ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] BLUE ROMANCE [KrisLay]

    ลำดับตอนที่ #2 : B L U E : : 02

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 55



    02

     

    ในเมืองใหญ่แห่งนี้ การจะมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าช่างเป็นเรื่องยากเย็นเสียยิ่งกว่าการหาน้ำสะอาดสักขวดดื่ม แสงดาวหรือจะสู้แสงไฟ ใต้ท้องฟ้าผืนเดียวกันบนโลกใบนี้ ดวงดาวมันจะเลือกส่องสว่างรึเปล่านะ... ตัวผมในเสื้อโค้ทตัวใหญ่ยืนมองท้องฟ้ายามราตรีของเมืองใหญ่แห่งนี้ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าที่ตั้งสั่นไว้ยังคงสั่นไม่หยุดตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน และโดยไม่ต้องหยิบขึ้นมาดูเลยผมก็รู้ว่าใครที่กำลังโมโหคลั่ง กดโทรหาผมไม่หยุด

     

     

     

    ผมแอบออกมาจากคอนโดของจงอินเมื่อตอนเที่ยงคืน แม้ตัวเองจะยังมีพิษไข้ติดตัวอยู่ แต่ผมก็ไม่อยากหมกตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั่น สบโอกาสตอนที่จงอินออกไปข้างนอกชั่วครู่หนีออกมา ความจริงผมน่าจะทิ้งมือถือตัวเองไว้ที่ห้องนั้นด้วย ผมมีเศษเงินติดตัวมานิดหน่อยแต่นั่นก็คงเพียงพอจะซื้อน้ำดื่มสักขวด ผมเดินหาตู้กดน้ำที่ใกล้ที่สุด ลังเลอยู่นานว่าจะเอาน้ำเปล่าหรือเบียร์ดี สุดท้ายก็ได้เบียร์เย็นๆ มาแก้กระหาย

     

     

     

    วันนี้ผมไม่มีอารมณ์ไปผับหรือสถานเริงรมย์ที่ไหน ว่ากันตามจริงมันก็ไม่เริงรมย์อะไรนักหรอก เสียงดังหนวกหู กลิ่นเหม็นชวนอ้วกของพวกขี้เมา เว้นเสียแต่คุณจะเป็นคนเมาเสียเอง ผมเดินมาจนถึงสวนสาธารณะกลางเมือง แม้ในบ้านเมืองที่เจริญไปด้วยตึกสูงใหญ่และมลพิษมากมายก็ยังอุตส่าห์มีมุมสงบให้ได้นั่งพัก อากาศบริสุทธิ์แบบนี้จะทำให้สุขภาพดีขึ้นไหมนะ? ผมหัวเราะขำกับความคิดของตัวเอง

     

     

     

    และช่างเป็นเรื่องน่าบังเอิญเหลือเกินที่มีบุหรี่กับไฟแช็คอยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวนี้คนอย่างผมไม่สมควรจะหายใจแย่งอากาศบริสุทธิ์กับชาวบ้านเค้าหรอก ผมคาบเจ้าแท่งนิโคตินไว้ที่ปากแล้วจุดไฟเข้าที่ปลาย แสงไฟสว่างวาบขึ้นแป๊บเดียวก่อนจะดับวูบไป ก็เหมือนชีวิตคนที่ช่วงเวลาที่แสนโชติช่วงเกิดขึ้นและจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟจุดบุหรี่ เหลือไว้แต่ความทุกข์ระทมที่ไล่เผาไหม้ปลายบุหรี่เชื่องช้าและแสนทรมาน ควันสีขาวลอยออกจากปาก ผมพยายามจินตนาการว่ามันกำลังหมุนวนเป็นรูปอะไร แต่ไม่ทันจะดูออกมันก็ลอยหายไปแล้ว

     

     

     

    "แค่ก! แค่ก!"

     

     

     

     อากาศหนาวเย็นกับน้ำค้างดูท่าจะเล่นงานผมเสียแล้ว ผมไอจนตัวโยน น้ำตาเล็ด ทรมานนะเวลาป่วยเนี่ย ถ้าเป็นวันนี้ของเมื่อสามปีก่อน ผมกำลังทำอะไรอยู่นะ...ตอนนั้นผมคงจะกำลังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาล่ะมั้ง ไม่ก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบแล้วแม่ก็ยกอาหารมื้อดึกมาให้...

     

     

     

    น้ำตาของผมมันไหลออกมาไม่รู้ตัว ก็แค่นึกถึงไม่ได้อยากร้องไห้สักหน่อย อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งล่ะที่ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรดีๆ ให้ก่อนจะทำเหมือนผมเป็นตัวจัญไรของบ้าน ผมรู้สึกว่าจมูกของตัวเองชื้น ปากยังคงสูดเอาควันพิษเข้าปอดอยู่เนืองๆ มือถือผมหยุดสั่นไปแล้ว บางทีจงอินอาจจะเบื่อเลยเลิกโทรตามไปแล้ว

     

     

     

    สวนสาธารณะตอนดึกๆ จะเหมือนตอนกลางวันรึเปล่า ผมห่างไกลจากการใช้ชีวิตในตอนกลางวันมานานมากแล้ว แสงอาทิตย์ในตอนเช้าตรู่มันอบอุ่นแค่ไหนผมก็จำไม่ได้ น่าแปลกที่ในหัวผมตอนนี้มีคำถามมากมายไปหมด เรียกว่าผมสงสัยทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาหรือในห้วงความคิด

