คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : B L U E : : 04
ผมอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของประชากรคนไข้ในโรงพยาบาลแห่งนี้สองวันนับจากวันที่ผมฟื้น ผมรับรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมโหยหามาตลอดนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผมเลย
‘ถ้าใครสักคนจากไป คนที่เหลืออยู่ข้างหลังน่ะน่าสงสารที่สุด’
‘สิ่งที่เราคิดถึงในวินาทีสุดท้ายของชีวิต มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรา’
คำพูดของลู่หานฉายวนซ้ำไปซ้ำมาย้ำเตือนให้ผมฉุกคิดอะไรหลายอย่างได้มากขึ้น ผมแค่ไม่มีจุดหมายกับการมีชีวิตอยู่ แต่เหมือนว่าใครบางคนเข้ามาจุดประกายความหวังให้ผมมองเห็นทาง ตอนแรกผมรู้สึกไม่ชอบหน้าหมอจุ้นจ้านนั่นแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอยากขอบคุณเขาจัง
“กลับบ้านกัน” เสียงทุ้มของจงอินไล่ความคิดยามเหม่อของผมออกจากหัว
ตอนนี้ร่างกายของผมค่อนข้างแข็งแรงแล้ว ทันทีที่เห็นหน้าจงอินความคิดหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในหัว ผมอาศัยบ้านจงอินมานานแล้วแถมไม่เคยทำประโยชน์อะไรตอบแทนเขาเลย ค่ารักษาโรค ค่ายาต่าง ๆ จงอินเป็นคนออกให้หมด ผมไม่เคยฟังจงอิน ผมชอบเอะอะและเอาแต่ใจ ผมรู้สึกผิดที่ทำต่อเขาแบบนั้นจริง ๆ
“จงอิน...ฉันขอโทษ” ผมกล่าวคำที่ผมอยากจะพูดกับเขาตั้งแต่ผมทำร้ายเขาวันนั้น
“ขอโทษอะไร หืม” น้ำเสียงของจงอินทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอโทษที่ฉันตบหน้านายวันนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องขอโทษนายที่พูดจาแบบนั้นไป”
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว เออจงอิน...”
“ไม่เป็นไรแล้วเรากลับบ้านกันนะ” ไม่ทันพูดจบประโยคจงอินก็คว้ามือผมเดินออกจากห้อง
รถสปอร์ตคันหรูมุ่งหน้าสู่บ้านของจงอิน แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าระยะทางระหว่างโรงพยาบาลกับบ้านของจงอินช่างไกลเหลือเกิน นาทีนี้รู้สึกผิดและรู้สึกอึดอัดจริง ๆ ... ผมใช้เวลาคิดซ้ำไปซ้ำไปซ้ำมาทบทวนจนแน่ใจแล้วผมจะหาโอกาสที่เหมาะสมพูดกับจงอินให้เร็วที่สุด เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกจนกระทั่งมาถึงคอนโด จงอินเพียงแค่ช่วยถือของเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วเดินนำเข้าห้องไป ผมมองตามแผ่นหลังนั้นอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยเรียกร่างสูง
“จงอิน คือว่าฉัน...” แม้ว่าผมจะมั่นใจกับการตัดสินใจครั้งนี้แต่ผมก็ยังคงลังเลที่จะบอกกับเขาไป
“...” จงอินปล่อยให้ความเงียบตอบกลับ...เขาแค่หันมามองหน้าผม
“จงอิน ฉันก็อาศัยบ้านนายมานานแล้วโดยที่ไม่เคยตอบแทนอะไรเลย อีกอย่างตอนนี้ฉันก็แข็งแรงมากขึ้นแล้ว ฉันไม่อยากเป็นภาระนายอีก ฉัน...ฉันจะออกไปหางานทำข้างนอก” ในที่สุดสิ่งที่ผมคิดทบทวนมาตลอดทางก็ถูกพูดออกไป
ผมไม่สามารถคาดเดาคำตอบจากจงอินได้ เพราะถึงแม้เขาจะตอบกลับมายังไงผมก็จะไป ผมคิดว่าผมทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
“ทำงาน? หมายความว่ายังไง นายจะออกจากบ้านฉันแล้วไปหางานทำไปอยู่ตัวคนเดียวงั้นหรอ นายจะบ้ารึเปล่า นายน่ะอ่อนแอเกินกว่าจะทำงานตัวคนเดียวนะ” จงอินตอบน้ำเสียงออกจะดุผมอยู่บ้าง แต่ยังไงซะในเมื่อผมตัดสินใจแล้ว ผมก็ต้องไปให้ได้
“ฉันจะเลิกเที่ยว เลิกทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งเริงรมย์เหล่านั้นแล้ว ฉันแข็งแรงขึ้นแล้วและตอนนี้ฉันก็คิดได้แล้วว่าฉันไม่ควรเกาะนายตลอดแบบนี้ ฉันจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง” ผมพยายามหาเหตุผลมาพูดกับจงอินให้มากที่สุด ให้เขายอมตามใจผมอีกสักครั้ง และอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย
“หึ คนอย่างนายมาคิดได้อะไรตอนนี้ ของพวกนั้นนายเลิกมันไม่ได้หรอก นายน่ะเสพมันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนมันไหลซึมอยู่ในสายเลือดไปแล้ว นายหยุดไม่ได้หรอก”จงอินขึ้นเสียงคัดค้านเหตุผลของผม ดูเหมือนว่าเขากำลังประเมินผมต่ำเกินไปแล้ว ในสายตาของเขาผมคงเป็นคนแย่มากจนหาที่ดีไม่ได้เลยสิ
“จงอิน ฉันกับนายไม่ได้เป็นอะไรกัน นายหยุดดูถูกฉันแล้วเลิกทำเหมือนว่าฉันเป็นวัตถุรองรับอารมณ์ของนายได้แล้ว ฉันเป็นคน ฉันมีชีวิตจิตใจ ฉันเจ็บฉันรู้สึก...ใช่ แต่ก่อนฉันมันไม่มีจุดหมายนายอาจจะมองฉันเป็นวัตถุก็คงไม่ผิด แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ฉันอยากมีชีวิตอยู่” เสียงของผมสั่นเครือผมพยายามกลั้นน้ำใส ๆ ไม่ให้มันไหลออกมาแสดงความอ่อนแอให้เขาได้เห็นอีก
“ฉันไม่เคยเห็นนายเป็นสิ่งของ”
“นายไม่เคยพูดแต่นายกำลังทำอยู่ตลอดเวลา”
“อ๋อ หรือว่าเพราะไอ้หน้าหล่อนั่นนายถึงได้อยากออกไปอยู่ที่นี่”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น”
“นายบอกฉันมาสิ ว่าฉันให้นายไม่พอรึไง อยากได้อะไรอีก ต้องการอะไรอีก” จงอินดูถูกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นทำให้ผมคิดว่าผมคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจอย่างนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะจงอิน!!” จงอินชะะงักไปในชั่วขณะหนึ่ง เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด จงอินทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วเงยหน้าสบตากับผม
"ฉันไม่ให้นายไป"
"จงอิน..." เสียงของเราทั้งสองคนต่างแผ่วลงหลังจากที่ตะเบ็งใส่กันมาหนักหน่วง "เราสองคนอยู่กันอย่างนี้ไม่ได้ตลอดไปหรอกนะ สักวันหนึ่งนายก็ต้องไปตามทางของนาย ฉันเองก็ต้องมีชีวิตของฉันเหมือนกัน"
"ชีวิตของนายน่ะเหรอ?" จงอินแค่นหัวเราะ "ฟังดูแปลกหูดีนะเวลานายพูดคำนี้ ชีวิตของจาง อี้ชิงมันจะอยู่ต่อไปได้อีกเท่าไหร่กันเชียว"
ผมรู้สึกแสบร้อนที่ขอบตา กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวแล้ว ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นมีเพียงแค่หยดน้ำตาไหลออกมาเท่านั้น เจ็บแปลบที่จงอินพูดจากระแทกกระทั้นผมเอง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้มันไหลออกมามากไปกว่านี้ ไม่อยากอ่อนแอไปกว่านี้อีกแล้ว ผมสูดน้ำมูกเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน
"นายจะเก็บฉันไว้ให้เฉาตายทั้งเป็นเหรอ ถ้าเป็นแบบนี้นายจะมีความสุขมากกว่าใช่ไหม" จงอินสบตากับผมแวบหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี "ฉันเป็นคนนะจงอิน เห็นไหมว่าฉันเองก็มีเลือดเนื้อ เห็นรึเปล่า"
ผมยื่นแขนไปหาจงอินในขณะที่เขาพยายามเบี่ยงตัวหนีแต่ผมก็ยังทำแบบนั้นจนจงอินต้องรีบแขนผมไว้แล้วดึงตัวผมให้ลงไปนั่งข้าง ๆ กัน
"นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไอ้ของพวกนี้" จงอินเขย่ามือที่รวบแขนผมไว้ "มันเป็นของไม่มีค่า ไม่มีใครต้องการเพราะงั้นจะพยายามไปทำไม พยายามไปเพื่ออะไร"
ผมมองหน้าจงอินอย่างไม่เชื่อสายตา อยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ นี่มันใช่คนเดียวกันกับที่พยายามบังคับให้ผมกินยารึเปล่า คนที่เคยกอดปลอบผมเวลาที่ผมร้องไห้จะเป็นจะตายรึเปล่า ผมส่ายหน้าไปมาช้าๆ กำลังรวบรวมสติของตัวเอง
"แล้วนายล่ะจงอิน พยายามมีชีวิตไปเพื่ออะไร"
"ฉันมีชีวิตเพื่อนนาย"
"ไม่ใช่หรอก นายอยากให้ฉันมีชีวิตเพื่อนายต่างหาก"
