ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] BLUE ROMANCE [KrisLay]

    ลำดับตอนที่ #14 : B L U E : : 13

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ค. 56



    13


     

                กลิ่นละอองฝนปนไอดินปลุกอี้ชิงให้ตื่นขึ้น ร่างที่อยู่บนเตียงกะพริบตาปริบแต่ยังไม่ลุกขึ้นนั่งหรือมองอะไร คาดคะเนจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้องนี่คงจะสายแล้ว ช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ฝนตกบ่อยมาก อากาศเย็นทำให้เขานอนหลับสบายจนทำให้ตื่นสายเอาการ แถมยังเป็นเพราะฝันแต่เรื่องเดิมๆ คนเดิมๆ เหตุการณ์เดิมมาเป็นเดือน...อี้ชิงฝันเห็นคริส ฝันว่าคริสมาที่นี่ มาเปลี่ยนถุงเท้าให้เขาแล้วก็จูบ...ที่หน้าผาก

               

     

     

    ไร้สาระชะมัด อี้ชิงชักหงุดหงิดตัวเอง ทำไมเขาต้องมานั่งคิดถึงจนเก็บไปฝันอย่างนี้ด้วยนะ ทั้งที่เวลาล่วงเลยมาขนาดนี้แต่ผู้ชายคนนั้นไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมเขาสักครั้ง ร่างบางได้ยินเสียงตะกุกตะกักดังมาจากระเบียงด้านนอก พลางนึกสงสัยว่าคุณลี่เจียวกำลังทำอะไรอยู่ อี้ชิงหันไปมองข้างเตียงโดยอัตโนมัติก่อนจะขมวดคิ้ว ทุกทีมันจะอยู่ตรงนี้นี่ เขามองไปทั่วห้องเพื่อหาแจกันดอกไม้ที่ตั้งไว้ตรงนี้เสมอ ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นเขาจะต้องเห็นมันพร้อมกับดอกไม้ที่ถูกเปลี่ยนใหม่ทุกๆ วัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่อี้ชิงรู้สึกผ่อนคลายประหลาดเวลาที่มีมันอยู่ใกล้ๆ อาจจะเพราะความเคยชินหรืออะไรก็ตามแต่

     

     

     

                “คุณลี่เจียวครับ” อี้ชิงพยายามชะเง้อคอมองหาพยาบาลผู้ดูแลซึ่งเขาคิดว่าเธอคงอยู่ด้านนอก แต่เพราะเพิ่งตื่นนอนเสียงที่เปล่งออกไปจึงแหบแห้ง ร่างบางเปลี่ยนเป้าหมายจากการเรียกหาลี่เจียวเป็นหาน้ำดื่มสักแก้ว แล้วก็ต้องแปลกใจอีกหนเมื่อพบว่าแก้วน้ำที่ลี่เจียวจะวางเตรียมไว้ให้ทุกวันมันไม่อยู่ที่เดิม หรืออันที่จริงมันไม่ได้อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับแจกันใบนั้น

     

     

     

                เห็นท่าจะไม่ดี อี้ชิงพยายามลุกจากเตียง ถือเอาขวดน้ำเกลืออย่างทุลักทุเล วันนี้มีพยาบาลมาเฝ้าแทนคุณลี่เจียวหรือเปล่านะ พวกเขาอาจจะมอบหมายงานกันไม่เรียบร้อย สิ่งที่ควรจะทำจึงถูกละเลย ร่างบางก้าวช้าๆ ไปที่ประตูซึ่งเป็นทางเปิดไปสู่ระเบียง แล้วก็เห็นเจ้าของเสียงตะกุกตะกักและที่มาของกลิ่นไอดินที่ทำให้เขาตื่น

     

     

     

                แผ่นหลังของคริสขยับไปมาอยู่ข้างหน้าเขา มือใหญ่หยาบกร้านกำลังเอาไม้ประดับเล็กๆ ย้ายไปใส่กระถางใหม่ ใกล้ๆ นั้นมีแจกันที่อี้ชิงคุ้นตาวางอยู่ มันว่างเปล่ารอดอกไม้ในห่อกระดาษจะเข้าไปอยู่ในนั้น...พวกนี้มันหมายความว่ายังไง? หมายความว่ายังไงที่จู่ๆ เขาก็โผล่มาแบบนี้ อี้ชิงก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย มือที่ยกถุงน้ำเกลือขึ้นเหนือหัวนั้นสั่นเบาๆ เขาเดินกลับไปที่เตียงอย่างเงียบเชียบ

     

     

     

                อี้ชิงอธิบายความรู้สึกตอนนี้ไม่ถูกมันทั้งดีใจแล้วก็กลัวไปในคราวเดียวกัน คริสมาทำอะไร มานานแค่ไหนแล้วที่ผ่านมามัวไปทำอะไรอยู่ คำถามมากมายล้นอยู่ในปาก อี้ชิงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ครุ่นคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรพลางนึกไปว่าคริสอาจจะกลับมาเพื่อเอ่ยตัดสัมพันธ์จริงจังก็ได้ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันก็กระจ่างชัดแล้ว

     

     

     

                เขาเป็นแค่คนที่กำลังจะตาย ส่วนคริสเองก็ไม่เคยรักเขาเลย

     

     

     

                คำตอบมันอยู่ในเหตุผลสองอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นเพียงแต่ต่างฝ่ายเพิ่งจะรู้ซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง และคนที่ทำให้มันยืดเยื้อก็เป็นเขาเอง จาง อี้ชิง คนที่คิดมาเสมอว่าความรักที่ตัวเองให้ไปมันจะได้รักกลับคืนมาแต่จริงๆ แล้วไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ต้องการ ถึงจะรู้ตัวแต่ก็ไม่อยากยอมรับความจริง ถ้าคริสอยากจะเลิกกับเขา อี้ชิงก็คงทำใจให้เข้าใจได้แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะห้ามน้ำตาตัวเองได้รึเปล่า