     

     

     

    ผมหยิบมือถือตัวเองขึ้นดู มันแจ้งเตือนว่ามียี่สิบห้าสายไม่ได้รับ รอบนี้จงอินทำลายสถิติแฮะ นาฬิกาในเครื่องมือสื่อสารบอกเวลาเกือบตีสองแล้ว ผมยังไม่อยากกลับแต่ก็ไม่อยากไปผับที่ไหน สุดท้ายผมก็ออกจากสวนสาธารณะหลังจากสูบบุหรี่มวนที่สามหมด ผมเหลือเงินอยู่นิดหน่อยเลยตัดสินใจเข้าไปหาอะไรกินในร้านสะดวกซื้อ แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้านสายตาของผมก็ไปสะดุดที่ใครบางคนเข้าพอดี...

     

     

     

    คนที่โดนจงอินสอยปากไปเมื่อวานนั่นไงล่ะ ถึงแม้วันนี้คริสจะไม่ได้ใส่สูทเนี้ยบเหมือนอย่างเมื่อวาน ก็ยังดูดีในชุดลำลองสบายๆ บ้านเขาอยู่แถวนี้เหรอถึงมาร้านสะดวกซื้อตอนตีสอง? ผมเดินเข้าร้านเงียบๆ ไม่อยากให้เขาสังเกตเห็น เฝ้ามองว่าเขากำลังเลือกซื้ออะไร คริสพินิจดูสินค้าในมืออย่างพิถีพิถัน แปลกตาดีนะเวลาผู้ชายทำอะไรแบบนี้แต่น่าขันตรงที่ไอ้ที่เขาเลือกอยู่มันเป็นแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปธรรมดานี่สิ ของแบบนี้ต้องใช้เวลาเลือกกันนานด้วยเหรอ หลังจากเลือกได้หนึ่งแพ็คใหญ่ คริสก็เดินไปทีโซนของนมสด คราวนี้เขาใช้เวลาไม่นานเหมือนกับมียี่ห้อที่กินประจำอยู่แล้ว

     

     

     

    ผมเดินวนในร้านอยู่อย่างนั้นโดยไม่ให้คริสสังเกตเห็นจนกระทั่งเขาจ่ายเงินแล้วเดินออกไป ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ อย่างนี้ด้วย ผมเดินไปหยิบหมากฝรั่งกับน้ำเปล่าแล้วจ่ายเงิน ในหัวกำลังคิดว่าจะไปที่ไหนต่อดี ตอนนี้ไม่มีเงินขึ้นรถกลับไปที่คอนโดแล้ว หรือจะเดินไปที่ผับที่ประจำของแถวนี้แล้วขอค้างคืนสักคืนดี...

     

     

     

    "เหม่ออะไรอยู่เหรอ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ทำเอาผมที่กำลังก้าวออกจากร้านสะดวกซื้ออย่างใจลอยถึงกับสะดุ้งตกใจ ร่างสูงของคริสซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก่อนเจ้าตัวจะเดินออกมาพร้อมกับถือขวดนมที่ถูกดื่มไปบ้างแล้ว ผมยิ้มออกมาไม่รู้ตัว

     

     

     

    "สวัสดีครับ" ผมเอ่ยออกไป สายตาจ้องมองไปที่พลาสเตอร์สีเนื้อที่ติดอยู่ตรงมุมปากของคริสปกปิดรอยช้ำจากเมื่อวานผมมองมุมปากช้ำนั้นเนิ่นนาน...

     

     

     

    เมื่อวานผมไม่ได้ถามไถ่คริสเลยเพราะมัวแต่อารมณ์เสียใส่จงอิน เขาเจ็บมากไหมนะ เป็นแผลตอนอากาศหนาว ๆ แบบนี้คงเจ็บมากและกว่าจะหายก็คงนาน แรงจงอินก็ใช่ว่าจะน้อย ถึงแม้จงอินจะตัวเล็กกว่าคริสก็เถอะ ผมตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

     

     

     

    มาซื้ออะไรหรอครับผมสะดุ้งเล็กน้อยส่งยิ้มบางๆ แก้เขินให้เขา

     

     

     

    เอ่อ ผมแวะมาซื้อหมากฝรั่งกับน้ำจิบแก้กระหายน่ะ แต่กำลังจะไปแล้วแหละ ผมรีบตัดบทแล้วก้าวขาจะเดินต่อ

     

     

     

    ผมไม่อยากให้เขาเห็นผมในสภาพนี้เลย สภาพอันน่าสมเพชเหมือนกับหมาข้างถนนตัวหนึ่ง ผมยังป่วย กระเป๋าสตางค์แห้งไม่มีเงินสักหยวนเดียวแล้วยังไร้ที่ไปอีก ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือไปที่ไหนก็ได้ ไปให้ไกลๆ คริสและไปในที่ๆ จงอินไม่สามารถตามเจอ ไม่ทันได้เอ่ยลามือหนาของคริสคว้าแขนผมไว้

     

     

     

    ไปไหน นี่มันดึกแล้วนะ

     

     

     

    เอ่อ ผะ ผม... แค่กๆอากาศตอนนี้หนาวจับใจร่างกายผมต้านทานไม่ไหวแล้วเพราะพิษไข้ที่ยังเหลืออยู่

    บวกกับความอ่อนเพลียจากการที่ผมอ้วกไปเมื่อเช้าแถมยังโวยวายไม่ยอมกินยาอีก

     

     

     

    คุณไม่สบายหรอ

     

     

     

    “...”

