คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : B L U E : : 07
07
"อี้ชิงเป็นยังไงบ้างครับพี่" ลู่หานผุดลุกขึ้นจากที่นั่งด้านนอกห้องฉุกเฉิน ใบหน้าอิดโรยของซ่งเชี่ยนทำให้ยากที่จะจินตนาการไปในทางที่ดีได้ แม้จะรู้อยู่ว่าที่ซ่งเชี่ยนดูไม่ค่อยสดชื่นเป็นเพราะงานช่วงนี้ที่หนักเป็นพิเศษ
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เดี๋ยวจะย้ายไปที่ห้องพักคนไข้ ถ้าฟื้นจากฤทธิ์ยาเมื่อไหร่ก็กลับบ้านได้" ลู่หานถอนหายใจโล่งอก แล้วทรุดตัวนั่งลงตามเดิม "ดีนะที่ลู่หานไปช่วยมาทัน ไม่อย่างนั้นอาการคงแย่กว่านี้"
ซ่งเชี่ยนตบไหล่รุ่นน้องเป็นกำลังใจ นั่นสินะ ลู่หานคิด ถ้าเขาไปไม่ทันจะเป็นยังไง โชคดีที่ตอนอี้ชิงโทรมาเขาตรวจคนไข้เสร็จพอดีเพราะปกติแล้วเวลางานลู่หานจะไม่ค่อยเปิดโทรศัพท์ น้ำเสียงของอี้ชิงในสายนั้นดูทรมานจะแทบฟังอะไรไม่รู้เรื่อง ตอนไปถึงอพาร์ตเมนต์นั้นเจ้าตัวก็หมดสติไปแล้ว ในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า ร่องรอยบนตัวอี้ชิงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าไปทำอะไรมา แต่มันจะเกี่ยวกับที่อาการกำเริบหรือเปล่านี่สิ ลู่หานเอนตัวพิงกำแพง เงยหน้าขึ้นมองเพดานสีขาวที่สว่างจ้าเพราะแสงไฟ
"ถ้าอี้ชิงตื่น พี่จะบอกเขาใช่ไหมฮะ" น้ำเสียงจากปากของชายหนุ่มฟังดูเจ็บปวดอยู่ในที แพทย์สาวพยักหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ
"ถ้าบอกไป อี้ชิงก็อาจจะระวังตัวเองมากกว่านี้" ทั้งสองคนเงียบกันไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองและเป็นลู่หานเองที่ทำลายความเงียบนั้นขึ้นมา
"พี่ว่าทำไมอี้ชิงถึงเป็นแบบนี้"
"ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกนะ" ซ่งเชี่ยนสบตาลู่หานอย่างรู้ทัน จริงอยู่ที่อี้ชิงมีร่องรอยของการร่วมเพศให้เห็น แต่ชัดเจนว่าน่าจะเป็นการสมยอมทั้งสองฝ่าย เรื่องข่มขืมน่ะตัดออกไปได้เลย แต่ร่องรอยการทำร้ายบริเวณอื่นนี่สิ...ฝีมือใคร "พี่ตรวจร่างกายอี้ชิงอย่างละเอียดแล้วนะ ว่าก็ว่าเถอะ ไอ้ร่องรอยฟกช้ำตามตัวเนี่ยพี่ไม่ได้เห็นบนตัวอี้ชิงมานานแล้วนะ ตั้งแต่ย้ายออกจากคอนโดจงอินน่ะ"
"พี่คิดว่าจงอินเป็นคนทำเหรอครับ"
"ไม่รู้สิ ไว้รออี้ชิงตื่นแล้วก็คงจะรู้เองนั่นแหละ" ซ่งเชี่ยนกับลู่หานถอนหายใจพร้อมกัน
ไม่นานนักเตียงของอี้ชิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ที่ห้องพักคนไข้ ลู่หานขอซ่งเชี่ยนตามไปด้วยเพราะถ้าอี้ชิงฟื้นขึ้นมาเขาก็ไม่อยากพลาดไปสักวินาที บนใบหน้าเนียนใสของคนที่ไม่ได้สติมีรอยตบสีแดงปรากฏให้เห็น แต่อีกไม่นานมันก็คงจะจางหายไป ซ่งเชี่ยนบอกไม่ให้ลู่หานห่วงมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นหมอเหมือนกัน รู้ดีว่าร่างกายอี้ชิงตอนนี้เป็นยังไง ลู่หานเอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้อี้ชิงเพื่อปกปิดรอยสีชมพู
อี้ชิงเหมือนสโนไวท์...ที่กำลังขดตัวอยู่ในก้นบึ้งส่วนลึกของโลกใบนี้ ถูกโอบหุ้มด้วยเกราะสีดำหนาชั้นแล้วชั้นเล่าที่ตอนนี้ดูเหมือนมันกำลังหลอมละลายลงด้วยอะไรหรือใครบางคน แต่อี้ชิงไม่รู้ว่าเกราะที่ตัวเองสร้างขึ้นมันกำลังจะพังลงมาทำร้ายเจ้าตัวเอง จิตแพทย์หนุ่มเอื้อมมือไปจับมือคนป่วย อี้ชิงไม่ใช่คนที่เกิดมาเผื่อเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต มือเล็กนี้ไม่หยาบกระด้าง ไม่เคยผ่านงานหนัก...เป็นคนที่เกิดมาอย่างเพียบพร้อม แต่ทำไมล่ะทำไมถึงเลือกใช้ชีวิตแบบนี้
"อี้ชิง" เสียงของซ่งเชี่ยนทำให้ลู่หานละสายตาจากมือนิ่มแล้วขยับเข้าไปใกล้คนบนเตียงมากกว่าเดิม อี้ชิงลืมตาขึ้นช้าๆ กวาดสายตาไปรอบห้องเหมือนกำลังรวบรวมสติ เสียงสูดหายใจของอี้ชิงดังจนลู่หานกับซ่งเชี่ยนได้ยินชัดเจน "เวียนหัวรึเปล่าอี้ชิง" หมอเจ้าของไข้เอ่ยถาม
