คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : B L U E : : 03
โรงพยาบาล...สถานที่ที่ไม่ว่าใครก็ตามคงไม่ประสงค์ที่จะเข้ามาเยี่ยมเยียนมันสักเท่าไหร่ จะว่ามันสถานที่รักษาเยียวยาคนไข้ก็ใช่ แหล่งรวมเชื้อโรคก็ไม่ผิด ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งกลางกรุงปักกิ่งเมืองที่นับว่าเป็นที่ศูนย์กลางทางการปกครอง การศึกษา การขนส่ง และวัฒนธรรมของจีน ในแต่ละวันพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมายที่แวะเวียนเข้ามาใช้บริการ ผู้คน...ที่เรียกว่า ‘ผู้ป่วย’
ถึงแม้มันจะเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปไม่ปรารถนาจะมาแต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องมาที่นี่ทุกวัน มาทำบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าคำว่า ‘หน้าที่’ แต่ละปีจะมีคุณหมอหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาทำงานประจำ คุณหมอที่อายุการทำงานมากแล้วก็หยุดพักผ่อนราชการ เปิดโอกาสให้คุณหมอจบใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนต่างก็ตื่นเต้นกับการทำงานในสถานที่ใหม่ๆ ครั้งแรก
ลู่หาน...จิตแพทย์หนุ่มชาวจีนโดยกำเนิดที่เพิ่งเรียนจบจากฮาวาร์ด มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นชื่อในด้านการแพทย์เพิ่งย้ายมาประจำโรงพยาบาลแห่งนี้ได้ไม่นาน บุคลิกดี หน้าตาดี จิตใจอ่อนโยน มนุษยสัมพันธ์ดี เขาเรียนจบชั้นมัธยมปลายที่ปักกิ่ง จากนั้นในระดับอุดมศึกษาได้ทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา
ด้วยความที่เขานั้นทุ่มเทให้กับการเรียนหมอซึ่งเป็นความใฝ่มาแต่เด็กตลอดระยะเวลาที่เรียนอยู่อเมริกาจึงขาดการติดต่อกับเพื่อนสมัยมัธยมมานานมาก จนกลับมาคราวนี้เพื่อนๆ ที่เคยติดต่อกันบ้างบางคนก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว บางคนติดต่อไม่ได้เลย
ระหว่างเวลาอาหารมื้อเที่ยงที่ค่อนไปเกือบบ่ายสอง ลู่หานนั่งเคาะเท้าเป็นจังหวะช้า ๆ สม่ำเสมอ สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ห้องทำงานส่วนตัว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“อี้ฝาน...ฉันจะติดต่อกับนายยังไงดี”
'อู๋อี้ฝาน'...เป็นชาวเมืองกวางโจวโดยกำเนิดแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลายที่ปักกิ่ง เขากับลู่หานเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยม เป็นที่ปรึกษาที่ดีของกันละกันเสมอมา ใช้คำว่าเพื่อนสนิทเลยก็ไม่ผิดไปจากความจริงสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ลู่หานได้ทุนไปเรียนต่อโดยที่ไม่ได้บอกอีกฝ่ายก่อน ทำให้อี้ฝานไม่ยอมติดต่อกับลู่หานอีกเลย จะใช้คำว่าโกรธก็ไม่เชิง จนวันนี้ลู่หานกลับมาเหยียบผืนแผ่นดินจีนอีกครั้ง
เจ้าตัวกำลังใช้ความคิดอยู่กับตัวเองครู่ใหญ่ก่อนที่เสียงหวานจะดังขึ้น
“ลู่หานตอนนี้ว่างรึเปล่าจ๊ะ พอดีพี่มีคนไข้รายหนึ่งที่พี่เป็นเจ้าของไข้เขาอยู่ ถ้าเราว่างอยากให้ช่วยดูหน่อย”
‘ซ่งเชี่ยน’...เจ้าของเสียงสวยนั้นเอ่ยกับลู่หาน เธอและเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกัน ‘ซ่งเชี่ยน’ หรือชื่อที่ลู่หานเรียกบ่อยๆ ตอนอยู่อเมริกาคือ ‘วิคตอเรีย’ ...วิคตอเรียเป็นรุ่นพี่ของลู่หานสามปีเธอจบแพทยศาสตร์ สาขาอายุรศาสตร์ ในขณะที่ลู่หานจบสาขาจิตเวชศาสตร์ รู้จักกันในฐานะที่เป็นคนจีนที่ไปเรียนต่างแดนด้วยกัน
