คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : B L U E : : 05
ช่วงเย็นจะเป็นช่วงที่ร้านวุ่นวายที่สุด เพราะเป็นช่วงเวลาเลิกเรียนของเด็กนักเรียนแถวนี้ ทุกคนในร้านต่างทำงานกันแทบไม่ได้พักหายใจ รวมถึงผมด้วยเช่นกัน อันที่จริงช่วงแรกต้องปรับตัวเยอะหน่อยเพราะผมไม่ได้ทำอะไรหนัก ๆ แบบนี้มานานมาก จริง ๆ ผมไม่เคยทำหนักเท่านี้เลยต่างหาก นอกจากจะรับออเดอร์แล้วบางครั้งก็ยังต้องเข้าไปช่วยหลังร้านด้วย พี่ดาน่าเองก็วุ่นวายกับงานที่ต้องบินไปกลับจีน-เกาหลีเหมือนกัน โชคดีที่อาการป่วยของผมไม่กำเริบ ไม่อย่างนั้นคงลำบากกว่านี้แน่ ๆ
"ไวท์ช็อคชีสเค้กสองที่นะครับ" ผมเอ่ยกับพี่ดาน่าพร้อมวางออเดอร์ให้ ก่อนจะหยิบถาดที่พี่ดาน่าวางเตรียมไว้ไปเสิร์ฟให้อีกโต๊ะ
"เหนื่อยหน่อยนะอี้ชิง" พี่ดาน่าส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้ ผมทำได้แค่ยิ้มตอบแล้วทำงานต่อ
ตอนนี้ผมกับพี่ดาน่าสนิทกันขึ้นเยอะ แล้วก็พี่เฮนรี่ที่ทำงานอยู่ในครัวด้วย เป็นสังคมใหม่ ๆ ที่ผมไม่เคยเจอเหมือนกัน จากที่เคยตื่นบ่ายก็ต้องตื่นแต่เช้า ใช้ชีวิตตอนกลางวันเหมือนคนทั่วไป ที่สำคัญคือกิจวัตรใหม่ที่เปลี่ยนจากเข้าผับทุกวันเป็นไปหาคริสทุกวันด้วย ผมทำงานพลางนึกนับวัน นี่ก็เกือบเดือนแล้วล่ะมั้ง เอ...เท่าไหร่นะ สามอาทิตย์สิ เป็นสามอาทิตย์ที่ไม่เคยชินสักที เจอหน้าทีไรหัวใจมันทำงานหนักตลอด
"หน้าแดง ไม่สบายรึเปล่า" พี่เฮนรี่ทักขึ้นเมื่อผมเดินเข้าไปเอาของในครัว
"ปะ...เปล่าครับ" ผมสั่นหัวปฏิเสธ ทั้งที่ยังนึกเขิน วินาทีที่คริสจูบผมเมื่อครั้งนั้นได้ คิดถึงเมื่อไหร่จะก็เต้นเร็วทุกครั้ง
โอ๊ย ไม่เอาน่าจาง อี้ชิง มีสติหน่อยสิ ผมสะบัดหน้าไปมา เวลางานผมไม่ควรจะคิดเรื่องอื่นนี่นา เดี๋ยวเลิกงานแล้วก็ได้เจอกันอยู่ดี
"อี้ชิงจ๋า รับออร์เดอร์โต๊ะเจ็ดหน่อยเร็ว"
"ครับ ๆ" ผมรีบวิ่งออกจากครัว คว้าเอาเมนูกับสมุดฉีกจากโต๊ะไปด้วย "เชิญดูเมนูก่อนครับ" ผมวางเมนูลงบนโต๊ะ
"ขอบราวนี่หนึ่งที่ครับ" เอ๊ะ เสียงคุ้นหูจัง ผมเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดของตัวเองก่อนจะเผลอครางออกมาเบา ๆ
"คริส..." พระเจ้าช่วย เขามาทำอะไรที่นี่เนี่ย "มะ มาทำอะไรครับเนี่ย"
"ก็มาทานบราวนี่สิถามได้ คุณพนักงานจะไม่รับออเดอร์เหรอครับ?" คริสว่ายิ้ม ๆ เขาดูมีท่าทีสบาย ๆ ต่างจากผมที่เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเท่าไหร่
"ถ้าอยากทาน โทรมาบอกก็ได้นี่นา จะได้เอาไปให้ จะมานั่งรอทำไม" ผมพูดไปอย่างนั้น แต่ข้างในดีใจจนบอกไม่ถูก คริสมาหาผมเชียวนะ นักธุรกิจงานรัดตัวอย่างเขาปลีกตัวมาได้ยังไง
"วันนี้เลิกประชุมเร็วก็เลยมาหาก่อน ไม่ได้เหรอ?"