"อ่า ไม่ครับ" อี้ชิงตอบเสียงพร่า พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ไม่แคล้วหมอทั้งสองต้องเข้ามาช่วย
"ต่อไปนี้ต้องดูแลตัวเองให้มากๆ นะรู้ไหม คราวหน้าอาจไม่โชคดีแบบนี้แล้วก็ได้"
"ครับหมอ" ซ่งเชี่ยนหันมาสบตากับลู่หานเหมือนเรียกกำลังใจให้ตัวเอง เธอตรวจร่างกายอี้ชิงอีกนิดหน่อยก่อนจะจดขยุกขยิกเป็นใบสั่งยายื่นให้อี้ชิง
"ร่างกายคุณแค่เกิดภาวะช็อกเล็กน้อยเท่านั้นไม่จำเป็นต้องแอดมิด แต่หมอจะสั่งยากับวิตามินให้"
"ขอบคุณครับ" อี้ชิงรับกระดาษแผ่นบางมาจากซ่งเชี่ยน ยิ้มให้คุณหมอคนสวยอย่างเป็นมิตรก่อนจะหันไปหาลู่หาน "ขอบคุณครับลู่หาน ขอบคุณที่ไปช่วยผม"
"..."ลู่หานเพียงแต่ยิ้มตอบ เพราะไม่อยากขัดจังหวะซ่งเชี่ยน
"แล้วก็มีอีกเรื่องที่หมอต้องแจ้งให้ทราบ มันอาจจะน่าตกใจนิดหน่อย คือตอนนี้เธอน่ะมี่ภาวะไฟฟ้าหัวใจพลิ้วสูงมาก..."
"หัวใจอะไรนะครับ?"
"หรือพูดกันง่ายๆ เธอมีโอกาสหัวใจล้มเหลวสูงมาก หัวใจอาจจะหยุดเต้นระหว่างนอนหลับไปเมื่อไหร่ก็ได้" มีเพียงความเงียบที่ตอบรับคำพูดของซ่งเชี่ยนกับน้ำตาของอี้ชิง... ร่างบางกะพริบตาถี่เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังร้องไห้ รู้สึกเสียววาบที่หัวใจ
"หมอ...ผมจะตายเหรอ"
"มันเป็นแค่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดแต่ความเสี่ยงก็มีสูง อ้อ แล้วก็ระวังอย่าทำงานหนัก ระวังอุบัติเหตุแม้จะเล็กน้อยก็ไม่ควรให้เกิดให้เกิด เรื่องนี้อี้ชิงเข้าใจดีใช่ไหม" แพทย์หญิงขบริมฝีปากพร้อมกับเหลือบมองลู่หาน จิตแพทย์หนุ่มหรี่ตาลง จับจ้องไปที่คนบนเตียง "เดี๋ยวหมอจะนัดวันพบแพทย์ให้นะอี้ชิง เราจะคุยเรื่องนี้กันละเอียดอีกที ยังไงตอนนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ"
"..."
ซ่งเชี่ยนบีบไหล่อี้ชิงเบาๆ ก่อนจะผละออกไปให้ลู่หานได้คุยกับคนไข้ของตนตามลำพัง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่อี้ชิงพยายามเช็ดน้ำตาออกแต่มันก็ไม่หยุดไหลสักที
"อี้ชิง..."
"ตลกดีนะชีวิตคนเรา ตอนอยากตายก็ไม่ตาย พอไม่อยากตาย...ฮึก" อี้ชิงยกมือขึ้นปาดน้ำตา "แต่ชีวิตผมมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา"
"มันเป็นความเสี่ยง แต่ก็ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์นะ"
"หัวใจล้มเหลวนี่ มันทรมานมากไหมลู่หาน"
"ไม่รู้สิ" อี้ชิงเงียบไปพักใหญ่ ส่วนลู่หานเอง แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในใจแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
"จงอินมาหาผม" เป็นคนบนเตียงที่เอ่ยทำลายความเงียบอี้ชิงรู้ว่าลู่หานอยากจะถามอะไร "เรามีปากเสียงกัน แล้วก็จบลงตรงที่ผมโทรหาลู่หานนั่นแหละ"
"เขาทำร้ายร่างกายคุณ ทั้งที่ก็น่าจะรู้ว่าคุณไม่ค่อยแข็งแรง"
"จงอินก็เป็นแบบนี้แหละ" อี้ชิงพูดไปอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่จงอินรุนแรงกับเขา อาจเพราะเมาก็เลยลืมตัว
"แล้วเขาทำอะไรคุณอีกรึเปล่า" อี้ชิงเงยหน้าขึ้นสบตากับลู่หาน ใบหน้าที่ซูบซีดมีสีฝาดขึ้นมาในทันที ภาพของคริสลอยเข้ามาในหัว
"มะ ไม่..จงอินไม่ได้ทำอะไร"
"นี่ ถึงเขากับคุณจะเคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน หรือเขาช่วยคุณเรื่องที่พักก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปกป้องเขานะอี้ชิง" ลู่หานปรายตามองรอยรักที่ซอกคอของอี้ชิงจนเจ้าตัวต้องรวบคอเสื้อตัวเองไว้
"จงอินไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะ" ตอนนั้นเองที่ลู่หานฉุกคิดขึ้นมาได้ ใช่สิ อี้ชิงกำลังมีความรักกับใครสักคนนี่นา พอคิดได้อย่างนี้จิตแพทย์หนุ่มก็เบาใจไปได้นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...
