ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] BLUE ROMANCE [KrisLay]

    ลำดับตอนที่ #17 : B L U E : : 14

    • อัปเดตล่าสุด 30 ส.ค. 56





    14



     

    "คริส ลุกไปอาบน้ำได้แล้วนะ" อี้ชิงชะโงกหน้ามาจากมุมประตู ในมือถือตะหลิวโบกไปมา

     

     

     

    "อีก 5 นาที" เสียงทุ้มงึมงำตอบกลับมา

     

     

     

    "ไหนเมื่อคืนบอกว่าวันนี้มีประชุมเช้าไง"

     

     

     

    "หือ...โอ๊ย ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้" ร่างสูงกระโดลงจากเตียงแทบจะในทันที วิ่งผ่านอี้ชิงที่ยืนอยู่ตรงประตูไปก่อนจะชะงักเท้าแล้วถอยหลังกลับมาใหม่ "อรุณสวัสดิ์ครับที่รัก" กดจูบลงบนริมฝีปากของคนตัวเล็กกว่าแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป

     

     

     

    "ทีเรื่องแบบนี้ล่ะเร็วนัก” อี้ชิงบ่นอุบตามนิสัยของตัวเองแล้วเดินเข้าครัวทำอาหารเช้าต่อ

     

     

     

    เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะบวกกับกลิ่นอาหารในครัวโชยมาเตะจมูกคนที่กำลังเร่งอาบน้ำชวนให้ต้องรีบออกไปชิมอาหารเมนูใหม่ของเช้านี้ที่อีกคนเรียนทำจากสถาบันสอนใกล้ๆ ที่พัก ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์อี้ชิงจะหัดทำเมนูใหม่ๆ ทุกวัน ถ้าไม่นับคุณครูด้วยแล้วคนที่ได้ชิมคนแรกก็คือคริสนั่นแหละ

     

     

     

    ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขายาวสีดำมืออีกข้างหอบเอาเสื้อสูทวางไว้ที่พนักเก้าอี้ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้อีกตัว ร่างเล็กในชุดกันเปื้อนหันมองคนมาใหม่แล้วต้องจิ๊ปากให้ ก็กระดุมเม็ดแรกน่ะยังไม่ติดเลยด้วยซ้ำแถมปกเสื้อข้างซ้ายก็ยังไม่ได้พับลงสงสัยรีบจนลืมส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อย อี้ชิงยืนมองแล้วส่ายหน้าเบาๆ ลอบขำคนตัวสูง จากนั้นก็ยกอาหารมาเสิร์ฟตรงหน้า เมนูอาหารของเช้าวันนี้เป็นฟิชเค้ก อาหารประเภททอดสีเหลืองกรอบน่ารับประทาน อีกจานเป็นตาราตุยมีลักษณะเป็นสตูว์ผัก

     

     

     

    "โห..." คริสเผลออุทานออกไป

     

     

     

    "ไม่ต้องโหเลยนะ" คนในชุดกันเปื้อนเอ็ด

     

     

     

    "ก็ได้ๆ" ว่าแล้วคริสก็ตักกินอย่างเร่งรีบ

     

     

     

    "ระวังจะติดคอเอา" คนตัวสูงไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้น อาหารตรงหน้าดึงดูดเขามากกว่าเสียงบ่นอุบอิบของอี้ชิง เขาก้มหน้ากินต่อไปแล้วนึกอะไรขึ้นได้

     

     

     

    "เอ้อ เย็นนี้ไปนั่งเรือกันนะ"

     

     

     

    "หือ ที่ไหน"

     

     

     

    "แม่น้ำแซนน์"

     

     

     

    "..." อี้ชิงเงียบเป็นคำตอบพลางเคี้ยวอาหารช้าๆ ราวกับให้เวลาตัวเองตัดสินใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายถามซ้ำอีกครั้ง

     

     

     

    "คุณไม่อยากไปเหรอ"

     

     

     

    "เปล่า”

     

     

     

    "ถ้างั้นคุณอยากไปที่ไหนล่ะ ผมจะพาไปเองเพราะเดี๋ยวเดือนหน้าหมอก็นัดแล้วหลังจากนั้นคงไม่มีเวลาเที่ยวกัน"

     

     

     

    "ไปกับคุณนั่นแหละ" ส่งคำตอบกับอมยิ้มน้อยๆ ให้แล้วก็ลุกเก็บจานไปล้างที่อ่าง สักพักกร่างสูงก็ลุกจากโต๊ะกินข้าวคว้าสูทที่วางไว้ ขาทั้งสองก้าวตรงไปยังอ่างล้างจาน แขนยาวโอบรอบเอวคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานครัว "คุณจะไปแล้วเหรอ" อี้ชิงเอียงหน้ามาถาม

     

     

     

    "อื้ม" ตอบเสียงอู้อี้ขณะที่จมูกโด่งเกลี่ยบนแก้มเนียนใส คนในอ้อมแขนไม่ได้มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใดทำให้คริสกระชับวงแขนแน่นขึ้น "ผมรักคุณนะ" กระซิบคำหวานข้างหู ประโยคนั้นทำให้คนตัวเล็กยิ้มกว้างปกปิดความเขินอายไว้ไม่มิด

     

     

     

    "ไปทำงานได้แล้ว" ออกคำสั่งไล่แล้วตีแขนอีกคน

     

     

     

    "อย่าลืมนัดล่ะ" ว่าย้ำแล้วผละออกจากกัน แผ่นหลังกว้างที่ถูกปกคลุมด้วยเนื้อผ้าชั้นดีห่างจากอี้ชิงที่กำลังยืนมองอยู่ตรงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ภายใต้แผ่นอกมีหัวใจที่เต้นตรงกัน ร่างเล็กยิ้มบางๆ เมื่อคำรักเมื่อสักครู่ดังกังวานขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเสียงทุ้มนั่นขาทั้งสองจึงออกแรงวิ่งตามหลังคริสไป

     

     

     

    "คริส...เดี๋ยว" ร่างสูงหันมามองคนข้างหลังแล้วเลิกคิ้ว

     

     

     

    "หือ ว่าไง" อี้ชิงหยุดอยู่ตรงหน้า มือสวยยกขึ้นติดกระดุมเม็ดที่เหลือ "ลืมผูกไทด้วย" ว่าแล้วก็จัดการให้นักธุรกิจสุดหล่ออยู่ในมาดเนี้ยบเหมือนอยู่ในเวลางาน "รีบกลับมานะ" เขย่งปลายเท้ายกตัวให้สูงขึ้นเอาจมูกแตะแก้มของอีกฝ่ายหลังจากพูดจบแล้วก็วิ่งเข้าบ้านไป ทิ้งความหอมให้ไว้ตรงแก้มข้างซ้าย ทิ้งให้ชายอันเป็นที่รักยืนขำกับการกระทำออดอ้อนประหนึ่งเด็กน้อยของตัวเอง

     

     

     

    หลังจากขอให้อีกคนมาใช้ชีวิตร่วมกันที่ฝรั่งเศส จากวันนั้นก็ผ่านมาประมาณสองสัปดาห์แล้ว คริสตัดสินใจพาอี้ชิงมาที่นี่ทันทีหลังจากออกจากโรงพยาบาล เพราะอยากพาอีกคนเปิดหูเปิดตาก่อนเผื่อเวลานัดของหมอด้วย ส่วนกิจการที่จีนนั้นคริสได้ตั้งตัวแทนดูแลกิจการทั้งหมดโดยมีคุณอาและลูกพี่ลูกน้องทำหน้าที่แทน ตนเองจึงผันตัวมาบริหารงานที่ฝรั่งเศสเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความสุขของตัวเองและอี้ชิง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อี้ชิงยืนรออยู่ตรงท่าเรือ ใกล้ๆ กับที่ซื้อตั๋ว วันนี้ลมแรงเป็นพิเศษจนต้องใส่เสื้อโค้ทกันลมมาด้วย เขานัดกับคริสว่าจะมาเจอกันที่นี่ เพราะถ้ารอให้อีกคนเลิกงานแล้วแวะไปรับคงไม่ทันดูพระอาทิตย์ตก คนที่มาก่อนซุกมือเข้ากับกระเป๋าเสื้อ ยืนหมุนตัวไปมาอยู่อย่างนั้น คนที่เดินผ่านไปมาแถวนี้ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ หากยากที่จะเป็นคนฝรั่งเศสแท้ๆ อี้ชิงเห็นคนเอเชียเดินเที่ยวกันเป็นกลุ่ม ภาษาจีนที่ดังแว่วผ่านหูทำให้คิดถึงบ้านขึ้นมา

     

     

     

    เท้าเล็กกระทุ้งเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลารอคนรัก อยากโทรตามแต่ก็กลัวอีกคนยังไม่เลิกงาน เงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้าเป็นระยะ สังเกตว่าพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าหรือยัง คงไม่โหมทำงานจนลืมนัดเสียเองหรอกนะ อี้ชิงพองลมที่แก้มทั้งสองข้างก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อมือเย็นเฉียบของใครบางคนยื่นมาจากด้านหลังแล้วจิ้มที่แก้มใสของตัวเองอย่างแรง พอหันหลังไปก็เห็นเป็นผู้ชายตัวโตที่แสนคุ้นเคยยืนยิ้มพร้อมเอามือไขว้หลังอยู่

     

     

     