มันช่างเป็นบทสนทนาที่น่าอึดอัดเหลือเกิน ผมอยากจะลุกเดินหนี เก็บของแล้วออกไปจากที่นี่ซะตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่ผมทำไม่ได้ จงอินปล่อยมือก่อนจะเลื่อนขึ้นไปเสยผมตัวเองจงอินมักจะทำแบบนี้เสมอเวลามีเรื่องเครียด เขาเม้มริมฝีปากพลางมองมาทางผมเป็นระยะ ในที่สุดจงอินก็ลุกขึ้นเดินไปอีกห้องหนึ่งทิ้งผมให้นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ผมน่าจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงจงอินก็ไม่ปล่อยผมไปแน่
ผมนึกถึงเบอร์โทรศัพท์ที่ลู่หานให้ไว้ บางทีผมอาจจะขอให้เขาช่วยได้ ถ้าจงอินไม่ยอม คืนนี้ผมคงจะต้องแอบเก็บข้าวของอันน้อยนิดของตัวเองแล้วแอบออกไปออกไปอย่างที่เคยทำ ลู่หานอาจจะช่วยให้ผมหนีไปไกล ๆ ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงรู้สึกไว้ใจลู่หานขนาดนี้ อาจเป็นเพราะบทสนทนาเมื่อครั้งอยู่ที่โรงพยาบาลล่ะมั้ง ลู่หานมักจะแวะมาเยี่ยมผมบ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าผมจะโง่จนไม่รู้หรอกนะว่าหมอซ่งเชี่ยนให้ลู่หานมาทำให้ผมยอมกินยา ผมรู้ดี แต่การได้พูดคุยกับใครสักคนมันก็ทำให้เราได้อะไรดี ๆ กลับมาเหมือนกัน อย่างตอนนี้ที่ผมคิดจะใช้ชีวิตของตัวเองสักครั้งก่อนที่จะสายเกินไป บนโลกกว้างใบนี้อาจจะมีอะไรให้ทำมากกว่านอนรอความตายหรือใช้ชีวิตเฉกเช่นของเล่นของจงอิน
ผมนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่งจงอินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นอีกครั้งพร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่นที่ขีดเขียนอะไรสักอย่างไว้และยากจะอ่านออก จงอินยื่นมันให้ผม
"งั้นนายก็ไปอยู่ที่นี่แล้วกัน" จงอินบอกเมื่อเห็นว่าสีหน้าของผมแสดงออกว่าไม่เข้าใจ "เป็นห้องพักเล็ก ๆ ใกล้กับโรงพยาบาล มันก็คงจะดีกว่าถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาแล้วมีหมออยู่ใกล้ ๆ "
ผมถอนหายใจ สุดท้ายฉันก็หนีนายไม่พ้นหรือไงนะจงอิน
"ฉันอยากทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่านะจงอิน" ผมปฏิเสธความช่วยเหลือที่ถูกหยิบยื่นมาให้
"มันเป็นห้องพักของเพื่อนฉัน ในนี้มีแผนที่กับเบอร์โทรติดต่อ" เขาไม่สนใจและยัดกระดาษแผ่นนั้นใส่มือผม "เก็บข้าวของซะ เดี๋ยวฉันจะไปส่งเอง"
"จงอิน..."
"นายขอฉันมามากพอแล้วอี้ชิง แล้วถ้าฉันจะให้ ฉันก็จะให้ในแบบของฉันถ้านายไม่โอเค เราก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้กันอีก"
ผมสบตาเขาแต่จงอินเบือนหน้าหนีแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาใครสักคน ผมแค่นยิ้มอย่างยากลำบาก อยากจะเอ่ยขอบคุณแต่ทำไมหัวใจมันไม่อยากทำ จงอินจะรู้ไหมว่าแบบนี้มันไม่ต่างจากเดิมเลยสักนิด...ตัวผมก็เหมือนนกตัวหนึ่ง ที่กำลังจะถูกเจ้าของเปลี่ยนกรงให้เท่านั้นเอง
ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าในยามเช้าสาดส่องแสงแดดมายังพื้นดินให้สรรพสิ่งบนพื้นโลกขับเคลื่อนตาม มันทำงานตามหน้าที่ของมันทุกวัน...เฉกเช่นกับผู้คนทั่วทุกมุมโลกที่ต้องขวนขวายทำมาหากินในแต่ละวัน... คริสในรถยนต์ส่วนตัวตัวหมุนข้อมือดูนาฬิกาที่บอกเวลาว่าต้องเร่งรีบแข่งกับเวลายามเช้าก่อนที่ผู้ร่วมหุ้นท่านอื่น ๆ จะรอนานกว่านี้
“คุณเฉินช่วยเร่งความเร็วกว่านี้ได้ไหมครับ ผมเกรงว่าถ้าถึงที่ประชุมสายกรรมการท่านอื่นจะตำหนิเอา”
“ครับ ๆ” คนขับรถน้อมรับคำสั่งของเจ้านายอย่างรู้งาน รีบเร่งเครื่องยนต์ไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมาย ช่วงขายาวภายใต้ชุดสูทของชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเพื่อไปรับเอกสารจากเลขาสาวที่ยืนรออยู่หน้าห้องประชุมอยู่แล้ว
“เอ่อ คุณคริสคะ เมื่อกี๊มีโทรศัพท์ถึงคุณคริส...”