ลู่หานละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ หันไปมองยังใบหน้าของสาวสวยที่เพิ่งทำลายความครุ่นคิดของเขา ลุกขึ้นก้มตัวโค้งแล้วยิ้มบางๆ ให้กับรุ่นพี่อย่างมีมารยาท
“ว่างพอดีเลยครับ”
“อา งั้นดีเลย” คุณหมอคนสวยพูดสั้นๆ พลางดึงแขนลู่หานเดินสาวเท้ามุ่งไปยังห้องของผู้ป่วยรายนั้น
ภาพตรงหน้าคือผู้ชายผิวสีเข้มกำลังกุมมือคนไข้ที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงสีขาว สีหน้าท่าทางเหนื่อยอ่อนมากเหลือเกิน ทันทีที่ลู่หานและวิคตอเรียมาถึงความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงทักทายของผู้ชายผิวสีเข้มคนนั้น
“สวัสดีครับคุณหมอ...เขาไม่ยอมกินยา...” คุณหมอทั้งสองโค้งรับเป็นการทักทายชายคนนั้น ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดขึ้น
“คุณจงอิน...คนป่วยก็อย่างงี้แหละค่ะ เราบังคับให้เขากินยาไม่ได้หรอกถึงแม้ว่าเขาจะกินมันมาตลอดชีวิตแล้วก็ตาม คนป่วย...นอกจากสภาพร่างกายจะอ่อนแอแล้วยังส่งผลกับสภาพจิตใจนะ คุณไม่ควรปล่อยให้เขามีอาการเครียดหรือรู้สึกกดดัน เขามีโรคแทรกซ้อนหลายโรคคุณก็รู้ดี แต่วันนี้เรายังโชคดีนะคะแผลที่ปากเป็นเพียงแผลเล็ก ๆ และตอนนี้ระดับแฟ็กเตอร์ในร่างกายอี้ชิงอยู่ในระดับที่สูงพอสมควรจึงยังไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วงมากนักอาการหอบแล้วเป็นลมหน้ามืดมาจากโรคแทรกซ้อนมากกว่า”
ซ่งเชี่ยนพูดจบด้วยสีหน้าเศร้าเล็กน้อย
“ดูแลสุขภาพร่างกายอย่างเดียวไม่พอหรอกนะคะ เราต้องเข้าใจจิตใจคนป่วยด้วย” น้ำเสียงคุณหมอคนสวยออกจะตำหนิจงอินอยู่เล็กน้อย สายตาจงอินหลุบต่ำลงพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับเธอ “ให้อี้ชิงพักผ่อนเยอะ ๆ นะคะ”
“ครับ”
ลู่หานเอามือไขว้หลังไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมเพราะไม่ใช่เจ้าของไข้ เพียงแต่พินิจมองดูหนึ่งคนบนเตียงกับอีกหนึ่งคนที่ยืนอยู่ไม่ยอมห่าง ดวงตาหวานราวตากวางนั้นกวาดอ่านชื่อคนไข้ที่ปลายเตียงรวดเร็ว 'จาง อี้ชิง' ก่อนจะนึกชอบชื่อนี้อยู่ในใจ ลู่หานเงยหน้าขึ้นสบตากับจงอิน จิตแพทย์จบใหม่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่กลับถูกอีกฝ่ายเมินใส่จนหุบยิ้มแทบไม่ทัน
ลู่หานหันไปมองซ่งเชี่ยนในแววตาเจือไปด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงต้องพาเขามาด้วยแต่แพทย์สาวรุ่นพี่ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เช็คดูอาการอีกนิดหน่อย
"คนเฝ้าไข้เองก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ" ซ่งเชี่ยนเงยหน้าจากแฟ้มประจำตัวผู้ป่วยขึ้นพูดกับจงอิน เป็นจังหวะที่ลู่หานก้มลงอ่านแฟ้มที่หญิงสาวเปิดค้างไว้ "ไปกันเถอะลู่หาน"
เธอปิดแฟ้มลงยังไม่ทันที่ลู่หานได้ดูละเอียดก็โดนลากไปอีกครั้ง
"เธอคิดว่าไง"
"หา? คิดอะไรเหรอครับ" คนถูกถามเลิกคิ้วฉงนแม้จะพอเดาได้ลางๆ ว่าคู่สนทนาของตนต้องการอะไร
"อย่ามาทำไก๋หน่อยเลยพ่ออัจฉริยะตัวจ้อย ไหนลองพูดมาหน่อยสิ" ซ่งเชี่ยนหยิกเข้าที่เสื้อกาวน์ของลู่หาน จิตแพทย์หนุ่มหัวเราะแหะๆ
"ก็แฟนกันเฝ้าไข้กันแปลกตรงไหนล่ะครับ"
"แล้วรู้ได้ไงว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกัน"
"แต่เอ...ยังไม่ฟันธงว่าเป็นแฟนกันจะดีกว่ามั้งครับ ก็ดูจากที่ผู้ชายคนนั้นกุมมือคนป่วย แล้วก็ตำแหน่งยืนที่ผู้ชายยืนแถวๆ เหนือเตียงคล้ายกับบังคนไข้ไว้ แสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมที่จะปกป้องคนไข้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นถ้ามีผู้ไม่หวังดีบุกรุกเข้ามา นั่นแปลว่าคนไข้ต้องเป็นคนสำคัญสำหรับเขามาก" ลู่หานตอบฉะฉาน ซ่งเชี่ยนนึกภาพตามพยักหน้าหงึกหงักแล้วยิงคำถามต่อ