    “เพิ่งเลิกงานเหรอ” อี้ชิงถามพร้อมหยีตาเพราะลมแรงที่พัดมาปะทะ

     

     

     

    “เลิกนานแล้ว” ตอบแล้วยิ้มกริ่ม ท่าทางแปลกๆ จนร่างเล็กหรี่ตามองด้วยความสงสัย “แต่ไปซื้อของมา”

     

     

     

    “เหรอ...ช่างเถอะ ไปซื้อตั๋วได้แล้ว ถ้าไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกผมจะโทษคุณคนเดียวเลย” ว่าแล้วก็ยกแขนขึ้นตั้งใจจะดันหมุนตัวคริสให้เดินไปยังซุ้มขายตั๋วแต่ร่างสูงกลับเบี่ยงตัวหลบก่อนจะยื่นดอกไม้ช่อสวยออกมาให้ ดอกไม้ที่เหมือนกับในแจกันเมื่อครั้งอยู่โรงพยาบาล คนตัวเล็กกว่าเลิกคิ้วแล้วหลุดขำจนอีกฝ่ายที่พกความมั่นใจมาเต็มที่ถึงกับหน้าเจื่อน

     

     

     

    “หัวเราะอะไรอี้ชิง นี่ผมอุตส่าห์ขับรถวนรอบเมืองเพื่อหาดอกไม้มาให้คุณนะ” คนตัวโตเริ่มโวยวาย ใบหน้าคมขมวดมุ่น

     

     

     

    “ผมหัวเราะเพราะว่ามันน่ารักดี” ตอบยิ้มๆ แต่ก็ยังไม่ทำให้อีกฝ่ายพอใจได้

     

     

     

    “ดอกไม้เหรอ”

     

     

     

    “คุณนั่นแหละ น่ารักดี” ไม่ปล่อยให้อีกคนโผเข้ากอดง่ายๆ อี้ชิงคว้าช่อดอกไม้มาถือแล้วเดินลิ่วไปยังที่ขายตั๋ว หัวเราะขำเมื่อคริสวิ่งตามมาพร้อมเสียงออดอ้อนน่าขัน

     

     

     

    ทั้งสองซื้อตั๋วได้เป็นคู่สุดท้ายของรอบพอดี ที่นั่งอยู่ชั้นดาดฟ้าของเรือ ลมพัดโกรกเย็นสดชื่นแต่ก็แรงเกินไปสำหรับอี้ชิง คริสเดินมาประชิดตัวตอนที่เขากำลังเดินไปยังที่นั่งของตัวเอง วงแขนอุ่นโอบไหล่บางเนียนๆ แม้คนตัวสูงจะทำหน้าตาไม่รู้เรื่องแต่เจ้าของไหล่ที่โดนฉวยโอกาสก็รู้ทัน อี้ชิงไม่ได้ว่าอะไรแค่เหลือบมองพร้อมยิ้มบางๆ เท่านั้น

               

     

     

    “ผมชอบสีม่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน สวยนะว่าไหม” อี้ชิงชี้นิ้วไปยังริ้วสีม่วงที่พาดยาวอยู่บนท้องฟ้า “มันเป็นจุดบรรจบระหว่างสีที่ต่างกันอย่างสีฟ้ากับสีส้ม...ร้อนกับเย็น”

               

     

     

    “แล้วเราสองคนล่ะ”

     

     

     

                “หืม” ร่างบางหันไปมองคนที่นั่งข้างกาย คริสไม่ได้หันมาสบตาด้วย นัยน์ตาเข้มกำลังมองออกไปยังจุดที่อี้ชิงชี้ให้ดูเมื่อครู่

     

     

     

                “เมื่อไหร่จะบรรจบกันอีกสักที” ว่าจบก็หันมายิ้มกรุ้มกริ่มให้อี้ชิง ร่างเล็กนั่งนิ่งอยู่นานก่อนใบหน้าจะขึ้นสีแล้วฟาดแขนคริสเต็มแรง

     

     

     

                “ทะลึ่ง!

     

     

     

                “อะไร หมายถึงเมื่อไหร่จะว่างไปเที่ยวด้วยกันอีกต่างหาก” คริสหัวเราะ พอใจที่ได้แกล้งอีกคน เวลาเห็นอี้ชิงเขินแล้วน่าหมั่นเขี้ยว

     

     

     

                พระอาทิตย์สีส้มเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ พร้อมกับเรือที่เคลื่อนไปข้างหน้า ดูสวยจนไม่อยากละสายตาไปไหน มือข้างหนึ่งของอี้ชิงที่ว่างอยู่ถูกกอบกุมด้วยมือหนาที่แสนอุบอุ่น ทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยอะไรกันเพียงแค่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปพร้อมกับเจ้าดาวฤกษ์ดวงใหญ่ที่ค่อยๆ หายไปจากสายตา ร่างเล็กลอบมองใบหน้าด้านข้างของคริส ร่างสูงทอดสายตาไปเบื้องหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ อี้ชิงยิ้มแล้วเอนศีรษะวางลงบนไหล่กว้างของอีกคน อยากจะซึมซับช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด แม้มันจะไม่ใช่การเดทที่หวือหวานัก แต่มันก็อิ่มเอมจนไม่อยากปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ

     

     

     

                “ถ่ายรูปกันไหม” คริสก้มลงถาม

     

     

     

                “แต่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว” อี้ชิงเหลือบตาขึ้นมองก่อนจะยืดตัวนั่งตรง

     

     

     

                “สนอะไร ยังไงคุณก็น่ามองกว่าพระอาทิตย์อยู่แล้ว” พูดแล้วยักไหล่ ขณะที่อีกคนหน้าแดงแทบเขินม้วนอีกรอบ น่าเสียดายที่วันนี้ไม่มีกล้องถ่ายรูปติดมือมาด้วย คริสเลยใช้สมาร์ทโฟนของตัวเองแทน ร่างสูงดึงเอาอี้ชิงเข้ามากอดแนบอก ยกโทรศัพท์ขึ้นสูงให้เห็นวิวจากด้านหลังที่เต็มไปด้วยไฟแสงสีจากตึกรามบ้านช่องบนผืนดิน “นับถึงสามนะ หนึ่ง สอง...”

     

     

     

                “อ๊ะ! คุณน่ะ!” อี้ชิงร้องเมื่อถูกช่างภาพจำเป็นขโมยหอมแก้ม หันไปมองคริสตาขวางเงื้อช่อดอกไม้สวยขึ้นขู่ก่อนจะลดมือลงแล้วบอกให้ถ่ายใหม่

     

     

     

                “ไม่เอา รูปเมื่อกี้อ่ะดีแล้ว” คริสบอก มองดูภาพที่เพิ่งถ่ายเมื่อกี้ด้วยความชื่นชม

     

     

     

                “น่าเกลียดจะตาย” อี้ชิงเบะปาก มองดูรูปที่ตัวเองทำตาโตตกใจขณะที่ริมฝีปากของคริสแตะลงที่ข้างแก้ม แต่ก็เอาเถอะ มองๆ ไปก็น่ารักดีเหมือนกัน

     

     

     

                เย็นวันนั้นทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะดินเนอร์กันที่ร้านอาหารหรูบนตึกสูงริมน้ำ อันที่จริงมันเป็นการตัดสินใจของคริสมากกว่า ต่อให้อี้ชิงอิดออดเพราะราคาที่แพงแสนแพงยังไงสุดท้ายก็ต้องยอม ที่นั่งที่ร่างสูงจองไว้อยู่ใกล้กับกระจกที่สามารถมองเห็นแม่น้ำแซนได้ทั้งสายกอปรกับแสงไฟระยิบระยับที่เป็นประกายทำให้ดูสวยมากจนยากจะละสายตา

     

     

     

                “อาหารจะเย็นชืดหมดแล้วนะ” เสียงของคริสเรียกความสนใจของอี้ชิง เขาหันกลับมามองหน้าคนที่เอ่ยทักท้วงแล้วยิ้ม...ต่อให้วิวข้างนอกสวยงามยังไง แต่สุดท้ายสายตาของเขาก็มีแต่คริสคนเดียวอยู่ดี

     

     

     

                “งานวันนี้เป็นยังไงบ้าง” อี้ชิงถามขณะหั่นเนื้อสเต็ก คริสโอดครวญเมื่ออีกฝ่ายถามถึงเรื่องนี้ ถ้าเป็นคู่รักทั่วไปคงเบื่อที่แฟนมานั่งบ่นเรื่องงานให้ฟังตอนดินเนอร์แต่อี้ชิงนี่ประหลาด กลับกันเป็นเขาเสียอีกที่ไม่อยากพูดถึงแล้วก็เคยบอกอี้ชิงไปแล้วตั้งหลายครั้งว่าเวลาอาหารไม่อยากคุยเรื่องงาน

     

     

     

                “ไม่เอาน่าอี้ชิง คุยเรื่องงานมันน่าเบื่อจะตาย”

     

     

     

                “ไม่เห็นน่าเบื่อเลย ดีเสียอีก ผมจะได้รู้ว่าวันนี้คุณทำอะไรบ้าง” เหลือบตาคู่สวยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังบูดบึ้ง “ผมเป็นคู่ชีวิตนะไม่ใช่เพื่อนนั่งกินข้าวเฉยๆ”

     

     

     

                “พูดเหมือนงอน”

     

     

     