"ไม่ได้บอกว่าไม่ได้สักหน่อย แต่วันนี้งานผมยุ่งนะมานั่งเป็นเพื่อนไม่ได้หรอก"
"แล้วนี่ไม่รีบทำงานเหรอ ลูกค้ารอเยอะนะ" คริสพูดหยอกจนผมยิ้มแหย ๆ จรดปากกาลงในกระดาษว่าบราวนี่หนึ่งที่
สุดท้ายแล้ววันนั้นผมเหมือนคนสติหลุด ทำงานเหมือนคนอดหลับอดนอน เดี๋ยวสะดุดชนนู่นนี่ไปหมด ก็ลองมีใครมานั่งจ้องทุกวินาทีชีวิตอย่างนี้บ้างสิ ผมเชื่อว่าทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมดนั่นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วคนที่นั่งจ้องผมไม่วางตาชื่อ คริส ด้วยล่ะก็ เฮ้อ วันนี้เป็นวันที่ผมทำงานได้แย่ที่สุดจริงๆ
"ไม่ได้สั่งตัวนี้นะคะ"
"ขอโทษครับ" ผมเอ่ยกับลูกค้าเมื่อรู้ตัวว่าเสิร์ฟผิดโต๊ะ เสียงหัวเราะขำของคริสทำเอาผมประสาทเสีย ผมหันไปมองเขาแล้วพบว่าเขาเองก็มองผมอยู่ ผมทำปากว่า 'เงียบไปเลยนะ' ให้อีกฝ่าย แต่เขาก็เอาแต่ขำอยู่นั่นแหละ ขี้แกล้งชะมัด ขอให้บราวนี่ติดคอทีเถอะ
"อี้ชิงรู้จักกับผู้ชายคนนั้นเหรอ" พี่ดาน่าถามขึ้นตอนที่ผมเอาออเดอร์ไปส่ง
"ทำไมเหรอครับ"
"ก็เห็นมองเราไม่วางตาเลยน่ะสิ แหม ไม่เบานะเราเนี่ย"
"อะไรกันพี่" ผมหัวเราะแห้ง ๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไร พี่ดาน่ามองผมเหมือนรู้ทันก่อนจะวิ่งไปหาพี่เฮนรี่ที่หลังร้าน ไม่เคยมีความลับระหว่างสองคนนี้จริง ๆ ด้วย
งานรับออเดอร์หมดแล้ว เหลือแค่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อเค้กกลับไปทานที่บ้านบ้างประปราย พี่ดาน่าใช้ให้ผมเฝ้าหน้าร้านแทนส่วนตัวเองเดินสายเช็คบิลตามโต๊ะ แล้วก็เช่นเคย คริสยกกาแฟขึ้นจิบพลางมองมาที่ผม ผมก็คนนะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะได้เขินไม่เป็น
"จ้องอะไรอยู่ได้" ผมเอ่ยขึ้น โชคดีที่โต๊ะของคริสอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ เลยไม่ต้องพูดเสียงดัง คริสยิ้มมีเสน่ห์เหมือนเช่นเคย ทำลีลาไม่ยอมตอบจนผมนึกหมั่นไส้
"มองคุณไง" บางครั้งคริสก็เป็นคนตรงเกินไปจนผมไปต่อไม่ถูก ได้แต่ทำหน้าแดงเขินให้คริสมอง ผมไม่ได้อยากเป็นคนแบบนี้สักหน่อย แต่ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรก็มีอิทธิพลกับผมไปซะหมด
"กินไปสิ" ผมบอกอาย ๆ แล้วหาอย่างอื่นทำเพื่อหันเหความสนใจ หรือพูดตรง ๆ ก็คือหาอะไรทำแก้เขินนั่นแหละ
ช่วงหนึ่งทุ่มครึ่งลูกค้าเริ่มบางตามากแล้ว พี่ดาน่าเลยอนุญาตให้ผมไปนั่งกับคริสได้ ปกติเป็นผมที่ต้องไปนั่งเล่นที่ห้องทำงานของคริส แต่คราวนี้เป็นคริสที่มานั่งรอผม แปลกดีเหมือนกัน
"ไม่ต้องถอดหรอก" คริสเอ่ยขัดขึ้นเมื่อผมจะถอดผ้ากันเปื้อนออก "แบบนี้น่ารักดี"
"พูดแบบนี้ยิ่งอยากถอดเข้าไปใหญ่"
"ถอดเสื้อผ้าเหรอ"
"คริส!" นี่แหละครับ นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของเขา ความจริงคริสไม่ใช่คนเนี้ยบอะไรมากตามมุมมองของผม บางครั้งเขาอาจจะดูจริงจังแต่ก็ตามหน้าที่ ถ้าหมดเวลางานเขาก็จะเป็นแบบนี้ ขี้แกล้งเป็นที่สุดเลย เขาชอบมีมุกตลกมาให้ขำประจำ ผมเล่าไปพวกคุณก็คงนึกภาพไม่ออกแน่ ๆ
ตลอดเวลาที่ผมรู้จักคริส ผมยิ่งมองเห็นมุมต่าง ๆ ของผู้ชายคนนี้มากขึ้น เขาตลกกว่าที่ผมคิดไว้เยอะไม่ได้เคร่งขรึมหรืออบอุ่นอย่างที่ผมคิดในตอนแรก บางทีก็ยิงมุกจีบมาตรง ๆ จนผมตั้งตัวไม่ทันได้แต่หลุดขำออกไป ผมเจอคริสทุกวันเดิมทีอาจจะเป็นเหมือนสิ่งที่ต้องทำ(ตามที่คริสพูดน่ะนะ)แต่นานไปมันก็เป็นเรื่องที่ทำไปโดยอัตโนมัติเหมือนต้องลืมตาตื่นทุกเช้านั่นแหละ
ในขณะที่จงอินไม่ได้ติดต่อผมมาเลย บางทีจงอินอาจกำลังหาขอเล่นชิ้นใหม่มาแทนผมอยู่ก็ได้ หรือไม่ก็คงกำลังมีความสุขกับงานอดิเรกอย่างใหม่ซึ่งผมก็ไม่อยากเดาว่ามันคืออะไร ผมไปส่งขนมให้คริสเป็นเวลาเกือบเดือน แต่รู้สึกเหมือนทำไปแค่สามสี่วัน บางทีเวลาเกือบสองปีมันอาจไม่ได้ยาวนานอย่างที่ผมคิดก็ได้...