"แล้วไม่คิดว่าสองคนนั้นเค้าอาจจะเป็นเพื่อนกันเหรอ"
"ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่คิดว่าคนเป็นเพื่อนกันเค้าจะมองกันด้วยสายตาแบบนั้นหรอกนะครับ"
"แล้วอย่างนี้ทำไมถึงไม่ฟันธงล่ะว่าเค้าเป็นแฟนกัน" ลู่หานยิ้มน้อยๆ หลังจากได้ยินคำถามนั้น
"เพราะคุณอี้ชิงไม่ยอมทานยาน่ะสิครับ" หลังจากเงียบไปอึดใจ ซ่งเชี่ยนก็ชักสีหน้า
"กวนประสาทเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะเรา! เอาเถอะ พี่ก็อยากให้เรามาช่วยเรื่องนี้แหละ เรื่องที่คนไข้ไม่ยอมทานยา" หญิงสาวว่าเสียงอ่อนคล้ายกับจนปัญญา "คุณอี้ชิงไม่ยอมทานยาเลย แถมยังสูบบุหรี่ด้วย ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟังเลย เคสนี้หินมากขอบอก" แม้จะบ่นปนนินทาแต่ท่าทางน่ารักของซ่งเชี่ยนก็ทำให้ลู่หานอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ซ่งเชี่ยนเป็นคนน่ารักแบบนี้มาตั้งแต่รู้จักกัน เวลารู้สึกอึดอัดอะไรจะเก็บไว้ในใจไม่ค่อยได้ เป็นต้องระบายออกมาพร้อมทำหน้าตาน่ารักแบบไม่รู้ตัวด้วยเสมอ แต่บทจะจริงจังก็ใช่เล่นที่ไหน
"แล้วพี่จะให้ผมช่วยกล่อมให้เค้าทานยาเหรอครับ"
"ก็อยากให้ช่วยน่ะสิ หรือไม่ก็บอกวิธีมาก็ได้ จนปัญญา ถ้าคนไข้ไม่มีกำลังใจจะอยู่ต่อ ก็น่าจะนึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังบ้างสิ" ซ่งเชี่ยนพร่ำขณะนึกถึงจงอิน ผู้ชายที่เธอเห็นอยู่ข้างๆ อี้ชิงเสมอ หลายครั้งที่จงอินแอบโทรมาบอกว่าอี้ชิงไม่ยอมทานยาจนต้องแอบเอายาผสมใส่ในอาหาร หรือบางครั้งที่จงอินมาเอายาให้อี้ชิงก็มีรอยแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอเดาว่าได้มาจากแรงอาละวาดของคนไข้ของเธอเอง
จะว่าไปเธอก็ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางอะไรของสองคนนี้นัก เดิมทีก็คิดว่าเป็นเพื่อนกัน แต่ก็อย่างที่ลู่หานบอก สายตาที่จงอินมองอี้ชิงน่ะมันธรรมดาที่ไหน สุดท้ายซ่งเชี่ยนก็ได้แต่ทอดถอนหายใจแล้วส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือจากรุ่นน้อง
"ก็ได้ครับ ยังไงจะลองช่วยอีกแรง" ลู่หานตอบรับ "แต่แก้ข่าวนิดหนึ่งนะครับ ผมน่ะอัจฉริยะแต่ตัวไม่จ้อยนะ" หญิงสาวมองผู้ชายตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชัดประชัน
"จ้าๆ ไม่จ้อยหรอก แค่จิ๋วน่ะฮ่าๆ "
"โธ่! นั่นไม่แย่ยิ่งกว่าเดิมเหรอครับ" แล้วตลอดทางเดินนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของแพทย์หญิงคนสวยกับจิตแพทย์หนุ่มจบใหม่ เรื่องราวตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้พบหน้ากันถูกนำมาเล่าสู่กันฟังไม่รู้จบ
เสียงพูดคุยสดใสนั้นเรียกความสนใจจากบรรดาพยาบาลและคนไข้คนอื่นได้ไม่น้อย เพราะจากเดิมที่มีข่าวว่าจะมีจิตแพทย์หนุ่มมาประจำที่โรงพยาบาลก็ฮือฮามากแล้ว ปกติจิตแพทย์ที่มีก็รุ่นราวคราวปลดเกษียณ นานๆ ทีแผนกจิตเวชจะมีคนรุ่นๆ เข้ามาอยู่แถมมีดีกรีนักเรียนทุนจบนอกเสียด้วย ไม่แคล้วจะเป็นขี้ปากชาวบ้าน ระหว่างที่เดินผ่านห้องโถงใหญ่ของโรงพยาบาล สายตาของลู่หานก็ไปสนใจเข้ากับบอร์ดบริหารของโรงพยาบาลนี้ ซ่งเชี่ยนเลยอาสาจะแนะนำให้ลู่หานรู้จักแต่ละคนอย่างคร่าวๆ
"แถบที่สองทั้งหมดเนี่ยเป็นหัวหน้าแผนก ส่วนหัวบนสุดเป็นผู้อำนวยการตงเฉิน ขอบอกว่าเนี้ยบเว่อนะ..."