                “ก็เกือบๆ” ตอบแล้วแย้มยิ้ม เขาเข้าใจว่าคริสไม่อยากเอาเรื่องงานมาปนกับชีวิตส่วนตัว กลัวเขาเครียดด้วยก็ส่วนหนึ่ง คริสเริ่มสาธยายเรื่องที่ทำงานให้ฟัง งานบริหารของโรงแรมยังไม่เข้าที่เท่าไหร่ ต้องประชุมกันทุกวันจนเผลอคิดว่าห้องประชุมเป็นห้องทำงานประจำไปเสียแล้ว ร่างสูงยังพูดถึงเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติด้วย แน่นอนว่าวัฒนธรรมที่แตกต่างย่อมทำให้เกิดปัญหาในการทำงาน แต่ทุกคนก็พยายามปรับเข้าหากันให้มันลงตัว

     

     

     

                “เพราะงั้นผมเลยต้องมีประชุมทุกวัน ถ้าวันไหนกลับดึกอย่าว่ากันนะ” คริสเอ่ย อี้ชิงพยักหน้าเข้าใจ“มาพูดเรื่องคุณบ้างดีกว่า วันนี้ทำอะไรบ้าง”

     

     

     

                “ก็...เรียนทำอาหารกับเชฟกุยเหมือนเดิม แต่ยังไม่เป็นงานเท่าไหร่ ฮ่าๆ แล้วเชฟกุยก็สอนภาษาฝรั่งเศสด้วยนะ แต่ไม่ได้บอกว่าแปลว่าอะไร” อี้ชิงมุ่ยหน้า เมื่อนึกถึงเชฟสูงวัยขี้เล่นที่มักจะสอนคำนั้นคำนี้ให้แต่ไม่ยอมบอกความหมาย “la lune de miel…เชฟบอกให้มาพูดกับคุณ”

     

     

     

                คริสหัวเราะขำกับดวงตาใสซื่อของอีกฝ่าย นั่นยิ่งทำให้อี้ชิงเหวอเข้าไปใหญ่ คนตัวเล็กกว่ามองซ้ายขวาแล้วเอ็ดแฟนหนุ่มเบาๆ แต่คริสก็ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้นจนอี้ชิงเริ่มหน้าบึ้ง

     

     

     

                “อย่าโกรธน่า” ยื่นมือหนาไปกับมืออีกฝ่ายที่นั่งตรงข้าม “เชฟกุยคงเห็นว่าคู่เราน่ารักดีเลยสอนคำนั้นมา”

     

     

     

                “แล้วตกลงว่ามันแปลว่าอะไรล่ะ”

     

     

     

                “แปลว่าคุณชวนผมไปฮันนีมูนไง ไม่ต้องห่วงนะ อีกไม่นานนี้หรอก” ตอบแล้วยิ้มให้กับอี้ชิงที่ทำตาโต เขินจนแทบมุดโต๊ะ

     

     

     

                “จะบ้าเหรอ ผมไม่ได้ชวนนะ แค่พูดตามที่เชฟสอน!” รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลก วันนี้คริสหยอกให้เขินหลายรอบ ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ก็ไม่เคยชินเสียที อี้ชิงบ่นนั่นนี่อีกหนึ่งยกก่อนจะลงมือกินมื้อค่ำต่อ

     

     

     

                คริสมองคนรักที่ละเมียดละไมตักซุปอยู่ตรงข้ามแล้วยิ้ม รู้สึกมีความสุขจนอยากจะหยุดเวลาทุกอย่างไว้ตรงนี้ ช่วงเวลาที่ทั้งเขาและอี้ชิงสามารถยิ้มและหัวเราะให้กันอย่างบริสุทธิ์ใจ สามารถรักกันโดยไม่ต้องห่วงเรื่องอะไรอีก ร่างสูงยื่นมือออกไปอีกครั้ง กุมมืออีกคนที่เงยหน้ามาสบตากับเขาพอดี

     

     

     

                “อี้ชิง...แต่งงานกันนะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แต่งงานเหรอ...

     

     

     

                “คุณอี้ชิงคะ...คุณอี้ชิง!” ซันนี่ร้องเรียกคนที่นั่งเหม่ออยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้องจ่ายยา หญิงสาวยิ้มเมื่อเห็นคนรักของเจ้านายสะดุ้งตกใจ “ได้ยาแล้วนะคะ”

     

     

     

                “ขอบคุณครับ อันที่จริงคุณซันนี่ไม่ต้องลำบากมาเป็นเพื่อนผมก็ได้” อี้ชิงเอ่ยอย่างเกรงใจพร้อมกับรับยามาจากเธอ นอกจากจะมาเป็นเพื่อนแล้วยังเป็นธุระจัดการเรื่องยาให้อีกต่างหาก ซันนี่ยิ้มสดใสให้อย่างที่ทำเป็นประจำ

     

     

     

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าเกรงใจมากก็คิดเสียว่าเพื่อความสบายใจของคุณคริสแล้วกันนะคะ”

     

     

     

                ซันนี่เป็นเลขาที่รูปร่างเล็กแต่บุคลิกคล่องแคล่วแม้กระทั่งเวลาที่ต้องทรงตัวอยู่บนรองเท้าส้นสูงทั้งวัน เดิมทีอี้ชิงเคยคิดสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงเก่งคนนี้ยอมข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำงานกับคริสที่ฝรั่งเศส เพราะนั่นแปลว่าเธอต้องเสียสละอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต แต่พอได้รู้จักกันมากขึ้นถึงได้เข้าใจว่าไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงคนนี้ปราดเปรียวไม่ชอบอยู่กับที่อยู่แล้ว

     

     

     

                “ถ้างั้น กลับด้วยกันเลยไหมครับ เดี๋ยวคริสก็คงมารับ” ชายหนุ่มว่า เพราะคริสติดธุระนิดหน่อยเลยมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนไม่ได้ แต่จะมารับไปเที่ยวต่อช่วงบ่าย ไหนเลยก็น่าจะแวะไปส่งซันนี่ได้

     

     

     

                “ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้วันอาทิตย์ ขอไม่เจอหน้าเจ้านายสักวันน่าจะดีกว่า” ซันนี่ตอบ ก่อนจะรับสายโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เธอตอบคนในสายเป็นภาษาฝรั่งเศสรัวเร็ว จนยากสำหรับอี้ชิงที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนได้ไม่นานจะฟังออก ซันนี่ตัดสายไปหลังจากคุยได้ไม่นาน “อันที่จริง วันอาทิตย์เหมาะสำหรับเดทมากกว่าน่ะค่ะ”

     

     

     

                ทั้งคู่หัวเราะก่อนจะเดินไปรอคริสที่ด้านหน้าด้วยกัน อี้ชิงบอกปัดไม่เป็นไรเมื่อซันนี่จะยืนรอเป็นเพื่อน แต่เลขาสาวปฏิเสธบอกว่าธุระของเธอไม่รีบมากนัก คริสมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน รถคันหรูจอดเทียบที่ริมฟุตบาท ขาวยาวก้าวลงจากรถด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เหมือนอารมณ์ดีอะไรมาสักอย่าง

     

     

     

                “ขอบคุณนะซันนี่ ขอโทษด้วยที่รบกวนวันหยุด” ร่างสูงเอ่ยกับเลขาของตน

     

     

     

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาเป็นว่าหมดหน้าที่แล้ว ขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ”

     

     

     

                “ขอบคุณมากนะครับ” อี้ชิงเอ่ยทิ้งท้ายก่อนที่หญิงสาวจะแยกตัวออกไป ร่างเล็กเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อจะขึ้นรถแต่คริสก็วิ่งตัดหน้า ทำท่าจะเปิดประตูให้ก่อน “ไม่ต้องหรอกคุณ แค่เปิดประตูรถ ตับไตไส้พุงผมไม่พังหรอกน่า”

     

     

     

                “ก็กลัวเหนื่อย วันนี้ต้องเดินอีกเยอะ” ว่าแล้วก็เปิดประตูให้ อี้ชิงส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะขึ้นนั่งบนรถ

     

     

     

                “เมื่อเช้าไปไหนมาเหรอ” ร่างบางเอ่ยถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกไป

     

     

     

                “ไปคุยเรื่องสถานที่จัดงานมา”

     

     

     

                “จัดงาน?”

     

     

     

                “อือ งานแต่งไง”

     

     

     

                “อ่า...” อี้ชิงคราง ขบริมฝีปากเมื่อรู้สึกประหม่าขึ้นมา พูดถึงเรื่องนี้ทีไรรู้สึกเหมือนฝันไปทุกที การแต่งงานดูเกินจะไกลจากความคิดอี้ชิงไปมากในตอนแรก แต่ตอนนี้มันใกล้มากเสียจนอดตื่นเต้นไม่ได้ เขาไม่ได้ใช้เวลาคิดเกี่ยวกับคำขอของคริสนานนัก ตอบตกลงแทบจะในทันทีเลยล่ะมั้ง ก็มากันขนาดนี้แล้วไม่รู้จะเล่นตัวไปทำไม อีกอย่าง อนาคตข้างหน้าไม่มีอะไรแน่นอนด้วย

     

     

     

                คริสพาแวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารธรรมดาร้านหนึ่งแถวๆ ประตูชัยฝรั่งเศส ระหว่างมื้ออาหาร คริสเล่าว่าไปถูกใจสถานที่หนึ่งเข้า เป็นโบสถ์เล็กๆ ที่เมืองนีสในแคว้นพรอว็องซาลป์โกตดาซูร์ตั้งอยู่ริมทะเล ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดดูรูปที่ถ่ายมาจากรูปถ่ายอีกทีให้อี้ชิงดู

     

     

     

                “เค้าเรียกกันว่าโบสถ์เปลือกหอย ผมไปเห็นจากรูปแต่งงานของหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อ สวยมากเลยนะ อาทิตย์หน้าผมว่างสองวัน เดี๋ยวเราไปดูสถานที่กันดีไหม”

     

     

     

                อี้ชิงพยักหน้า รับมือถือของคริสมาดู บนหน้าจอขนาดสี่นิ้วกว่าๆ มีรูปโบสถ์สีสันสดใสอยู่ แม้จะเป็นรูปที่ถ่ายในมุมกว้างแต่ก็พอมองเห็นว่ามีเปลือกหอยประดับอยู่ทั่วสมกับเป็นโบสถ์ที่ตั้งอยู่ริมทะเล พลันร่างบางก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามอีกคน

     

     

     

                “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ พี่ดาน่า หมอลู่หาน...”