     

     

     

                ร่างบางตัดสินใจล้มตัวลงนอน พลิกหันหลังให้ประตูระเบียง รอคอยให้คนในความคิดเดินเข้ามาข้างใน เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่เดาได้ว่าคงพยายามเดินให้เบาที่สุดเพราะกลัวเขาจะตื่น คริสคงจะเอาแจกันมาวางไว้ที่เดิม อี้ชิงคิดแล้วหลับตาลง อยากจะแกล้งหลับเผื่ออะไรๆ มันจะง่ายขึ้น แต่ไฉนเขาไม่ได้ยินเสียงเครื่องเซรามิกวางกระทบพื้นเลยนะ กลับเป็นลมหายใจร้อนที่ระรินอยู่ข้างพวงแก้ม

     

     

     

                คริสกดริมฝีปากลงบนแก้มใสที่มีสีฝาดพอสมควรสำหรับคนที่ยังป่วยอยู่ ความจริงแล้วร่างสูงอยากจะใช้มือสัมผัสใบหน้าสวยนั้นแต่ก็ทำไม่ได้เพราะยังมีเศษดินเปื้อนอยู่ คริสรู้ว่าอี้ชิงตื่นแล้ว เขาได้ยินเสียงเรียกหาลี่เจียว อี้ชิงคงจะตกใจที่เห็นเขา มันแน่อยู่แล้ว เขาเข้าใจดี คนที่หายไปเป็นเดือนอย่างเขาที่จู่ๆ ก็โผล่มามันน่าตกใจเป็นธรรมดา คิ้วเรียวของคนบนเตียงกระตุกเล็กน้อยคงเพราะตกใจที่ถูกชิงหอมแก้มไปไม่ทันตั้งตัว  เปลือกตาบางของอี้ชิงเปิดขึ้นแทบจะในทันทีที่คริสถอนใบหน้าออกห่าง ดวงตาใสฉายแววสับสนเต็มที

     

     

     

                “อรุณสวัสดิ์ครับอี้ชิง” เสียงทุ้มเอ่ย เสียงที่ไม่ได้ยินมาแสนนาน หัวใจอี้ชิงเหมือนถูกกระตุก แม้จะรู้ตัวว่าคิดถึงผู้ชายคนนี้มากแค่ไหนแต่ก็เทียบไม่ได้เลยเมื่อได้ยินเสียงเขาคนนั้น...ความคิดถึงมันถาโถมเข้าใส่เหมือนคลื่นยักษ์สูงสิบเมตร ขอบตาร้อนผ่าวเป็นสัญญาณเตือนว่าตัวเองคงจะปล่อยโฮในไม่ช้านี้ เขาควรจะตอบกลับไปยังไงนะ...

     

     

     

                คนป่วยลุกขึ้นนั่งขณะที่ร่างสูงเองก็ขยับนั่งลงที่ขอบเตียง คริสส่งยิ้มให้เขา ยิ้มอบอุ่นที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน

     

     

     

                “เดี๋ยวผมมานะ” คริสเอ่ยก่อนจะลุกเข้าไปล้างมือในห้องน้ำแล้วเดินหายออกไปที่ระเบียง อี้ชิงมองตามคริสตลอดเวลา สงสัยว่าร่างสูงจะทำอะไร ไม่นานนักคริสก็กลับเข้ามาพร้อมกับแจกันที่เต็มไปด้วยดอกไม้ เขาวางมันลงที่ข้างเตียงของอี้ชิงตามเดิมอย่างที่มันเคยอยู่ “สวยไหมอี้ชิง ผมจัดเองกับมือเลยนะ”

     

     

     

                “อือ...” ร่างบางตอบรับงึมงำในลำคอ ดวงตาใสช้อนขึ้นมองชายที่ตนรักอีกครั้ง อี้ชิงไม่อยากละสายตาไปไหนเพราะกลัวคริสจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีก

     

     

     

                “ขออนุญาตนะคะ” เสียงของผู้ที่มาใหม่ดังขึ้น ลี่เจียวแง้มประตูเข้ามาพร้อมกับยาก่อนอาหารในมือ เธอยิ้มให้คริสและอี้ชิงก่อนจะเดินมาหาคนป่วย “ทานยานะคะแล้วอีกครึ่งชั่วโมงฉันจะเอาอาหารเข้ามาให้” ลี่เจียววางยาลงบนโต๊ะใกล้เตียงแล้วเดินไปรินน้ำอุ่นใส่แก้วสะอาดให้อี้ชิงก่อนที่เธอจะขอตัวออกไป

     

     

     

                “คุณลี่เจียวจะไปไหนครับ” อี้ชิงเอ่ยถามตอนที่หญิงสาวจะก้าวผ่านประตูไป

     

     

     

                “ไปไม่ไกลหรอกค่ะ มีอะไรกดกริ่งเรียกได้ วันนี้คุณอี้ชิงกับคุณคริสน่าจะมีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลย” เธอตอบแล้วจากไป ทิ้งอี้ชิงให้อยู่กับคริสสองคน

     

     

     

                ห้องยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น คริสนั่งลงที่ขอบเตียงตามเดิม จ้องมองใบหน้าของอี้ชิงด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย...ห่วงจริงๆ เหรอ อี้ชิงคิดต่อให้อยากเข้าข้างตัวเองแค่ไหนแต่อีกใจมันก็อดไม่ได้ที่จะระแวง จริงอย่างที่ลี่เจียวว่า อี้ชิงอยากจะคุยกับคริส อยากรู้ว่าที่ผ่านมาหายไปไหน แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่สบตากันอย่างนั้น...เนิ่นนาน

     

     

     

                พลันอี้ชิงก็นึกขึ้นได้ เขามองดูเท้าของตัวเองแล้วพบว่าถุงเท้าถูกเปลี่ยนอีกแล้ว อี้ชิงขบริมฝีปาก จะเป็นอะไรไหมนะถ้าเขาจะคิดว่าทั้งหมดนี้คริสเป็นคนทำ แต่ถึงอย่างนั้นคริสก็ไม่เคยมาที่นี่เลยตลอดเวลาที่เขาพักรักษาตัวอยู่ หายไปเฉยๆ เหมือนไม่มีตัวตน เท้าที่ถูกห่อหุ่มด้วยผ้าฝ้ายสีม่วงขยับเลื่อนเข้าหาตัวช้า หลบซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม อี้ชิงชันเข่าขึ้นกอด ดวงตาใสเหลือบมองร่างสูงที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เวลาแบบนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร...

