ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] BLUE ROMANCE [KrisLay]

    ลำดับตอนที่ #8 : B L U E : : 08

    • อัปเดตล่าสุด 13 ม.ค. 56




    08


     

    ผมทนฟังประโยคกรีดแทงหัวใจจนจบ น้ำตาทุกหยดที่ไหลเป็นสายเดียวกันไม่สามารถอธิบายความเจ็บปวดที่เกาะกุมหัวใจได้เลย ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ผมค่อย ๆ รวบรวมสติของตัวเองหลังจากที่สองคนนั้นมีปากเสียงกันบังเอิญมีคนโทรเข้ามาทำให้คริสต้องเดินออกไปจากห้องทำงาน เสียงตอกส้นเข็มของหญิงสาวคนนั้นเบาลงเรื่อย ๆ รอจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วจึงออกมาจากใต้โต๊ะทำงานนั่น

     

     

     

    เสียงสะอึกสะอื้นที่อดกลั้นไว้ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับอาการจุกแน่นในอก ผมเหลือบมองกล่องบราวนี่ยังวางอยู่ที่เดิมและไม่มีเจ้าของมารับ จะว่าไปแล้วบราวนี่ก็เหมือนชีวิตผมต่างกันที่ความผิดพลาดในกรรมวิธีทำมันกลายเป็นผลงานเลอค่า...ไม่เหมือนกับผม

     

     

     

    ดึกดื่นเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เท้าทั้งสองข้างเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ลมหนาวพัดมาอีกระลอกใหญ่ทำให้ร่างกายเริ่มสั่นเทาอีกครั้งต่างกันที่เมื่อครู่ที่ไม่ได้สั่นเพราะความหนาวและไม่มีเขาคนนั้นคอยจับมือ...ผมไม่อยากกลับอพาร์ตเมนต์ ไม่อยากกลับไปทำงานที่ร้านพี่ดาน่า ถึงแม้พี่ดาน่าดีกับผมตลอดมาก็ตามแต่ยังไงซะเธอก็เป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนนั้นรวมทั้งเธอยังไม่รู้เรื่องที่ผมโกหกสารพัด ผมเลือกที่จะเดินออกมาจากที่นั่นดีกว่า

     

     

     

    ผมนั่งลงฟุตบาทข้างถนนก้มหน้าซบกับแขนทั้งสองขอให้เวลากับตัวเองสักพัก พระเจ้าครับผมควรทำยังไงดี...ภาพเหตุการณ์วัยเยาว์แทรกเข้ามาในเฟรมสมอง ผมในวัยแปดขวบกับพ่อแม่ คุณหลิวรวมทั้งทุกคนที่โบสถ์สวดมนต์ร้องเพลงขอพรจากพระเจ้าทุกวันอาทิตย์ ทุกคนที่โบสถ์ดีกับผู้มาเยือนทุกคน บรรยากาศเหมือนครอบครัวเดียวกัน จะว่าไปผมไม่ได้เข้าไปเยี่ยมพวกเขาเลยตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป นานแล้วสินะทุกคนยังเหมือนเดิมอยู่ไหม

     

     

     

    ไม่นานก็มีแท็กซี่ผ่านมาผมตัดสินใจโบกรถเพื่อไปหาพวกเขาที่โบสถ์  ออกจะเสียมารยาทนิดหน่อยเพราะนี่ก็ดึกดื่นแล้ว แต่ผมตัดสินใจแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้ หวังว่าทุกคนที่นั่นจะเข้าใจผม ในที่สุดเท้าทั้งสองก็ได้กลับมาเหยียบสถานที่ที่คุ้นเคย ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปเยอะจะว่าคุ้นเคยเลยคงไม่ถูกทีเดียว เอาล่ะถือว่าผมคือผู้มาใหม่แล้วกัน เดินผ่านตึกหลังนั้นที่ครอบครัวผมเคยสร้างให้กับที่นี่มันเปลี่ยนไปนิดหน่อยก็เพราะอายุที่เพิ่มขึ้นของมันนั่นแหละ ผมยืนมองสักพักก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง

     

     

     

    "เข้าไปข้างไหนด้วยกันไหมคะ" เด็กสาวลูกครึ่งตัวเล็กพูดพร้อมส่งยิ้มให้กับผมอย่างเป็นมิตร

     

     

     

    "คะ ครับ" ผมกระอึกกระอักกว่าจะตอบเธอ "พอดีพี่แค่แวะมาแถวนี้น่ะ" ยังคงเขินที่จะเข้าไป

     

     

     

    "เข้าไปเถอะค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะพระเจ้าทรงเตรียมการที่ดีไว้ให้ทั้งนั้น" สาวน้อยยิ้มอีกครั้งน่ารักเหลือเกินผายมือเป็นเชิงเชิญผมเข้าไปข้างใน

     

     