"คนนี้ล่ะครับ"
"หือ? ว่าไงนะ"
"นี่ครับ" ลู่หานชี้ไปที่แผ่นป้ายชื่อที่แยกออกมาจากผังทั้งหมดและเป็นป้ายชื่อเดียวที่ไม่มีรูปแสดงตัวตน แต่ก็เป็นป้ายชื่อเดียวที่ทำให้ลู่หานสนใจมัน
"อ๋อ คนนี้เค้าเป็นผู้สนับสนุนหลักของโรงพยาบาลน่ะ จะเรียกว่าเป็นเจ้าของก็กลายๆ นั้นเพราะถือหุ้นในโรงพยาบาลเยอะที่สุด"
ตอนนั้นเองที่รอยยิ้มฉาบบนใบหน้าลู่หานอีกครั้ง
"เจอสักทีนะ...อี้ฝาน"
ผมฝันเห็นกองไฟ ที่ทีแรกเป็นแค่ไฟกองเล็กๆ แต่ในพริบตาไฟกองนั้นมันก็ลามไปรอบตัวผม ภาพที่ผมเห็นคือผมในวัยสิบแปดปีกำลังยืนนิ่งอยู่ในบ้านท่ามกลางเพลิงไฟที่โหมไหม้ไปทั้งทั้งหลัง ผมได้ยินเสียงร้องมาจากที่ไหนสักที่ ...เสียงสะอื้นร้องไห้
"อี้ชิง...อี้ชิง" ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนที่จงอินพยายามปลุกผมจากนิทรา ตอนนั้นเองที่ผมรู้แล้วว่าเสียงที่ได้ยินในฝันเป็นเสียงใคร...เสียงผมเอง
ผมกะพริบตาไล่น้ำตาของตัวเองที่ยังไหลไม่หยุดเพดานสีขาวหม่นกับความรู้สึกตึงๆ ที่แขนซ้ายทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน โรงพยาบาลอีกแล้วสินะ แต่คราวนี้ความรู้สึกที่มักจะหงุดหงิดเวลาที่ตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองยังหายใจอยู่มันเปลี่ยนไป มันกลับกลายเป็นความรู้สึกที่...อ่า 'ผมยังมีชีวิตอยู่สินะ' มากกว่า
ผมหันไปมองจงอินที่ยืนติดกับเตียงและจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น ผมอยากจะเอ่ยปากขอน้ำดื่มแต่ลำคอมันแห้งผากเกินจะเอ่ยอะไรได้ แต่จงอินก็เหมือนจะเข้าใจในทันทีเมื่อเห็นผมกวาดสายตาไปที่เหยือกน้ำตรงเคาน์เตอร์ หลังจากได้ดื่มน้ำ ผมก็รู้สึกสึกถึงชีวิตของตัวเองอีกครั้ง ผมไม่สงสัยว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน อย่างมากก็คงสามวันนั่นแหละร่างกายของผมมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ แต่จงอินดูโทรมกว่าที่เห็นล่าสุด(หมายถึงก่อนที่ผมจะต้องมานอนอยู่ที่นี่นั่นแหละ) จงอินส่งยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยคำพูดหนึ่งออกมาอย่างเศร้าสร้อยเหลือเกิน
"ฉันขอโทษ" ผมยังรู้สึกมึนๆ ที่หัวเนื่องจากหมดสติไปหลายชั่วโมงจึงไม่รู้จะตอบอะไรกับจงอินดี มือข้างขวายกขึ้นแตะขมับไปมา จงอินยื่นมือมาปาดน้ำตาบนใบหน้าผม แล้วโผตัวเข้ากอด “ฉันขอโทษ ยกโทษให้ฉันนะอี้ชิง” ผมพอจะเรียกสติกลับมาได้ สองมือของผมดันหน้าอกจงอินออกจากตัว
“จงอิน...อย่าทำแบบนั้นอีกเลย” จงอินไม่ตอบอะไรเพียงแต่ส่งสายตาเว้าวอนเหมือนตั้งคำถามอยู่ในใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา ผมจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่ผมอยากพูดกับเขา “นายคิดว่าเราจะอยู่อย่างนี้ไปนานแค่ไหน ฉันกับนายเป็นอะไรกัน เพื่อนกันก็ไม่ใช่ คนรักกันก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย”
“...”