     

     

     

                “อยู่โรงพยาบาลเบื่อไหมอี้ชิง” คริสเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาแสนอึดอัด คนป่วยขบริมฝีปากของตัวเองก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นถี่ ตื่นเต้นบ้าบออยู่ข้างใน น้ำลายในคอหนืดจนกลืนลำบาก อี้ชิงเสใบหน้าหนีจากดวงตาคมของอีกฝ่าย หยิบเอายาที่ลี่เจี่ยววางไว้ให้มากิน

     

     

     

                คริสมองดูอี้ชิงไม่ละสายตา รู้สึกได้ถึงช่องว่างระหว่างเขาสองคนที่เกิดขึ้น ความกระอักกระอ่วนใจที่อี้ชิงมีให้ ไม่เป็นไร เขาเข้าใจ ในเมื่อคริสเองเป็นคนที่ทำให้อี้ชิงเป็นแบบนี้ เป็นคนที่หายไปแล้วอยู่ๆ ก็กลับมา ตอนนี้เขาก็แค่รอจังหวะที่จะพูดกับผู้ชายแสนบอบบางตรงหน้า ตอนที่อี้ชิงพร้อมจะรับฟังทุกอย่างแล้วไม่เอ่ยปฏิเสธ ร่างสูงครุ่นคิดระหว่างมองดูของเหลวสีใสในแก้วไหลเข้าไปในปากของอี้ชิง เขามีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับอี้ชิง แต่ลำดับในหัวไม่ถูกว่าควรจะเอ่ยเรื่องไหนก่อนดี จนกระทั่งอี้ชิงวางแก้วน้ำไว้ที่เดิม ดวงตาสวยวกกลับมามองเขาอีกครั้ง รอยยิ้มเจื่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้จะดูฝืนไปสักนิดแต่ก็พอทำให้คริสใจชื้นขึ้นมาบ้าง

     

     

     

                “ความจริงอยากเอาบราวนี่มาให้ด้วยแต่หมอซ่งเชี่ยนบอกว่ายังไม่อยากให้กินอะไรที่คอเลสเตอรอลสูง ผมก็เลยไม่ได้เอามา ไว้คุณออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่เราค่อยไปกินกันที่ร้านคุณดาน่าแล้วกันนะ...ถ้าคุณดาน่ายังอยากต้อนรับผมอยู่” คริสพูดติดตลก แต่สุดท้ายก็มีแค่ความอึดอัดลอยฟุ้งอยู่เต็มห้อง

     

     

     

                “เอ้อนี่ ดูต้นไม้นี่ดีกว่า ผมไปได้มาจากตลาดนัดเมื่อวานนี้เอง คิดว่าคุณคงไม่ค่อยได้ออกไปสูดอากาศเท่าไหร่เลยเอามาปลูกไว้ที่ริมระเบียง อยู่ใกล้สีเขียวๆ แล้วมันสดชื่นนะ” คริสผุดลุกขึ้นออกไปที่ระเบียง หยิบเอากระถางต้นไม้ที่ตัวเองเพิ่งปลูกเมื่อครู่เข้ามาให้อี้ชิงดู จริงอย่างที่คริสว่า อี้ชิงรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้มองเจ้าต้นพืชใบเขียวนั่น หรือบางทีอาจะเป็นเพราะร่างสูงพยายามหาเรื่องมาคุยกับเขา ความรู้สึกอัดอัดมันเลยเบาลง

     

     

     

                “ที่จริงคุณลี่เจี่ยวก็พาออกไปนั่งเล่นที่สวนบ่อยๆ อยู่แล้ว..” เสียงของอี้ชิงเบาหวิวหากแต่คริสได้ยินชัดเจน เขายิ้มออกมาในทันที

     

     

     

                “งั้นเดี๋ยววันนี้ผมจะเป็นคนพาไปเอง”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ลู่หานเดินเอื่อยๆ มือสองข้างซุกกับกระเป๋าเสื้อกาวน์ ตั้งใจจะไปเยี่ยมอี้ชิงช่วงที่ตัวเองมีเวลาพักเพราะตรวจคนไข้เรียบร้อยแล้ว จิตแพทย์หนุ่มหน้าหวานยิ้มทักทายพยาบาลสาวทุกคนที่เดินผ่านอย่างที่ชอบทำเป็นปกติจนมาถึงประตูห้องของลู่หาน เคาะสองสามครั้งเป็นเชิงขออนุญาตและบอกให้รู้ว่ากำลังจะเปิดประตูหากแต่เมื่อเปิดเข้าไปก็พบกับความว่างเปล่า

     

     

     

                คิ้วเรียวของคุณหมอขมวดมุ่นทันที ลู่หานก้าวเท้าเข้าไปด้านใน สอดส่องสายตาหาสิ่งมีชีวิตภายในห้องก่อนจะไปสะดุดกับเจ้าไม้ประดับที่ถูกแขวนไว้ตรงระเบียง

     

     

     

                มาสักทีนะ อู๋ อี้ฝาน

     

     

     

                ลู่หานยิ้มบางๆ กับตัวเองก่อนจะหมุนตัวกลับไปสะดุ้งตกใจกับคนที่เข้ามาในห้องไม่ให้ซุ่มให้เสียงทำหน้าตาไม่รับแขกด้วย ร่างบางยกแขนขึ้นกอดอกมองคนที่เพียรมาเยี่ยมอี้ชิงประจำอย่างจงอิน ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งมองไปรอบห้องครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าทางตื่นตระหนก ทิ้งของฝากลงกับเตียงแล้วเดินมาคว้าแขนของลู่หาน

     

     

     

                “อี้ชิงไปไหน!? ทำไมไม่อยู่ในห้อง อาการกำเริบรึเปล่า หรือว่ามีอะไรผิดปกติ!?