"คงไม่ได้หักโหมกันมาทั้งคืนหรอกนะ"
"..." มีเพียงใบหน้าแดงฉานเท่านั้นที่ตอบกลับมา ลู่หานส่ายหัวน้อยๆ
"ต่อไปต้องใช้ชีวิตให้ระวังกว่าเดิมนะ แล้วก็อย่าคิดอะไรแผลงๆ ด้วย" ถึงจะรู้ว่าอี้ชิงคงไม่คิดทำอะไรแบบนั้น แต่ก็อดเตือนไม่ได้ เรือนหน้าหวานก้มลงมองมือของตัวเอง
"ผมไม่อยากตายเลย"
"ไม่มีใครอยากตายหรอกอี้ชิง...ไม่มี"
ผมกลับมาทำงานที่ร้านทันเช้าวันจันทร์ ความโชคร้ายก็มีความโชคดีแฝงอยู่บ้าง อย่างน้อยพี่ดาน่ากับคนอื่น ๆ ที่ร้านก็ยังไม่รู้เรื่องนี้แต่ยังไงก็รู้สึกผิดที่โกหกทุกคนอยู่ดี ในใจนึกอยากย้ายที่อยู่แต่เงินเก็บที่มีคงไม่พอ ก่อนจะหาที่อยู่ใหม่ จางอี้ชิงนายควรรีบทำงานเก็บเงินสิ คิดแล้วก็รีบใส่ชุดกันเปื้อนเตรียมทำงานตามปกติ ทำตัวให้เหมือนทุก ๆ วัน ดีที่มีแมสปิดปากช่วยปิดบังรอยตบของจงอินได้บ้าง รู้สึกโล่งใจนิดหน่อย
‘ต่อไปนี้ต้องดูแลตัวเองมาก ๆ นะ’
‘ต่อไปนี้ต้องใช้ชีวิตให้ระวังกว่าเดิมนะ’
คำพูดของคุณหมอทั้งสองคอยย้ำเตือนผมเสมอ อาการวูบสลบไปเมื่อวานอาจจะเป็นสัญญาณเตือนก็เป็นได้ ตอนนี้ผมรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อยเลย เหมือนกับเวลาแห่งความสุขกำลังถูกเผาไปเรื่อย ๆ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอยากทำ เมื่อนึกถึงเวลาในอดีตที่เคยใช้ชีวิตอย่างไร้คุณค่าก็นึกเสียดายขึ้นมา โง่จริง ๆ เลยจางอี้ชิง
ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดบ้า ๆ ออกไปจากหัวเมื่อลูกค้าคนแรกของเช้าวันนี้เดินเข้ามาภายในร้าน ผมเผลอมองผู้หญิงคนนี้ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่ทราบ คงเป็นเพราะบุคลิกมั่นอกมั่นใจ สง่าผ่าเผยดูมีรสนิยมของเธอล่ะมั้ง ผมไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของเธอได้ชัดนักเพราะเจ้าแว่นกันแดดสุดหรูของเธอนั่นแหละ เธอเดินตรงมายังผมพูดภาษาอังกฤษที่ผมฟังไม่ออก เธอทำท่าไม่พอใจเล็กน้อยกับความเบ๊อะบ๊ะของผมจนผมต้องเรียกพี่เฮนรี่ที่วุ่นกับงานในครัวมาคุย โอเคผมไม่โกรธเธอหรอกโทษผมเองแหละที่เรียนมาน้อย
“สวัสดีครับ”
“Hello, Is Dana here?”
“Yes, umm are you Stephanie?” เธอถอดแว่นกันแดดออก แต่มุมที่ผมยืนอยู่ก็ไม่เห็นหน้าเธออยู่ดี
“Yes, I’m happy to see you guy and where is Dana?” พี่เฮนรี่ท่าทางดีใจมากที่ได้เจอผู้หญิงคนนั้น สงสัยเป็นเพื่อนกันล่ะมั้ง
“Follow me.”