ขณะที่ผมนั่งรอคริสเคลียร์เอกสารอยู่ในห้องทำงานของเขา สายตาของผมก็เผลอไปมองภาพถ่ายที่ติดอยู่กับฝาผนัง ในนั้นมีรูปชายวัยทำงานคนหนึ่งแล้วก็เด็กผู้ชายวัยรุ่นอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นพ่อลูกกัน หน้าตาหล่อเหลาถอดแบบมาจากพ่อนี่เอง ผมเผลอยิ้มให้กับคนในรูปทั้งสองนั้นแต่ก็แอบสงสัยไม่ได้ว่าแม่ของเด็กคนนั้นอยู่ไหนกันนะ
“ยิ้มอะไร” ผมสะดุ้งกับเสียงของคริส นี่ผมใจลอยขนาดนี้เลยหรอ
“อ่อ ปะ เปล่า”
“ง่วงไหม คืนนี้รอผมนานหน่อยนะ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“รอได้น่า” เขาหัวเราะให้กับผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น
“แล้ว...ถ้าผมปล่อยให้คุณรอนานทั้งชีวิตจะรอได้รึเปล่า” คริสพูดพลางก้มหน้าเคลียร์งานต่อ เขาอาจจะพูดเล่น แต่มันไม่ใช่เล่น ๆ กับความรู้สึกของผมเลยสักนิด
รอทั้งชีวิตหรอ ‘ทั้งชีวิต’ ใครหลายคนอาจจะคิดว่ามันนาน แต่สำหรับผมน่ะมันอาจจะเป็นระยะเวลาแค่เสี้ยวกระพริบตาก็ได้ ชีวิตของผมมันคงไม่ยาวนานอย่างที่เขาคิดไว้หรอก บางทีผมก็เห็นแก่ตัวกับคริสจนเกินไป ผมแค่อยากใช้มันให้คุมค่าที่สุดเท่านั้นเอง...
ลมอ่อน ๆ ท่ามกลางฤดูหนาวพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาผมรู้สึกแสบตาจังเลย น้ำตาหยดใสร่วงผล็อยตกมาสู่หลังมืออย่างไม่รู้ตัว ผมรีบปาดมันออกลวก ๆ ไม่อยากให้คริสเห็น แล้วต้องรีบปั้นสีหน้าให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมนี่ฟุ้งซ่านจริง ๆ
คริสทำท่าบิดขี้เกียจเมื่อเคลียร์งานเสร็จแล้ว อื้อหือ คุณนักธุรกิจสุดเนี้ยบทำแบบนี้ให้ใครเขาเห็นไม่ดีเลยนะรู้ไหม เสียภาพลักษณ์หล่อ ๆ เนี้ยบ ๆ หมด
“เฮ้อ เสร็จสักที กลับบ้านกันเถอะ” คริสเดินมาดึงมือผมลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยถาม “รอนานเลย เบื่อละสิท่า” เขาพูดพลางเอามือมาขยี้หัวผมเล่น
“ใครบอก”
“ก็หน้างี้บ่งบอกว่าเบื่อรอผมจะตายอยู่แล้ว” มือข้างที่ยกขึ้นมาขยี้หัวตอนนี้เลื่อนมาบิดแก้มผมเล่นไปมา
“ฮื่อ กลับกันเถอะ”
ระหว่างกลับผมยังมีคำถามค้างคาใจอยากถามคริสเรื่องแม่ของเขา ตลอดเวลาที่คบกันเขาไม่เคยเล่าเรื่องแม่ให้ฟังเลย ผมเองก็ไม่เคยสงสัยอะไร แต่วันนี้ก็นึกอยากรู้ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“คริสผมขอถามอะไรอย่างได้ไหม”
“หืม ว่ามาสิ”
“คุณไม่คิดถึงแม่หรอ”
“เรื่องนั้น...อย่าพูดถึงเลย”
“ผมแค่อยากรู้ คุณไม่เคยเล่าเรื่องท่านให้ผมฟังเลย”
“...”