     

     

     

                “โอ๊ยๆ ใจเย็นสิ” ลู่หานพยายามเบี่ยงตัวหลบ บิดแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย “คุณลี่เจียวคงจะพาออกไปเดินเล่นรับลมที่สวนข้างล่างล่ะมั้ง”

     

     

     

                “แต่นี่มันไม่ใช่เวลาออกไปที่สวน” จงอินเอ่ยขัด ปกติถ้าจะออกไปก็ต้องเป็นช่วงเย็นๆ ที่แดดอ่อนลงแล้ว แต่นี่มันเพิ่งจะพ้นเที่ยงมาไม่เท่าไหร่ แล้วจู่ๆ สายตาของจงอินก็ไปสะดุดกับสิ่งแปลกปลอมที่ถูกเพิ่มเข้ามาในห้องนี้ “ต้นไม้นั่นของใคร?”

     

     

     

                “คงของคนที่มาเยี่ยมนั่นแหละ” ลู่หานตอบแล้วผิวปาก ล้วงมือลงกระเป๋าเสื้อกาวน์อีกหน ทำท่าจะเดินออกจากห้องไปแต่จงอินก็คว้าต้นแขนของคนตัวเล็กกว่าไว้ก่อน

     

     

     

                “คริสมาเหรอ?” เสียงเข้มถาม และเมื่อลู่หานพยักหน้าเป็นคำตอบ คนตัวสูงก็เดือดดาลขึ้นมาเฉยๆ “หายไปเป็นเดือนแล้วจู่ๆ ก็โผล่มาน่ะเหรอ!

     

     

     

                “เฮ้ๆ ใจเย็น ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอเรื่องเจ้านั่นน่ะ นายคิดว่าอี้ฝานมาแล้วอี้ชิงจะเป็นอะไรเหรอ คิดว่าเขาจะทำอะไรอี้ชิงรึไง” ลู่หานจ้องไปในตาของอีกฝ่าย จงอินทำเสียงฮึดฮัดขัดใจ เขาจำได้ว่าลู่หานเคยบอกอะไร แต่มันก็อดโมโหไม่ได้ ถึงจะไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บแต่ที่อี้ชิงเป็นแบบนี้ก็เพราะไอ้คนที่มันหายหน้าหายตาไปเกือบเดือน ถ้ามาดูดำดูดีกันบ้างเขาก็อาจจะเบาใจ และถ้าอี้ชิงจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้จริง จะมั่นใจได้รึเปล่าว่าจะไม่ทิ้งอี้ชิงไป

     

     

     

                “อี้ชิงรู้รึยังว่าฉันไม่ได้เป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย” จงอินถามเมื่อนึกขึ้นได้ ถึงจะไม่เคยถามเรื่องนี้กับใครจริงจังแต่ก็เดาได้ว่าคงไม่พ้นคนที่ชื่อคริสจะเป็นคนจัดการ เสียแต่ว่าอี้ชิงไม่เคยนึกเอะใจ ในเมื่อเขาเองมาเยี่ยมตลอดแถมยังเคยดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลมาหลายต่อหลายครั้ง

     

     

     

                “ฉันก็ไม่รู้...นี่ เป็นห่วงมากเลยเหรอ เพื่อนฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกนะ”

     

     

     

                “ใครจะไปรู้” ตอบเรียบๆ แล้วผละจากแขนของลู่หาน ไปเอาของเยี่ยมไข้ที่ตัวเองวางไว้บนเตียงไปจัดใส่ตู้เย็นให้เรียบร้อย รู้ตัวว่าลู่หานมองตามไม่ละสายตาแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ จากวันที่ลู่หานเอ่ยปากว่าสนใจจงอิน คุณหมอหนุ่มหน้าหวานก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรที่แสดงออกชัดเจนนอกเหนือจากนั้นอีก ถ้าไม่นับความกวนประสาทที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย

     

     

     

                เสียงกุกกักเปิดประตูเรียกให้คนที่อยู่ในห้องหันไปมอง คนป่วยที่พักอยู่ห้องนี้นั่งมาบนรถเข็นโดยที่คนเข็นไม่ใช่พยาบาลลี่เจียวอย่างเคย อี้ชิงชะงักไปนิดหน่อยที่เห็นจงอิน ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองคริสโดยอัตโนมัติ กลัวว่าจะเกิดมีปากเสียงกันขึ้นมาตามนิสัยเลือดร้อนของจงอินที่เขาเองรู้จักดี หากแต่คราวนี้ชายหนุ่มผิวแทนกลับทำแค่มองคริสผ่านตาแล้วก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ

     

     

     

                “มานานแล้วเหรอจงอิน” อี้ชิงเอ่ยถามเพราะกลัวว่าจงอินจะมารอทั้งที่ปกติเวลานี้เป็นเวลาที่เขาจะต้องอยู่ห้อง

     

     

     

                “ไม่หรอก วันนี้มาช้าหน่อยนิดน่ะ ที่ร้านมีเรื่องให้เคลียร์ก่อนน่ะ” ตอบเสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์ก่อนจะหันมายิ้มให้อี้ชิง

     

     

     

                “อี้ชิงทานข้าวเที่ยงรึยัง” คุณหมอคนเดียวในห้องเอ่ยถามพลางเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้อี้ชิง ร่างบางที่นั่งอยู่บนรถเข็นพยักหน้า ลู่หานยิ้มรับ รู้สึกได้ถึงความเป็นเด็กน้อยในตัวอี้ชิง ทำยังไงได้ ผู้ปกครองเขามาแล้วนี่นา จิตแพทย์หนุ่มเงยหน้ามองคริส กระแอมไอนิดหน่อยแล้วเอ่ยทัก “มานานรึยังล่ะ”