     

     

     

                “ไม่ต้องห่วงหรอก ลองไม่มางานเราสิน่าดู” คริสยิ้ม จิ้มไส้กรอกจากจานของอี้ชิงใส่ปากตัวเอง “ผมให้ซันนี่ช่วยจัดการแล้ว ถ้าสถานที่แน่นอนเมื่อไหร่ก็ส่งตั๋วเครื่องบินให้คนที่นั่นได้เลย”

     

     

     

                อี้ชิงพยักหน้ารับคำตอบด้วยอาการเขินอายเล็กน้อย งานแต่งเล็กๆ ริมทะเลมันก็ไม่เลว อันที่จริงแค่สวมแหวนกันใต้แสงไฟสำหรับเขาก็ถือว่าแต่งงานแล้วเหมือนกัน แต่คนอย่างคริสมีเหรอจะทำแค่นั้น ตลอดทั้งวันร่างสูงดูมีความสุขจนหน้าหมั่นไส้ พวกเขาเดินเล่นกันหลายที่จนอดสงสัยไม่ได้ว่าคริสไปเอาพลังเหลือล้นมาจากไหน ขณะที่คริสเองแม้จะมีความสุขแต่ก็ยังอดเป็นห่วงอีกคนไม่ได้

     

     

     

                “เหนื่อยก็บอกนะ จะพากลับบ้าน”

     

     

     

                “พูดแบบนี้อยากกลับบ้านเหรอ” คนตัวเล็กกว่าถามแล้วหัวเราะสดใส

     

     

     

                “เปล่า กลัวไม่สบายต่างหาก”

     

     

     

                “ได้อยู่กับคุณแบบนี้ไม่เหนื่อยหรอก” ว่าแล้วก็สอดมือประสานกับอีกคน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่มีวันไหนที่อี้ชิงไม่มีความสุข แม้ช่วงแรกๆ จะรู้สึกแปลกที่และคิดถึงบ้านเกิดแต่ถ้ามีคริสอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่เป็นไร มีมือใหญ่คอยจับกันไว้อย่างนี้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว

     

     

     

                “เอ้อ ลืมเลย วันนี้ไปหาหมอเป็นยังไงบ้าง”คริสถาม รู้สึกดีที่คนข้างๆ เป็นฝ่ายจับมือตนก่อน อี้ชิงกะพริบตาปริบคิดทวนคำถามเมื่อครู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยตอบสดใส

     

     

     

                “ก็เหมือนเคยแหละ” ยิ้มหวานให้คนรัก “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า หมออันดับหนึ่งไม่ใช่หรือไง” อี้ชิงกระแทกไหล่ใส่คริสเป็นการหยอก อีกคนก็แกล้งเซถลาไปไกลแต่ไม่ยอมปล่อยมือจนกลายเป็นว่าร่างสูงดึงคนตัวบางไปด้วย ทั้งคู่หัวเราะเสียงดังกับการเล่นตลกร่างกายเล็กๆ น้อยๆ นี้

     

     

     

                ก่อนกลับบ้านคริสจอดแวะที่ซุปเปอร์มาเก็ตให้อี้ชิงได้ซื้อของสำหรับทำมื้อเย็น คริสมองตามแผ่นหลังที่ขยับไปมาเบื้องหน้า เขาชอบแอบมองอี้ชิงเวลาที่อีกฝ่ายจดจ่อหรือมุ่งมั่นอยู่กับอะไรสักอย่าง อย่างเรื่องทำอาหารที่อี้ชิงเพิ่งรู้ตัวว่ามีพรสวรรค์ก็เลยมุ่งมั่นเป็นพิเศษ

     

     

     

                “นี่ หมอไม่ให้กินของมันไม่ใช่เหรอ” คริสเอ่ยเมื่อเห็นว่าคนที่เดินนำอยู่แอบหยิบขนมขบเคี้ยวใส่รถเข็น อี้ชิงหันขวับมาทันที ก่อนจะเบะปากแล้วเอาห่อขนมเก็บเข้าชั้นเหมือนเดิม

     

     

     

                “นึกว่าไม่ได้เดินตามมาซะอีก”

     

     

     

                “ผมไม่ปล่อยให้คุณคลาดสายตาไปหรอก”

     

     

     

                คริสก้าวเท้ายาวไปเดินเสมอคนรัก อี้ชิงบ่นอุบอิบว่าเสียดายเขาก็เลยขยี้หัวกลมๆ นั่นด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่อยู่ๆ อี้ชิงก็หยุดเดิน ร่างเล็กเพ่งสายตาไปยังใครบางคนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลก่อนจะเอ่ยเบาๆ

     

     

     

                “นั่นสเตฟานี่ไม่ใช่เหรอ” สิ้นประโยค หญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสสั้นก็หันมาสบตากับคริสพอดี เธอมีท่าทีตกใจนิดหน่อยก่อนจะเลื่อนสายตามาเจออี้ชิงอีกคน สเตฟานี่ก้าวเท้าอย่างลังเลมาหาชายสองคน เธอยิ้มประหม่าก่อนจะเอ่ยทักทาย

     

     

     

                “บังเอิญจัง สวัสดีค่ะพี่ชาย สวัสดีค่ะอี้ชิง”

     

     

     

                “มาเที่ยวเหรอครับ” อี้ชิงถามซื่อๆ สเตฟานี่เหลือบตามองคริสแวบหนึ่งด้วยความลังเลก่อนจะเอ่ยตอบ

     

     

     

                “มาเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวน่ะ”

     

     

     

                ครอบครัว...อี้ชิงพอจะเข้าใจในทันที เขาจำบทสนทนาที่แอบไปได้ยินเมื่อครั้งอยู่ที่ห้องทำงานของคริสได้ ดูเหมือนคริสจะไม่ถูกกับแม่ของตัวเองเท่าไหร่ ร่างเล็กลอบมองใบหน้าของคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่คริสไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ

     

     

     

                “งั้นก็เที่ยวให้สนุกแล้วกัน...อี้ชิง คุณจะซื้ออะไรอีกหรือเปล่า เร็วเถอะ ผมชักหิวแล้วสิ” เสียงทุ้มเอ่ยเหมือนพยายามไม่ใส่ใจ ครอบครัวที่น้องสาวต่างสายเลือดพูด เลื่อนมือไปโอบไหล่อี้ชิงคล้ายจะเร่งให้รีบซื้อของเพราะกลัวจะต้องเจอหน้ากับหญิงผู้ให้กำเนิด

     

     

     

                “สเตฟานี่ แม่เดินหาตั้งนานแล้วนี่อยู่กับใคร...อี้ฝาน” เสียงของผู้มาใหม่เรียกความสนใจจากทุกคน คริสกับอี้ชิงหันไปมองข้างหลังพร้อมกันเมื่อได้ยินว่าใครเดินมาตามสเตฟานี่ ร่างสูงชะงักเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่ง อี้ชิงรู้โดยไม่ต้องเดาว่าผู้หญิงต้องเป็นแม่ของคริสแน่ๆ เขาแน่ใจเพราะดวงตาที่เหมือนกันราวกับถอดพิมพ์

     

     

     

    “อี้ฝาน แม่...เอ่อ ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่” ผู้หญิงคนดังกล่าวเอ่ยทักคริสด้วยชื่อที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ดวงตาสีขุ่นพิจารณาใบหน้าลูกชายอย่างตั้งใจ แต่กลับไร้การตอบกลับใดๆ จากปากของเขา “แล้ว...” เธอหันมาสบตากับอี้ชิง นึกสงสัยอยู่ในใจกับท่าทีระหว่างคนแปลกหน้ากับลูกชายของตน

     

     

     

    แม้จะเพิ่งเจอกันเธอก็สามารถจับสังเกตได้ภายในเสี้ยววินาที อี้ชิงเคอะเขินกับการถูกจับจ้องได้แต่ส่งยิ้มเก้ๆ กังๆ โค้งตัวทักทายอย่างเร็วตอบกลับไปแล้วส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากสเตฟานี่ เธอคนเดียวที่สามารถทำให้สถานการณ์อึดอัดแบบนี้คลายลง

     

     

     

    “เอ่อ แม่คะ นี่อี้ชิงค่ะเป็น...”