     

     

     

    มือหนาผละจากการเกาะกุมแขนของผมเลื่อนขึ้นมาแตะที่หน้าผากเบาๆ

     

     

     

    คุณมีไข้นี่ผมกระอึกกระอักและแอบคิดในใจ เขาเป็นผู้วิเศษหรือไร ทุกอย่างที่เขาพูดกับผม ทุกอย่างที่เขาทำกับผมมันเหมือนกับพรวิเศษที่ผมได้รับ ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีทำไมเขาทำกับคนที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวานแบบนี้ ทำแบบชนิดที่หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ คุณกินยาก่อนไหมจะได้ดีขึ้น แล้วค่อยกลับบ้าน

     

     

     

    แค่กๆ ไม่ล่ะ ผมไม่ชอบมัน

     

     

     

    อากาศหนาวมากเลยนะ นี่ก็ดึกแล้วด้วย ออกมาคนเดียวแบบนี้เกิดเป็นลมล้มขึ้นมาใครจะช่วยล่ะเสียงคริสออกจะดุผมอยู่นิดหน่อย นี่ผมโตแล้วนะครับคุณ

     

     

     

    คุณเป็นห่วงผมหรอ

     

     

     

    ผมก็แค่...ไม่อยากเห็นคุณป่วยใบหน้าอมทุกข์แบบนี้เขาพูดเสียงเบา

     

     

     

    ผมก็เป็นอย่างนี้แหละเสียงของผมแหบพร่า ไม่รู้ทำไม ประโยคที่เขาพูดกับผมเมื่อกี๊ทำให้รู้สึกถึงขอบตาอุ่นขึ้นมาอุณหภูมิสวนทางกับอากาศอันหนาวเหน็บ

     

     

     

    คริส...คุณช่างอบอุ่นเหลือเกิน ...

     

     

     

    กินยาก่อนค่อยกลับนะครับผมแค่พยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ คริสเข้าไปในร้านสะดวกซื้ออีกครั้งเพื่อซื้อยาแก้ไข้ให้ผม เออแปลกดีเหมือนกัน ผมยอมกินยาโดยดี นี่ผมต้องโดนมนต์สะกดอะไรบางอย่างแน่ ๆ

     

     

     

    นานเท่าไหร่แล้วที่ผมเป็นเด็กดื้อไม่ยอมกินยา นานเท่าไหร่แล้วที่ผมเป็นแบบนี้ ตั้งแต่พ่อกับแม่จากผมไปไม่มีวันกลับ ตั้งแต่คนที่เป็นครอบครัวของผม เป็นชีวิตของผมมองผมเหมือนเป็นตัวประหลาด น่ารังเกียจน่าขยะแขยง ใช่ ผมมันน่ารังเกียจจริง ๆ

     

     

     

    ผมยอมขึ้นรถยนต์คันหรูมากับคริสตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีเขาก็ยื่นยาเม็ดยามาตรงหน้าผมแล้ว ผมรับมาโดยง่ายแต่แล้วก็กินมันอย่างพะอืดพะอม ผมละเกลียดจริง ๆ ไอ้เม็ดขม ๆ นี่ ผมยอมกินเพราะเขาสินะ

     

     

     

    คริส...คุณจะพาผมไปไหน

     

     

     

    ก็พาคุณไปส่งบ้านไง

     

     

     

    ไม่เอา ผมไม่กลับผมรีบเปิดประตูรถแล้วสาวเท้าออกจากรถ ผมไม่อยากกลับไปหาจงอิน ถ้าคริสจะพาไปส่ง ผมขอเดินเตร็ดเตร่ไร้จุดหมายเหมือนหมาข้างถนนต่อไป ผมแค่ต้องการอยู่คนเดียว...เหตุผลก็มีอยู่แค่นี้จริง ๆ

     

     

     

    คริสวิ่งตามผมเร็วมาก ใช่สิ ช่วงขาของเขายาวมาก ก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวผมแล้วแหละ เขารั้งแขนผมไว้อีกครั้ง ก่อนจะใช้มือทั้งสองกุมที่หัวไหลทั้งสองข้างของผม เขาจ้องผมตาเขม็งราวกับอยากจะดุเด็กดื้อที่ไม่ยอมเชื่อฟัง

     

     

     

    อี้ชิง...คุณไม่ควรวิ่งหนีออกมาแบบนี้นะ ตอนนี้มันหนาวมากคุณก็รู้

     

     

     

    ผมไม่อยากกลับบ้าน

     

     

     

    แล้วคุณจะไปไหน

     

     

     

    ไปไหนก็ได้แต่ไม่ใช่ที่บ้าน

     

     

     

    ไปค้างที่โรงแรมผมไหม เช้าค่อยกลับ

     

     

     

    ผมไม่มีเงินจ่ายค่าโรงแรมคุณหรอกนะ ตอนนี้ผมมีแต่ตัว เงินสักหยวนเดียวก็ไม่มีติดกระเป๋า คุณ...มือของคริสเลื่อนมาปิดปากผมไว้ไม่ให้พร่ำบ่นอีกต่อไป

     

     

     

    อี้ชิง...คุณป่วยอยู่นะ อย่าดื้อสิ เดี๋ยวไม่หายนะ ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนี้

     

     

     

    แต่ว่า...