     

     

     

                “ตั้งแต่เช้าแล้ว” คริสตอบ สร้างความฉงนให้อี้ชิง ร่างบางกะพริบตาปริบหากแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง ลู่หานกับคริสรู้จักกันเหรองั้นลู่หานก็ต้องรู้สิว่าที่ผ่านมาคริสหายไปไหน...ขบคิดอยู่ในใจไม่มีใครสังเกตเว้นแต่จงอิน

     

     

     

                อี้ชิงลุกขึ้นไปนั่งบนเตียง ลู่หานกับคริสออกไปคุยกันที่ระเบียง ปิดประตูมิดชิดเหมือนไม่อยากให้เขารับรู้ด้วย อี้ชิงเหลียวมองอยู่บ่อยครั้งถึงจะอยากรู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จงอินชวนเขาคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างที่ทำเป็นประจำแต่วันนี้สติสตางค์ร่างบางมันไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว แน่ล่ะสิ ก็วันนี้มีคริสอยู่ด้วยนี่นา จงอินถอนหายใจเมื่อการตอบสนองของอี้ชิงต่อเรื่องที่เขาเล่าแทบไม่มี มือหยาบฉวยแตะที่หลังมือของอี้ชิงจนเจ้าของมือสะดุ้งหันกลับมา

     

     

     

                “มีอะไรเหรอจงอิน”

     

     

     

                “...นายฟังฉันอยู่รึเปล่า”

     

     

     

                “ขะ ขอโทษนะ” อี้ชิงยื้มเจื่อน เหลือบมองออกไปที่ระเบียงไม่รู้ตัว

     

     

     

                “คริสเป็นเจ้านายของลู่หานน่ะ” จู่ๆ จงอินก็เอ่ยขึ้น และนี่คงเป็นครั้งแรกของวันนี้ที่อี้ชิงหันมาสนใจฟังจริงจัง “เขาก็คงคุยงานในโรงพยาบาลกันทั่วไปนั่นแหละ”

     

     

     

                “อย่างนั้นหรอกเหรอ” น้ำเสียงที่ตอบกลับแสดงออกชัดเจนถึงความโล่งใจ

     

     

     

                ถึงแม้จะรู้ดีว่าลู่หานนั้นเป็นเพื่อนสนิทคริสไม่ใช่แค่นายจ้างกับลูกจ้างแต่ยังไงซะ จงอินก็คิดว่าคงจะดีกว่าถ้าให้อี้ชิงรู้แค่นี้ เขากลัวอีกฝ่ายจะเก็บเอาไปคิดมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาอี้ชิงใช้ชีวิตอยู่ด้วยความคลางแคลงใจ อยู่กับข้อคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ อะไรที่จะทำให้อี้ชิงสบายใจได้เขาก็คิดว่าดีกว่าอยู่แล้ว

     

     

     

                คริสกับลู่หานเดินกลับเข้ามาข้างในพอดีกับตอนที่หมอซ่งเชี่ยนมาตรวจอี้ชิง คุณหมอคนสวยทักทายคนอื่นๆ ด้วยท่าทีเป็นมิตร พร้อมกับเอ่ยแซวลู่หานว่ามาห้องนี้บ่อยยิ่งเสียกว่าห้องตรวจเสียล่ะมั้ง

     

     

     

                “ตอนนี้อาการทั่วไปไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว หมดน้ำเกลือขวดนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ” ซ่งเชี่ยนเอ่ยพร้อมยิ้มหวาน “ดีจังนะอี้ชิง ต่อไปนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ แต่ก็อย่าลืมนะว่าหัวใจเราน่ะมันอ่อนแอกว่าคนอื่น ทำอะไรก็ต้องประมาณแรงตัวเองด้วย”

     

     

     

                “ขอบคุณครับ” อี้ชิงว่า ดีใจอยู่เหมือนกันที่จะได้ออกจากห้องสีเหลี่ยมนี่เสียที อยากจะกลับไปทำงานที่ร้านพี่ดาน่าเต็มแก่แล้ว

     

     

     

                “เอ้อ...” ซ่งเชี่ยนร้องเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เธอหันไปหาคริสที่นั่งอยู่บนโซฟา “เรื่องเอกสารที่จะโอนย้ายผู้ป่วยฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ กำหนดวันที่แน่นอนแล้วใช่ไหมคะ?”

     

     

     

                “ครับ เดี๋ยวผมจะให้เลขาแจกแจงรายละเอียดให้ทราบอีกที” คริสเอ่ยเสียงนุ่มกับคุณหมอ

     

     

     

                “ดีจังนะอี้ชิง ออกจากโรงพยาบาลปุ๊บก็ได้ไปเที่ยวเลย” ซ่งเชี่ยนพูดพร้อมยิ้มจนตาหยี “หมอไปแล้วนะ ต้องไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ”

     

     

     

                คล้อยหลังซ่งเชี่ยนไปในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ใช่แค่อี้ชิงที่มีคำถามเกิดขึ้นในหัวแต่จงอินก็ด้วย เรื่องโอนย้ายผู้ป่วยนั่นมันอะไรกัน ก็อี้ชิงหายแล้วนี่จะมีเรื่องโอนย้ายอะไรอีก ลู่หานที่นั่งอยู่ข้างคริสรู้สึกว่ามันถึงเวลาที่คนสองคนควรจะคุยกันสักที จิตแพทย์หนุ่มหยัดยืนขึ้นเต็มความสูง เดินตรงไปหาจงอินแล้วถือวิสาสะเกี่ยวแขนอีกฝ่ายเดินออกไปนอกห้อง

     

     

     

                “ไปดื่มกาแฟกันเถอะ” โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของอีกคน

     

     

     