     

     

     

    “เป็นคนรักของผมเอง” ประโยคแรกจากคนปากหนักเอ่ยทักทาย แต่กลับทำให้เครื่องหมายคำถามบนใบหน้าของเธอเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คริสเลื่อนมือมากุมมือเล็กไว้โดยไม่เกรงว่าคนเป็นแม่จะต่อต้านแต่อย่างใด “แล้วเราก็กำลังจะแต่งงานกันด้วย” ประโยคถัดมาทำให้คนฟังแทบหงายหลัง

     

     

     

    “คริสผมว่าเราต้องอธิบายเรื่องนี้นะ” อี้ชิงเห็นสถานการณ์ท่าจะไม่ดีจึงพูดเสริม สายตามองช้อนขึ้นสบกับคนตัวสูงราวกับจะปรามอีกคนให้หยุดพูด

     

     

     

    “เห็นพวกพี่ซื้อของกันเยอะเลยมีฉลองอะไรกันหรือเปล่าคะ” สเตฟานี่เบี่ยงประเด็นสนทนานั่นทำให้อี้ชิงนึกอะไรออก

     

     

     

    “อ้อ เย็นนี้ผมจะทำอาหารเมนูใหม่ให้คริสชิมน่ะ ว่าแต่เย็นนี้สเตฟานี่ว่างไหมคุณแม่ด้วย อยากชวนมาดินเนอร์ด้วยกัน” เป็นคนตัวเล็กที่ทำให้สถานการณ์พลิกผัน คริสกระตุกมือที่กุมอยู่เชิงตำหนิอี้ชิงว่าขออนุญาตเขาแล้วหรือยัง แต่อย่างอี้ชิงเหรอจะกลัว ผละมืออุ่นออกแล้วมือข้างหนึ่งถือวิสาสะดึงมือของหญิงวัยกลางคนขึ้นมาให้คริสกุมไว้แทน

     

     

     

    “นะครับ ไปกินด้วยกันนะ” ร่างเล็กพยักหน้าเชิญชวนปนขอร้องอีกครั้ง หน้าตาน่ารักทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้ตอนแรกจะไม่ค่อยเข้าใจแต่อย่างน้อยการที่อี้ชิงทำแบบนี้ก็เท่ากับเธอมีโอกาสได้คุยกับคริส เพื่อที่เธอจะได้อธิบายอะไรหลายๆ อย่างให้ลูกชายของตัวเองเข้าใจ

     

     

     

    “ว่างจ้ะ” เธอตอบตกลงทันที ในขณะที่คริสพยายามปฏิเสธแต่อี้ชิงกลับทำเป็นไม่สนใจเขา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “มานี่เลย ไปชวนพวกเขามาทำไม” คริสคว้าแขนอี้ชิงขณะที่กำลังขนถุงของสดที่เพิ่งซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตออกจากหลังรถ

     

     

     

    “ผมก็แค่คิดว่าพวกคุณต้องคุยกัน นี่ถือช่วยกันเลย เร็วๆ เข้า ไม่หิวเหรอ” ว่าแล้วยัดถุงพลาสติกในมือให้พลางถลึงตาสั่ง

     

     

     

    “นี่แกล้งกันใช่ไหม หืม แกล้งกันใช่ไหม” ร่างสูงใช้แขนอีกข้างหนึ่งโอบรอบเอวบางไว้ดึงเข้ามาใกล้ อี้ชิงหัวเราะคิกคักไม่ขัดขืน

     

     

     

    “เปล่านะ ก็บอกเหตุผลไปแล้วไงเล่า เรื่องมันนานมาแล้วควรเข้าใจกันได้แล้ว ไม่ดีหรือไง”

     

     

     

    “...”

     

     

     

    “ปล่อยไว้มันไม่เกิดผลดีต่อใครเลยคุณก็รู้ไหมใช่เหรอ เราเกิดมามีแม่คนเดียวนะ” มือเรียวยกขึ้นวางไว้บนไหล่หนาแล้วลดระดับลงตรงอกซ้ายของคนข้างหน้า นิ้วชี้กดจิ้มหน้าอกตรงส่วนที่เรียกว่าหัวใจ “หัวใจของคุณ...ต้องการความอบอุ่นจากเธอมาตลอดไม่ใช่เหรอ ชีวิตนี้มันไม่ได้ยืดยาวอย่างที่เราคิดหรอกนะคริส” หวนนึกถึงช่วงวัยเด็กที่เคยมีครอบครัวแสนอบอุ่น ภาพเหล่านั้นติดแน่นอยู่ในความทรงจำแต่มิอาจย้อนเวลากลับไปได้ “วันนี้พระเจ้านำทางคุณแม่มาหาคุณแล้ว อย่าปล่อยให้ท่านจากไปเพราะคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอแม่อีกเลย...เหมือนผม” คริสถอนหายใจลากยาวเมื่อเรียบเรียงสิ่งที่ต้องการจะบอก

     

     

     

    “ความจริง...ผมเองก็คิดเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน” น้ำเสียงของคริสอ่อนลงและดูจริงจังกับทุกคำพูด

     

     

     

    “งั้นคืนนี้ก็ลองเปิดใจคุยกับท่าน ผมเชื่อว่าแม่ของคุณมีเรื่องอยากจะอธิบายกับคุณไม่น้อยเลยแหละ” คริสพยักหน้าตอบรับแล้วคลี่ยิ้มบางๆ นึกขอบคุณที่มีอี้ชิงอยู่ข้างๆ และเป็นกำลังใจให้ “แล้วก็เป็นเด็กดี เข้าใจไหมเด็กดี” นิ้วชี้เรียวยกขึ้นออกคำสั่งน่ารัก

     

     

     

    “บ้าน่ะ ผมโตแล้วนะอย่าเรียกอย่างงี้สิ” คริสขมวดคิ้วหน้ามุ่ยกับคำว่าเด็ก ก็อายุจริงน่ะห่างจากคำว่า เด็กนัก

     

     

     

    “อย่าดื้อ เข้าใจไหม” อี้ชิงชี้หน้าแล้วหัวเราะคิกคักอารมณ์ดีเมื่อได้แกล้งอีกคน

     

     

     

    “ถ้าดื้อแล้วจะทำไม หืม” ว่าแล้วคนตัวสูงก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่ออีกคนชิงจูบที่มุมปากแล้ววิ่งเข้าครัวไปเรียบร้อยแล้วทำให้คริสยืนขำ มือซ้ายยกขึ้นแตะรอยสัมผัสหอมก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแล้วหัวเราะกับตัวเองเบาๆ “ขโมยจูบกันง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ คืนนี้เจอกันแน่จาง อี้ชิง”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อี้ชิงสวมชุดกันเปื้อนมาดพ่อครัว ล้างมือเตรียมปรุงเมนูใหม่โชว์กับทุกคน ระยะเวลาตลอดสองสัปดาห์กว่าที่เรียนทำอาหารกับเชฟกุยเขาได้เรียนรู้เมนูอาหารฝรั่งเศสเยอะแยะ ซ้ำยังได้เรียนพูดภาษาฝรั่งเศสง่ายๆ ที่เชฟคอยสอนอีกด้วย เครมบรูเล่ฟัวกราส์สอดไส้ราสเบอร์รี่อาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับค่ำคืนนี้เป็นเมนูแรกที่จะเริ่มทำ อี้ชิงพือกระดาษที่จดส่วนผสมและวิธีทำออก ใช้เวลาทวนขั้นตอนครู่หนึ่งก่อนจะลงมือ พอดีกับตอนที่คริสชะโงกหน้ามาจากประตูครัวแล้วร้องถาม

     

     

     

    “มีอะไรให้ช่วยไหม”

     

     

     

    “ไม่ล่ะ เดี๋ยวครัวพังขึ้นมาแย่เลย”

     

     

     

    “เฮ้ อย่าดูถูกกันนะ” คริสร้องท้วงแล้วเดินเข้ามาสวมกอดคนตัวเล็กจากด้านหลัง จมูกได้กลิ่นหอมจากอาหารที่อี้ชิงกำลังทำแต่ยังไงก็คิดว่ากลิ่นของคนในอ้อมแขนหอมกว่าอยู่ดี อี้ชิงขืนตัวเองเอี้ยวตัวมาหาร่างสูงด้วยสายตาตำหนินิดๆ

     

     

     

    “ไม่ต้องมากวนเลย ถ้าว่างก็ไปจัดโต๊ะสิ อย่าลืมนะว่าวันนี้ต้องทำตัวเป็นเด็กดี” เอ่ยดึงน้ำเสียงจริงจังก่อนจะยิ้มตาหยีแล้วใช้ท่อนแขนดันคนรักออกเพราะมือของตนเปื้อนอาหาร คริสกลอกตาไปมาแต่ก็ยอมไปจัดโต๊ะดีๆ

     

     

     

    ถึงจะรับปากอี้ชิงไว้แล้วว่าจะยอมคุยกับแม่ดีๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกประหลาด ไม่พร้อมกับการเผชิญหน้าหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปี ตอนที่เห็นแม่เมื่อครั้งอยู่ที่ซุปเปอร์มาเก็ตนั้นเขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เก้ๆ กังๆ จนต้องเอาอี้ชิงมาเป็นตัวบังหน้า ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนให้กำเนิดมาแท้ๆ กลับไม่รู้สึกผูกพันเลย

     

     

     

    แม่ในความทรงจำคือผู้หญิงที่ทิ้งเขาไป ผู้หญิงที่ทำให้พ่อเสียใจ

     