“ความสัมพันธ์ของเราไม่ชัดเจนอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉันเคยคิดว่าวันหนึ่งฉันอาจจะรักนายเข้าสักวันแต่มันไม่ใช่ วันนี้ฉันรู้แล้วว่ามันไม่ใช่”
“เพราะอะไร นายบอกฉันได้รึเปล่า”
“เพราะ...เพราะนายเองก็รู้ว่าเราไม่ได้รักกันมาแต่แรก มันเป็นแค่ความอยาก...มันไม่ใช่ความรัก”
“ไม่จริง เพราะไอ้นั่นใช่ไหม เพราะไอ้หน้าหล่อนั่นใช่ไหม หายไปกับมันมาทั้งคืนแล้วนายก็เปลี่ยนไปแบบนี้ นายนี่มันง่ายจริง ๆ” สายตาจงอินเกรี้ยวกราดมาก ผมไม่เคยเห็นจงอินเป็นแบบนี้เลย ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีผมไม่เคยกลัวเขามากเท่านี้เลย
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกัน เขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่เขาจะไม่ทำอะไรอย่างว่าหรอก” ถึงแม้ผมจะกลัวเขามากก็ตามแต่เขาพูดดูถูกคริสนั่นทำเกินไปแล้ว มันไม่ถูกสักนิด จงอินสอยคางเขามาครั้งหนึ่งโดยที่เขาไม่เอาเรื่องนั่นก็มากแล้ว ผมไม่ยอมให้จงอินทำอะไรบ้าๆ นั่นอีกเป็นอันขาด
“แต่นายเป็นของฉัน ให้มันรู้ไปเลยว่าไอ้คนที่ชีวิตไม่มีจุดหมาย เงินสักหยวนเดียวก็ไม่มีติดกระเป๋า แถมยังขี้โรคนี่ใครมันจะเอา”
“จงอิน!!!”
เพี๊ยะ!!
ผมพลั้งมือไปโดนหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อารมณ์ตอนนี้ดังพายุพัดกระหน่ำเข้าฝั่ง ผมเกลียดจงอินที่สุด เขาดูถูกผมแล้วยังเห็นผมเป็นสิ่งของ เขาทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีก และยิ่งไปกว่านั้นเขาดูถูกคนที่ช่วยเหลือผมอย่างคริส จงอินพยายามข่มอารมณ์ร้อนของตัวเองที่กำลังเดือดปุด ๆ อยู่ในใจตอนนี้ลง ก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“อี้ชิง ฉันขอโทษ”
“นายก็ไม่ต่างจากใครๆ หรอกจงอิน”
“ฉันขอโทษ” ว่าแล้วเขาก็เดินออกไปจากห้อง แววตาของเขาเศร้ามาก ผมเองรู้สึกอยากขอโทษเขาเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เวลานี้ ผมหวังว่าเวลาผ่านไปเขาจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้นมากกว่าจะใช้อารมณ์คุยกันแบบนี้
ผมรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยเลยล้มตัวลงนอนต่อ คงเป็นเพราะนอนนิ่งมานานร่างกายเลยยังปรับสภาพไม่ค่อยได้ แล้วยังออกแรงตบหน้าจงอินไปอีก พอจงอินออกไปอารมณ์ของผมก็สงบลงบ้างแต่ยังโกรธอยู่ เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้กับผม ยิ่งนึกถึงคำพูดที่ถูกพ่นออกมาอย่างหยาบคายนั่นอีก 'หายไปกับมันมาทั้งคืนแล้วนายก็เปลี่ยนไปแบบนี้ นายนี่มันง่ายจริงๆ' ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดนี้หรอก เพราะผมมันก็ง่ายอย่างที่จงอินว่านั่นแหละ
เราสองคนเจอกันที่ผับแห่งหนึ่ง ว่ากันตามจริง ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าประโยคแรกที่เราพูดคุยกันคืออะไร ผมเมา เขาเมา แล้วก็จบบทสนทนากันบนเตียง เป็นเขาด้วยซ้ำที่ชวนผมไปอยู่ด้วย...เราสองคนมีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกัน เราต่างโดดเดี่ยว อ้างว้าง และถูกทอดทิ้ง ถึงแม้บางครั้งผมก็คิดว่าจงอินต่างหากที่ทอดทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ส่วนผมน่ะถูกทิ้งไว้ด้านหลังให้ต่อสู้กับสังคมที่เลวร้ายนี่มากกว่า...