     

    "เอสเทอร์ลูกพาใครมาด้วย" พี่สาววัยสามสิบกว่า ๆ พูดกับลูกสาวตัวน้อยและเอ่ยทักทายผม "สวัสดีค่ะ" ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นพี่อิ๋งชุน ผมโค้งให้เธออย่างนอบน้อมพี่สาวคงจำผมไม่ได้  นานเกือบสิบปีที่ไม่ได้มาเหยียบที่นี่นานจนพี่สาวแต่งงานมีครอบครัวแล้วสินะ ผมมองมาคนอื่นรอบ ๆ คงหลับกันหมดนี่ก็ดึกดื่นแล้ว อยากเจอแต่ก็มาซะผิดเวลา "คุณชื่ออะไรหรอคะ"

     

     

     

    "พี่อิ๋งชุน..." สีหน้าเธอแปลกใจที่ผมรู้จักชื่อของเธอ "ผม...อี้ชิง" หญิงสาวเบิกตากว้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเธอพินิจพิจารณาดูผมอีกครั้งก่อนจะเข้ามาเขย่าตัวผม

     

     

     

    "อี้ชิง อี้ชิงจริง ๆ หรอ เจ้าแก้มปริใช่ไหม" ผมพยักหน้าเบาๆ "เธอหายไปนานเลยนะเปลี่ยนไปเยอะจนจำไม่ได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องพี่ติดต่อเธอไม่ได้เลย" หญิงสาวโผกอดผมเต็มแรง "ไปอยู่ไหนมาแล้วสบายดีไหม พี่และทุกคนที่นี่คิดถึงและเป็นห่วงเธอมากนะรู้ไหม"

     

     

     

    หลายประโยคถามไถ่ถูกยิงใส่ผมเยอะจนตอบไม่ทัน แสดงถึงความห่วงใยอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่คนที่นี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย อบอุ่นเหมือนครอบครัวเดียวกันผมตื้นตันใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ตาคู่นี้ทำงานหนักอีกครั้งแต่เพราะสาเหตุที่ต่างกัน...

     

     

     

    พี่อิ๋งชุนพาผมเข้าไปในโบสถ์หลังจากบอกให้เด็กหญิงตัวน้อยเข้านอนก่อน ผมรู้สึกได้ว่ามีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าและสารภาพบาปกับพระผู้เป็นเจ้า และมีหลายอย่างที่อยากจะระบายกับพี่อิ๋งชุน เราสองคนนั่งลงบนม้านั่งไม้มะฮอกกานี ความเงียบที่โอบล้อมทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาอีกครั้ง เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นๆ จากมือของพี่อิ๋งชุนที่เอือมมาจับมือผมไว้เหมือนจะยืนยันให้มั่นใจว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว

     

     

     

    "ร้องไห้ออกมาเถอะอี้ชิง พระเจ้ารับฟังเสียงของเราเสมอ" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอย่างที่เคยเป็น ไม่ว่าจะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วหรือตอนนี้

     

     

     

    "มันหนักหนาเหลือเกินครับพี่อิ๋งชุน" ผมกะพริบตาไล่หยาดน้ำตาใส "อะไรหลายอย่างมันไม่เป็นอย่างที่เราคิดเลยแม้แต่นิดเดียว"

     

     

     

    "พระเจ้ารับฟังเราเสมอจ้ะ" ผมสบตากับเธอ เหมือนมีอะไรบางอย่างคลายปมที่ผูกกันเป็นเงื่อนตายภายในใจผมออก

     

     

     

    ตั้งแต่เกิดเรื่องที่บ้านเมื่อครั้งนั้น ผมก็ไม่ได้มาที่นี่อีกผมกลัวที่จะต้องคิดถึงภาพครอบครัว ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นครอบครัวจริงๆ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเลวร้ายอย่างทุกวันนี้ ผมเคยอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความรัก พ่อ...แม่...ที่ผมเคยคิดว่ารักผมมากกว่าใคร แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แม้จะอยากลืมแค่ไหนแต่ผมก็ยังจำได้

     

     

     

    ในกลางดึกคืนหนึ่งที่พ่อกับแม่มีปากเสียงกัน เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อตบหน้าแม่ หลังจากนั้นทุกอย่างในบ้านก็ไม่เหมือนเดิม ไม่มีมื้อเย็นฝีมือแม่และกาแฟตอนเช้าของพ่อ ทุกคืนมีเพียงเสียงทะเลาะกันของพ่อกับแม่คอยกล่อมผมนอน ผมได้แต่เก็บความรู้สึกหดหู่ไว้ในใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง...แม่ที่เสียพนันเริ่มตบตีผม ผมเคยคิดว่าไม่เป็นไรเลยถ้ามันจะทำให้แม่กลับมาเป็นคนเดิม แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น คำด่าทอมากมายที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทไม่มีคำไหนไม่ทำร้ายผม

