรอบ ๆ ตัวมันอัดแน่นราวกับจะหายไม่ออก ผมคิดทบทวนไปมาเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตของผมหลังจากที่ไตร่ตรองดีแล้วจึงเริ่มบทสนทนาทำลายความอึดอัดนั้น

     

     

     

    “พ่อกับแม่จากผมไปตั้งแต่เด็กล่ะ”

     

     

     

    “แต่เด็ก? เด็กขนาดไหน แล้วคุณไม่คิดถึงพวกท่านหรอ”

     

     

     

    “คิดถึงสิ แต่...ช่างมันเถอะเรื่องมันก็นานมาแล้ว ผมจำอะไรไม่ได้แล้วแหละ” ผมส่ายหน้าให้กับตัวเอง บ้าแล้วนะจาง อี้ชิง ไม่อยากรื้อฟื้นอดีตที่แสนเจ็บปวดแต่เกือบพลาดอีกแล้ว

     

     

     

    ไม่นานยานพาหนะสีดำก็พาเรามายังจุดหมาย ที่นี่เป็นสุสานเก่า ๆ คริสเดินนำผมไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางมีหลุมศพหลายหลุมมีดอกไม้สดวางไว้คาดว่าญาติ ๆ หรือลูกหลานก็คงมาเยี่ยมแบบที่คริสมาเหมือนกัน ผมหยุดยืนอยู่หน้าหลุมศพหลุมหนึ่งพลางคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมา ไม่รู้ตอนนี้พวกท่านจะมีคนไปเยี่ยมอย่างนี้หรือเปล่า ตั้งแต่จากไปผมเองก็ไม่เคยไปเหยียบที่นั่นเลย หวังก็แต่คุณหลินที่เป็นคนเก่าแก่คุ้นเคยกันหรือพี่อิ๋งชุนคงจะไปเยี่ยมตามวันครบรอบอย่างนี้บ้าง

     

     

     

    “คิดอะไรอยู่หรออี้ชิง” เสียงเรียกของคริสปลุกผมจากความคิดดังกล่าว

     

     

     

    เขาดึงมือผมให้รีบเดินตามเพราะแดดตอนบ่ายค่อนข้างแรงเกรงว่าจะเวียนหัวเอาได้ เราสองคนหยุดยืนที่หน้าหลุมศพคุณพ่อของคริส คริสวางช่อดอกไม้ลงตรงหน้าและพูดอะไรกับพ่อซึ่งผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจฟังนักก่อนที่คริสจะหันมายิ้มและพูดกับผม

     

     

     

    “พูดอะไรกับท่านหน่อยสิ” ผมเก้ ๆ กัง ๆ กับพิธีหน้าศพแบบนี้เพราะผมเองก็ไม่เคยเยี่ยมพ่อกับแม่แบบที่เขาทำ คริสหลุดขำออกมาเบา ๆ แล้วพูดต่อ “พ่อครับ ผมเจอน้องชายของผมแล้วนะ อ่า...จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกเลยทีเดียว ผมเจอเด็กคนนั้นแล้วนะครับ แต่น่าเสียดายที่ผมเจอเขาช้าไปคุณพ่อจากไปเสียก่อน”

     

     

     

    “น้องชาย? คุณมีน้องชายด้วยหรอ” ผมถามคริสด้วยความสงสัย เพราะนอกจากน้องสาวที่ผมแอบรู้ความจริงในวันนั้นผมก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวคริสอีกเลย

     

     

     

    “ไม่ใช่น้องชายหรอก อธิบายยังไงดีนะ” คริสเว้นช่องว่างกำลังใช้สมองประมวลคำพูดในสิ่งที่อยากอธิบายให้ฟัง “ผมไม่มีแม่ จนกระทั่งอายุสิบสองถึงมีแม่...เด็กชายคนนั้นให้ใช้แม่ร่วมกับเขาทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เท่าที่จำได้เขาเด็กกว่าผมมาก ๆ สักประมาณหกเจ็ดปีได้ละมั้ง” คริสเผยยิ้มบาง ๆ ระบายบนใบหน้าแล้วจ้องมองมายังผม “รักแรกน่ะ”  พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะเบา ๆ กับความรักครั้งวัยเยาว์ของตนเอง “เรากลับกันเถอะ” ว่าแล้วคนตัวสูงก็ดึงมือผมมากุมไว้หลวม ๆ ดึงให้เดินตาม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันนี้ถือว่าเราสองคนใช้เวลาช่วงกลางวันกันยาวนานที่สุด หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จตอนนี้เวลาราวสามทุ่มเศษ ๆ คริสขับรถมาส่งที่อพาร์ตเมนต์เช่นเคย  ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวแต่เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้าขณะนี้ฟ้ามืดไร้ดวงดาวบรรยากาศแปลก ๆ ลมระลอกใหญ่พัดเข้ามาราวกับพายุจะเข้า ผมนึกถึงเรื่องที่คริสเล่าเมื่อตอนกลางวัน ความคิดเรื่องเดิม ๆ ก็เข้ามาตีกันวุนวายภายในหัวสมอง ผมคิดย้ำแล้วย้ำอีกกว่าจะถามแต่แล้วก็ไม่ถามมันออกไป อยู่กับวิมานสวยงามที่ผมสร้างขึ้นมาจะดีกว่าที่จะทำลายด้วยตัวผมเอง ขณะที่มาถึงห้องคริสแตะหลังมือเบา ๆ ที่หน้าผากของผม