     

     

     

    ไอ้เรื่องค่าโรงแรมน่ะไม่ต้องห่วงหรอก แค่นั้นเอง

     

     

     

    ผมสบตาคริส บางทีเขาอาจจะอยากได้อย่างอื่นที่ไม่ใช่เงิน มุมปากผมกระตุกยิ้มขึ้นมาเฉยๆ ภาพที่เขาตบหน้าผู้หญิงเมื่อตอนเราเจอกันครั้งแรกแว้บขึ้นมาในหัว ตอนนี้คริสแสนดีจนหัวใจผมมันสั่นแปลกๆ

     

     

     

    "เอางั้นก็ได้ครับ"

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    มันเป็นภาพที่น่าขำเหมือนกันที่พนักงานโรงแรมวิ่งกุลีกุจอมาต้อนรับเรา หรืออันที่จริงคือวิ่งมารับคริสที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงนอนเท่านั้น แต่ถึงแม้จะอยู่ในชุดนี้คริสก็ยังดูดีมากอยู่ดี คริสบอกกับลูกน้องว่าไม่ต้องพิธีรีตองมาก เขาแค่ต้องการห้องพักสักห้องให้กับ...เพื่อน อ่า นั่นล่ะ เรากลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย

     

     

     

    ผมสังเกตเห็นสายตาของประชาสัมพันธ์หญิงคนหนึ่งจดจ้องมาที่ผม พนักงานที่นี่น่าจะได้รับการอบรมเรื่อง

    มารยาทที่ควรปฏิบัติต่อลูกค้าหรือที่พวกเขาเรียกว่าผู้มีอุปการคุณ  ถึงหล่อนจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาชัดเจนแถมยังยิ้มแย้มเป็นมิตร แต่ผมก็มองสายตานั้นออก...สายตาที่ผมโดนจับจ้องมากว่าสามปี

     

     

     

    บางทีเธออาจจะคิดว่าเจ้านายกำลังหิ้วเด็กหนุ่มมาสนองกามารมณ์ที่ห้องพักสุดหรู หรือไม่ก็คิดว่าผมกำลังเกาะเจ้านายสุดหล่อของเธอ แต่ก็เอาเถอะ ผมคงไปห้ามความคิดใครไม่ได้อยู่แล้ว

     

     

     

    "พวกคุณไม่ต้อง เดี๋ยวผมพาเพื่อนไปเอง" คริสหันไปบอกพนักงานแล้วคว้าข้อมือผม ดึงให้เดินตามไป แทบไม่ต้องออกแรงมากนักตัวผมก็แทบปลิวไปชนแผ่นหลังคริสแล้ว ผมอยากจะท้วงว่าเดินเองได้ แต่อยู่ๆ อาการเหมือนโลกเหวี่ยง ก็ทำให้ผมกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอ

     

     

     

     "ความจริงเราก็เพิ่งรู้จักกันแถมความประทับใจแรกผมก็แย่มากด้วย ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังช่วย" ผมเอ่ยขึ้นตอนที่เราอยู่ในลิฟต์แล้ว

     

     

     

    "คิดซะว่าเป็นค่าปิดปากเรื่องผู้หญิงคนนั้นก็แล้วกัน" คริสหันมยิ้มให้ ผมรู้ในทันทีว่าเขาพูดถึงผู้หญิงคนไหน

     

     

     

    "แต่ว่า..." ผมแตะนิ้วลงบนมุมปากของตัวเองบอกตำแหน่งสิ่งที่ผมอยากจะบอกเขาซึ่งความจริงแล้วมันอยู่บนหน้าคริสไม่ใช่ผม คริสยกมือแตะพลาสเตอร์ที่ปิดแผลแล้วยิ้มบางๆ

     

     

     

    "ไม่ต้องใส่ใจหรอก คุณไม่ได้เป็นคนชกผมนี่" ยิ่งเขาพูดแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกไม่ดีเลย ไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ดีทางความคิดนะ แต่ตอนนี้ร่างกายผมก็พาลจะไม่ดีไปด้วย ผมเอนหลังเข้ากับผนังลิฟต์เบาๆ ไม่ให้คริสสังเกตเห็น ท่าทางพิษไข้ผมจะเล่นงานหนักแล้วล่ะรอบนี้ ลิฟต์มันดูเหมือนกำลังแกว่งไปมาชอบกล

     

     

     

    บางทียาที่กินไปมันอาจไม่แรงพอ นาทีนั้นผมนึกถึงจงอินขึ้นมาเฉยๆ อาจเป็นเพราะเขาชอบยุ่มย่ามเรื่องสุขภาพของผมก็เลยนึกถึงเท่านั้นแหละ เวลาเป็นไข้ทีไรเหมือนตัวเองอาศัยอยู่ในลูกข่างที่หมุนวนไม่หยุดทุกที ความดันของผมอาจจะผิดไปจากคำว่าปกติแล้ว น้ำลายหนืดทำให้กลืนลงคอลำบาก