     

     

     

    'แกมันเกิดมาทำ เกิดมาเป็นภาระฉันทำไมหา!?' แม่ตะเบ็งร้องขณะที่ฟาดมือลงบนตัวผม รอยฟกช้ำชัดขึ้นได้ง่าย ๆ ...ใช่ ผมมันเด็กขี้โรค พ่อกับแม่คงไม่อยากดูแลผมอีกแล้ว

     

     

     

    เงินมากมายต้องเสียไปกับค่ารักษาของผม มันคงได้ประโยชน์มากกว่ากับการพนันของแม่ นั่นคือจุดเริ่มต้นของชีวิตเหลวแหลกของผม จากที่มีแค่แม่ที่ทำร้ายผม พ่อเองก็เริ่มใช้ผมเป็นที่ระบายอารมณ์รองมือรองเท้าเหมือนกัน ผมหยุดเรียนกลางเทอมตอนม.ปลายปีสาม ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มใช้ชีวิตในผับ หัดสูบบุหรี่ แม้จะรู้ดีว่ามันกร่อนกินร่างกายของตัวเองขนาดไหน...ณ เวลานั้นพระเจ้ามองผมอยู่รึเปล่าครับ

     

     

     

    ในเมื่อบ้านมันไม่ใช่บ้านแล้วก็ไม่มีความหมายที่จะกลับไป จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง...บ้านที่ผมเคยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนโตก็มอดไหม้ไปกับกองเพลิง พ่อกับแม่ติดอยู่ในนั้น...พ่อกับแม่กลับมาทำร้ายผมไม่ได้อีกแล้ว

     

     

     

    มันเป็นการปลดแอกที่เจ็บปวดเหลือเกิน ผมสูดหายใจขณะนึกถึงภาพในอดีต ใบหน้าผู้คนมากมายที่เคยพบเจอผ่านเข้ามาในมโนสำนึก แต่มีสักกี่คนที่จะใส่ใจ เห็นคุณค่า แล้วก็รักผมจริงบ้าง คำพูดของคริสยังคงตอกย้ำหัวใจบอบช้ำดวงนี้ ผมร้องไห้หนักแม้ไม่มีเสียงสะอื้น พี่อิ๋งชุนยังคงนิ่งเงียบรอให้ผมพูดอะไรออกมา

     

     

     

    "ผม...ไม่รู้สิฮะ" มุมปากของผมกระตุกเมื่อพยายามฝืนยิ้ม "ผมไม่เข้าใจว่าพระองค์คิดอะไรอยู่"

     

     

     

    "แต่พระองค์เข้าใจเราเสมอแม้เราจะทำผิดมหันต์พระองค์ก็พร้อมที่จะให้อภัยเรา"

     

     

     

    "บางทีผมคงทำอะไรผิดเกินกว่าจะให้อภัยล่ะมั้งครับ พระองค์ถึงปล่อยให้ชีวิตผมเป็นแบบนี้" มันดูไม่สมควรที่จะพูดแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่ความอัดอั้นตันใจมันผลักให้ผมพูดออกมา "ผมเหนื่อยเหลือเกินครับพี่"

     

     

     

    พี่อิ๋งชุนบีบไหล่ที่ลู่ลงของผมราวกับต้องการส่งกำลังใจให้

     

     

     

    "ห้องเดิมที่อี้ชิงเคยนอนพักเมื่อก่อนยังว่างอยู่ เดี๋ยวพี่จะไปจัดให้ พี่ว่าอี้ชิงคงจะอยากให้เวลากับพระองค์" เธอยิ้มบางๆ ให้ผมก่อนจะลุกจากไป ผมยิ้มตอบก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังรูปปั้นของพระองค์...

     

     

     

    คุณพ่อครับ เห็นผมใช่ไหม ตอนนี้ผมล้าไปหมดแล้วทั้งร่างกายทั้งจิตใจ ปวดระบมจนรู้สึกได้ ผมสงสัยว่าลมหายใจของผมจะอยู่ต่อได้ถึงเมื่อไหร่ ผมพยายามมากเหลือเกินกับการยื้อมันไว้ แต่ทำไมอะไรๆ ก็ไม่เป็นใจเลย ชีวิตเราอยู่ได้ด้วย

    ความรักและการให้อภัยใช่ไหมครับคุณพ่อ ผมรักเขามากอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำแต่สิ่งที่เขาทำมันโหดร้ายเกินไป บนโลกใบนี้ยังมีใครที่ผมไว้ใจได้อีกรึเปล่า บางทีผมคงไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ใครรัก

     

     

     