“ไว้ค่อยคุยหลังประชุมเสร็จนะคุณซันนี่” คริสบอกปัดเลขาสาวด้วยความเร่งรีบแล้วรีบเดินเข้าห้องประชุมไปก่อนที่ซันนี่จะพูด ซันนี่ได้แต่ส่ายหน้าให้กับเจ้านายแสนขยันบทจะรีบก็เร็วเสียจนตามไม่ทัน คุณคริสก็เป็นอย่างนี้แหละ
อีกฝั่งของโรงพยาบาลที่คลาคล่ำไปด้วยคนป่วยมากหน้าหลายตาลู่หานกับซ่งเชี่ยนคุยกันเกี่ยวกับอาการป่วยของอี้ชิงที่ถึงแม้จะว่าตอนนี้จะดีขึ้นแล้วแต่ยังไงก็ห้ามห่างจากหมออยู่ดี
“วันนั้นเข้าไปคุยอะไรกับอี้ชิงบ้างล่ะ” ลู่หานชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบคุณหมอรุ่นพี่อย่างบ่ายเบี่ยง
“ผมก็ชวนเค้าคุยนั่นนี่ตามประสาหมออยากคุยกับคนไข้แหละครับ”
“นี่ ๆ เจ้าตัวจ้อย อย่ามาทำเป็นกั๊กนะ พี่รู้ว่าเธอเก็บข้อมูลได้เยอะ”
“ผมคิดว่า...”
~When I see your face there's not a thing that I would change. Cause you're amazing just the way you are. ~
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง ลู่หานล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องสวยจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ หน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย ก่อนจะกดรับสายจากปลายทาง ทันทีที่รับสายลู่หานรู้สึกดีใจมากเมื่อรับรู้ว่าปลายสายนั้นคือ‘อี้ฝาน’ เพื่อนสนิทสมัยมัธยมที่ขาดการติดต่อกันมาเป็นเวลานาน เขาดีใจจนลืมบทสนทนาที่คุยค้างไว้กับคุณหมอรุ่นพี่ ก่อนจะขอตัวเดินไปอีกทางเพื่อคุยกับปลายสาย…
…. “มันคงเป็นโชคชะตาที่ฉันได้มาทำงานที่โรงพยาบาลที่นายอุปถัมภ์อยู่”
“ฉันคิดว่าจะไม่ติดต่อนายอีกแล้วเชียว”
“โธ่! อี้ฝาน นายจะใจร้ายกับเพื่อนไปถึงไหน”
“เฮ้ ลู่หาน ใครกันแน่ที่ทิ้งเพื่อนไปเรียนโดยไม่บอกกล่าวอะไรกันเลย”
"ก็ตอนนั้น เป็นใครก็คงต้องเลือกอนาคตนี่ เอออี้ฝานมีคนไข้เข้ามาอีกแล้ว ฉันต้องขอตัวละนะ ไว้ว่างเราค่อยเจอกัน"
"เฮ้อ ฉันว่าฉันยุ่งแล้วคงต้องยอมแพ้คุณหมอคิวคิวทองแล้วล่ะ แล้วเจอกันลู่หาน"
หลังจากย้ายของเข้าที่ซุกหัวนอนที่ใหม่ ก็ถึงเวลาที่ผมต้องเริ่มทำอะไรที่จริงจังกับชีวิตของตัวเองสักที นึกโมโหตัวเองที่เก็บเอกสารส่วนตัวไม่เป็นที่เป็นทางเอาซะเลย แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้หายไปไหน จงอินไม่ได้เอ่ยคำลากับผมเมื่อตอนที่มาส่ง ผมคิดเอาเองว่าเพราะว่าเราไม่ได้ลาจากกัน ยังไงจงอินก็คงแวะมาหาผมบ่อย ๆ อยู่ดี จะหลบเลี่ยงยังไงดีนะ
ผมยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเองหลังจากที่จัดของเสร็จ หันไปมองนาฬิกาก็เข้าช่วงสายพอดี ผมกวาดตามองไปรอบห้อง อพาร์ทเม้นขนาดเล็กที่อยู่คนเดียวได้สบาย ๆ แล้วถอนหาย ถ้าวันหนึ่งผมหางานเก็บเงินของตัวเองได้แล้วผมคงจะหาที่อยู่ใหม่เอง ถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ของผมกับจงอินอาจจะเป็นเพียงแค่เพื่อน...ที่คอยช่วยเหลือกัน ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
ตอนมาที่นี่ผมเหลือบเห็นประกาศรับสมัครพนักงานในร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่งใกล้ ๆ ที่พัก ตั้งใจว่าจะลองไปสมัครดู อย่างน้อยเงินค่าแรงก็น่าพอค่ากินในแต่ละเดือนถ้าประหยัดหน่อยก็คงเอาเงินไปต่อยอดได้ ผมครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยากจะทำต่อจากนี้ขณะอาบน้ำ อา...ใช่สิ ผมยังไม่ได้ตอบแทนอะไรคริสเลย เผลอยิ้มออกมาตอนคิดถึงเขาอีกแล้วนะจางอี้ชิง แต่จะติดต่อเขายังไงดี บางทีเขาอาจจะทำงานอยู่ที่โรงแรมก็ได้ เอาเป็นว่า หางานได้เมื่อไหร่ค่อยไปหาเขาก็แล้วกัน
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็เดินเท้าไปยังร้านเบเกอรี่ ใช้เวลาประมาณห้านาทีก็ถึง ภายนอกตัวร้านเต็มไปด้วยไม้ประดับให้ความรู้สึกสดชื่น ร่มรื่นทั้งที่ร้านอยู่ตรงใจกลางเมือง ตรงหน้าร้านมีป้ายติดประกาศรับสมัครพนักงานอยู่ ผมสูดหายใจลึกก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
ภายในตกแต่งได้สวยงาม ไม่น่ารักแอ๊บแบ๊วเกินไป แต่ก็ไม่ได้ดูแปลกแหวกพิศดารจนไม่มีใครกล้านั่ง เน้นไปที่โทนสีน้ำตาลซะเป็นส่วนใหญ่ เปิดเข้ามาก็จะเจอตู้ที่ใส่บรรดาเค้กหน้าตาน่ากินมากมาย
"ยินดีต้อนรับค่ะ" เสียงใสของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์เอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร
"ผมเห็นประกาศตรงหน้าร้านน่ะครับ..."