คริสไม่ตอบผมเขาเพียงแค่พ่นลมหายใจยาว ๆ ออกมา เป็นอะไรมากไหมนะ ผมถามคำถามบ้า ๆ อะไรกับเขาเนี่ย ผมก็แค่อยากรู้ แค่อยากรู้แค่นั้นเอง โอเค...ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะบอก ผมก็จะไม่คาดคั้นอะไรจากเขา...ตอนนี้ผมรู้สึกว่าความเงียบมันช่างน่าอึดอัด รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกยังไงไม่รู้ ผมรู้สึกกลัวมันเหลือเกิน
รถยนต์ของคริสแล่นมาเรื่อย ๆ ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็จอดที่ใต้อพาร์ทเมนต์ที่ผมพักอยู่ ทันทีที่ผมเปิดประตูรถออกมาลมหนาวก็ปะทะกับใบหน้าของผมอย่างจัง ตอนนี้...นอกจากความเงียบงันเมื่อสักครู่ที่คิดว่าน่ากลัวแล้วเมื่อมันรวมตัวกันกับสายลมหนาวแบบนี้ผมอยากยืนแข็งตายเป็นหินเสียตรงนี้เลย
“หนาวหรอ” คริสเดินมายืนเลียบข้างผมแล้วถามขึ้น ผมแค่พยักหน้าตอบเขาไป หลังจากนั้นมือหนาของอีกฝ่ายก็เงื้อมมากุมมือทั้งสองข้างของผมไว้แล้วยกขึ้นอังกับไออุ่นที่พ่นออกจากปากของเขา
คริส...ลมเย็นระลอกใหญ่เมื่อครู่นี้มันหนาวมากแต่สุดท้ายแล้วมันต้องพ่ายแพ้ให้กับความอบอุ่นที่เพิ่งพ่นออกมาจากปากของคุณ ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ไออุ่นที่เขาส่งมาให้ผมนั้นอุ่นลึกไปจนถึงขั้วหัวใจของผม ถ้าหากว่าโลกจะแตกหรือฟ้าจะถล่มลงตรงนี้ ถ้าเขาให้รอนานทั้งชีวิตหรือจะกี่ชาติผมก็จะรอ ผมสัญญา
เท้าทั้งสองคู่เดินย่ำกันเป็นทางคู่ขนานมือซ้ายของอีกคนที่จับมือขวาของผมเกาะกันแน่น ผมลอบมองข้าง ๆ ใบหน้าของเขาจมูกเป็นสันได้รูป คิ้วเข้มที่ตัดกับหน้าหวานทำให้หน้านั้นออกจะเข้มขึ้น ริมฝีปากสวยที่มักจะพูดหยอกล้อหรือโปรยคำหวานหว่านล้อมผมบ่อย ๆ คริส...ตอนนี้คุณคิดอะไรอยู่นะ คุณจะคิดเหมือนที่ผมคิดอยู่รึเปล่า... ผมคิดถึงคุณทั้ง ๆ ที่เดินจับมือกันอยู่อย่างนี้ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน...
เท้าสองคู่หยุดยืนที่หน้าห้องหมายเลข 107 ผมล้วงมืออีกข้างเข้าไปในกระเป๋าเพื่อควานหากุญแจสักครู่ประตูก็ถูกเปิดออกผมวางสัมภาระไว้แล้วบอกลาผู้มาส่งเพราะตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วอยากให้รีบกลับไปพักผ่อน วันนี้ทั้งวันต่างคนต่างก็เหนื่อยล้ากับการทำงานทั้งคู่
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ผมบอกขอบคุณอย่างนี้ทุกครั้งที่เขามาส่งและก็ถูกอีกฝ่ายบอกว่าเต็มใจมาส่งเสมอ
“อี้ชิง...” วันนี้เขาไม่ตอบผมอย่างที่เคย แต่กลับเอามือยึดไหล่ทั้งสองของผมแล้วกระชากผมเข้าไปกอดไว้ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ในหัวเขานั้นคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าหากว่าผมทำให้คริสรู้สึกไม่ดีเรื่องแม่ผมเองก็อยากขอโทษเขา
“คริส” สองแขนยกขึ้นกอดตอบรอบตัวเขาเป็นการขอโทษถ้าผมไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาทำผิดเพี้ยนไป “กลับบ้านได้แล้วนะ วันนี้ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเดี๋ยวจะไปสบายเอานะ”
ผมผละออกจากอ้อมกอดคริสพลางยกมือขวายกขึ้นบีบจมูกของคริสไปมา
“อี้ชิง ก่อนกลับขออะไรอย่างได้ไหมครับ”
“หือ? ขออะไรล่ะ”
“ก็...ขอนี่” พูดจบคริสใช้นิ้วจิ้ม ๆ ที่ริมฝีปากของผมเบา ๆ พระเจ้า...คริสน่ะบทจะน่ารักขี้อ้อนก็ทำผมตั้งตัวไม่ทันเหมือนกันนะ
“ไม่เอาน่า เดี๋ยวนอนไม่หลับนะ” ผมพูดหยอกล้อเขาเป็นเชิงว่าริมฝีปากของผมน่ะไม่ได้ให้กันง่าย ๆ หรอกนะ
“ถ้าไม่ได้นี่สิจะทำให้นอนไม่หลับ” เขากระตุกยิ้มหนึ่งครั้งคงจะอดขำไม่ได้จริง ๆ เพราะไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่เขาช่วงชิงความหอมหวานนี้ไป แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ผมมอบความหอมหวานแสนคุ้นเคยให้กับเขาเอง ผมเขย่งปลายเท้าขึ้นมอบสัมผัสที่ทำให้เขาและผมรู้สึกวูบไหวไม่ต่างกัน มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง...