    ผมมองรูปปั้นนั้นเนิ่นนาน แต่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล รู้สึกอยากจะพักทุกสิ่ง ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ผมเช็ดน้ำตาตัวเองลวกๆ ก่อนจะลุกออกจากโบสถ์ คำตอบของทุกคำถามยังคงว่างเปล่า อากาศข้างนอกเย็นจนเข้าขั้นหนาว ผมเดินทอดน่องเชื่องช้าอยากจะมองดูความเปลี่ยนแปลงของสถานที่แห่งนี้ แต่ความมืดและความขุ่นมัวภายในใจก็รบกวนสมาธิเหลือเกิน ก่อนจะรู้ตัวผมก็เดินมาถึงห้องที่พี่อิ๋งชุนจัดให้ น่าแปลกนะ ทั้งที่ไม่ได้มาตั้งสิบกว่าปีแล้วก็ยังเดินมาถูกทาง ในห้องนอนขนาดเล็กที่มีเพียงเตียงและตู้นั้น ผมซุกตัวเข้ากับผ้าห่มผืนหนา จ้องมองเพดานที่มืดมน ความเศร้ากำลังคืบคลานเข้าหาผมช้าๆ ผมหลับตาลงพลางสงสัยว่าพรุ่งนี้เช้า ผมจะยังลืมตาตื่นขึ้นมาอีกรึเปล่า

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ลู่หานหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่ คิดถึงสาเหตุที่ตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ เขาอาสาซ่งเชี่ยนมาเองแม้จะไม่รู้จักเจ้าของห้องที่คงหายใจอยู่หลังประตูบานนี้นัก ยกเอากระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาเช็คที่อยู่ว่าตรงกับที่จดมา แม้จะเคยได้คุยกับเจ้าของห้องนี้เพียงเล็กน้อยเมื่อนานมาแล้วก็พอจะรู้ได้ว่าคิม จงอิน ดูจะไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไหร่

     

     

     

    ก็เอาเถอะ ลู่หานเป็นห่วงอี้ชิงมากกว่า อี้ชิงไม่ยอมไปตามนัดของซ่งเชี่ยน ปกติถ้าจะมาสายอี้ชิงต้องโทรมาบอกก่อนเสมอ แต่นี่นับเป็นวันที่ห้าแล้วที่ไร้วี่แวว ลู่หานได้ลองไปตามที่ทำงานของคนไข้มาก่อนหน้านี้ แต่คำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เจ้าของร้านที่ชื่อดาน่าบอกแค่ว่าอี้ชิงโทรมาขอลางานพักหนึ่ง เพราะมีปัญหาส่วนตัว แต่นั้นก็ไม่ทำให้ลู่หานสบายใจขึ้นแม้แต่นิดเดียว อย่างน้อยๆ อี้ชิงก็น่าจะบอกเขาหน่อยสิ ถ้ามีข้อมูลของคนที่อี้ชิงกำลังคบอยู่ด้วยก็คงดีหรอก ลู่หานสูดหายใจลึกก่อนจะกดออด เขากดย้ำอยู่สามครั้งประตูก็ส่งสัญญาณปลดล็อค

     

     

     

    เจ้าของห้องท่าทางงัวเงีย เดินกึ่งหลับกึ่งตื่นท่อนบนเปลือยเปล่าเผยผิวสีแทนกับลำแขนยาวที่มีกล้ามเป็นมัดพองาม ท่อนล่างสวมเพียงกางเกงนอนขาสั้นพร้อมกับกลิ่นชวนอาเจียนไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมา เขาท่าทางอารมณ์เสียอยู่นิดหน่อยแล้วขยี้ตาดูผู้มารบกวนเวลานอนแต่เช้า พอเจอใบหน้าหวานตรงหน้า จงอินก็สบถต่อหน้าลู่หานเบา ๆ

     

     

     

    "เหอะ" เขาจำลู่หานได้ แม้การเจอกันครั้งแรกของทั้งคู่จะไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่คนตัวเล็กผงะไปด้านหลังเล็กน้อยตกใจกับวิธีการทักทายของเจ้าของห้อง จงอินกรอกตาไปมาแสดงอาการไม่ต้อนรับแขกเอาเสียเลย "หมอมาทำไม"

     

     

     

    คำทักทายของจงอินนั้นลู่หานอยากจะเดินหนีไปจากตรงนี้เสีย แต่เมื่อหัวสมองฉุกคิดได้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่าที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้คืออี้ชิง ใบหน้าหวานแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะตอบเจ้าของห้อง

     

     

     

    "อี้ชิงอยู่ที่นี่หรือเปล่า"

     

     

     

    "ไม่อยู่ หมอกลับไปเถอะ" ลู่หานแสดงสีหน้ากังวลอย่างชัดเจนผิดกับรอยยิ้มเมื่อครู่นั้น

     

     

     

    "อี้ชิงผิดนัดหมอห้าวันแล้ว คุณพอจะรู้ไหมว่านอกจากที่อพาร์ตเมนต์แล้วอี้ชิงจะไปอยู่ไหน ผมติดต่อไม่ได้เลย"