แวบหนึ่งที่เธอหันหน้ามามองผม เธอเป็นผู้หญิงสวยที่ดูมาดมั่นทั้งสายตาและวิธีการยิ้มผมตีความรอยยิ้มที่เธอส่งมาให้ไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นความเย้ยหยันหรือยินดียินร้าย แต่ก็เป็นการเผชิญหน้ากันสั้นๆ เท่านั้นระหว่างผมกับเธอ
ผมก้มหน้าจัดและเช็ดโต๊ะต่อก่อนที่จะสายไปกว่านี้ ลูกค้าเริ่มทยอยเข้าร้าน วันนี้แปลกดีเหมือนกันคนเยอะแต่เช้าเลยแฮะ รับออร์เดอร์เตรียมเสิร์ฟแทบไม่ได้หยุดหย่อนยังดีที่มีน้องพนักงานคนใหม่อีกคนมาช่วยอีกแรง แต่จะมาเฉพาะว่างจากการเรียนฉะนั้นผมก็ยังคงทำงานตามเวลาปกติเช่นเดิม คริสโทรศัพท์มาตอนประมาณบ่ายสองแต่ผมงานยุ่งมากเลยไม่ได้รับสายกะว่ายังไงซะตอนเย็นก็ต้องเข้าไปส่งเค้กอยู่แล้วค่อยคุยกันละกัน ผมเงยหน้ามองนาฬิกา ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ร้านมีลูกค้าเข้าเยอะที่สุดแล้ววันนี้คนก็เข้าเยอะกว่าปกติตั้งแต่เช้า เหนื่อยจังเลยที่ต้องฝืนทำเป็นแข็งแรงเหมือนคนปกติ
"ท้อไม่ได้นะจางอี้ชิง ท้อไม่ได้เด็ดขาด เวลาทุกวินาทีนับจากนี้มีค่าจะปล่อยให้สูญเปล่าไม่ได้"
"อี้ชิงจ๊ะพอดีพี่กับพี่เฮนรี่มีธุระด่วนต้องไปสะสาง วันนี้พี่ฝากอี้ชิงปิดร้านแทนได้ไหม" เสียงพี่ดาน่าสะกิดผมจากความคิด "อ้อแล้วนี่กุญแจจ้ะ"
"เอ่อ ครับ ๆ" ผมไม่ทันจะได้ถามหรือพูดอะไรพี่ดาน่ากับพี่เฮนรี่ก็รีบออกไปซะแล้ว เฮ้อ วันนี้เป็นวันที่ยุ่งที่สุดเท่าที่เคยทำงานมา โอเคผมเป็นลูกน้องนี่นารับปากแล้วก็ต้องทำเดี๋ยวเจ้านายเฉดหัวออกจากงาน
ความเหนื่อยล้าสะสมพอกลับถึงอพาร์ตเมนต์ผมก็นึกได้ว่าวันนี้ผมลืมทำอะไรไปแล้วนี่ก็ดึกแล้วด้วย เค้กที่จะเตรียมให้ก็ลืมสนิท เฮ้อ อยากจะโขกหัวตัวเองแรง ๆ นี่ผมลืมไปได้ยังไงกัน ผมกดเบอร์โทรหาคริสป่านนี้คงรออยู่ละมั้ง ไม่นานปลายสายที่รอคอยก็กดรับ
"คริสวันนี้ผมไม่เข้าไปนะ พอดีว่างานที่ร้านยุ่งมากเลย"
"อือฮึ"
"งั้นพรุ่งนี้ผมเข้าไปหานะ ไม่เจอวันเดียวคิดถึงคุณจังเลยพรุ่งนี้จะกินอะไรดีน้า"
"ตามใจคุณเถอะ ผมยังไงก็ได้"
"ตามใจผมหรอ คุณตามใจผมเยอะแล้วนะ คราวนี้สั่งมาได้เลยไถ่โทษที่วันนี้ไม่ได้ไปหา"
"วันนี้งานยุ่งคุณไม่เหนื่อยเหรอ รีบพักผ่อนเถอะเรื่องนั้นไม่สำคัญสักหน่อย"
"คุณอ่ะ...โอเค ๆ ไปนอนแล้วก็ได้" ผมแยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์มือถือหลังจากที่กดวางสายแล้ว พรุ่งนี้เอาอะไรไปส่งดีนะ อ่า...ทำบราวนี่ไปเซอร์ไพรซ์ดีกว่า
นึกถึงบราวนี่แล้วภาพจูบแรกของเราที่ห้องทำงานก็ฉายวนไปมาในหัวผมจนเผลอหัวเราะคิกคักคนเดียว ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงฟูกราคาถูกที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นพยานรักของเรา คิดถึงคริสจังเลย ผมตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ รู้อีกทีหัวใจดวงนี้ก็เรียกร้องหาแต่ชื่อคริส เขาทำให้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวกลับมามีชีวิตชีวา ทำให้ชีวิตที่เคยร้องหาแต่ความตายตอนนี้กลับอยากจะวิ่งหนีมันไปไกล ๆ ผมหลับตานึกภาพคริสกำลังแสดงสีหน้าท่าทางในอารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะมองในมุมไหนเขาก็ยังหล่อดูดีเหมือนเดิมนี่มันเทพบุตรเดินดินชัด ๆ กลิ่นกายของเขายังตราตรึงติดอยู่ที่ผ้าปูที่นอนสีขาว เศษเส้นผมสีน้ำตาลยังคงเหลืออยู่ที่หมอนใบนี้ที่ผมกำลังหนุนอยู่ ผมซุกหน้าเข้ากับหมอนพร้อมกับสูดกลิ่นนั้นอีกครั้ง
"ฝันดีนะคริส"
ลู่หานใช้เวลานานพอสมควรในการหาสถานที่นัดพบกับเพื่อนเก่า...อู๋ อี้ฝาน
เพราะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนนานเลยไม่รู้ว่ามีบาร์เปิดใหม่หลายที่อย่างเช่นที่นี่ เนื่องจากเป็นช่วงหัวค่ำ ลูกค้าจึงไม่เยอะนัก ง่ายต่อการมองหาใครสักคน อี้ฝานนั่งอยู่ที่บาร์ ดื่มด่ำอยู่กับน้ำสีอำพัน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลู่หานเดินเข้ามาใกล้จนกระทั่งหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ร่างสูงถึงหันมาสนใจ
"เปลี่ยนไปเยอะนะ" ลู่หานเอ่ยขึ้นลอยๆ
"บ้านเมืองก็ต้องเจริญขึ้นสิ"
"หมายถึงนายต่างหาก"
"คนเรามันก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว ใครจะเหมือนนาย นี่จบหมอแน่เหรอ มาดไม่ค่อยให้"
"ปากคอเราะร้ายชะมัด"
สองเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานคั่นบทสนทนาด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนที่ลู่หานจะสั่งเครื่องดื่มเบาๆ ให้ตัวเอง แม้ช่วงแรกๆ จะคุยกันด้วยท่าทีขัดเขินไปบ้างเพราะความเหินห่างที่ก่อตัวขึ้นจากระยะเวลาที่ไม่ได้ติดต่อกัน แต่ไม่นานทั้งสองคนก็หาเรื่องมาคุยกันได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น ทั้งเรื่องของลู่หานตอนที่อยู่อเมริกาเรื่องธุรกิจของอี้ฝาน จนมาถึงเรื่องงานที่โรงพยาบาล
"งานที่โรงพยาบาลเป็นไงบ้าง ลำบากกว่าที่อเมริการึเปล่า" อี้ฝานเอ่ยถาม
"ก็นิดหน่อย พอไปอยู่ที่โน่นนานก็ชินกับนิสัยของคนที่โน่นซะส่วนใหญ่ แต่ก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว"
"..."
"จะว่าไปก็ตกใจอยู่กันนะ กลับมาคราวนี้ไม่คิดว่านายจะเป็นผู้บริหารใหญ่โต ขนาดเด็กหัวกะทิอย่างฉันต้องมาเป็นลูกจ้างนาย ไม่ธรรมดา รวยทั้งรูป ทรัพย์และปัญญาอย่างนี้ ประธานอู๋มีสาวแนบกายรึยังนะ" ลู่หานแซวยิ้มๆ ขณะเดียวกันอี้ฝานก็เพียงแค่กระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นซดอีกช็อตใหญ่
ลู่หานเองก็น่าจะรู้ดีแต่ยังถามเล่น คนอย่างอู๋ อี้ฝานน่ะเหรอจะมีสาวที่ไหน หรือมีก็คงไม่จริงจัง ร่างสูงนึกถึงอี้ชิงขึ้นมาในหัว ก่อนจะสะบัดทิ้งไป...ก็แค่ของเล่นอีกชิ้นเท่านั้นเอง
"เรื่องของฉันน่ะช่างมันเถอะ รู้ๆ กันดีอยู่แล้วนี่"
"นายนี่ฝังใจอยู่กับอดีตมากไปนะ" เพื่อนตัวเล็กเหลือบมองอี้ฝาน สังเกตได้ว่าเพื่อนของเขาเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง
เหมือนกำลังนึกถึงอะไรอยู่ แต่ก็นั่นแหละ เดาไม่ออกอยู่ดีว่าคนอย่างเจ้านี่จะคิดถึงใครได้
"นายทำงานกับคนเยอะแยะนี่ มีอะไรสนุกๆ เล่าให้ฟังบ้างรึเปล่า" อี้ฝานเปลี่ยนเรื่องคุย
"เรื่องสนุกไม่ค่อยเจอ เจอแต่เรื่องเศร้าน่ะสิ" ลู่หานนึกถึงคนไข้ของซ่งเชี่ยน "ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ"
"มีอะไรอยากเล่ารึไง"
"คนไข้ของเพื่อนหมอด้วยกันน่ะ" ความจริงเรื่องของคนไข้ไม่ควรจะเปิดเผยให้บุคคลภายนอกรู้ แต่ก็ไม่รู้ทำไมอีกเหมือนกัน เขากลับอยากเล่าให้อี้ฝานฟัง ถ้าไม่เอ่ยอ้างถึงชื่อของอี้ชิงก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง "มีคนไข้คนหนึ่ง เคยใช้ชีวิตเหลวแหลกมาก่อน ความจริงเรียกว่าเลือกทางเดินผิดน่าจะดีกว่า ในวันที่เขาเลือกจะกลับมาสนใจตัวเอง มีชีวิตเพื่อคนที่ตัวเองรักมันก็เกือบจะสายไปแล้ว มันก็เลย...ออกจะน่าเศร้า"
"มันก็เป็นไปตามสิ่งที่คนๆ นั้นทำไม่ใช่เหรอ" อี้ฝานสั่งเครื่องดื่มมาอีก "ถ้าไม่ทำร้ายตัวเองก่อนจะเจ็บเองรึไง"
"นายก็พูดได้สิ ไม่ได้ไปอยู่ตรงจุดนั้นนี่นา ไม่รู้หรอกว่าคนที่ดิ้นรนจะมีชีวิตรอดเพื่อคนอื่นน่ะมันเป็นยังไง" ลู่หานตัดพ้อ นึกโกรธแทนอี้ชิงอยู่นิดๆ แต่ก็นึกได้ว่าอี้ชิงกับอี้ฝานไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย
"ตลก จะมีชีวิตเพื่อคนอื่นไปทำไมกัน" ร่างสูงหัวเราะต่ำในลำคอ ไม่เข้าใจตรรกะประหลาด คนเราต่างก็มีชีวิตเพื่อดิ้นรนให้ตัวเองกันทั้งนั้นเรื่องจะมีชีวิตอยู่เพื่อใครมันก็แค่ลมปาก พ่นออกมาก็จางหายไปเท่านั้น...คำคนมันเชื่อได้ที่ไหน ลู่หานมองเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน กระตุกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ย