     

     

     

    “วันนี้คุณโอเคนะ มีอาการเวียนหัวอีกไหม”

     

     

     

    “ไม่มีแล้ว”

     

     

     

    “แล้วคืนนี้จะนอนหลับไหม”

     

     

     

    “...”

     

     

     

    “อย่าเงียบสิ เงียบแสดงว่าไม่หลับ ถ้างั้น...ผมอยู่จนกว่าคุณจะหลับนะ”

     

     

     

    “คริส...ขอบคุณนะ” ผมเลื่อนตัวเข้าไปใกล้เขาแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยจากนั้นแขนทั้งสองก็ทำหน้าที่คล้องคอคริสไว้แล้วโน้มศีรษะคนตัวสูงลงมารับสัมผัสเบาที่ริมฝีปากอย่างรู้หน้าที่ “คริส” ผมผละสัมผัสนั้นชั่วครู่แล้วเอ่ยชื่อเขาอีกครั้ง

     

     

     

    “หืม ว่าไงครับ”

     

     

     

    “ผมรักคุณนะ”  ผมบอกรักเขาก่อนจะบดขยี้จูบที่มีระดับองศาร้อนแรงกว่าจูบเมื่อครั้งแรก คริสตอบสนองผมทันควันเขาเก่งทุกเรื่องและเรื่องนี้เขาไม่เคยยอมแพ้ราวกับรู้ความต้องการของผม มือหนายกขึ้นกดท้อยทอยรับจูบวาบหวามและอ่อนไหว มืออีกข้างอยู่ที่เอวเพื่อประคองผมไม่ให้เสียการทรงตัว เสียงหอบหายใจของเราทั้งคู่ดังเป็นจังหวะเดียวกันทุกครั้งที่เกิดช่องว่างระหว่างเรา เขาเว้นจังหวะแล้วจมูกคมก็เลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ตามซอกคอขาว ทุกครั้งที่หน้าคริสแตะลงที่ตัว ผมรู้สึกร้อนผ่าวจนอยากจะแตกเป็นจุน เสียงครางอือในลำคอของคริสแสดงความพึงพอใจกับการตอบสนองของผมยิ่งนัก เขาฝากรอยสีกุหลาบไว้ที่มุมปากและหลายจุดบนเนินอกขาว ตามซอกคอก่อนที่มือหนาจะเลื่อนปลดรังดุมออกกำจัดสิ่งเกะกะความสุขด้วยตัวเอง  ก่อนจะวางร่างผมอย่างอ่อนโยนลงที่เตียงฟูกราคาถูกที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพยานรักของเราทั้งสอง และครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งไหน ๆ เสียงฝนตกพรำ ๆ ราวกับรับรู้เรื่องราวของเรา  ค่ำคืนแห่งความสุขสมของเราทั้งสองร้อนแรงราวกับไฟดับไอฝน

     

     

     

    แล้วร่างของผม...ก็หลอมรวมกับเขาอีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ลู่หานกำกระดาษแผ่นยับที่รายงานที่อยู่โรงแรมคริสไว้แน่น คุณหมอผู้เด็ดเดี่ยวตอนนี้กลับไม่มั่นใจเลยสักนิด เขาไปปลุกจงอินถึงห้องในเช้าตรู่วันอาทิตย์ คนถูกรบกวนทำท่าไม่พอใจเช่นเคยแต่ก็ไม่อาจขัดใจจิตแพทย์ผู้นี้ได้จึงจำต้องมาที่โรงแรมคริสเป็นเพื่อนลู่หาน

     

     

     

    “นายรออยู่นี่นะ” ลู่หานออกคำสั่งให้คนผิวเข้มรออยู่ตรงชั้นล็อบบี้

     

     

     

    “ทำไมล่ะ ไหนๆ ก็มาด้วยกันแล้วนี่”

     

     

     

    “เอาเถอะน่าฉันจัดการเอง เดี๋ยวมา” จงอินถอนหายกับกับอาการเอาแต่ใจของคนตัวเล็ก

     

     

     

    “ตามใจ”

     

     

     