                อี้ชิงนั่งนิ่งขณะที่คริสกำลังรวบรวมสมาธิ คิดว่าควรจะเริ่มพูดที่ตรงไหนก่อน ตอนที่ลงไปข้างล่างกับอี้ชิงเขาเองก็ชวนคุยนั่นนี่มากมายแต่ปฏิกิริยาที่ได้รับตอบมาก็ดูเหมือนจะยังเปิดใจไม่เต็มที ร่างสูงลุกขึ้นเดินมานั่งลงที่ขอบเตียงผู้ป่วย มือหนาคว้ามือของอีกฝ่ายมาจับไว้ เกลี่ยนิ้วไปมาบนผิวขาวนวล

     

     

     

                บรรยากาศที่เหมือนต่างฝ่ายต่างชั่งใจกันมันช่างดูอึดอัด

     

     

     

                “เรื่องนี้หมอซ่งเชี่ยนอยากให้ผมเป็นคนอธิบายให้คุณฟังเองมากกว่า” บทสนทนาเริ่มขึ้นอย่างยากลำบาก คริสพยายามสบตาอี้ชิงที่ลอกแลกไปมาด้วยความขัดเขิน “ความจริงผมจะไม่ถามความเห็นคุณเรื่องนี้ก็ได้แต่ว่าผมอยากให้คุณได้มีสิทธิตัดสินใจเพราะยังไงเสียที่ผ่านมาผมก็ทำร้ายคุณมามาก อาจจะมากจนยากจะอภัย...”

     

     

     

                อี้ชิงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอกลั้นหายใจรอสิ่งที่คริสกำลังพยายามจะบอก...เขาจะถูกเอ่ยตัดความสัมพันธ์รึเปล่านะ วันนี้คริสอาจจะมาทำดีกับเขาเพื่อล่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ ฝ่ามือที่ถูกอีกฝ่ายกอบกุมชื้นเหงื่อเพราะตื่นเต้น พยายามคิดในแง่บวกถ้าคริสจะทำอย่างนั้นจริงๆ ก็ยังดีที่อย่างน้อยเราก็ได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันก่อนจาก แม้วันนี้เขาจะไม่ได้เอ่ยอะไรไปมากมายแต่ก็สัมผัสได้ว่าคริสอยากจะขอโทษ อยากให้เขาให้อภัย...

     

     

     

                ในขณะที่อีกใจก็กลัว ถ้าไม่มีคริสแล้วเขาจะอยู่ได้ไหม เขาพักอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งคริสจะมาเยี่ยม คิดถึงผู้ชายตรงหน้าจนเก็บไปฝัน คลายความโหยหาด้วยจินตนาการยามหลับใหล แต่ถ้าต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้วจะอยู่ได้เหรอ

     

     

     

                แวบหนึ่งที่เขาคิดขึ้นมาว่าต่อให้คริสหลอกตัวเองอีกหนก็จะยอม เพราะรักจนถอนใจไม่ขึ้น

     

     

     

                “ผมหาหมอด้านหัวใจที่ดีที่สุดในโลกไว้ให้คุณแล้ว เพราะถึงครั้งนี้คุณจะปลอดภัยแต่ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ผมอยากให้คุณรักษาโรคนี้ให้หายขาด ถึงมันอาจจะใช้เวลามากหน่อยแต่ก็ไม่เสียหายอะไร ขอแค่ให้คุณหายดี”

     

     

     

                ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีรึเปล่านะ...อี้ชิงยังคงสงสัยและกังวล หากแต่แรงบีบที่มือยังคงเด่นชัดเหมือนจะยืนยันให้แน่ใจว่าร่างสูงจะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ ไม่หายไปไหน ถึงอย่างนั้นอี้ชิงก็ยังกลัว ถ้าที่คริสพูดมาเพราะต้องการรับผิดชอบเขาเท่านั้นล่ะ รักษาให้หายจะได้แยกกันไปแบบหมดกังวล ต่างคนต่างอยู่

     

     

     

                “แต่ว่า...” คำว่า แต่นั้นทำใจอี้ชิงหล่นวูบ กลัวที่จะได้ยินประโยคต่อจากนั้นเหลือเกิน “ผมอยากให้คุณไปฝรั่งเศสกับผม ไปอยู่ที่นั่นด้วยกัน...ในฐานะคู่ชีวิต”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                “ตื่นแล้วเหรอ”

     

     

     

                เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นให้คนที่เพิ่งงัวเงียจากเตียงสะดุ้ง อี้ชิงกะพริบตาถี่เพื่อเพ่งมองคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดอาหารใส่ถ้วยชาม อี้ชิงอ้าปากหาวจนน้ำตาเล็ด พยุงตัวลุกขึ้นเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ทำกิจวัตรประจำวันอย่างเช่นทุกเช้าก่อนจะออกมายังโต๊ะเตี้ยที่มีคนจัดสำรับข้าวไว้เรียบร้อย

     

     

     

                คริสนั่งรออยู่แล้ว เขาส่งยิ้มให้อี้ชิงที่กำลังนั่งลง ร่างบางยังคงมีท่าทีดังเช่นทุกวัน ไม่ได้มึนตึงใส่เขาหากแต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่น่าพอใจ อี้ชิงเริ่มต้นกินข้าวเช้าของวันอย่างไม่รีบร้อน แต่เป็นคริสเสียเองที่นับวันจะยิ่งมีท่าทีเร่งเร้า  ทั้งหมดก็เพราะ จาง อี้ชิง

     

     

     

                ไม่มีคำตอบจากคำถาม ไม่มีความคิดเห็นใดๆ เอื้อยเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีสวยนั้น ถึงจะบอกว่าอยากจะได้ความเห็นจากอีกฝ่าย ไม่อยากผูกมัดด้วยการบังคับใดๆ แต่การเงียบเฉยมันก็ไม่ใช่คำตอบที่แน่ชัดนัก อี้ชิงไม่เคยตอบรับข้อเสนอของเขา ไม่สิ มันไม่ใช่ข้อเสนอแต่เป็นคำของร้องด้วยซ้ำ เวลาไม่เคยรอความเงียบงันหรอกนะ