"ไว้นายเจอคนที่รักจนยอมแลกชีวิตให้ได้ วันนั้นค่อยเปลี่ยนคำพูดใหม่ก็แล้วกันนะอู๋ อี้ฝาน"
วันนี้พี่เฮนรี่สอนเทคนิคการทำขนมให้ผมหลายอย่าง น่าทึ่งดีเหมือนกันที่ขนมสูตรหนึ่ง ถ้าทำผิดไปนิดเดียว ผลที่ได้ออกมาก็จะผิดเพี้ยนไปมากมาย แต่จนสุดท้ายแล้วเมนูของวันนี้ที่ผมทำก็เห็นจะยังเป็นบราวนี่นี่แหละนะ ไม่รู้ครึ้มใจอะไรเหมือนกัน ผมห่อขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ตัวเองทำใส่กล่องพร้อมผูกริบบิ้นน่ารัก เอาไปให้ผู้ชายแบบคริสมันจะดูตลกรึเปล่านะ ไม่หรอก เขาต้องชอบสิ ก็ผมตั้งใจทำให้ขนาดนี้นี่นา
วันนี้ผมอยากจะเซอร์ไพรส์เขาด้วยการไปหาเร็วกว่าเดิมนิดหน่อย มองดูนาฬิกาแล้วตอนนี้คงยังนั่งเครียดอยู่ในห้องประชุมแน่ๆ อย่างนี้ต้องไปหลบในห้องแล้วโผล่มาให้ตกใจเล่น จะได้หลุดมาดผู้บริหารซะเลย แค่คิดผมก็เผลอหัวเราะออกมาอย่างกับคนบ้า
"หัวเราะอะไรคนเดียวน่ะอี้ชิง วันนี้รีบไปไม่ใช่เหรอ" พี่ดาน่าทักขึ้นเมื่อเห็นว่าผมที่ขอเลิกงานเร็วเป็นพิเศษยังนั่งชื่นชมกล่องบราวนี่อยู่
"อ๊ะ ครับพี่ดาน่า งั้นผมลาแล้วนะครับ" ผมโบกมือลาเจ้าของร้านคนสวยรวมถึงพนักงานคนอื่นๆ
เพราะรถติดเลยใช้เวลานานหน่อยกว่าจะนั่งรถเมล์ไปถึง ระหว่างทางผมเอาแต่นั่งจินตนาการภาพที่เราจะทำต่อจากนี้ หลังจากที่เรามีอะไรกัน ผมก็รู้สึกว่าตัวเองกับคริสผูกพันกันมากขึ้น อยากทำอะไรให้เค้ามากขึ้นแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตามที แต่พอคิดถึงตอนที่เจอหน้ากันผมก็อดเขินขึ้นมาไม่ได้ จะกล้ามองหน้าเขาจังๆ ได้ยังไง ทั้งที่ทำเสียงแบบนั้นออกไปตอนนั้น บ้าชะมัดจาง อี้ชิง คิดว่าตัวเองใสซื่อนักรึยังไง
ผมส่ายหน้าไล่ความฟุ้งซ่านออกจากหัว ในที่สุดก็มาถึงที่ทำงานของคริสสักที จริงอย่างที่คาดเมื่อพนักงานของคริสแจ้งว่าเจ้านายกำลังมีประชุมอยู่ ผมบอกเธอว่าไม่ให้บอกคริสว่าผมรออยู่ในห้อง อยากจะโดดขึ้นจากใต้โต๊ะร่างสูงมาเซอร์ไพรส์ซะเลย ผมเดินเข้าไปในห้องคริส มองไปรอบห้องพลางคิดว่าจะแกล้งให้เขาตกใจยังไงดี จากที่คุยกันกับพนักงานคนนั้นเห็นว่าอีกไม่นานก็คงจะเสร็จประชุม ผมตัดสินใจวางกล่องบราวนี่ไว้บนโต๊ะ เพื่อที่ว่าตอนที่คริสเข้ามาจะได้สังเกตเห็นได้ทันที
ผมเข้าไปซ่อนที่ใต้โต๊ะนั่งรอเวลา ผ่านไปนานมากพอที่ผมจะเริ่มเบื่อก็เลยออกจากที่ซ่อน ป่านนี้แล้วน่าจะประชุมกันเสร็จแล้วนี่นา ผมตัดสินใจเดินไปส่องดูที่ประตู นั่นไง คริสมาแล้วจริงๆ ด้วย แต่คนที่เดินคู่กันมาทำให้ขาของผมหยุดชะงัก คริสเดินมากับผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอเธอที่ไหน ท่าทางของคริสดูฉุนเฉียวในขณะที่เธอคนนั้นก้าวเท้าเดินตามเขากระฉับกระเฉง มีเรื่องอะไรกันท่าทางมาคุชอบกล อ๊ะ มาทางนี้แล้วผมหันซ้ายหันขวาก่อนจะรีบวิ่งไปซ่อนตัวอยู่ที่เดิมก่อนหน้านี้
"คิดจะเดินหนีไปตลอดรึยังไง" เป็นเสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นมาตามด้วยเสียงประตูที่ปิดงับลง ผมครุ่นคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันนะ น้ำเสียงของเธอฟังดูแปร่งๆ เหมือนมีสำเนียงภาษาอังกฤษอยู่ด้วย
"ทำไมฉันต้องหนีด้วย คนอย่างเธอมันมีค่าให้ต้องใส่ใจขนาดนั้นด้วยเหรอ" ประหลาดจัง ผมไม่เคยได้ยินคริสใช้น้ำเสียงแบบนี้มาก่อนเลยมันทั้งเย้ยหยันและดูถูกอยู่ในที สองคนนี้ทะเลาะกันสินะ
"ฉันก็ไม่เห็นว่าใครจะมีค่าสำหรับนายนี่...พี่ชาย" ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยั่วโมโห คริสมีน้องสาวด้วยเหรอ ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังเลย ไม่สิ เขาไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังเลยต่างหาก