     

     

    คริสลอบมองอี้ชิงขณะที่กำลังจัดโต๊ะ มุมปากยกยิ้มเมื่อคิดว่าตอนเด็กๆ ร่างเล็กอาจจะเคยช่วยงานแม่ในครัวบ้าง น่าเสียดายที่เรามีลูกด้วยกันไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาเชื่อว่ายังมีเด็กกำพร้าอีกหลายคนบนโลกนี้ต้องการพ่อแม่ ในกรณีนี้ก็คงจะเป็นพ่อกับพ่อล่ะนะ

     

     

     

    เสียงกริ่งดังขึ้นตอนที่อาหารทั้งหมดเสร็จพอดี อี้ชิงมองไปที่ประตูแล้วยิ้มร่าแต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นสีหน้าของคริส ร่างสูงมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ร่างบางจึงรีบล้างมือแล้วเดินมาหา

     

     

     

    “เดี๋ยวผมไปรับแขกก่อนก็ได้ ฝากคุณเก็บกวาดก่อนก็แล้วกัน” อี้ชิงบอกพร้อมยิ้มให้ บีบที่แขนของอีกคนเบาๆ เป็นกำลังใจ

     

     

     

    อี้ชิงเปิดประตูต้อนรับแขกทั้งสาม สเตฟานี่ก้าวเท้าเข้ามาเป็นคนแรกพร้อมกับของฝากเล็กๆ น้อยๆ ร่างเล็กเอ่ยทักทายกับผู้อาวุโสทั้งสองคน เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพ่อของสเตฟานี่ หญิงสาวถอดแบบมาจากบิดาแทบจะทั้งหมด แม่ของคริสเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูสวยสะพรั่งอยู่

     

     

     

    “สวัสดีครับ” เจ้าบ้านยิ้มหวานรับแม้จะรู้ว่ารอยยิ้มที่ได้รับตอบกลับมาจากแม่ของคนรักนั้นไม่ได้มาจากก้นบึ้งของหัวใจ อี้ชิงเข้าใจดี เรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลาหน่อยแต่ดูแล้วเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงหัวโบราณอะไร อี้ชิงนำแขกไปที่ห้องนั่งเล่น ความอึดอัดแผ่คลุมไปทั่วแม้แต่สเตฟานี่ยังรู้สึกได้

     

     

     

    “พ่อคะ นี่อี้ชิงค่ะ” เธอแนะนำอี้ชิงให้พ่อรู้จัก พ่อของสเตฟานี่เป็นผู้ชายรูปร่างสูงแม้จะอายุมากแล้วแต่ก็คงเค้าความหล่อไว้ได้เหมือนเดิม มือหนากร้านที่มีร่องรอยของกาลเวลาถูกยื่นออกมา ร่างเล็กชะงักก่อนจะยื่นมือของตัวเองไปจับอย่างเก้ๆ กังๆ

     

     

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักอี้ชิง ฉันได้ยินเรื่องเธอจากสเตฟานี่มาบ้างเหมือนกัน” ชายวัยกลางคนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

     

     

     

    “ยินดีเช่นกันครับ” อี้ชิงตอบแล้วเชิญให้ทุกคนนั่งรอสักครู่ อาหารที่เตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สเตฟานี่อาสามาช่วยจัดโต๊ะแต่อี้ชิงรู้ดีว่าเธอมาเพราะอยากคุยกับเขาไม่ก็คริส

     

     

     

    “พี่คริสไปไหนซะล่ะ” สเตฟานี่เอ่ยถามทันทีที่พ้นจากห้องนั่งเล่นแต่ไม่รอเอาคำตอบเธอก็ยิงประโยคต่อ “ฉันไม่คิดว่ามันจะเวิร์คหรอกนะ สิบกว่าปีเนี่ยพี่คริสไม่เคยติดต่อกับแม่เลย”

     

     

     

    “แล้วถ้าไม่คุยกันตอนนี้จะปล่อยทิ้งไว้อีกสิบปีเหรอครับ ผมว่าตอนนี้แหละเหมาะที่สุดแล้ว” คำตอบของอี้ชิงทำให้หญิงสาวในชุดเดรสสั้นขมวดคิ้ว เธอไม่รู้สึกว่าจะมีอะไรพอเหมาะพอเจาะเลย แต่ก็นั่นแหละ อี้ชิงมักจะก้าวไปก่อนเธอหนึ่งก้าวเสมอ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคริสที่เดินเข้ามาในครัวจากอีกห้อง ชายหนุ่มส่งยิ้มบางๆ ให้น้องสาวต่างพ่อต่างแม่ ร่างสูงกลับเข้ามาพร้อมดอกไม้ที่เพิ่งตัดใหม่ในมือ เอามาใส่แจกันบนโต๊ะอาหาร

     

     

     

    “แม่คุณอยู่ในห้องนั่งเล่นนะ” อี้ชิงเอ่ยบอกเสียงเบา “ไปหาท่านเถอะ เดี๋ยวผมกับสเตฟานี่จัดการต่อเอง”

     

     

     

    คริสสบตาคนรักที่ส่งยิ้มเป็นกำลังใจมาให้ จนถึงตอนนี้ที่แม่เข้ามาอยู่ในบ้านแล้วเขาก็ยังคิดภาพไม่ออกว่าควรจะเริ่มต้นบทสนทนาที่ตรงไหน ตอนที่ออกไปตัดดอกไม้ด้านนอกที่ตรงระเบียงเขาก็เพิ่งคิดขึ้นได้...ที่ผ่านมาสิบกว่าปีเขามีชีวิตอยู่บนความคลุมเครือมาตลอด นั่นคือไม่เคยรู้เหตุผลที่แม่หนีไป ไม่เคยรู้ว่าทำไมแม่ถึงจากไปโดยไม่บอกกล่าว

     

     

     

    ขายาวก้าวอย่างเชื่องช้าไปที่ห้องนั่งเล่น เบื้องหน้าเป็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่บนโซฟาที่หันหลังให้ร่างสูง คริสเดาได้ว่าผู้ชายอีกคนคงจะเป็นพ่อของสเตฟานี่ ทุกคู่หยุดบทสนทนาลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ คนเป็นแม่หันมาเจอหน้าลูกชายคนเดียวของตัวเองแล้วแย้มยิ้ม...ยิ้มที่คริสไม่เคยได้รับมานานแสนนาน

     

     

     

    “ผมจะไปดูสักหน่อยว่าลูกกับอี้ชิงทำอะไรกันบ้าง” สามีเอื้อมมามาบีบมือของภรรยาเบาๆ ก่อนจะลุกออกไปเปิดโอกาสให้สองแม่ลูกได้คุยกัน

     

     

     

    “อี้ฝานมาอยู่ที่นี่นานหรือยังลูก” แม่เป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อนตอนที่ลูกชายหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวที่ไกลออกไป คริสสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยตอบ

     

     

     

    “ก็พักใหญ่แล้ว...ครับ” ช่องว่างระหว่างคนสองคนมีมากเกินไป คริสไม่สามารถบังคับสีหน้าของตัวเองได้ ความชิงชังภายในใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพใบหน้าของพ่อตอนที่รู้ว่าแม่หนีไปย้อนวนกลับมาเหมือนฟิล์มม้วนเก้าที่ถูกรื้อมาดูใหม่ เขาไม่เคยชอบเวลาที่แม่ยิ้มมีความสุขเลย เพราะตอนที่แม่มีความสุขพ่อก็จะทุกข์...

     

     

     

    “ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอลูกที่นี่...อี้ชิงน่ารักดีนะ” คนเป็นแม่ดึงเอาบุคคลที่สามเข้ามา เธอรับรู้ได้ถึงความอึดอัดที่ลอยฟุ้งอยู่ในห้องนี้ ใจจริงอยากจะพุ่งเข้าไปกอดลูกด้วยซ้ำ หากแต่อี้ฝานไม่ใช้เด็กชายตัวน้อยที่เธอเคยฟูมฟักอีกต่อไปแล้ว เขากลายเป็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่มองเธอด้วยสายตาเย็นชา ไร้เยื่อใย แม่ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่เลยไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะกอดจะหอมลูกชายตัวเอง

     

     

     

    “ครับ” คริสตอบสั้นๆ เป็นการรับคำที่ไม่คิดจะสานต่อบทสนทนาให้ยาวขึ้น ทั้งสองคนทำเพียงแค่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้น ร่างสูงหันไปมองตรงประตูเห็นอี้ชิงส่งสายตาให้คล้ายจะกดดันให้เขาทำอะไรมากกว่านี้ สุดท้ายคริสจึงสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยถามคู่สนทนา “คุณดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่นะครับ”

     

     

     

    “ไม่หรอก แม่แก่ขึ้นเยอะเลย” ถึงแม้สรรพนามที่คริสใช้จะฟังดูห่างเหินแต่เธอก็เข้าใจ ไม่อยากเร่งเร้านัก

     

     

     

    “แต่ก็ยังดูเหมือนเดิม” แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ก็ทำเอาคนเป็นแม่น้ำตาคลอได้ เพราะมันหมายความว่าเธอยังคงอยู่ในความทรงจำของลูกชายมาตลอด เขาไม่ได้ลืมหรือลบเลือนเธอไปไหน “ไม่ต่างกับวันที่ทิ้งพ่อไปเท่าไหร่”

     

     

     

    “เรื่องนั้น...” เธอชะงักไปเล็กน้อย จริงที่ว่าคริสยังไม่ลืมเธอแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะจดจำในทางที่ดี นี่เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงอย่างหนึ่งที่เธอได้ทำเอาไว้ “แม่ก็อยากจะอธิบายให้ลูกเข้าใจเหมือนกัน มีหลายเรื่องที่แม่ไม่มีโอกาส...”