     

     

     

                แต่คริสก็ไม่อยากกดดันอี้ชิง เช้าวันนั้นทั้งวันทั้งคู่เลยทำแค่นั่งดูรายการทีวีด้วยกัน เสียงหัวเราะของอี้ชิงดังขึ้นเป็นพักๆ สลับกับความเงียบ เกือบอาทิตย์แล้วที่เป็นแบบนี้ คริสจะมาหาอี้ชิงตอนเย็นถ้าหากเป็นวันธรรมดาที่ทั้งคู่ต่างต้องออกไปทำงาน และจะอยู่ด้วยกันทั้งวันในวันสุดสัปดาห์เช่นนี้ ช่วงวันแรกเขาจี้ถามเอาคำตอบจากอี้ชิงแต่อีกฝ่ายก็มีท่าทีที่ค่อนข้างอึดอัด ร่างบางบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ จนบางครั้งคริสก็คิดว่าเขาควรจะล้มเลิกความคิดนี้ไปแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เขาอยากอยู่กับอี้ชิงมากกว่าจะปล่อยไป

     

     

     

                คริสลอบมองใบหน้าด้านข้างของอี้ชิง คิดว่าควรทำอะไรเสียที...มือกร้านเอื้อมไปจับมือของอี้ชิง เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่ากำลังจะเริ่มต้นบทสนทนาอะไรสักอย่าง ร่างบางหันมามองเขาด้วยสายตาอ่อนไหว ราวกับรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดเรื่องอะไร

     

     

     

                “ไปกับผมเถอะนะอี้ชิง” เสียงทุ้มของคริสมันช่างมีพลังมหาศาล อี้ชิงอยากจะโอนอ่อนตามหากแต่มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เขาต้องคิดหนัก

     

     

     

                “ไม่ไปได้ไหม” เสียงของอี้ชิงฟังดูแหบพร่า นี่เป็นครั้งแรกที่อี้ชิงตอบกลับมาด้วยเรื่องเดียวกัน เพราะทุกครั้งที่คุยกันเรื่องนี้อี้ชิงจะเปลี่ยนเรื่องพูดหรือไม่ก็เงียบไปเลย

     

     

     

                “ทำไมล่ะ คุณมีอะไรต้องห่วงเหรอ หรือเพราะจงอิน” ถามออกไปไม่ใช่เพราะหึงหวงไร้เหตุผล แต่ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ในเมื่อที่ผ่านมาคนที่เพียรไปมาหาสู่อี้ชิงก็เห็นจะมีจงอินนี่แหละ อี้ชิงอาจจะรักจงอินเข้าหรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นไปได้ทั้งนั้น หากแต่เมื่อได้ยินคำถามนั้นอี้ชิงก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

     

     

     

                “ผมจะไปได้ยังไง ในเมื่อชีวิตของผมอยู่ที่นี่...งานของผม เพื่อน มิตรภาพ ความทรงจำ” กลืนน้ำลายเมื่อความทรงจำทั้งหลายพรั่งพรูออกมาในห้วงความคิดแต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงเลยสักนิด

     

     

     

                อี้ชิงครุ่นคิดเรื่องนี้ตลอดเวลา เขาไม่ได้เมินเฉยอย่างที่คริสเข้าใจ แต่มันยากเหลือเกินที่จะตัดสินใจในช่วงเวลาไม่กี่วัน การต้องใช้ชีวิตกับคริสมันไม่เหมือนกับการต้องอยู่กับจงอิน มันมีมิติอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นหากแต่คริสนั่นแหละที่ไม่ทำให้มันชัดเจน ใจเขาโอนเอียงไปเสียเกือบครึ่ง แม้จะคิดไว้แล้วว่าถ้าไปฝรั่งเศสเขาคงคิดถึงคนที่นี่มากแน่ๆ แต่เขาก็ทำใจได้ถ้ามีคริสอยู่ข้างๆ เพียงแต่อีกใจมันก็ยังกลัว...

     

     

     

                ถ้าเราไปด้วยกันไม่ได้ล่ะ ถ้าคนที่มอบความรักไปยังมีแค่เขาเพียงฝ่ายเดียวล่ะ...เป็นธรรมดาที่คนเราจะกลัวประสบการณ์ในอดีตของตัวเองตราบเท่าที่เราคิดว่ามันเจ็บปวด

     

     

     

                “แล้วผมล่ะ” แววตาคมของร่างสูงสั่นไหว “คุณไม่อยากอยู่กับผมเหรอ”

     

     

     

                อี้ชิงสบตากับอีกฝ่าย ดึงมือของตัวเองกลับมาแล้วผุดลุกขึ้น คริสลุกขึ้นตาม ร่างบางกวาดสายตาไปมารอบห้อง วินาทีนั้นอยากจะร้องถามออกไปบ้างเหมือนกันแต่ก็รู้สึกว่ามันจะกลายเป็นเขาที่เรียกร้องหาสิ่งที่คริสอาจไม่มีให้

     

     

     

                “ผมอยากอยู่กับคุณ อยากมีคุณอยู่ข้างๆ แต่มันจะดูเห็นแก่ตัวเกินไปถ้าคุณทำทั้งหมดเพียงเพื่อรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ผมจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่มัวแต่เก็บคุณเอาไว้ รักของเรามันตั้งอยู่บนความเป็นไปไม่ได้มาตั้งแต่ต้น คุณไม่ได้รักผม...”

     

     

     

                “ผมรักคุณ” คริสเอ่ยตัดบทอี้ชิง ใบหน้าใสของร่างบางชะงักไป นัยน์ตาหวานนั้นฉายแววสับสนก่อนที่หยาดน้ำใสจะเอ่อขึ้นให้ขอบตาร้อนผ่าว “ผมรักคุณ อยากอยู่กับคุณ อยากกอดคุณ อยากใช้ชีวิตด้วยกันไปจนแก่”

     

     

     

                “...”