"เธอไม่ใช่น้องสาวฉัน เรามีสายเลือดเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่"
"แม่คิดถึงพี่ชายมากนะ" คำพูดเรียบๆ แต่ทำไมมันฟังดูเชือดเฉือนจัง ในหัวผมมีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด
"อย่าพูดถึงผู้หญิงแพศยาคนนั้น ฉันไม่สนใจหรอก ตราบใดที่ผู้หญิงคนนั้นทรยศพ่อของฉันได้ลงคอ"
"แล้วมันต่างอะไรกับที่นายกำลังทำอยู่ล่ะ"
"ฉันทำอะไร" เสียงคริสแข็งกระด้าง หดหู่และน่ากลัว มันทำให้ผมตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วผมไม่รู้จักเขาเลย ตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใคร ผมหวนนึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอคริส หน้าผับร้านประจำ อ่าใช่แล้ว ผมนึกออกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่โดนคริสตบเมื่อครั้งนั้น แล้วก็เป็นเพื่อนที่มาหาพี่ดาน่าเมื่อวันก่อนด้วย มิน่าล่ะเธอถึงได้มองผมแบบนั้น
แต่ก่อนทีผมจะนึกอะไรได้มากกว่านั้น ประโยคหนึ่งจากคนที่เข้าใจว่าเป็นน้องสาวของคริสก็ดังขึ้นหยุดความคิดทุกอย่างของผม
"หลอกล่อ ทรยศ หักหลัง หลอกฟัน ชื่ออะไรนะ...จาง อี้ชิง ใช่รึเปล่า"
"แล้วยังไง"
"ทำเป็นพูดดี สุดท้ายนายก็ยอมเล่นเกมที่ฉันวางไว้"
"หึ เกมบ้าบออะไรกัน" ผมต่างหากที่ต้องเป็นคนถามคำถามนั้น พวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมมีผมเข้าไปเกี่ยวด้วย งั้นหมายความว่าผู้หญิงคนนี้รู้จักผมมาก่อนเหรอ
"ตอนนั้นนายโกรธฉันแทบตายที่ท้าให้นายไปหลอกเคลมเจ้าเด็กนั่น แล้วดูตอนนี้สิ กลืนน้ำลายตัวเองเหรอ ฉันยังไม่ลืมหรอกนะว่ารอยตบที่แก้มน่ะมันเจ็บแค่ไหน" บ้าชะมัด นี่มันเรื่องอะไรกัน
"เลิกเพ้อเจ้อแล้วเข้าเรื่องสักที" คริสตัดบท ผมได้ยินเสียงรองเท้าของเขาขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะตัวที่ผมซ่อนอยู่ ผมใจหายวาบเกือบจะส่งเสียงโล่งใจออกไป
"ถึงตอนนั้นนายจะไม่ได้รับคำท้าฉัน แต่ในเมื่อนายหลอกเด็กที่ชื่อจางอี้ชิงได้สำเร็จ ฉันก็จะถือว่าฉันแพ้นายแล้วกันนะ... พี่ชาย"
"ฉันไม่เคยไปรับคำท้าพนันของเธอ เพราะงั้นไม่ต้องมาแสดงความรับผิดชอบ แค่เดินออกไปจากออฟฟิศฉันก็พอ"
"ปฏิเสธอย่างนี้ คงไม่ได้หลงชอบจาง อี้ชิงอะไรนั่นจริงๆ หรอกใช่ไหม" เสียงหญิงสาวฟังดูเหมือนถามด้วยความไม่มั่นใจจริงๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองคาดหวังในคำตอบของคริส แม้จะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ดีนัก
"บ้าเหรอ อย่างเจ้านั่นน่ะ ก็เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง พอฉันเบื่อฉันก็ทิ้ง ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหรอก" คริสตอบกลับแทบจะในทันทีราวกับไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่นิด
ผมเอามือแนบอกซ้ายของตัวเอง หัวใจที่แสนอ่อนแอของผมมันกำลังเต้นแรง บ้าจริง คริสพูดอะไรออกมา หมายความว่ายังไงที่ผมเป็นแค่ของเล่น เบื่อแล้วก็ทิ้งเหรอ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ไม่ตลกเลยสักนิด...ที่ผ่านมาล่ะ เราไม่ได้รักกันหรอกเหรอ รอยยิ้มที่ส่งมาให้ผมทุกครั้งมันไม่มีความหมายไม่มีค่าอะไรเลยงั้นสิ บราวนี่หกร้อยยี่สิบห้าสิ้นมันก็เหลวไหลทั้งเพ ผมรู้สึกจุก เหมือนมีอะไรมาติดอยู่ที่คอหอยขอบตาร้อนผ่าวร่ำๆ น้ำตาจะไหล ผมมาทำอะไรที่นี่ มานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม มาทำบ้าอะไรอยู่ได้ ที่ได้ยินมาทั้งหมดมันควรจะเป็นแค่ความฝันสิ
"หนักแน่นดีจังนะ" เสียงส้นเข็มของรองเท้าส้นสูงดังใกล้เข้ามาบริเวณเดียวกับที่คริสยืนอยู่ "ถ้าอย่างนั้นอี้ชิงก็น่าสงสารชะมัด ฉันเพิ่งไปเจอเขามาเมื่อวันก่อนนี่เอง"
"..."