พ่อของจงอินเป็นนักการเมืองชื่อดังของปักกิ่งแต่สถานะของแม่ก็ไม่ได้ทำให้จงอินกลายเป็นลูกคนโปรดหรอก ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแม่ของจงอินมากนัก รู้แค่ว่าเป็นคนเกาหลีและไม่ใช่ภรรยาตามกฎหมาย ระหว่างที่เราคบกัน จงอินเองก็ไม่ได้มีผมแค่คนเดียว เช่นเดียวกันกับผมที่ไม่ได้จมปลักอยู่กับใคร ถึงผมจะอยู่กับเขามาเป็นปีแต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผมเป็นของเขาสักหน่อย เขาเห็นผมเป็นสิ่งของเหรอ?
ผมข่มตาหลับกับความรู้สึกสับสนที่ตีกันในหัว ระหว่างที่ครุ่นคิดเรื่องของจงอินภาพของคริสก็แทรกเขามาในเฟรมสมอง ความรู้สึกประหลาดมันเกิดขึ้นตรงก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ อยู่ในอก ผมนึกโกรธตัวเองอยู่นิดหน่อย...ผมกำลังคิดถึงคริสและมันก็ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ทุกครั้งที่พยายามปัดความรู้สึกของจงอินที่มีให้ผมไปให้พ้นทาง ทำเหมือนคนบ้าที่ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากให้ใครมารักผมหรอก ไม่สิ ไม่มีใครรักผมจริงต่างหาก แต่ผมกลับปล่อยความรู้สึกแบบนั้นให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ผมไม่ควรรักใครแล้วก็ไม่ควรมีใครมารักผมด้วยเหมือนกัน
ผมตกหลุมรักคริสเหรอ น่าขำจังแฮะ
แล้วเสียงเคาะประตูก็ดึงผมออกจากห้วงความคิด ผู้ชายร่างเล็กในชุดเสื้อกาวน์เดินเข้ามาในห้องอย่าเบาฝีเท้าเพราะไม่อยากให้เกิดเสียง ใบหน้าของคนที่เข้ามานั้นฉาบไปด้วยรอยยิ้ม...ยิ้มมีความสุข ผมขัดใจกับรอยยิ้มนั้นอย่างบอกไม่ถูกเลยเสหน้าหนีไปอีกทาง
"สวัสดีครับคุณอี้ชิง" ฝ่ายนั้นเอ่ยทักทายผมก่อน ผมถอนหายใจเบาๆ คงเป็นแพทย์ฝึกหัดล่ะมั้ง" ผมชื่อ “ลู่หาน” ครับเป็น...หมอคนใหม่ของที่นี่"
"ก็พอจะรู้อยู่" ผมเอ่ยเรียบๆ เอียงหน้าไปมองคนที่บอกว่าเป็นหมอคนใหม่เลื่อนเก้าอี้ออกห่างจากเตียงเล็กน้อยแล้วนั่งลง ลู่หานเป็นคนที่มีใบหน้าน่ารัก ฉาบไปด้วยความสุข ผมเองไม่เข้าใจว่าจะยิ้มอะไรมากมายทั้งที่ผมมั่นใจว่าตัวเองทำหน้าบอกบุญไม่รับขนาดนี้ "ยังมีอาการมึนหัวอยู่รึเปล่าครับ"
"หมอไม่ใช่หมอเจ้าของไข้ผมใช่มั้ย" ผมไม่ตอบคำถามแต่ยิงคำถามกลับ ลู่หานเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยตอบผม
"ครับผมไม่ใช่หมอเจ้าของไข้"
"งั้นหมอก็ไม่น่ามายุ่งอะไรกับผมนี่ครับ"
"ผมไม่ได้จะมาแทรกแซงการรักษาหรอกครับ แค่มาชวนคุยเท่านั้นเอง" ผมมองหน้าลู่หานอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก ชวนคุยเหรอ? มีเหตุผลอะไรต้องชวนคุยด้วย หรือบางทีจงอินอาจจะคิดทำอะไรอีกก็ได้ ดวงตาเป็นกระกายของอีกฝ่ายส่องสว่างจนตัวผมที่มีแต่ความมือดมนอยู่แล้วยิ่งจมลึกลงไปอีก