     

     

     

    "คุณไม่เป็นไรนะ" คริสก้มลงถามผมใกล้ๆ ผมไม่ตอบอะไรหรือที่ถูกคือผมตอบไม่ได้ เหมือนทุกอย่างที่เคยกินมันพร้อมจะกลับออกมาทางเก่าแล้วผมก็ไม่อยากพ่นเบียร์ใส่หน้าใคร  คริสประคองผมที่กำลังจะไหลลงไปนั่งกับพื้นลิฟต์ ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ 38  ร่างสูงชั่งใจอยู่เสี้ยววินาทีก่อนจะช้อนตัวผมอุ้มขึ้น

     

     

     

    "คะ...คริส" ผมทำได้แค่พึมพำชื่อเขาเบาๆ พูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ แผ่นอกกว้างของเขาอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

     

     

    "ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่สบายคุณก็ไม่ควรจะออกมานะ"

     

     

     

    "ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่อยากอยู่ที่นั่น" เผลอเถียงออกไปทั้งที่ไม่มีแรงสุดท้ายผมเลยต้องสูดหายใจลึกเพราะรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน...

     

     

     

    บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณของความตายที่กำลังก้าวทันผมแล้วก็ได้ ผมจินตนาการว่าคริสเป็นมัจจุราช แต่เอ...มัจจุราชใจดีแบบนี้รึเปล่านะ ความตายอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆ คิดก็ได้ ผมหลับตาลงขณะที่คริสพาเข้าห้อง เขาวางผมลงบนเตียงนุ่มขนาดใหญ่ ผมอยากจะเอ่ยคำว่าขอบคุณแต่ก็ทำไม่ได้ คริสยิ้มให้ผมแล้วเดินไปนั่งที่ปลายเตียงเพื่อ...ถอดรองเท้าให้ผม ผมชักเท้ากลับด้วยความตกใจ เขาเป็นใครทำไมต้องทำให้ผมขนาดนี้ด้วย

     

     

     

    "จะนอนทั้งอย่างนี้เหรอ? คุณคงลุกขึ้นมาก้มถอดรองเท้าไม่ได้หรอก เดี๋ยวผมถอดให้ก็แล้วกัน"

     

     

     

    ผมจำต้องยอมให้คริสถอดรองเท้าให้ถึงแม้จะเกรงใจเขามากก็ตาม ผมอยากขอบคุณคนที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวานนี้ เขาไม่รังเกียจผมเลยแม้แต่น้อยตรงกันข้ามเขากลับทำดีกับผมเหมือนคนที่รู้จักกันดี ผมอยากขอบคุณเขาเหลือเกินหากแต่ร่างกายผมตอนนี้ไม่อำนวยเลยจริง ๆ จะเอ่ยคำ ๆ หนึ่งออกมาจากปากยังยากเลย ผมจำต้องกลืนทุกสิ่งอย่างลงคออย่างยากลำบาก ตอนนี้หูเป็นเพียงอวัยวะส่วนเดียวที่รับรู้ทุกสิ่งอย่าง

     

     

     

    คริสค่อย ๆ ถอดรองเท้าออกจากเท้าของผม จากนั่นเขาก็ไล่ถอดเข็มขัดเส้นยาวที่เอวเพื่อคลายความอึดอัดให้กับผม แล้วแกะกระดุมเสื้อโค้ทออก เขาใช้หลังมือแตะแก้มผมเบาๆ เพื่อเช็คอุณหภูมิไข้อีกครั้ง

     

     

     

    ไข้ยังไม่ลดเลย ยาก็กินไปแล้ว ผมขอเช็ดตัวคุณหน่อยนะ

     

     

     

    คะ...คริส

     

     

     

    ผมไม่ล่วงเกินคุณหรอกพูดแล้วผ้าขนหนูนุ่มบิดหมาดก็สัมผัสที่ใบหน้าของผมลูบไล้วนจนทั่วอย่างเบามือ สัมผัสของผ้าขนหนูแตะที่ต้นคอไล่ไปที่แขน แล้วจากนั้นเขาก็ดำเนินการทุกอย่างอย่างเบามือ  นาทีนี้ทำให้ผมคิดถึงพ่อกับแม่...

     

     

     

    ผมสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก ๆ ยามผมไม่สบายแม่มักมอบสัมผัสแบบนี้ให้กับผมเสมอ ส่วนพ่อก็ไม่เคยทิ้งห่างจากแม่เลย จะว่าไปพวกเขาก็ทำสิ่งดี ๆ ให้กับผมตั้งมากมาย...ก็เขาเป็นครอบครัวของผมนี่นา

     

     

     

    น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านหางตาช้า ๆ ผมไม่มีแรงแม้กระทั่งปาดมันออกไปจากหน้าของตัวเอง ไม่ใช่อะไร ผมแค่ไม่อยากเผยความอ่อนแอให้คริสเห็น เขาใช้มือปาดมันออกเบา ๆ แล้วก้มลงกระซิบข้าง ๆ หูผม

     

     

     