"อ๋อ มาสมัครงานใช่ไหมคะ นั่งรอแป๊บนึงนะ"
หญิงสาวคนนั้นผายมือไปที่โต๊ะว่างตรงมุมร้าน ท่าทางกระฉับกระเฉงของเธอทำให้ผมอดจะมองตามอย่างลืมตัวไม่ได้ ผมหย่อนตัวลงนั่งเชื่องช้าหรือเพราะเธอเร็วเกินไปก็บอกไม่ได้ เพราะยังไม่ทันจะนั่งลงเต็มที่ เธอก็นั่งลงตรงหน้าผมแล้ว
"อ่า ช่วยกรอกประวัติส่วนตัวด้วยนะคะ" เธอยื่นเอกสารให้ผมก่อนจะลุกไปเอาเครื่องดื่มกับเค้กมาให้ "ฉันชื่อ ดาน่านะ เรียกพี่ดาน่าก็ได้"
"ครับ" ผมตอบรับแล้วยื่นเอกสารที่กรอกเสร็จแล้วให้ ดาน่าก้มอ่านอย่างละเอียด น่าจะสามรอบเป็นอย่างต่ำ เธอเงยหน้ามาสบตาและยิ้มให้ผมบ้างคงเพื่อไม่ให้ผมรู้สึกอึดอัด
"ไม่มีโรคประจำตัวอะไรใช่ไหมคะ"
"อ่า...ครับ" ผมเลือกที่จะไม่บอก เพราะถ้ารู้ว่าผมมันพวกขี้โรค ผมอาจจะพลาดงานนี้ไปก็ได้
"ดีจัง พนักงานคนก่อนมีโรคประจำตัว ต้องลาบ่อยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ประวัติโอเคนะ สะดวกเริ่มงานพรุ่งนี้เลยไหม วันนี้พี่จะสอนงานให้ก่อน"
"ครับผม"
"ที่ร้านเนี่ยจะมีพี่แล้วก็น้องที่ประจำหน้าร้านอีกคนหนึ่ง ส่วนแผนกครัวหลังร้านมีอีกสอง ร้านเราเปิดสิบโมงเช้า แต่ต้องเข้างานตอนเจ็ดโมงนะ พอดีช่วงนี้พี่ต้องบินไปกลับต่างประเทศบ่อยเลยอยากได้คนมาช่วยที่หน้าร้านน่ะจ้ะ" พี่ดาน่าพูดรัวเร็วจนผมได้แต่พยักหน้ารับ
แล้ววันนั้นทั้งวันก็เป็นวันเรียนรู้งานของผม ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนจากโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก หมอลู่หานจะเคยมาทานเค้กที่นี่รึเปล่านะ ไว้ถึงวันหมอนัดเมื่อไหร่ผมค่อยซื้อเค้กไปฝากหมอลู่หานกับหมอซ่งเชี่ยนก็แล้วกัน
ผมทำงานเก็บเงินด้วยตัวผมเองมาได้อาทิตย์นึงแล้วรู้สึกภูมิใจกับเงินก้อนแรกที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยรับรู้ถึงความยากลำบากเลยสักนิด ไม่เคยเห็นคุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ พ่อกับแม่เลี้ยงมาบนกองเงินกองทองแต่ไม่เคยสอนให้รู้จักคุณค่าของมันเลย...