    ร่างตัวเล็กหยุดยืนที่หน้าห้องทำงานอี้ฝาน อันที่การจริงจะเข้าพบตัวคนในห้องนั้นต้องรอที่ห้องรับแขกแต่ด้วยสมองอันเฉียบแหลมเขาจึงอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทที่คริสนัดไว้เป็นการส่วนตัวทำให้ง่ายต่อการติดต่อขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ลู่หานชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเคาะประตูห้อง รอเสียงคนในห้องเอ่ยอนุญาตแล้วเท้าเล็กจึงก้าวเข้าไป อี้ฝานสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นเพื่อนสนิทของตนมาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า

     

     

     

    อ้าวลู่หาน นายมาได้ไง อี้ฝานเอ่ยทักทายผู้มาเยือน ลู่หานหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานคริส ส่งสายตาเขม็งจ้องมองคนที่นั่งอยู่

     

     

     

    นายคือคริสจริง ๆ ด้วย ลู่หานทั้งผิดหวังและเสียใจที่ชายคนนั้นเป็นเพื่อนของตนเองเขาคิดว่าตัวเองคิดทบทวนสิ่งที่จะพูดกับคริสทั้งคืนก่อนที่จะมาหาดีแล้ว จึงตัดสินใจมายินอยู่ตรงนี้

     

     

     

    มีอะไรหรือเปล่า นายนั่งก่อนสิ คริสผายมือเป็นการเชื้อเชิญ

     

     

     

     “ขอบใจ...อี้ฝาน อ่า ฉันต้องเรียกนายว่าคริสใช่ไหม ฉันจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ ที่ฉันมาหานายที่นี่ฉันมีเรื่องสำคัญจะขอร้องนาย” ลู่หานเว้นจังหวะสนทนาเพื่อรวบรวมคำพูดอีกครั้ง สายตาคมของคนตรงข้ามใจจดใจจ่อรอฟังสิ่งที่คนตัวเล็กจะพูดต่อไปนี้ “ฉันรู้ว่าตอนนี้นายคบกับคน ๆ หนึ่ง นาย...เลิกกับเขาได้ไหม ฉันขอร้อง แล้วประโยคที่ยากที่สุดก็หลุดออกมา คนฟังไม่เข้าใจสิ่งที่ลู่หานพูด

     

     

     

    นี่มันอะไรกัน ทำไมนายพูดอย่างนั้นล่ะ คริสถามด้วยความไม่เข้าใจนัก สีหน้าลู่หานไม่สู้ดีนัก ใบหน้าสวยก้มลงไม่สบตากับคู่สนทนา ก่อนจะตัดสินใจบอกสิ่งที่อยากจะหยุดการกระทำทั้งหมดของคริส

     

     

     

    ฉันหมายถึงอี้ชิง...นายเลิกกับเขาเถอะ” คริสทั้งไม่เข้าใจและขำสิ่งที่ได้ยิน จู่ ๆ ลู่หานก็โผล่พรวดมาบอกให้เลิกกับอี้ชิง ฟังดูไม่มีเหตุผลเลยสักนิดเดียว แล้วเขาก็ไม่เคยบอกลู่หานด้วยว่าคบกับอี้ชิง “ฉันขอล่ะ นายจะคบกับใครฉันไม่เคยยุ่ง แต่คนนี้ฉันขอร้องนายได้ไหมเลิกกับอี้ชิงเถอะ เพราะตอนนี้...อี้ชิงกำลังป่วยหนัก

     

     

     

     

     

     

    บทสนทนาอันแสนอึดอัดได้จบลง ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีกต่อจากนั้น ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงัดภายในห้อง ไร้เสียงของคริส ไม่มีเสียงของลู่หาน ความเงียบกำลังกล้ำกรายเข้ามาปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างดำดิ่งลึกสู่ห้วงความคิดของตัวเอง

     

     

     

    ความคิดที่มีชื่อของ จาง อี้ชิง อยู่ในนั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC…

     

     

    Talk to you

    Windy Boy :: กรี๊ดดดดด Blue Romance is back!! เย้!! กลับมาแล้วนะคะ เคาะสนิมนิดหน่อยกว่าจะคลอดตอนนี้ออกมา อิอิ เขินจริงจังไม่รู้จะพูดจะคุยอะไรดี เอาเป็นว่าคิดถึงคนอ่านทุกคนเลย ฮิ้ง  ><

     

    Pyckajae :: วี แบคคคคคคคคคคค!!!!!!!!! กลับมาแล้วจ้า ฮี่ฮี่ ตอนนี้พิเศษเพราะแม่นางคนข้างบนเป็นคนปั่นจบตอนคนเดียวรวดเลย เค้าทำหน้าที่จัดหน้า แก้คำผิดแล้วก็เสริมเติมแต่งนิดหน่อยเท่านั้นเอง ย้ำว่านิดจริงๆ ด้วยว่าเค้ายังสอบไม่เสร็จ วดบ. เลยรับจ๊อบไป ห้าห้าห้า เจอกันอีกทีตอนหน้านะจ๊ะ ม๊วฟฟฟฟฟ =3=

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×