    อี้ชิง...ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมา แต่ตอนนี้ทำใจให้สบาย หยุดคิดถึงมันแล้วก็พักผ่อน ไข้จะได้หายไว ๆ นะครับ คืนนี้ผมจะอาสาเป็นยามเฝ้าไข้ให้คนป่วยเอง คุณคงอึดอัดถ้าผมจะให้พนักงานพวกนั้นเข้ามาดูแล แต่คุณรู้ไว้นะว่าอยู่ที่นี่คุณไม่ต้องกังวลใจว่าใครเขาจะมองคุณยังไง คุณอยู่กับผม...คุณจะปลอดภัย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แดดยามบ่ายแยงตาปลุกให้ผมตื่นจากนิทรา พิษไข้ทำให้ผมหลับไปเกือบสิบเอ็ดชั่วโมง เฮ้อ คริสหายไปไหนแล้ว ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคือตอนนี้จะทำยังไงต่อ ผมหายไปครึ่งวันป่านนี้จงอินจะเป็นไงบ้าง หวังว่าเขาคงตามหาผมไม่เจอนะ ไม่สิ ความจริงผมไม่อยากให้เขาเจอผม เพราะผมไม่อยากให้คริสต้องเดือดร้อนอีกต่างหาก ผมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่สักครู่ประตูบานสวยก็ถูกเคาะแล้วเปิดออก

     

     

     

    คริสมาพร้อมกับอาหารเช้า ไม่สิ อาหารมื้อแรกหลังจากที่ไม่มีข้าวสักเม็ดตกสู่ท้องผมมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยต่างหาก

     

     

     

    กินข้าวก่อนนะ แล้วค่อยกลับบ้าน อะ...เอ่อ ผมขอโทษนะอี้ชิง

     

     

     

    ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็ต้องกลับไปที่นั่นอยู่ดี

     

     

     

    การกระทำของคริสซ้อนทับกับสิ่งที่จงอินทำให้ผมเมื่อวานนี้ แต่ต่างกันตรงที่ไม่มี 'ยาพวกนั้น' มาจ่อคอให้ผมกิน ไม่มีการทะเลาะวิวาท ไม่มีเศษกระเบื้องแตก...มีแต่ความรู้สึกปลอดภัยที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นเลย ดวงตาคมที่จับจ้องผมมันทำให้หัวใจผมสั่นไหว...ได้ยังไงกันนะ แบบนี้มันไม่ถูกต้องสักนิด

     

     

     

    "ผมให้คนเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว ทานอาหารเสร็จแล้วค่อยอาบน้ำนะ เดี๋ยวผมจะไปส่ง"

     

     

     

    "ทำไมคุณต้องทำดีกับผมด้วย?"ผมเอ่ยถาม แน่ใจว่าแววตาของตัวเองคงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจเป็นแน่ คริสไม่ได้ยิ้มเหมือนอย่างที่เคย น้ำเสียงที่ตอบกลับก็ช่างแสนราบเรียบ...

     

     

     

    "เพราะผมรู้สึกต้องชะตากับคุณ"

     

     

     

    ...แต่กลับทำหัวใจผมเต้นรัว...

     

     

     

    อาหารมื้อนี้ดูเหมือนจะอร่อยที่สุดในรอบหลายปี ไม่อย่างนั้นก็คงเป็นเพราะผมหิวมาก ระหว่างที่กำลังจัดการกับมื้ออร่อย ผมก็เพิ่งตระหนักถึงความร่ำรวยของผู้ชายคนนี้ได้ชัดเจนขึ้น ห้องพักหรูขนาดนี้คงไม่ใช่แค่โรงแรมไก่กาอะไรแน่ มองไปก็ขัดกับภาพลักษณ์ของผู้ชายที่อยู่ในชุดนอนสบายๆ ที่กำลังจดจ้องไปยังรายการข่าวในโทรทัศน์ มองจากตรงนี้แผ่นหลังของคริสก็ยังดูกว้างใหญ่ ชวนให้นึกถึงอกกว้างที่ผมเอนซบตอนโดนอุ้มเมื่อคืน อา...อยู่ดีๆ หน้ามันก็ร้าวผ่าวขึ้นมา ทำตัวเป็นเด็กสาวไม่ประสีประสาโลกไปได้นะจาง อี้ชิง ผมส่ายหน้าไล่ความคิดอะไรก็ไม่รู้(เพราะผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน)ออกจากหัวแล้วก้มหน้าก้มตาทานต่อ

     

     

     

    ผมรู้สึกไม่ชินกับชุดที่คริสหามาให้ มันดู...เด็กเกินไป  ผมชอบเสื้อโค้ทมากกว่าเสื้อฮู้ดสีสันฉูดฉาดแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ บ่นไปจะถูกหาว่าเรื่องมาก ก่อนที่เราจะออกจากห้องก็มีพนักงานเอาเสื้อผ้าของผมมาให้ มันถูกซักรีดสะอาดเรียบร้อยในถุงกระดาษใบใหญ่ พิถีพิถันดีจัง

     

     

     

    "เสร็จแล้วใช่ไหม? งั้นไปกันเลยแล้วกัน"

     

     

     

    "คุณไม่อาบน้ำก่อนเหรอครับ" ผมท้วงขึ้นเมื่อเห็นว่าคริสยังอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อคืน