กับจงอินผมไม่ได้ติดต่อกับเขาอีกเลยตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์นี้ ชีวิตผมวุ่นอยู่กับร้านเบเกอรี่ พี่ดาน่าเจ้าของร้านใจดีกับผมมาก ๆ แม้ว่าผมจับนั่นนี่ผิดอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม พี่ดาน่าให้เงินผมรายสัปดาห์และอนุญาตให้ผมหยุดได้ทุก ๆ วันอาทิตย์ วันนี้ผมคิดว่าจะเข้าไปหาคริสที่โรงแรมสักหน่อย ซื้อขนมในร้านสักกล่องไปขอบคุณเขาดีกว่าจะปล่อยให้เวลามันล่วงเลยไปมากกว่านี้
ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรมเพื่อติดต่อคริสกับพนักงาน แต่แม่สาวประชาสัมพันธ์นั้นค่อนข้างแสดงออกว่ารังเกียจผม บางทีอาจจะต้องอบรมมารยาทใหม่นะถึงแม้ว่าผมไม่ใช่ลูกค้าของที่นี่ก็ตาม หล่อนก็ไม่ควรปฏิบัติกับแขกของเจ้านายแบบนี้ ‘แขกของเจ้านาย’ ...เฮ้อ คิดดูอีกทีแล้วผมมีอะไรพอจะเป็นแขกของคริสบ้างไหมเนี่ย ผมนั่งรอที่ห้องรับแขกได้สักพักแล้ว อีกนานแค่ไหนนะกว่าคริสจะมา วันอาทิตย์อย่างงี้งานยังยุ่งอีกนะคุณนักธุรกิจ
“รอนานไหม” ผมหันตามต้นเสียงที่ปลุกผมสะดุ้งตื่นจากความคิดยามเหม่อลอย
“อะ เอ่อ สวัสดีคริส ผมเพิ่งมาไม่นานน่ะ เกรงว่าจะมารบกวนเวลางานคุณรึเปล่า ผมเอาขนมมาฝาก” คริสเลิกคิ้วทำหน้าสงสัยกับเจ้ากล่องสีขาวที่ถูกยื่นมาตรงหน้า
“หืม ขนมอะไร”
“บราวนี่ ผมซื้อมาฝากเป็นการขอบคุณคุณวันนั้น” คริสทำท่านึก ให้ตายทำไมผู้ชายคนนี้ทำอะไรก็ดูดีไปหมด อย่าทำเป็นเก๊กได้ไหม ทำหน้านิ่ง ๆ หัวใจของผมก็จะหลอมรวมกับชิ้นขนมหวานที่นำมาฝากแล้ว คริสรับกล่องขนมนั่นไปแล้วทำท่าเปิดมันออก
“กินด้วยกันสิ”
“ไม่ดีกว่า อยู่ร้านผมกินมันแทบจะทุกวัน คุณกินมันเถอะ”
“ร้าน? หมายความว่ายังไง คุณเปิดร้านเองหรอ”
“เปล่าครับ ผมออกมาหางานทำ ตอนนี้เลยเช่าห้องอยู่คนเดียว”
“อ่อ ถ้าผมถามไปมากกว่านี้คงเป็นการละลาบละล้วงเสียเปล่า แต่เอ...ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าบราวนี่ชิ้นนี้มันอร่อยจริง กินลงไปแล้วจะไม่เป็นอะไรไหมนะ แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณไม่ได้ใส่อะไรลงไป”
“เห...ใส่อะไรลงไป ผมจะใส่อะไรลงไปได้ยังไงล่ะครับวันนี้วันหยุดของผมแล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนทำมันนะ อีกอย่างที่ซื้อมาให้เนี่ยผมไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายต่อคุณเลยสักนิดเดียว” ผมตกใจกับคำพูดของคริสจนต้องเอะอะโวยวายเหมือนคนร้อนตัวทำอะไรผิด
“งั้นคุณก็พิสูจน์สิ กินกับผมนะ”
“...”
เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ เฮ้อ...คริสในที่สุดผมก็ตกหลุมพรางคุณจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่แม้แต่จะปฏิเสธเขา เหมือนโดนคำสั่งให้ผมต้องทำตามแต่ต่างกันที่ผมไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อยผมให้คริสเปิดคำแรกแต่เขาทำท่าบ่ายเบี่ยงไม่ยอมจนผมต้องเป็นคนเปิดเอง คำต่อมาจึงเป็นเขาที่กินมัน
“อืม อร่อยมากเลย” เขาเอ่ยชมขนมชิ้นน้อยนั้น ผมดีใจจังที่เขาชอบมันเพราะผมชอบกินบราวนี่ตั้งแต่เด็กแล้ว และก็แปลกดีผมเพิ่งรู้ว่าผมกับบราวนี่มีบางอย่างที่เหมือนกันกับผม ผมยิ้มให้กับเจ้าของคำชมอย่างเปิดเผย สองแก้มของผมก็ร้อนฉ่าขึ้นมาเสียดื้อ ๆ “แต่ อี้ชิง!! อี้ชิง!! อะแค่ก ๆ”
“ติดคอหรอ น้ำล่ะน้ำ”ผมรีบรนจะลุกขึ้นวิ่งหาน้ำให้คริสแต่ก็ถูกมือเขาดึงไว้นั่งลงบนโซฟานุ่มเช่นเดิม
“อี้ชิง นี่ผมไม่น่าเชื่อคุณเลย ผมน่ะ ผม อะแค่ก ๆ”
“คริส ผมขอโทษ คุณแพ้ส่วนผสมมันหรอ คุณ คุณ...” สีหน้าหน้าคริสค่อย ๆ กลับมาเรียบเฉยเหมือนเหตุการณ์เมื่อกี๊ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากระตุกยิ้มออกมาตรงมุมปากเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ อะไรกัน เขาเล่นอะไรอยู่ คุณรู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณนะ
“คุณใส่อะไรลงไป บอกผมมาเดี๋ยวนี้ สารภาพมาเดี๋ยวนี้” เสียงเข้มนั่นทำผมตกใจอยู่ไม่น้อยเลย จริง ๆ นะ
“เปล่านะ ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ใส่อะไรลงไป ผมพิสูจน์แล้วนี่”
“ไม่จริง”
“...”
“คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้ใส่อะไรลงไปจริง ๆ ... แล้วทำไม...ผมถึงหลงสเน่ห์เจ้าบราวนี่คำเล็กนั่นจังล่ะจางอี้ชิง”
หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น นี่คริสจีบผมอยู่รึเปล่า เพื่อนกันธรรมดาเค้าไม่พูดอะไรแบบนี้ให้กันหรอกใช่ไหม ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขิน ไม่รู้จะวางมือวางไม้ไว้ตรงไหนดี ทำไมกันนะ อายุตั้งเท่านี้แล้วยังจะมาเขินมุกตื้น ๆ ของผู้ชายตรงหน้าได้อีก
"ล้อเล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้ ผมก็นึกว่าคุณจะแพ้อะไรซะอีก"
"แพ้สิ"
"จริงเหรอครับ" ผมเหยียดตัวนั่งหลังตรง "งั้นไม่ต้องกินต่อก็ได้นะ" ผมเอื้อมมือไปจะเก็บกล่องบราวนี่กลับมา
รู้สึกไม่ดีที่คริสจะต้องมาป่วยเพราะผม งี่เง่าชะมัดเลยอี้ชิง น่าจะถามเขาก่อนว่าแพ้อาหารอะไรรึเปล่า แต่แล้วมือหนาของคริสก็เอื้อมมาจับมือผมไว้ เป็นเชิงห้ามว่าไม่ต้องเก็บ ผมเงยขึ้นสบตากับคริสก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดชะมัด...
หัวใจคนเรามันเต้นแรงได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
"ไม่ได้แพ้บราวนี่หรอก แพ้คนเอามาให้ต่างหาก" คริสยิ้มแล้วเริ่มต้นกินต่ออีกครั้ง บ้าชะมัด หัวใจผมมันเต้นแรงจนกลัวว่าอีกคนจะได้ยินชัดเจน...พระเจ้า ผมว่าผมคงหลงรักคริสเข้าแล้วจริง ๆ ทุกอย่างที่เขาทำมันทำให้ผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้าเลย ความรู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายที่เคยเป็นมันเมื่อไหร่กันนะ
"งั้นวันหลังไม่เอามาให้แล้วดีกว่า เผื่อคุณชักตายขึ้นมาผมจะซวย"
"บราวนี่ชิ้นหนึ่งราคาเท่าไหร่เหรอ" คริสไม่สนใจคำพูดของผมแต่ยิงคำถามมาให้ ผมเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยตอบ
"แปดหยวนครับ"
"อืม...งั้นเหรอ แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าค่าห้องพักที่คุณมานอนเมื่อตอนนั้นราคาเท่าไหร่" คริสพูดยิ้ม ๆ นั่นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
"ไม่รู้สิครับ"
"ห้องนั้นน่ะเป็นห้องพักสำหรับแขก VVIP ราคาคืนละห้าพันหยวน" คริสมองผมที่ตอนนี้คงแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกไปอย่างเห็นได้ชัด "เพราะงั้นถ้าคุณอยากจะตอบแทนผมด้วยบราวนี่แบบนี้ คุณก็ต้องเอาบราวนี่มาให้ผมหกร้อยยี่สิบห้าชิ้น ชิ้นละวันก็เป็นหกร้อยยี่สิบห้าวันพอดี"
"โห" ผมอ้าปากค้างกับความรวดเร็วในการคิดคำนวณของเขา สมกับเป็นนักธุรกิจชะมัด "ตั้งมากมายขนาดนั้น จะไม่เบื่อแย่เหรอครับ"
"เบื่อสิ งั้นมาทั้งหกร้อยยี่สิบห้าวันแต่ไม่ต้องเอาบราวนี่มาก็ได้"
"งั้นผมก็ต้องมาเจอคุณทุกวัน...เกือบสองปีเลยน่ะสิครับ" ผมหัวเราะ เพราะคิดว่าเขาคงพูดเล่น แต่สายตาของคริสกลับดูจริงจังขึ้นมาในเสี้ยววินาทีหนึ่งก่อนที่เขาจะวางช้อนลง
"บางทีเราอาจจะเจอกันทุกวันมากกว่าสองปีก็ได้" มากกว่าสองปีเหรอ...