"หมอไปเถอะผมอยากพักผ่อนมากกว่า" ผมตัดบทแล้วนอนตะแคงไปอีกทาง ปิดเปลือกตาแต่ไม่อยากหลับไม่อยากฝัน
“ผมเพิ่งเรียนจบจากอเมริกา ผมเป็นคนจีนที่ไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดเลยตั้งแต่ไปอยู่ที่นั่นมีเพื่อนที่พูดจาสื่อสารกันด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ บางครั้งก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเขาพูดอะไรกับเรา อึดอัดชะมัด จะว่าผมตัวคนเดียวเลยก็ไม่เชิง” เสียงหมอนั่นพล่ามอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ไม่รู้มันเกี่ยวกับผมตรงไหน ผมรำคาญจริงๆ ผมจึงพูดเป็นเชิงไล่เขาออกไปจากห้องนี้ซะก่อนที่ผมจะอารมณ์เสียแล้วโวยวายอาละวาดใส่เขา
“นี่คุณหมอ ผมจะนอน” หมอนั่นเงียบเสียงไปชั่วครู่ ผมคิดว่าเขาคงเดินออกไปแล้วแหละแต่ไม่ใช่เลย ลู่หานเดินไปเปิดม่านด้วยฝีเท้าที่เบาอย่างกับตีนแมว ถ้าไอ้หมอนี่ไม่สวมเสื้อกาวน์ผมคิดว่าเป็นนักย่องเบาดีๆ นี่เอง
“นอนตั้งหลายชั่วโมงแล้วนี่” ลู่หานเปิดม่านจนแสงสว่างจากด้านนอกส่องเข้ามา แดดยามบ่ายแก่ๆ นี่แรงชะมัด เจ้าหมอนี่ทำอะไร
“คุณต้องการอะไร” เขาหันกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง อยากรู้จริง ๆ ว่ามีความสุขอะไรนักหนานี่ขนาดผมพูดด้วยแบบไม่สบอารมณ์ก็ยังยิ้มอยู่นั่นแหละ
“ผมรู้ว่าอยู่คนเดียวมันไม่ดีหรอกน่า ผมก็แค่ชวนคุณคุยนั่นนี่แก้เบื่อแค่นั้นเอง”
“คุณว่างมากขนาดมานั่งคุยกับคนป่วยใกล้ตายอย่างผมเลยหรอ”
“อี้ชิง...อย่าพูดถึงความตาย ฟังแล้วมันรู้สึกหดหู่ยังไงไม่รู้นะ”
“ผมชินชากับมันแล้วล่ะ แต่ถ้าคุณไม่ชอบผมต้องขอโทษด้วยล่ะ” ลู่หานไม่พูดอะไรเขาเดินตรงมายังเตียงของผมและนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้อีกครั้ง ผมเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วปิดเปลือกตาลง ผมพ่นลมหายใจแรงๆ แสดงให้เขารู้ว่ากำลังไม่พอใจแล้วก็รำคาญ...อยากอยู่คนเดียว
"ผมน่ะเห็นความตายมานับไม่ถ้วนแล้วล่ะครับ แต่ก็ยังหดหู่อยู่ดี เพราะถ้าใครสักคนจากไป คนที่เหลืออยู่ข้างหลังน่ะน่าสงสารที่สุด"
"ใครบอก บางทีเค้าอาจจะดีใจอยู่ก็ได้" ผมเถียงขึ้นมาทันควัน "ถ้าหมอเห็นความตายมานักต่อนัก ความตายของหมอก็คงเป็นความตายแบบโลกสวยสินะ"
"โลกสวย?" ลู่หานทวนเสียงสูง เลิกคิ้วขึ้นระดับหนึ่งแล้วยิ้มอีกครั้ง "ถ้าอย่างนั้น ความตายในแบบของคุณอี้ชิงมันเป็นยังไงเหรอครับ"
ผมจ้องหน้าอีกฝ่าย นึกเสียใจที่ตัวเองพลาดซะแล้ว ผู้ชายคนนี้คงอยากจะแงะปากให้ผมพูดอะไรออกมาแน่ๆ ผมพลิกตัวนอนหงาย เบิกตามองดูกำแพงสีขาวแสบตาเพราะสะท้อนกับหลอดไฟ ถึงจะรู้ว่าตัวเองพลาดท่าให้กับหมอจุ้นจ้านแล้วแต่ผมก็อดเอาคำถามนั้นมาคิดหาคำตอบไม่ได้ ความตายในแบบของผมเป็นยังไงน่ะเหรอ?