     

     

     

    "ไม่ล่ะ เดี๋ยวผมค่อยกลับไปอาบที่บ้าน" คำตอบของเขาทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมา เมื่อคืนนี้คริสคงจะแค่ออกมา

    หาอะไรกินดึกๆ แต่ดันมาเจอผมซะก่อนนั่นแหละ เลยต้องเป็นธุระใหญ่โตแถมยังนอนเฝ้าผมทั้งคืนด้วย

     

     

     

    หลังจากที่ที่คริสคุยธุระกับลูกน้องของตัวเองอีกนิดหน่อยเราทั้งคู่ก็เดินไปยังรถที่มีพนักงานจอดเตรียมไว้ให้แล้ว เป็นคนรวยนี่มันสบายไปหมดจริงๆ แหละ แต่แล้วเมื่อผมกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ ใครบางคนก็กระชากผมแทบล้ม แม้ไม่ได้หันไปมองแต่กลิ่นบุหรี่นี้ก็ทำให้ผมเดาได้ไม่ยาก...จงอิน

     

     

     

    "นึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็หนีมากับไอ้เวรนี่นี่เอง" ผมชายตามองจงอินแล้วสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม ผมรู้ดีว่าการกระทำของตัวเองไม่ต่างอะไรกับตบหน้าจงอินต่อหน้าที่สาธารณชน

     

     

     

    "อี้ชิงไม่สบาย..."

     

     

     

    "มึงไม่ต้องเสือก!" จงอินหันไปตวาดตัดบทคริส ก่อนจะกระชากผมให้เดินตามไปอีกครั้ง ผมไม่มีโอกาสได้เอ่ยลาหรือขอบคุณคริส ทำได้แค่ปล่อยตัวเองไปตามแรงของอีกฝ่าย จงอินผลักผมขึ้นรถก่อนที่ตัวเองจะเดินอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ เขาสตาร์ทรถแต่ไม่ยอมออกรถเสียที "ทำไมนายไม่รับสายฉัน"

     

     

     

    เสียงของจงอินกดต่ำคล้ายกับกำลังข่มอารมณ์โกรธ

     

     

     

    "ไม่อยากรับ" ผมเสหน้าไปทางหน้าต่าง

     

     

     

    "ไม่อยากรับงั้นเหรอ? ฮึ เพราะอยู่กับไอ้หมอนั่นเลยไม่กล้ารับมากกว่าน่ะสิ"

     

     

     

    "แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของนาย ฉันจะไปไหนจะทำอะไรต้องขอนายทุกอย่างเลยรึไง" เราเริ่มมีปากเสียงกันอีกครั้ง ผมรู้ว่าแม้จะพักผ่อนไปเยอะแล้ว แต่ร่างกายก็ยังอ่อนล้าอยู่ จะหายใจก็ยังเหนื่อย

     

     

     

    "มันก็เรื่องของฉันแน่อยู่แล้ว เพราะนายเป็นของฉัน" จงอินว่าก่อนจะออกรถ

     

     

     

    ระหว่างทางกลับคอนโด จงอินยิงคำถามมากมายใส่ผม ผมไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้นแต่ก็ไม่อยากแกล้งหลับเลยทำหูทวนลม ผมเบื่อเกินกว่าจะมานั่งตอบคำถามบ้าบอพวกนี้ เบื่อที่โดนถามอยู่ตลอดว่ากินยารึยัง...มันเป็นการยั่วโมโหที่งี่เง่ามากใช่ไหม

     

     

     

    ทันทีที่ถึงคอนโดจงอินก็ใช้กำลังลากแล้วผลักผมลงกับโซฟา ก็เหมือนหลายๆ ครั้งเวลาที่เขาโมโหหรือโกรธใครมา นั่นแปลว่าเราจะลงเอยกันด้วยเซ็กส์ แต่ครั้งนี้ผมไม่อยากทำ ผมใช้แรงเท่าที่มีผลักจงอินออกปาดน้ำลายตรงมุมปากที่ได้มาจากจูบหนักหน่วงที่จงอินโถมเข้ามา ผมจ้องจงอินเขม็งก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินหนีโดยไม่พูดอะไร แต่จงอินก็ดึงผมกลับมาได้เหมือนเดิม

     

     

     

    "อย่ามาเล่นสงครามประสาทกับฉันนะอี้ชิง"

     

     

     

    "ฉันเหนื่อย" ผมตอบสั้นๆ จะลุกหนีแต่ก็โดนรั้งไว้ "ปล่อย"

     

     

     

    จงอินไม่ยอมปล่อยแถมยังมองผมด้วยสายตาที่ผมไม่ชอบ...อย่ามาห่วงใยผมเลย ผมอยากจะพูดออกไปแบบนั้น ผมรู้สึกอยากจะพักผ่อนแบบที่พักผ่อนจริงๆ ไม่ใช่พักผ่านทางใจแต่เหนื่อยล้าทางกายอย่างที่จงอินอยากจะทำ เขาโกรธผม โกรธคริสและอยากจะระบายอารมณ์เหล่านั้น นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เราได้พบกัน อยู่ด้วยกัน และมีเซ็กส์กัน...เราต่างก็ตอบสนองซึ่งกันและกัน