     

     

     

    "ผิดนัดหรอ เหอะ หาที่นั่นไม่เจอคงนอนกกกับไอ้หน้าหล่ออยู่ล่ะมั้ง" ลู่หานนึกถึงเรื่องที่อี้ชิงออกมาอยู่ข้างนอกและกำลังมีความรักแต่เขาไม่รู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร

     

     

     

    "อยู่ที่ไหน" ลู่หานร้อนรนถามจงอิน การที่คนไข้ผิดนัดเพราะหนีไปกับคนรักไม่น่าจะใช่สาเหตุเลยเพราะพักหลังมานี้อี้ชิงดูแลตัวเองดีเป็นพิเศษ "คุณจงอินบอกผมมาเถอะถึงแม้ตอนนี้ทุกอย่างระหว่างคุณกับเขาจะเปลี่ยนไปแล้วแต่ยังไงเขาก็ป่วย ต้องรับการรักษานะ" คนตัวเล็กเซ้าซี้เพราะเป็นห่วงอี้ชิงมาก

     

     

     

    "คุณหมอ ผมไม่รู้หรอกนะว่าไอ้หน้าหล่อนั่นมันเป็นใครอยู่ที่ไหน ชื่อแซ่เป็นใครก็ไม่รู้จัก ผมง่วงขอตัวนะหมดธุระแล้วเชิญครับ" คนผิวเข้มไล่แขกอย่างไร้มารยาทสุด ๆ

     

     

     

    "คุณไม่เป็นห่วงเขาเลย ใจร้ายชะมัด" จงอินได้ยินวลีสบถทิ่มแทงใจจนทำให้เขาเอี้ยวหลังกลับมาเผชิญหน้ากับหมอปากจัดอีกครั้ง

     

     

     

    "ว่าไงนะ เมื่อกี๊น่ะ" จงอินเกลียดคำว่าใจร้าย แม้มันเป็นคำทั่วไปใคร ๆ อาจจะมองว่าไม่รุนแรงนักแต่กับเขาแล้วเขาเกลียดมัน

     

     

     

     "ผมแค่เป็นห่วงอี้ชิงคุณได้ยินไหม คุณจะใจร้ายไปถึงไหน ทำร้ายอี้ชิงแค่นี้ไม่พอหรอ" คนตัวสูงพ่นลมหายใจแรงเขารู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของลู่หาน เขาไม่ผิดสักนิด ทำร้ายอี้ชิงหรอยังน้อยไปที่อี้ชิงเย็นชาไม่สนใจและทิ้งเขาแบบนี้

     

     

     

    "ผมไม่รู้"

     

     

     

    "จงอิน...ถือว่าผมขอร้องล่ะ" ลู่หานกดเสียงต่ำ พลางกวาดสายตาทั่วห้องของอีกฝ่ายเป็นเชิงขออนุญาตเข้าไปแม้จะดูเป็นการเสียมารยาทอยู่นิดหน่อยแต่เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วเขาก็ควรปั้นหน้าด้านสู้จงอินต่อไป เจ้าของห้องส่ายหน้าหน่าย ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมผายมือเชิญคุณหมอเข้ามานั่งตามมารยาท

     

     

     

    "คุณนั่งรอตรงนี้ก่อนละกัน" ว่าจบเขาก็เดินเข้าห้องน้ำสักพักร่างสูงก็ถูกคลุมด้วยเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงตัวใหม่พร้อมกับน้ำแก้วหนึ่ง ลู่หานมองอย่างสงสัยในตัวผู้ชายคนนี้ แม้จะเป็นนักเที่ยวชอบดื่มเหล้าหนักแต่เมื่อมองบางมุมแล้วเขาก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่จนเผลอปากแซวอีกฝ่ายไป

     

     

     

    "แหมคุณแต่งอย่างเดิมผมก็ไม่ถือหรอก น้ำไม่อาบแต่แต่งมาซะหล่อเชียว" อีกฝ่ายนั่งลงตรงข้ามถอนหายใจยาว "ผมล้อเล่นน่า ขำ ๆ" ปากสวยได้รูปยังคงยกยิ้มให้จงอินอีกครั้งก่อนจะเริ่มซักไซ้ไล่เรียงถึงคนไข้คนสำคัญของตัวเอง "อี้ชิงน่ะผิดนัดมาห้าวันแล้ว ปกติถ้าไม่ว่างจะโทรมาบอกก่อน แต่นี่ติดต่อไม่ได้เลย" ลู่หานเว้นจังหวะ "เอ่อ..ผมต้องขอโทษคุณก่อนถ้าเกิดว่าพูดอะไรที่ทำให้คุณไม่พอใจ ผมรู้ว่าอี้ชิงกำลังมีความรัก"