ผมนึกถึงภาพความตายที่เคยพบเห็นมาตลอดช่วงชีวิต แล้วย้อนมาที่ตัวเอง คนที่โหยหาความตายอยู่ตลอดเวลา ว่ากันตามจริงผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ก็แค่อยากตายไปให้พ้นจากโลกโสมมนี้ ผมรู้ว่าลู่หานยังคงนั่งมองผมอยู่เลยตอบกลับไปส่งๆ
"ก็แค่ตาย" อันที่จริงคือผมไม่มี 'คนที่เหลืออยู่ข้างหลัง' แล้วต่างหาก ถ้าไม่มีผมสักคน จงอินก็คงจะไปตามทางของจงอิน ที่ที่ผมเคยยืนก็จะมีคนมายืนแทนที่ อากาศที่ผมเคยแย่งคนอื่นหายใจก็คงมีเยอะขึ้น...ก็เท่านั้นเอง
"แล้วคุณอี้ชิงจำนาทีที่ตัวเองรู้สึกเหมือนกำลังจะตายได้รึเปล่าครับ" คำพูดของลู่หานทำให้ความคิดทุกอย่างของผมหยุดชะงัก ผมหันไปมองคู่สนทนา...แล้วผมก็จำได้ว่าทำไมผมถึงยังสามารถนอนหายใจอยู่ตรงนี้ได้ ยังตื่นมาเถียงกับลู่หานหรือตบหน้าจงอินได้อีก น้ำตาของผมไหลออกมาโดยที่ผมเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ น่าแปลกที่ความรู้สึกบางอย่างมันพุ่งขึ้นมาเอ่อล้นจนน้ำในตามันไหล
"ทำไมเหรอ?" เสียงที่ผมเอ่ยออกไปมันสั่นพร่า ลู่หานส่งยิ้มกลับมา เสียงที่ในตอนแรกฟังดูรำคาญหูเหลือเกินกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่นุ่มนวล ลู่หานเอื้อมมือมาจับที่มือผมแล้วบีบเบาๆ ราวกับอยากจะส่งกำลังใจมาให้
"ผมอยากให้นึกถึงตอนนั้น นึกถึงสิ่งที่คุณอี้ชิงคิดระหว่างที่กำลังสู้กับความตาย ผมมีความเชื่อนะครับ...ว่าสิ่งที่เราคิดถึงในวินาทีสุดท้ายของชีวิต มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรา"
ตลกนะที่ผมร้องไห้กับคำพูดเพ้อเจ้อพวกนี้
น้ำตาผมไหลไม่หยุด
คิดถึง...ผมคิดถึง ‘คริส’
TBC
Talk to you
Windy Boy :: และแล้วก็เดินทางมาถึงตอนที่สามกับความมั่นใจในการเขียนตอนนี้ลดลงอยู่ที่ 80% ตอนนี้ไม่ดราม่าเท่าไหร่แต่อยากบอกว่าเราเครียดกับการเขียนตอนนี้พอสมควร หาเยอะ ส่องเยอะ สืบเสาะเยอะแต่เรายัดมันลงไปได้แค่นิดเดียว(เหมือนจะมีสาระ) ลองคิดเล่นๆ กันไหมคะ คุณอยากให้สาวชุดแดงเป็นใคร คือตอนนี้คนเขียนไม่ได้คิดไว้ อาจจะโผล่หรือไม่โผล่มาอันนี้ไม่ขอรับปากนะ ฮ่า ๆ เป็นกำลังใจให้กับตัวละครใหม่ด้วยนะคะ
Pickajae :: กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ในที่สุดอิปะกจก็จบตอนนี้ได้สักที เป็นตอนที่จบยากที่สุดในประวัติศาสตร์ T T แม่นางคนข้างบน(= =’) ทักด้วยว่า จบมาสามตอน อี้ร้องไห้ตอนจบทุกตอน ฮ่าๆๆๆๆ สงสัยมันเป็นจิตใต้สำนึกของนังปะกจไปแว้ว มีตัวละครใหม่เพิ่มมาด้วย ฝากหมอลู่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจแฟนฟิคทุกคนด้วยนะฮับ ส่วนสาวชุดแดงเป็นใครนั้นนนนน จุดจุดจุด
ความคิดเห็น