"ท่าทางมีความสุขน่าดูเลยนะ ถ้ารู้ความจริงเข้าว่าคุณคริสผู้แสนดีคบเค้าแค่แก้เหงาคงเศร้าน่าดู"
"อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง"
ทำไมคริสไม่มีทีท่าเศร้าใจในน้ำเสียงเลย ความรักทั้งหมดทั้งมวลมีแค่ผมที่คิดไปเองคนเดียวสินะ บ้าชะมัดจาง อี้ชิง นายมันเหมือนตัวตลกไม่มีผิด บนโลกใบหน้าไม่มีใครรักนายจริงสักคน ถ้างั้นจะต้องไปแคร์ทำไมว่าถ้าวันหนึ่งผมคนนี้ไม่อยู่ เขาจะเศร้ารึเปล่า เขาอาจจะมีความสุขด้วยซ้ำไป ผมเม้มปากแน่นไม่ให้เสียงสะอื้นของตัวเองดังออกไป แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกินจนต้องเอามือปิดปากตัวเองไว้ น้ำตาของผมไหลไม่หยุด อยากจะปิดหูไม่รับรู้บทสนทนาพวกนั้น จะตอกย้ำไปถึงไหนว่าไม่ได้รักผมเลย ว่าผมเป็นแค่ไอ้โง่ที่เอาแต่คิดเข้าข้างตัวเอง
ตัวของผมสั่นจนแม้แต่ตัวเองก็ยังกลัว ผมคนนี้ที่จะจากโลกไปตอนไหนก็ไม่รู้กำลังพยายามมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่ไม่เห็นค่าของผมเลยเนี่ยน่ะเหรอ คริสต่างจากจงอินตรงไหนกัน สนใจแค่ร่างกายเปลือกนอกที่วันหนึ่งมันก็สูญสลายไปของผมเท่านั้นเอง แล้วจิตใจของผมล่ะ
หัวใจของผม...มันไร้ค่าเกินกว่าที่ใครจะรักเลยเหรอ
TBC…
Talk to you
Windy Boy :: อะแฮ่ม ๆ ตอนที่เจ็ดอัพเดตห่างจากตอนที่หกเกือบเดือน คนอ่านคิดถึงกันไหมเอ่ย ขอเสียงให้ชื่นใจหน่อยเร็ว (กริบเลย) พอดีคนเขียนไม่ค่อยมีเวลาเพราะสอบกลางภาค (และหลังจากนี้ก็จะเข้าช่วงสอบปลายภาคแล้ว) ต้องขออภัยจริง ๆ นะคะถ้าเกิดว่าตอนต่อ ๆ ไปอัพเดตช้าแต่ยังไงเรื่องนี้แต่งจบแน่นอนค่ะ (แม่นางคนข้างล่างคอนเฟิร์มแล้วฮ่า ๆ) ตอนที่แล้วคอมเมนต์ถล่มทลายเกินคาดดีใจนะคะที่บางคนถามถึงการรวมเล่ม รวมดีไหมคะขอเสียงหน่อย *กระซิบ* เราอยากเก็บไว้เหมือนกัน คิดถึงคอมเมนต์ของทุกคนจังเลย กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด *ส่งจูบให้คนละที*
Pickajae :: ตอนนี้มัน...สูบพลังไม่ใช่น้อย *โดดลงทะเลให้แพลงต้อนแทะเล่น* ทุกคนยังไม่ลืมเราใช้ม้อยยยยยยยย ห้าห้าห้า ตอนนี้เฮียตุ้ยออกลายแล้วสินะสินะ ดราม่าขนานแท้ *เกาพุง* เห็นมีคนถามเรื่องรวมเล่มมา เลยอยากซาวเสียงดูว่าถ้าเราจะรวมเล่ม จะมีคนสนใจมั้ยคะ ‘ v ‘ คือเรื่องนี้มันจบแน่ๆ แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะกี่ตอนจบ เอิ้กๆ คิดถึงรีดเดอร์ทุกคน ม๊วฟฟฟฟฟ =3=
ความคิดเห็น