     

     

     

    ก่อนที่ลู่หานจะพล่ามยาวต่ออีกคนจึงพูดแทรกขึ้นก่อนเพื่อจะไม่ยืดยาวไปกว่านี้

     

     

     

    "ช่างเถอะ...หลังจากที่เขาเจอนายคนนั้นเขาก็เปลี่ยนไป อี้ชิงเปลี่ยนไปเยอะ เขาไม่เคยปกป้องใคร ไม่เคยออกหน้ารับแทนใครแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว" มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดปอยผมที่ตกลงมาปิดหน้าจากนั้นร่างสูงก็เอนหลังพิงพนักโซฟานุ่มเพื่อให้ดูผ่อนคลายที่สุด

     

     

     

    "งั้นหมายความว่าอี้ชิงไม่ได้โกหกผม"

     

     

     

    "อี้ชิงเจอกันกับหมอนั่นโดยบังเอิญที่ผับแห่งหนึ่ง"

     

     

     

    "หา..ผับ?" ลู่หานอุทานแปลกใจที่การพบกันในผับไม่น่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยืดยาวมั่นคงได้ แอบเป็นห่วงอี้ชิงขึ้นมา

     

     

     

    "ใช่ ผมรู้แค่มันชื่อคริส"

     

     

     

    "คริส..." ลู่หานกำลังใช้ความคิดครู่หนึ่ง

     

     

     

    "ผมไม่รู้เกี่ยวกับหมอนั่นมากนักหรอกนะ แต่เคยไปตามหาอี้ชิงที่โรงแรมของหมอนั่น ท่าทางรวยพอตัวหลังจากนั่นก็ไม่เจออีกเลย"

     

     

     

    "อี้ชิงสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เด็กเรื่องนี้คุณก็รู้ดี นอกจากโรคหัวใจพลิ้วยังมีอีกโรคที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ ผมกลัวว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุ" ลู่หานพูดเสียงแผ่วรู้สึกเป็นห่วงคนไข้จริง ๆ เขาผูกพันกับอี้ชิงในฐานะเพื่อนมากกว่าหมอกับคนไข้ "จงอินคุณพาผมไปที่นั่นได้ไหม" จงอินก้มหน้าก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา

     

     

     

    "เอ่อผม...ผมให้ที่อยู่คุณน่าจะดีกว่านะ" ลู่หานเห็นอาการผิดปกติของเขาจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อแสดงความเป็นมิตรต้องการจะปลอบใจอยู่ในที จงอินลุกขึ้นไปเขียนที่อยู่ให้กับลู่หาน พร้อมกับฝากฝังจางอี้ชิงกับคุณหมอ เพราะยังไงเขาคงไม่สามารถเข้าใกล้อี้ชิงได้อีกแล้วนอกจากจะเฝ้าดูห่าง ๆ แบบนี้

     

     

     

    "ฝากด้วยนะหมอ" ลู่หานพยักหน้าหงึกหงักเป็นการขอบคุณที่จงอินยอมเป็นอีกแรงนึงให้เขาตามหาอี้ชิง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากเสร็จพิธีในวันอาทิตย์ผมยังคงนั่งนิ่งที่เก้าอี้ไม้มะฮอกกานีตัวเดิม หลังจากวันนั้นผมไม่ได้ติดต่อใครเลย ผมใช้เวลาทั้งหมดสารภาพทุกสิ่งอย่างกับพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ให้อภัยผมใช่ไหมครับ พระองค์เข้าใจผมใช่ไหม ผมใช้เวลาทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยสับสนขอบคุณพี่อิ๋งชุน คุณหลิวและทุกคนที่นี่ที่ยังมีความรักให้กับผมเหมือนที่เคยมี ผมรู้สึกผิดไม่น้อยที่หายไปโดยไม่บอกพวกเขาเลย พี่อิ๋งชุนเดินมานั่งข้างผมมือสวยบีบเข้าที่บ่าลาดราวกับจะส่งกำลังใจให้น้องชายคนนี้

     

     

     

    "ฟังเสียงและเคารพการตัดสินใจของตัวเอง พี่เชื่อว่าอี้ชิงมีคำตอบอยู่แล้วแหละ"

     

     

     

    "ผมเหนื่อยเหลือเกินครับพี่"

     

     

     

    “ไม่เอาน่า อย่าท้อสิจางอี้ชิง” หญิงสาวยิ้มให้ผม “เจ้าแก้มปริเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วหายไปไหนแล้วนะ ไหนลองยิ้มซิ” พี่อิ๋งชุนดึงแก้มผมไปมาอย่างกับเด็ก ๆ

     

     

     