“กลับได้รึยัง หืม”
“ขออีกได้รึเปล่าล่ะ” ไม่ทันตอบจมูกคมที่ผมนึกชมว่าสวยโด่งได้รูปนักหนาก็ฝังซุกลงที่ซอกคอของผมทันที
“อื้อ... คริส ไม่เอาน่า มันดึกแล้ว มันดึกแล้ว กลับดึกอันตรายนะ ไม่เหนื่อยหรอหืม” ผมผลักอกคริสออกไม่ให้เขารุกล้ำเนื้อตัวของผมไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“หูย นิดเดียวเอง” คริสบ่นอุบอิบออกมา
“ไปได้แล้ว ไป ๆ ”ผมใช้มือดันคริสให้หันหลังออกจากห้องของผม เราต่างก็เหนื่อยกับงานมาทั้งวัน ไม่งั้นค่ำคืนนี้คงอีกยาวไกลแน่ ๆ ...
หลังจากเราโบกมือลากันแล้ว ผมก็ปิดประตูลงอย่างอ้อยอิ่ง เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน อิ่มเอิบใจจนบรรยายไม่ถูก ผมยิ้มอยู่กับตัวเองราวกับคนบ้า คงจะจริงอย่างที่คนเค้าว่ากัน ว่าความรักมักจะทำให้คนเราเด็กลง ตอนนี้ผมก็คงเหมือนเด็กคนหนึ่ง ที่มีความสุขกับทุกสิ่งรอบกาย... เวลาผ่านไปไม่นานนักเสียงออดก็ดังขึ้น ผมนึกสงสัยว่าใครมาหาเอาตอนนี้ หวังว่าคริสคงไม่ย้อนกลับมาหรอกนะ
"น้ำมันหมด" เสียงทุ้มของคริสเอ่ยขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออก ใบหน้าหล่อเหลานั้นยิ้มกริ่มอย่ามีเลศนัยน์
"อะไรกันครับ จะให้ผมช่วยเข็นรถไปปั๊มน้ำมันเหรอ"
"คืนนี้ขอค้างด้วยหน่อยสิ"
"ไม่ต้องเลยนะ โทรตามลูกน้องคุณสิครับให้เขามารับกลับ"
"จาง อี้ชิง นี่คุณกล้าไล่ผมเลยเหรอ ไม่สนใจกันแล้วใช่ไหม จูบเมื่อกี้ไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม" คริสทำท่าทางเหมือนเด็ก ๆ จนผมอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
"นักธุรกิจเจ้าเล่ห์อย่างนี้ทุกคนรึเปล่าครับ" ผมยืนขวางประตูไว้พร้อมกับส่งยิ้มให้คนตัวสูงที่อยู่ในชุดสูทภูมิฐาน
"ก็ธรรมดา...นี่ ใจคอจะให้ยืนหนาวอยู่ข้างนอกนี้จริงๆ เหรอ" คริสส่งสายตาอ้อนจนน่าหมั่นไส้
"คนอะไรมุกเยอะชะมัด"
"โธ่ ก็เยอะกับคนเดียวนั่นแหละ ป่ะ ๆ ไปนอนกัน"
"คริส!" ผมร้องเรียกชื่อคริสเสียงดังเมื่อร่างสูงถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอดก่อนจะปิดประตูลงกลอนเสียเรียบร้อย ผมจำต้องเดินไปตามแรงลากของร่างสูงอย่างช่วยไม่ได้ "จะไปไหนครับ"
"นอนไง"
"บอกเมื่อไหร่ว่าให้นอน" ผมดันตัวเองออกแล้วยื่นมือไปหาคริส "เอาโทรศัพท์มาครับ เดี๋ยวผมโทรตามคนขับรถให้"
"นี่มันดึกแล้วนะอี้ชิง จะไปรบกวนคนอื่นทำไม อีกอย่างคุณก็อยู่คนเดียวด้วย" สาระสำคัญคงอยู่ตรงที่ 'ผมอยู่คนเดียว' แน่ ๆ ผมถอนหายใจ ช่วยไม่ได้นี่นา...