อะไรบางอย่างทำให้รอยยิ้มของผมจางลง ผมจะอยู่ถึงตอนนั้นรึเปล่านะ บางทีผมอาจจะหายไปตั้งแต่วันที่สองร้อยกว่า ๆ ก็ได้ใครจะไปรู้ ผมมองดูคริสที่หยิบช้อนขึ้นมาตัดแบ่งบราวนี่เป็นส่วน ๆ ทำไมเขาถึงได้ดูเปล่งประกายขนาดนี้นะ อย่างกับดาวฤกษ์แน่ะ
"มันจะไม่นานไปเหรอครับ สองปีเลยนะ" สำหรับผมมันดูยาวไกล ไกลจนรู้สึกว่ายากที่จะไปถึงขนาดนั้น
"สองปีก็เหมือนสิบนาทีนั่นแหละ ถ้าเราสนใจแค่ว่าจะได้เจอกันไม่มานั่งนับวันเวลา" คริสตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่ก็ดูมีสเน่ห์ "หรือคุณไม่อยากเจอผม?"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับยิ้มบาง ๆ
"ขอบคุณนะครับ" สำหรับทุก ๆ อย่าง "ขอบคุณมากจริง ๆ"
"ผมก็ช่วยได้เท่าที่ช่วยนั่นแหละ ว่าแต่จะไม่กินอีกหน่อยเหรอ" คริสขยับเข้ามาใกล้ ตักเอาบราวนี่ติดช้อนขึ้นมาด้วย
"คุณทานเถอะ"
"อย่าปฏิเสธเลย ชิ้นนี้อร่อยที่สุดนะ"
"รู้ได้ยังไงว่าอร่อยที่สุด ก็ตักมาจากชิ้นเดียวกันไม่ใช่เหรอครับ?"
"หลับตาสิ" ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ จะกินบราวนี้ให้อร่อยต้องหลับตาด้วยเหรอ "หลับตาก่อน เร็วเข้า"
น้ำเสียงของคริสฟังดูเร่งเร้าจนผมต้องหลับตาลงโดยอัตโนมมัติ แต่เพราะเสียงหัวเราะกรุ้มกริ่มของคริสนั่นเองที่ทำให้ผมคิดว่าโดนแกล้งแน่ ๆ เลยตัดสินใจลืมตาขึ้นดู
"อื้อ!" แต่วินาทีที่ผมลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของคริสก็ขยับเข้ามาใกล้ รวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน...คริสจูบผม
ความรู้สึกหลากหลายกำลังถาโถมเข้ามาใส่ หัวใจของผมเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม จนกลัวว่ามันจะหลุดออกมา นัยน์ตาของคริสแฝงแววซุกซนไว้เต็มที่ ผมเลื่อนมือไปดันหน้าอกของคริสแต่ก็ออกแรงได้เพียงแผ่วเบา...ผมต้านทานเขาไม่ได้เลย นั่นคือความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ คริสจูบผม เราจูบกัน จะเรียกว่าเสียรู้ดีไหมนะ ผมไม่ใช่จาง อี้ชิง วัยสิบสี่ปีที่ไม่ประสีประสา แต่ผมคืออี้ชิง คนที่กำลังตกหลุมรักคน ๆ นี้หมดหัวใจ
คุณรู้ไหม คนที่ใส่อะไรลงไปในบราวนี่ชิ้นนี้ไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นคริสต่างหาก...ที่ใส่ความรักลงไปในบราวนี่ชิ้นนี้
TBC…
Talk to you
Windy Boy :: ตอนนี้ค่อนข้างยาวกว่าตอนที่ผ่าน ๆ มานิดนึงเพราะความเวิ่นเว้อของคนเขียนรึเปล่าก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ตอนนี้เราเขียนกันมายาวนานจริง ๆ ตั้งแต่ก่อนคอนเสิร์ต SMTOWN แล้ว พอคอนเสิร์ตจบก็กลับมาจูนกันอีกครั้งอยากบอกว่ามันอืดมากสงสัยได้รับอิทธิพลจากคอนเสิร์ตมั้งคะ ฮ่า ๆ จนป่านนี้ยังฟินอยู่นะ TT^TT วันนี้ประกาศผลรางวัลงาน MAMA แล้ว ขอแสดงความยินดีกับศิลปินทุกท่านทุกวงที่ได้รับรางวัลด้วย *ปรบมือ* สำหรับศิลปินที่ไม่ได้รางวัลสิ่งที่สำคัญกว่าคือการเข้าร่วม ^_^
Pickajae :: ดองมาหนึ่งอาทิตย์ล่ะ เพราะไปฟินคอนเสิร์ตกับแม่นางวินดี้บอยมา ยังปริ่มน้องดีจุดโอวิ่งผ่านหน้าไปมาไม่หายเลอ ๕๕ ตอนนี้อืด ๆ เนือย ๆ ตามสภาพคนแต่งค่ะ จริงแต่งเสร็จนานแล้ว มั่วแต่นั่งลุ้นรางวัลงานมาม่าอยู่น่ะแหละ เด็ก ๆ เราได้รางวัลด้วย โว้ววววว ถือซะว่าลงฟิคฉลองก็แล้วกัน หุหุ เพื่อกำลังแรงใจในการแต่ง คอมเม้นสักนิดพอเป็นกระสัยนะคะ รักรีดเดอร์ทุกคน *จับจูบเรียงตัว* -3-
ความคิดเห็น