    นึกถึงช่วงเวลาในอดีตแล้วก็นึกขัน เราโตมาด้วยกันผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมานักต่อนัก หัวเราะ ร้องไห้ พี่สาวคนนี้เป็นเด็กกำพร้าแต่เธอกลับเติบโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวที่สง่างามทั้งรูปร่างหน้าตาและจิตใจ เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก ๆ คนหนึ่ง คุณหลิวรักเธอเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ถ้าไม่มีที่นี่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แตกต่างกับผมสิ้นเชิงที่เกิดมาในครอบครัวสมบูรณ์แบบกลับอ่อนแอจนน่าสมเพช

     

     

     

    "ผมรักพี่จัง" เธอลูบหัวผมเบา ๆ

     

     

     

    "พี่เชื่อว่าเราสามารถผ่านมันไปได้"

     

     

     

    "ผมไม่แน่ใจเลย"

     

     

     

    "พระเจ้าทรงสร้างเราทุกคนมา ทรงวางแผนชีวิตเราทุกคนไว้ พระองค์รักเราทุกคนเชื่อพระองค์นะ"

     

     

     

    ทันทีที่เปิดโทรศัพท์มือถือ สัญญาณเตือนหลาย ๆ ข้อความส่งมาหาผมโดยเฉพาะลู่หาน หมอซ่งเชื่ยน พี่ดาน่า ผมกดอ่านและล็อคมันไว้อีกครั้ง แต่แล้วสัญญาณเมื่อกี๊ก็ดังขึ้นอีกครั้งข้อความล่าสุดที่ส่งมาจากเขา... ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดดู ผมไม่อยากรู้สึกเจ็บปวดเพราะรู้สึกดีใจหลงตัวเองไปมากกว่านี้ ขอทำใจไม่เข้าข้างตัวเองก่อนแล้วกัน...

     

     

     

    อี้ชิง ไหนคุณบอกว่าวันนี้จะทำบราวนี่มาให้ไง ลืมแล้วหรอ

    โทรไม่ติดเลย นี่คุณหายลิบลับไปกับเจ้าขนมนั่นแล้วแน่ ๆ

    ผมมาหาคุณที่อพาร์ตเมนต์แต่ไม่เจอ

    พี่ดาน่าบอกว่าคุณลาทำธุระ ทำไมไม่บอกกันเลยล่ะ

     

     

     

    ผมกดล็อคมือถือไว้ซะ จางอี้ชิงนายไม่ควรหลงดีใจไปกับข้อความหลอกลวงเหล่านี้ ไม่ควรเขินใจเต้นแรงอย่างที่เคยเป็นกับมันเด็ดขาด ผมบอกย้ำเตือนตัวเองซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้งที่ใจมันก็ปฏิเสธทุกครั้งไป...

     

     

     

    ผมกลับมาทำงานที่ร้านเหมือนเดิม แม้ว่าตัวผมเองจะไม่เหมือนเดิมจนพี่ดาน่าจับสังเกตได้ พวกเขาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบผมคำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นคำโกหกเช่นเคย พี่ดาน่าบอกว่าเมื่อวานนี้คริสมาหาผมที่ร้านผมคาดหวังอะไรนิดหน่อยแต่ก็ไร้วี่แวว พี่ดาน่าบอกว่าผมไม่อยู่เขาก็กลับไป น้องนักศึกษาที่มาทำงานดีอกดีใจที่ผมกลับมาทำงานแล้ว เธอบอกว่าเธอจะได้ไม่ต้องรับงานหนักคนเดียวอีกแล้ว น่าขันชะมัด ไม่มีใครคิดถึงผมจริง ๆ สักคนเดียว

     

     

     

    แปลกดีเหมือนกันในเมื่อผมเจ็บปวดกับสิ่งรอบข้างทำไมผมถึงยืนอยู่ที่เดิมไม่วิ่งหนีเหมือนแต่ก่อน หัวใจผมคงด้านชาเกินกว่าจะรู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว ผมส่ายหน้ากับความคิดของตัวเองแล้วเริ่มทำงานต่อ พี่เฮนรี่เดินมาบอกว่าวันนี้มีเมนูพิเศษจะสอนแล้วก็แอบแซวผมเล็กน้อยเกี่ยวกับคริส

     

     

     

    “เมนูใหม่ไฉไลกว่าเดิมให้แฟนเราเป็นหนูทดลองรับรองอยากเป็นหนูตลอดชาติ” ผมแอบขำกับมุกแหย่แซวของพี่เขาใช้คำว่า แฟนหรอ หึ ตลกแล้วแต่ผมก็ไม่คิดจะแย้งเขาหรอก

     

     

     

    ผมยังพยายามทำตัวตามปกติ รับออร์เดอร์ เช็ดโต๊ะ จัดโต๊ะ วุ่นกับงานในครัวบ้าง พอหมุนข้อมือดูนาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่ม วันนี้พี่ดาน่ารีบออกไปทำธุระเลยฝากให้ผมปิดร้านแทนอีกครั้งนั่งมองดูกล่องขนมเมนูใหม่ที่วางอยู่ในตู้นึกเสียดายอย่างไร้เหตุผลถ้าจะทิ้งมันไปเสีย ...