"นอนก็ได้ แต่แค่นอนจริง ๆ นะ"
"ครับผม"
"แต่คุณต้องอาบน้ำนี่ คุณจะใส่เสื้อผ้าผมได้รึเปล่า ตัวเราต่างกันขนาดนี้" ผมมองคริสหัวจรดเท้าอย่างครุ่นคิด บางทีอาจจะต้องไปหาซื้อเสื้อยืดราคาถูกที่ร้านสะดวกซื้อล่ะมั้งคริสคงไม่รังเกียจเสื้อยืดธรรมดา ๆ หรอก
"คืนนี้ไม่ต้องใส่ก็นอนได้"
"ถ้าไม่ใส่จะไม่ได้นอนต่างหาก" คริสหัวเราะชอบใจที่ผมพูดขัด "เดี๋ยวผมลงไปร้านสะดวกซื้อก่อนนะ น่าจะมีเสื้อยืดขาย"
"ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่นี่แหละ" คริสกอดผมจากด้านหลังตอนที่ผมกำลังจะเดินไปที่ประตู ทำตัวเป็นแมวขี้อ้อนอีกตามเคย "แค่นี้ก็อุ่นแล้ว ใส่เสื้อผ้าหนาแค่ไหนก็ไม่อุ่นเท่ากอดคุณหรอก"
หัวใจผม...มันเต้นแรงอีกแล้ว ไม่ไหว อยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก
แต่พอผมเอื้อมมือจะแกะแขนของคริสออก อ้อมกอดนั้นยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม คริสซุกใบหน้าเข้ากับคอของผม เราเงียบกันอยู่นาน ไม่มีใครพูดอะไร มีแค่เสียงหัวใจของผมที่เต้นแรงกับเสียงลมหายใจของคริสที่รินรดอยู่ข้างหู ...วินาทีนี้เองที่ผมรู้สึกว่าผมขาดผู้ชายคนนี้ไปไม่ได้ คนที่เป็นเหมือนโอเอซิสของผม หัวใจดวงนี้มันเต้นแรงอย่างนี้ได้ก็เพราะคริส
จริงอย่างที่คริสว่า เสื้อผ้าจะหนาอุ่นหรือราคาแพงแค่ไหน อ้อมกอดนี้ก็อุ่นยิ่งกว่า ผมวางมือลงบนท่อนแขนของคริส ออกแรงบีบเบา ๆ ราวจะยืนยันตัวตนของผมเอง ผมที่กำลังหายใจและยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
"นอนเถอะ" ผมกระซิบแผ่วเบา จมูกได้รูปของคริสฝังลงบนแก้มของผมก่อนจะเริ่มซุกซน เอ๊ะ! นี่เขาเลื่อนมือมาวางตรงสะโพกผมตั้งแต่เมื่อไหร่
"วันนี้ฝันหวานแน่ ๆ" คริสยิ้มกระหยิ่มแล้วจับผมหมุนตัวให้หันมาสบตากับเขา ดวงตาที่เหมือนมีมนต์สะกด สายตาของคริสตรึงให้ผมได้แต่ยืนนิ่ง เหมือนเจ้าหญิงรอจุมพิตจากเจ้าชายยังไงยังงั้น
จูบคราวนี้ไม่ได้หวานละมุนเหมือนครั้งก่อน ๆ แต่มันเด่นชัดถึงความต้องการที่กำลังปะทุอยู่ในตัวของคริส และกำลังส่งสัญญาณมาถึงผม มือหนาคว้าเข้าที่ต้นคอของผมเพื่อรองรับจูบร้อนแรง ร่างของเราสองคนเคลื่อนตัวสะเปะสะปะไปยังเตียงที่เป็นเพียงฟูกธรรมดา มีเพียงชั้นหนังสือกั้นไว้จากมุมอื่น ๆ ของห้องเท่านั้น เสียงหัวใจเต้นถูกกลบด้วยเสียงจูบของเราสองคน คริสผลักผมให้ล้มลงนอนบนเตียงก่อนที่ร่างสูงจะทาบทับลงมา
"เก็บคำว่าราตรีสวัสดิ์ไว้ได้เลย จาง อี้ชิง"
"ลู่หาน" เสียงหวานของซ่งเชี่ยนเรียกให้ร่างบางที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านระวัติคนไข้ของตัวเองต้องละสายตาขึ้นมา ใบหน้าของแพทย์รุ่นพี่ดูไม่สู้ดีนักจนลู่หานต้องเลิกคิ้วฉงน
"มีอะไรรึเปล่าครับ"