     

     

     

    “คุณมีโอกาส แต่คุณไม่พูดมันต่างหาก” คริสขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกโกรธขึ้นมา ทำไมแม่ถึงเอาแต่โทษทุกอย่างรอบตัว ตลอดเวลาที่อยู่กับเขาแม่ไม่เคยบอกอะไรเลยทั้งที่มีสิทธิ์พูดแล้วตอนนี้ผู้หญิงตรงหน้าจะมาพร่ำเพ้อหาโอกาสอะไรอีก

     

     

     

    “อี้ฝาน ลูกเคยรู้หรือเปล่าว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงแต่งงานกัน” คนเป็นแม่เอ่ยเสียงพร่า “ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะลูกที่จะมีความสุขกับชีวิตแต่งงานแบบคลุมถุงชน แม่กับพ่อของลูกไม่มีทัศนคติอะไรที่ตรงกันเลย มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เราเห็นตรงกันคือลูก...เราจะไม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก ต่อหน้าอู๋ อี้ฝานตัวน้อยของแม่”

     

     

     

    เสียงเปาะแปะดังขึ้นจากหน้าต่างที่เป็นกระจกใส ฝนเริ่มเทลงมาพร้อมๆ กับน้ำตาของผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งจะได้มีโอกาสพูดสิ่งที่ค้างคาใจมาเกือบยี่สิบปี

     

     

     

    “แต่ความอดทนของเรามันไม่มีวันอยู่คงทนถาวรหรอก แม่ตั้งใจจะพาลูกออกมาอยู่ด้วย แต่พ่อของลูกขอเอาไว้พร้อมกับข้อเสนอสวยหรูที่จะยอมให้แม่มาหาลูกได้เสมอ ทุกครั้งที่ต้องการ แต่สุดท้ายพ่อก็ผิดสัญญา...”

     

     

     

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คุณก็น่าจะพยายามมากกว่านี้” คริสตอบกลับ ข่มความขุ่นมัวในใจให้มากที่สุด ทุกอย่างที่อยากจะพูดมันตีกันอยู่ข้างใน ความรู้สึกดีใจที่แม่ไม่ได้ทิ้งเขาไปเพราะชายอื่นกำลังต่อสู้กับความเสียใจที่แม่ไม่พยายามกว่านี้ ไม่มีความพยายามที่จะเจอเขาให้ได้

     

     

     

    “พ่อของลูกเป็นใครก็น่าจะรู้นะอี้ฝาน...แม่พยายามอย่างที่สุดแล้ว ตลอดห้าปี...”

     

     

     

    ห้าปีงั้นเหรอ...

     

     

     

    “คุณจะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะพ่อเหรอ” เสียงทุ้มเค้นออกมายากลำบาก แม้จะไม่ได้อธิบายชัดเจนแต่ฟังดูก็เข้าใจได้ว่าพ่อเป็นคนกีดกันแม่ออกจากเขา ไม่ใช่เพราะแม่หนีไปกับชู้อย่างที่พ่อพร่ำบอก พ่อที่เป็นทั้งแรงบันดาลใจ เป็นทุกอย่างสำหรับเขาจะทำแบบนั้นจริงๆ เหรอ

     

     

     

    “แต่เพราะพ่อเค้าหวังดีกับลูกนะ” เธอรีบเอ่ย “ตอนนั้นเองแม่ก็ไปแต่ตัว เขาคงรู้ว่าแม่อาจจะเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ จนวันนี้ได้มาเห็นลูกแม่ถึงคิดว่าบางทีพ่อเขาอาจจะทำถูก...ลูกโตมาอย่างดี ดีเหนือความคาดหมายจริงๆ”

     

     

     

    “มันก็คงจะดีกว่านี้ ถ้าแม่ไม่จากไป” คริสตัดบทด้วยประโยคเดียว เขาไม่อยากฟังต่อ ร่างสูงผุดลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว

     

     

     

    ดินเนอร์มื้อในยังคงเต็มไปด้วยความอึดอัดระหว่างคริสกับแม่ แต่พ่อของสเตฟานี่เองก็ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาก เขาเป็นคนคุยสนุกจนบางครั้งร่างสูงที่นั่งหน้าตึงแอบหลุดยิ้มมาบ้าง นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี อี้ชิงคิด มันเป็นไปไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ห่างเหินกันไปเกือบยี่สิบปีจะกลับมาดีเหมือนเดิม แต่ถ้าเริ่มเชื่อมกันได้ก็ดีมากแล้ว

     

     

     

    ยิ่งไปกว่านั้นคริสกับพ่อของสเตฟานี่ดูจะเข้ากันได้ดีเมื่อพูดถึงเรื่องธุรกิจ ไวน์แดงรสเลิศถูกรินใส่แก้วให้ชายสองคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทของตน สเตฟานี่ที่นั่งอยู่ข้างอี้ชิงกลอกตาไปมาก่อนจะหันมาพูดกับร่างเล็ก

     

     

     

    “น่าเบื่อมากเวลาพ่อพูดเรื่องงาน แต่ท่าทางจะเจอเพื่อนแล้วล่ะ”

     

     

     

    คริสกับคุณเจสันหรือพ่อของสเตฟานี่ย้ายไปนั่งคุยกันอย่างออกรสที่ห้องนั่งเล่น สเตฟานี่อาสาช่วยอี้ชิงเก็บกวาด เธออ้างว่าไม่อยากฟังพ่อพูด แต่อี้ชิงก็พอมองออกว่าหญิงสาวอยากให้พี่ชายต่างสายเลือดได้สนิทกับพ่อของตัวเอง

     

     

     

    “ดอกไม้พวกนี้เธอเป็นคนปลูกเหรอ” เสียงของแม่คริสเอ่ยขึ้นเรียกให้อี้ชิงหันไปมอง หญิงวัยกลางคนชี้ออกไปนอกประตูระเบียง ที่ที่เรียงรายไปด้วยกระถางดอกไม้สีสวย

     

     

     

    “เปล่าครับ คริสเขาเป็นคนปลูก”

     

     

     

    “เหรอ...ตอนเด็กๆ เขาไม่เคยปลูกต้นไม่ได้เลยนะ เป็นคนมือร้อนปลูกอะไรก็ไม่โต ดูตอนนี้สิ ปลูกดอกไม้สวยเชียว” หญิงมีอายุเอ่ยพร้อมกับยิ้มปลาบปลื้ม เธอหันกลับมาหาคนในห้องอีกครั้ง พินิจดูคนรักของลูกชายที่ยืนทำงานขะมักเขม้นอยู่ตรงเคาน์เตอร์ อะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกสบายใจ เดาว่าที่คริสปลูกดอกไม้พวกนั้นได้ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะอี้ชิงนั่นแหละ บางทีลูกชายอาจจะเลือกคู่ชีวิตถูกคนแล้ว

     

     

     

    “พี่เขาคงได้แม่มามั้งคะ หนูก็ไม่เคยเห็นแม่ปลูกอะไรขึ้นสักอย่าง” สเตฟานี่เอี้ยวตัวมาต่อบท ก่อนจะเดินไปเช็ดมือหลังจากร้านถ้วยชามทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว “หนูว่าหนูไปเบรคพ่อดีกว่า เดี๋ยวจะดื่มหนักจนเดินไม่ไหว”

     

     

     

    เหลือทิ้งไว้เพียงสองคนในห้องครัวที่ได้รับการดูแลอย่างดี อี้ชิงเช็ดเคาน์เตอร์ด้วยผ้าสะอาดอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าครัวสะอาดดีแล้ว ไม่รู้ตัวว่าถูกอีกคนในห้องมองดูอย่างพินิจจนกระทังหันสายตาไปเจอพอดี ร่างเล็กยิ้มให้แม่ของคนรักเธอยิ้มตอบ หันหน้าออกไปยังระเบียงอีกครั้ง ชื่นชมกับผลงานของคริส

     

     

     

    “ขอบคุณสำหรับดินเนอร์นะอี้ชิง”

     

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ...”