     

     

     

    สองเท้าหยุดยืนที่หน้าห้องทำงานของคนคุ้นเคย ผมลังเลที่จะเคาะประตูแล้วไขเดินเข้าไปเหมือนที่ปกติเคยทำ กลัวว่าจะเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น  กลัวว่าจะได้ยินคำพูดกรีดหัวใจให้สลายอีกครั้ง ผมยั้งมือแล้วหมุนตัวกลับ ตั้งใจจะเดินออกมาจากตรงนั้นแต่ก็พบกับว่าร่างสูงที่คุ้นเคยยืนอยู่ข้างหลังผมมาโดยตลอดด้วยสีหน้าที่ผมเดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ใบหน้าคมของคริสเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิดแต่นัยน์ตากลับสั่นไหวประหลาด ผมกดความคิดเข้าข้างตัวเองลงให้ต่ำที่สุด ไม่หรอก คนอย่างเขาจะเป็นห่วงผมเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ผมปล่อยให้ความเงียบคุมเกมครู่หนึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นฝ่ายพูดก่อน

     

     

     

    "หายไปไหนมา"

     

     

     

    ผมยื่นกล่องขนมแทนคำตอบแม้จะตอบไม่ตรงคำถามสักนิดแต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว มันยากที่จะเอ่ยอะไรออกมา อย่าทำแววตาเหมือนคิดถึงผมเลยคริส เพราะหัวใจผมมันจะยิ่งเจ็บ เขาจับมือข้างที่ผมยื่นกล่องขนมแล้วดึงตัวผมเข้าสู่อ้อมกอดโดยที่ผมไม่ได้ตั้งตัว น่าสมเพชตัวเองที่กำลังมีความสุขกับอ้อมอกนี้ หัวใจดวงนี้ที่แทบจะหยุดเต้นเมื่อวันนั้นกลับมาสูบฉีดอีกครั้ง

     

     

    ผมปฏิเสธเขาไม่ได้จริงๆ

     

     

     

    “ผมคิดถึงคุณจะตายอยู่แล้ว ไปไหนทำไมไม่บอก”

     

     

     

    “...”

     

     

     

    คริสกดจูบที่ขมับผมเบา ๆ สัมผัสอบอุ่นจนถึงขั้วหัวใจหากแต่มันจะเชื่อได้แค่ไหนกัน ผมยกแขนข้างหนึ่งขึ้นกอดตอบ วางมือเล็กลงบนแผ่นหลังกว้างที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่ามันมีไว้เพื่อปกป้องผม ทั้งน้ำเสียง ทั้งลมหายใจของคนตรงหน้า มันซึมลึกเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจผมแล้ว

     

     

     

    พระเจ้าครับ หัวใจของผมมันให้อภัยเขาโดยปราศจากข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น ผมกลายเป็นเพียงคนโง่คนหนึ่งสำหรับคริสเท่านั้น แม้ทุกสิ่งที่ผมเห็นมันจะเป็นแค่ภาพลวงตาหรือทำให้ผมเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไรเลย ต่อให้เขาไม่เคยรักผมก็ไม่เป็นไร

     

     

     

    น้ำตาของผมซึมลงไปบนไหล่กว้างของคริส

     

     

     

    ผมยอมเป็นคนโง่ เพราะผมรักเขามากเหลือเกิน

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC…

     

     

     

    Talk to you

     

    Windy Boy :: เสียใจกับน้องอี้จริง ๆ แต่ที่เสียใจกว่าคือขอดองจนกว่าจะปิดเทอม ต้องขอโทษนักอ่านทุกคนจริง ๆ ค่ะ สำหรับใครที่อยากได้เป็นเล่มอย่าเพิ่งทิ้งเค้านะ ใครรักน้องอี้อยู่เป็นกำลังให้น้องต่อไปนะ อย่าเพิ่งลืมกันนะคะ *กอด* 

     

    Pickajae :: อ๊ากกกกกกกกก จบตอนสักที T^T ลงด้วยความยากลำบาก เพราะเน็ตกากมว๊ากกก แล้วก็อย่างที่แม่นางข้างบนบอกค่ะ นางจะพักยาววววว ไฟนอลกำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว ส่วนรวมเล่มคาดว่ารวมแน่ๆ ค่ะ ที่คุยกันไว้เรื่องนี้น่าจะ 15 ตอนจบ(ไม่รวมตอนพิเศษเน้) เพราะงั้นนนน อย่าทิ้งเค้าไปไหนนะ ; _ ; เค้ารักรีดเดอร์ทุกคนนน มามะ มารับจูบ =3= ม๊วฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×