"ขอคุยด้วยหน่อยสิ ยุ่งมากรึเปล่า" ซ่งเชี่ยนคงหมายถึงสิ่งที่ลู่หานกำลังทำ ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะเดินนำหญิงสาวไปที่โต๊ะดื่มกาแฟในห้องพักเล็ก ๆ ของตน
"พี่เอากาแฟไหมครับ เดี๋ยวผมชงให้"
"ไม่ต้องล่ะ พี่มาคุยไม่นานหรอกมีนัดผ่าตัดคนไข้ต่อน่ะ" ลู่หานเลยยกแก้วน้ำเปล่ามาให้แทน ลู่หานเป็นอย่างนี้เสมอ ใจดี เป็นมิตร จนบางครั้งซ่งเชี่ยนก็นึกอยากให้ไปเป็นกุมารแพทย์มากกว่า เพราะจิตแพทย์นิสัยแบบนี้มันก็ดูน่ากลัวไม่หยอกนะ
"พี่มีอะไรจะคุยกับผมเหรอหรือว่าเรื่องอี้ชิง" ลู่หานเดาว่าอย่างนั้น เพราะถ้าให้พูดกันตรง ๆ แทนที่อี้ชิงจะไว้ใจหมอเจ้าของไข้มากกว่า กลายเป็นว่าอี้ชิงให้ความสำคัญกับลู่หานแทนเสียนี่ บางทีหมอสาวอาจจะไม่ชอบใจเรื่องนี้ก็ได้
"ก็ใช่แหละ พี่รู้นะว่าไม่ควรมาปรึกษาเรื่องแบบนี้ เพราะยังไงพี่ก็เป็นเจ้าของไข้ ก็ควรจะตัดสินใจได้เด็ดขาด แต่ลู่หานก็เห็นใช่ไหมว่าเดี๋ยวนี้อี้ชิงเปลี่ยนไปขนาดไหน"
"ครับ" ลู่หานตอบรับ พลางนึกถึงคนไข้คนสำคัญของซ่งเชี่ยนที่ครั้งหนึ่งเคยหัวดื้อขนาดไหน แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปมาก มาหาหมอตามนัดทุกครั้ง ทานยาเป็นประจำไม่ขาดตกบกพร่องจนเขาเองไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้ซ่งเชี่ยนกลุ้มใจ
"อี้ชิงน่ะเป็นคนสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เกิดถ้าไม่ได้เอาใจใส่มาก ๆ ก็ทรุดได้ตลอด แล้วช่วงสามสี่ปีก่อนนี้อี้ชิงก็ไม่ตรวจสุขภาพเลย แล้วการใช้ชีวิตก็เรียกได้ว่าย่ำแย่สุด ๆ" ซ่งเชี่ยนถอนหายใจ เป็นการเกริ่นเรื่องที่ชวนเครียดไม่น้อย ลู่หานที่แม้จะเดาทางได้ราง ๆ ยังต้องลุ้นตาม "ยิ่งอี้ชิงมาหาหมอบ่อยแค่ไหน พี่ก็ยิ่งไม่อยากให้เขามา"
"ทำไมล่ะครับ"
"มันน่าเศร้านะลู่หาน ถ้าเราต้องรับรู้ว่าคนไข้ของเราที่เราดูแลเค้าอยู่ตลอดอาจจะเป็นหรือกำลังจะเป็นอะไร" หญิงสาวยิ้มฝืน ๆ
สำหรับซ่งเชี่ยน อี้ชิงไม่ใช่แค่คนไข้ทั่วไป แต่เป็นผู้ชายที่ควรจะได้รับความเอาใจใส่ ภายนอกอี้ชิงอาจดูปกติซ้ำยังดูแข็งแรง แต่ทั้งร่างกายและจิตใจมันไม่มีอะไรที่มั่นคงเลยแม้แต่นิดเดียว บางครั้งซ่งเชี่ยนก็คิดว่าเธอเอาตัวเองเข้าไปยุ่งมากเกินไปรึเปล่า ควรจะเว้นระยะห่างระหว่างหมอกับคนไข้ไหม แต่คำตอบสุดท้ายที่เธอได้ก็มีแค่ว่า ตราบใดที่มีคำว่าหมอแขวนคอแล้วต่อให้คนไข้จะเป็นฆาตกรร้อยพันศพเราก็เอาคำว่าหมอออกจากตัวไม่ได้...
ลู่หานไม่ได้เอ่ยอะไร และรอให้ซ่งเชี่ยนพูดต่อ
"อี้ชิงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไฟฟ้าหัวใจพลิ้วสูงมาก ยิ่งช่วงก่อนหน้านี้อี้ชิงสูบบุหรี่จัดด้วย ไหนจะเวลาทะเลาะกับจงอินอีก หัวใจอี้ชิงรับไม่ไหวหรอก"
"พี่ซ่งเชี่ยนหมายความว่า...อี้ชิงมีสิทธิ์จะไปได้ทุกเมื่อเหรอครับ" น่าแปลกที่แค่คำว่า 'ไป' มันช่างทำให้อึดอัดหัวใจได้ขนาดนี้
"พี่ควรจะบอกอี้ชิงใช่ไหมลู่หาน"
"..."