     

     

     

    “ขอบคุณที่ทำให้ฉันกับลูกชายได้คุยกัน”

     

     

     

    “เอ่อ...ครับ อันที่จริงคริสเองก็อยากคุยกับคุณแม่อยู่แล้ว” ร่างบางเอ่ย สังเกตได้ว่าแม่ของคริสหลุบสายตาลงต่ำ เขาสัมผัสได้ว่าผู้หญิงรักคริสมากแค่ไหน ความรักของแม่น่ะบริสุทธิ์เหนือสิ่งอื่นได้เสมอแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับความรักแบบนี้ด้วยแม้แต่เขาเอง

     

     

     

    “ลูกชายฉันโตขึ้นมากจริงๆ...จนบางครั้งฉันก็อยากจะหยุดเขาไว้แค่ตอนอายุสิบเอ็ดปี” หญิงมีอายุถอนหายใจ คิดถึงอดีตเมื่อครั้งที่เธอยังอยู่ในตระกูลอู๋ “แต่ก็ดีที่อย่างน้อยเขาไม่พาลโกรธเจสันไปด้วย”

     

     

     

    “มันจะดีขึ้นครับ” อี้ชิงเดินมากุมมือแม่ของคริสไว้ มือเรียวบางนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของการเวลา

     

     

     

    “ขอบใจนะ...ขอบใจมาก”

     

     

     

    ครอบครัวของสเตฟานี่ใช้เวลาหลังจากดินเนอร์อยู่ต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยลากลับ คริสกับอี้ชิงไปส่งแขกทั้งสามคนที่ประตู ตั้งแต่จบบทสนทนาก่อนมื้ออาหารร่างสูงกับแม่ก็ไม่ได้คุยกันอีกแล้ว อี้ชิงเอ่ยลาพร้อมขอโทษที่ไม่มีของฝากติดไม้ติดมือกลับไป ขณะที่ทั้งสามคนหันหลังเตรียมเดินออกจากประตู คริสก็กุมมือคนข้างๆ แน่นจนดวงตาใสต้องช้อนขึ้นมองด้วยความไม่เข้าใจ คริสมองไปที่แม่ของตนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะสั่นน้อยๆ

     

     

     

    “แม่ครับ...แม่จะไปงานแต่งของผมกับอี้ชิงไหม” ประโยคคำถามสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความหมาย มือที่กุมมือคนรักอยู่ชื้นเหงื่อไปหมด หญิงวัยกลางคนหมุนตัวกลับมา รอยยิ้มอบอุ่นฉาบทั่วใบหน้า เธอพยักหน้าพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา

     

     

     

    “ไปสิ แม่จะไป”

     

     


     

     



               

     

     

    อี้ชิงนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่ม เสียงซาของหยดน้ำจากฝักบัวในห้องน้ำยังคงดังไม่หยุดหย่อนขณะที่ในหัวกำลังนึกดีใจที่สองแม่ลูกสามารถคุยกันอย่างเปิดอกไม่มีสิ่งค้างคาใจสักที เขาเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงภาพตอนที่คริสเอ่ยชวนแม่เรื่องงานแต่งของทั้งสอง ร่างเล็กพลิกตัวนอนตะแคงไม่ได้สังเกตว่าเสียงซาของหยาดน้ำนั่นหยุดไปเมื่อไหร่ ทันทีที่สัมผัสเย็นแตะแก้มเนียนอี้ชิงก็สะดุ้งจนต้องลุกขึ้นนั่ง สายตาแกล้งตวัดจะเอาเรื่อง

     

     

     

    “ฉวยโอกาส อื้อ!” ไม่ทันได้ต่อว่าจบประโยคคริสก็กดจูบลงบนริมฝีปากสีสวย อี้ชิงมองตาค้อนทำท่าจริงจังแต่ไม่ได้ทำให้คนตัวสูงสะทกสะท้านเลยแม่แต่น้อย กลับกันคริสเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกครั้งแต่มือเล็กก็ยกขึ้นหยุดการกระทำของคนขี้แกล้ง “สร่างเมาแล้วสินะ”

     

     

     

    “เมาที่ไหนกัน ไวน์แค่นั้นทำอะไรผมไม่ได้หรอก”

     

     

     

    “เช็ดผมให้แห้งก่อนเลย เดี๋ยวเป็นหวัด” อี้ชิงออกคำสั่ง คริสยืนขึ้นเต็มความสูง ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสวย ไหล่กว้างรูปร่างสมบูรณ์แบบอย่างชายหนุ่ม ท่อนล่างถูกผ้าขนหนูสีขาวปิดไว้ อี้ชิงลุกขึ้นแล้วดันตัวให้อีกคนนั่งลงที่ปลายเตียง หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดไว้ที่ราวไม่ไกลนักมาเช็ดผมให้

     

     

     

    “ดีจัง” ร่างสูงหลับตาแล้วอิงหัวซบกับหน้าอกบาง เงี่ยหูฟังเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของอีกฝ่าย

     

     

     

    “อย่าเพิ่งหลับล่ะ”

     

     

     

    “ผมเคยหลับก่อนคุณที่ไหน” แขนยาวโอบร่างอีกคนเข้าใกล้จมูกซุกไซ้ซึมซับกลิ่นกายอ่อนๆ ของคนตัวเล็กไว้ราวกับกลัวว่าจะหนีหายไปไหน

     

     

     

    “อย่าทำเป็นเด็กไปน่า” ว่าแล้วอี้ชิงก็แกล้งขยี้หัวอีกคนแรงขึ้น

     

     

     

    “แล้วผู้ใหญ่เขาต้องทำยังไงล่ะ หืม” อี้ชิงเบือนหน้าหนีแก้เขินเมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ จากอีกคนโชยมาเตะจมูก “ว่าไงล่ะ ต้องทำยังไง”

     

     

     

    “...”

     

     

     

    “ทำแบบนี้หรือเปล่า” คริสรวบมืออี้ชิงไว้แล้วกดจูบลงบนหลังมือขาว ไม่ได้สนใจว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร แล้วดันร่างเล็กให้ทรุดราบลงกับที่นอนสีสะอาดตา ร่างใหญ่ถือวิสาสะคร่อมอยู่เหนือตัวอี้ชิง ซุกจมูกลงตรงซอกคอแล้วเลื่อนมาจุมพิตหวานที่ริมฝีปาก “อย่างนี้ แล้วก็อย่างนี้”

     

     

     
     

    “ขอบคุณที่มีชีวิตอยู่เพื่อผม” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความรู้สึกทั้งใจ หยาดน้ำตาใสเอ่อล้นขอบตาของคนที่ได้ฟัง อี้ชิงยิ้มรับ ไม่รู้ว่าตั้งแต่มาอยู่กับผู้ชายคนนี้เขายิ้มมีความสุขเหมือนคนบ้าไปแล้วกี่ครั้ง แต่ก็อยากจะยิ้มอีกเยอะๆ ยิ้มจนกว่าอีกคนจะเบื่อ น้ำตาไหลลงที่หางตาโดยที่ร่างเล็กไม่คิดจะเช็ดออก มือหน้าของอีกคนจึงยกขึ้นเกลี่ยให้แทน “อย่าร้องสิ...เวลาคุณร้องไห้แล้วผมรู้สึกไม่ดีเลย”

     

     

     

    “ร้องไห้เพราะมีความสุขไม่ได้เหรอ” อี้ชิงหัวเราะแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม “ขอบคุณที่รักผมเหมือนกัน ขอบคุณมากจริงๆ”

     

     

     

    “ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย” ว่าแล้วก้มลงจูบที่หน้าผากมน “ผมรักคุณนะ”

     

     

     

    “อือ...”

     

     

     

    “เลิกร้องไห้ได้แล้วน่า” คริสว่าแต่ยิ่งทำอี้ชิงร้องหนักกว่าเดิม แต่ก็ดูน่ารักจนอดใจไม่ไหวต้องกดจูบที่ข้างแก้ม “ถ้าไม่หยุดผมจะจูบคุณไม่หยุดเลย”

     

     

     

    “ผมก็รักคุณนะ” อี้ชิงตอบเสียงเบา สบตากับคริสที่ยิ้มให้ก่อนที่ทั้งคู่จะมอบจูบที่เต็มไปด้วยไอรักให้กันอีกครั้ง แล้วต่อค่ำคืนนี้ให้ยาวนานยิ่งกว่าเดิม...

     

     

     

     

     

     

     

    TBC

     

                Windy Boy :: อะแฮ่ม เกือบเดือนแต่ไม่ได้ลืมนะ ยุ่งมากค่ะ ไม่ได้แก้ตัว สำหรับตอนนี้ยาวมากมีส่วนที่ต้องปิดไว้ด้วย เพราะงั้นคอมเมนต์ส่วนที่ไม่ได้ปิดแล้วแปะอีเมลไว้เดี๋ยวทยอยส่งให้อ่านค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่โอนเงินเราขยายเวลาโอนเด้อ สำหรับใครที่อยากได้เล่มนี้ไว้รีบสั่งค่ะเดี๋ยวหมด(?) ถ้ามีปัญหาอะไรคุยกันได้ค่ะ รัก <3

     

                Pyckajae :: นี่เป็นตอนที่ยาวที่สุดตั้งแต่ที่เคยแต่งฟิคเรื่องไหนๆ มา 9,995 คำ โอ้แม่เจ้า! นี่แต่งเอาโล่เหรอค้า -0- 55555555555555 หายไปเป็นเดือนกลับมาทีเลยจัดให้อิ่มเลย ฮิฮิ กติกาก็อย่างที่หมอลู่บอกนะคะ หุหุ ส่วนรวมเล่ม ใครยังไม่จับจ้องขอให้เร่งมือนะ ขยายเวลาแล้ว ตอนนี้อิไรท์เตอร์ทั้งสองกำลังปั่นตั้นฉบับกันหัวขวิด แถมต้องผจญปัญหาทั้งเรื่องเวลาไม่ตรงกัน เรื่องเน็ตกากๆ เรื่องสมองเบลอพูดไม่รู้เรื่องทั้งคู่และเรื่องออกนอกประเด็นเวลาประชุมงาน 555555555 ฝากตอนนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ ตอนหน้าจะจบแล้ว รอเค้านะทุกคนนนนนนนนนนนนน T^T


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×