     

     

     

                “ตลอดเวลาเกือบเดือนที่ผมหายไป ผมไปจัดการเรื่องของเราทั้งหมด ไม่ได้ไปหาคุณผมใจแทบขาดคุณรู้ไหม ผมคิดถึงคุณจนแทบบ้าแต่กลัวว่าคุณจะเกลียดผมเลยต้องแอบเข้าไปตอนที่คุณหลับแล้ว...อย่าพูดว่าผมไม่ได้รักคุณ เพราะผมรักคุณมาก รักมาตลอด”

     

     

     

                “ผมจะเชื่อคุณได้ยัง...” ในเมื่อที่ผ่านมามันเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น หัวใจของอี้ชิงกลับเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง คำว่ารักที่เพิ่งหลุดออกจากปากของคริสกำลังค่อยๆ คลายปมที่ขดอยู่ในใจเขา

     

     

     

                “ผมรักคุณ” คริสยังคงพูดคำเดิม ดึงเอาร่างไร้กำลังเข้าไปกอด วงแขนกว้างของร่างสูงโอบอ้อมคนตัวเล็กไว้ เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ไหมเพื่อให้อี้ชิงเชื่อใจ “ผมไม่เคยพูดคำนี้ก็เพราะความโง่ของตัวเอง แต่ที่ผ่านมาทุกอย่างทุกการกระทำของผมมันมาจากความรัก ถึงแม้เรื่องของเราจะเริ่มต้นกันไม่สวยนักแต่จากนี้ไปมันจะไม่เป็นแบบนั้น จะไม่ใช่แค่ผมที่ได้รับความรักจากคุณแต่คุณเองก็ได้รับความรักจากผมด้วยเหมือนกัน”

     

     

     

                “...”

     

     

     

                “ขอโทษที่ไม่ยอมพูด ขอโทษที่ทำตัวเป็นไอ้โง่อยู่ได้ตั้งนาน...” คริสผละออกเพื่อสบตาคนฟัง ใช้นิ้วโป้งซับตาตาที่ไหลไม่หยุดให้คนรัก “ไม่ต้องห่วงหรอก ไปอยู่ที่โน่นถ้าคิดถึงคนที่ร้านก็โทรหาก็ได้ เดี๋ยวนี้จะติดต่อกันง่ายจะตาย...แต่ถ้าคุณไม่ไปกับผม ผมคงขาดใจตายแน่ๆ”

     

     

     

                อี้ชิงเม้มรีมฝีปากของตัวเองแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง น้ำตาที่ไหลไม่หยุดทำภาพตรงหน้าพร่ามัวแต่ครั้งนี้มันไม่ได้ไหลเพราะความเสียใจมันล้นออกมาเพราะความปลื้มปิติมากกว่า มือใหญ่ที่จับใบหน้าของเขามันช่างอุ่นเหลือเกิน เขากำลังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก...คริสรักเขา เป็นเรื่องเหลือเชื่อเหมือนปาฏิหาริย์ ขณะที่คนตัวสูงเอาแต่กระซิบคำว่ารักที่เจ้าตัวกดเก็บมานาน อี้ชิงรู้ตัวในทันทีว่าหัวใจเขามันให้คำตอบคริสไปตั้งนานแล้ว แต่เพราะความกลัวที่ห่อหุ้มตัวเองอยู่เหมืองหมอกบางๆ ที่ทำให้คลางแคลงใจ

     

     

     

                “บ้านของเราจะมีสวนรึเปล่า” ร่างบางเอ่ยเสียงขึ้นจมูกเพราะร้องไห้

     

     

     

                “หืม?”

     

     

     

                “ผมชอบต้นไม้ที่คุณปลูก ชอบดอกไม้ที่คุณใส่แจกันให้ ชอบถุงเท้าอุ่นๆ สีม่วงด้วย...” อี้ชิงยิ้มให้กับคนตรงหน้า นั่นทำให้คริสเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้กันมากขึ้น ร่างสูงบรรจงจูบบนหน้าผากมนนั่นเพื่อยืนยันคำพูดของตนเองอีกครั้ง คนตัวเล็กหลับตาพริ้มเมื่อสัมผัสอบอุ่นที่ได้รับครั้งนี้มีความหมายมากกว่าครั้งไหน ๆ ก้อนเนื้อใต้เสื้อสีฟ้าเต้นเร็วอีกครั้งกลั่นกรองเป็นคำตอบที่อีกฝ่ายเฝ้ารอมานานนับเดือน “แล้วผมก็ไม่ชอบเตียงกว้างๆ นะ...นอนเบียดกันมันอุ่นกว่า”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC

     

     

    Windy Boy :: อ๊อยยยย >< เคลิ้มนะตอนนี้ จะบอกว่าปกจแต่งคนเดียว เราแก้นิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้ามีอะไรพลาดก็ขออภัยด้วยค่ะ ป.ล.เป็นฟิคที่ลิมิเต็ดอิดิชั่นต้องรีบสั่งนะ เดี๋ยวจะเปิดเร็ว ๆ นี้ค่ะ *จูบ*

     

     

     Pyckajae :: เกร้ดดดดดดดดดดดดดดดดด จบตอนแบ้วววววว อะฮิ้งงง ตอนนี้ฟิตเว่อ ปั่นเร็วที่สุดละ 5555 เข้าใจค่ะว่ายังช้า แต่นี่เร็วที่สุดของเค้าละนะ 555555 แต่งไปอึนไป ฟิคมันเลยออกมาอึนๆ ล่ะ -3-  เห็นคนลงชื่อสนใจฟิคละค่อยยังชั่ว นึกว่าจะไม่มีคนอยากได้ซะละ เปิดพรีจริงเร็วๆ นี้เค่อะ

                ปล. ตอนหน้าป้ายหมอลู่รีเทิร์นค่ะ -.,- หุหุ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×