ลู่หานไม่ได้ตอบแม้จะสบตากับซ่งเชี่ยน...
อี้ชิงกำลังมีความรักนั่นคือสิ่งที่ลู่หานสัมผัสได้จากทุก ๆ อย่างที่ผู้ชายคนนี้แสดงออกมา ทั้งท่าทางและน้ำเสียง แม้อี้ชิงจะไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังนักเพราะพื้นฐานเป็นคนเก็บตัว แต่ก็มากพอจะทำให้รู้ว่าอี้ชิงไม่ได้แค่หายใจเพื่อให้อยู่ไปได้อีกหนึ่งวัน แต่อี้ชิงหายใจให้มีชีวิตอยู่ไปอีกหลายวันเพื่อใครบางคน เป็นเวลานานทีเดียวที่ในห้องมีเพียงความเงียบ ลู่หานรู้ว่ารุ่นพี่ของเขามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เพียงแค่เดาไม่ได้ว่าอี้ชิงจะมีท่าทีแบบไหนเท่านั้นเอง
"ไม่ได้มาคุยให้นั่งเงียบนะลู่หาน" ซ่งเชี่ยนเตะขาเก้าอี้ของรุ่นน้อง ลู่หานหลุดหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะส่งยิ้มหวานให้
"ผมว่าพี่น่าจะรู้อยู่แล้วนะว่าจะบอกหรือไม่บอก ที่มาพูดว่าขอคำปรึกษานี่เพราะหาที่ระบายมากกว่ารึเปล่า"
"รู้ทันตลอด" ซ่งเชี่ยนชักสีหน้า "เป็นหมอมาตั้งหลายปีทำไมเพิ่งมาใจอ่อนกับคนไข้หน้าตาดีด้วยก็ไม่รู้" หญิงสาวพูดติดตลก จนลู่หานหลุดหัวเราะออกมาจริงจัง
"ก็หาแฟนสักคนสิครับพี่ จะได้ไม่ปันใจให้คนไข้เผื่อเค้าไม่อยู่ขึ้นมาจะได้ไม่เสียใจมากกว่าเดิม"
"หาง่ายอย่างนั้นก็ดีสิ วัน ๆ ทำแต่งานอย่างนี้" ซ่งเชี่ยนตัดพ้อ "ยังไงก็ขอบใจนะ ที่ยอมฟังพี่นั่งบ่นอย่างนี้"
"อี้ชิงเข้มแข็งมากกว่าที่พี่คิดนะครับ" ลู่หานยิ้มบาง ๆ ราวกับต้องการแสดงความเชื่อมั่นให้ซ่งเชี่ยนเห็น หญิงสาวยิ้มรับก่อนจะลุกจากเก้าอี้
"แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะลู่หาน ที่จะยอมรับความจริงได้ว่าในเช้าวันหนึ่ง... เราอาจไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกเลย"
TBC…
Talk to you
Windy Boy :: เดี่ยวนะ!! *หยิกคนอ่านคนละที* ตื่น ๆ ฮ่า ๆ เท่าที่เขียนมาหลายตอนในตอนนี้รู้สึกชอบส่วนที่ตัวเองเขียนจังเลยจะว่าหลงตัวเองก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ ใจจริงอยากปล่อยมุกเสี่ยวมาก ๆ แต่ไม่ได้ปล่อยเลย (เพราะแม่นางคนข้างล่างหาว่าเราเสี่ยวก็อยากใส่ลงไปบ้างแต่เสียดายนะคะที่มันไม่มีเลย โฮวววววว) สำหรับตอนนี้สวัสดีค่ะ
Pickajae :: จบแบบปล่อยระเบิดเล็กๆ อรั๊ยยยยยยย ฝากบอกคนข้างบนด้วยว่าอย่ากล่าวหา บทมันไม่อำนวยให้เสี่ยวมันเลยสี่ยวไม่ได้ตะหาก =3= ... ตอนนี้สวีทสุดเท่าที่ผ่านมาแล้วล่ะ เอร๊ยยยยย ละแบบว่า แบบว่า ไม่อยากให้พลาดตอนหน้าอ่ะคะ โอ๊ย เขินนนน >< *ขูดผนังห้อง* แล้วก็เรื่องความรู้ด้านแพทย์อันต่ำต้อยของปะกจ หากใครอ่านแล้วตะหงิดใจขอความกรุณาผ่านมันไปก่อนนะคะ ๕๕ ขอฝากตอนนี้ไว้ใอ้อมอกอ้อมใจ รักใครเชียร์ใครอย่าลืมคอมเม้น #ส่งจูบ
ความคิดเห็น