     

     

     

    "นายกับมัน...มีอะไรกันรึยัง" จงอินถามผมเสียงอ่อน นั่นทำให้ผมนึกถึงเรื่องระหว่างผมกับคริส นึกถึงประโยคที่เขาเอ่ยกับผม

     

     

     

    'คุณรู้ไว้นะว่าอยู่ที่นี่คุณไม่ต้องกังวลใจว่าใครเขาจะมองคุณยังไง คุณอยู่กับผม...คุณจะปลอดภัย'

     

     

     

    ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าเพราะอย่างนี้รึเปล่า ที่ทำให้ผมหลับสนิท ไม่ฝันร้ายเหมือนอย่างทุกคืน...ผมยิ้มบางๆ แทนคำตอบเพราะความรู้สึกปลอดภัยเวลาที่นึกถึงคริส แต่ผมไม่ได้ทันนึกว่ามันเป็นการยั่วโมโหจงอิน ร่างสูงกดผมลงกับโซฟา กดจูบรุนแรงลงบนริมฝีปาก ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวของเลือดและรสชาติของมันที่ไหลลงคอไปตามน้ำลายหนืด ผมพยายามผลักร่างของคนที่แข็งแรงกว่าออก แต่เพราะเรี่ยวแรงที่สู้ไม่ได้เลยกลายเป็นว่าผมโบกมือปะป่ายไปทั่ว เสียงค้านที่จะร้องออกมาก็ทำไม่ได้เพราะกลีบปากที่ถูกช่วงชิง

     

     

     

    "อื้อ!...ไม่...จงอิน" ผมอาศัยจังหวะที่จงอินถอนริมฝีปากออก รวบรวมเอาแรงทั้งหมดที่มีผลักจงอินไปให้พ้น แล้วตะเกียกตะกายหนีจากที่ตรงนั้น จงอินนั่งหายใจเหนื่อยหอบอยู่บนโซฟา ใช่ เขาหอบเพราะเหนื่อยที่ออกแรงกับผม ผมเองก็หอบ แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน

     

     

     

    ผมรู้สึกว่าห้องนี้หมุนเคว้งอีกครั้ง แน่นหน้าอกจนต้องใช้กำปั้นทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพทุกอย่างตรงหน้าพร่ามัวไปหมด ความตายกำลังมาเยือนผมงั้นเหรอ หูของผมอื้อจนไม่สามารถจับใจความในสิ่งที่จงอินพยายามพูดได้ ใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้ผมเพียงคืบยังดูไม่ชัดเจน การหายใจในแต่ละครั้งมันช่างยากเย็นเหลือเกิน

     

     

     

    "อี้ชิง! อี้ชิง! หายใจเข้าลึกๆ อี้ชิง หายใจสิ!?"  ผม...ผมไม่รู้ว่าจงอินพูดอะไร รู้สึกเหนื่อยที่พยายามหายใจเท่าไหร่ก็เหมือนไม่มีอากาศผ่านเข้ามาเลย ผมกำลังจะตายจริงๆ ใช่ไหม น้ำตาของผมไหลออกมา มันทรมานเหลือเกิน

     

     

     

    "ฮึก...ฮือ...ฮือ" ผมสะอื้นไปพร้อมๆ การพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดมันช่างยากเย็นนัก

     

     

     

    พระเจ้านึกสนุกอีกแล้ว ตอนนี้ผมยังตายไม่ได้นะ ผมยังตายไม่ได้ ผมยังไม่ได้ตอบแทนคริสเลย ผมยังต้องไปเจอเขาอีกครั้ง เสียงของจงอินยังดังอยู่รอบตัวผมเช่นเดียวกันกับเสียงหายใจของตัวเองที่ดังจนน่ากลัว...ผมกลัว ผมกลัวความตาย แต่ขณะที่ผมพยายามวิ่งหนีมัน มันก็ยิ่งตามผมทันเร็วเท่านั้น ผมหมดแรงแล้ว จงอินกำลังจะไปไหน อย่าเพิ่งเดินหนีผมนะ

     

     

     

    "ฉันจะพานายไปโรงพยาบาลนะอี้ชิง" เขาพูดบ้าอะไรอีกแล้วนะ

     

     

     

    ผมคว้าเสื้อของจงอินแล้วดึงให้ใบหน้าเข้มนั้นเข้ามาใกล้ ทั้งที่ผมหมดแรงแล้วแต่ก็ยังหอบสะอื้นไม่หยุด ผมคิดถึงคริส คิดถึงเสียงทุ้มต่ำที่พูดกับผมอย่างอ่อนโยน

     

     

     

    'คุณอยู่กับผม...คุณจะปลอดภัย'

     

     

     

    ...

     

     

     

    "จงอิน...ฮึก...ฉันยังไม่อยากตาย"

     

     

     

     

     

    TBC…

     

     

    Talk to you

     

     

    Windy Boy ::  ป่วยไปกับจางอี้ชิง ในตอนนี้บางช่วงที่เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เนิบนาบ อืม...บอกไม่ถูกอะ จะบอกว่านั่นส่วนของเราเขียนเอง ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ เรื่องนี้ยังอีกยาวไกล ฮ่า ๆ อยากขอขอบคุณทุกคนที่ยังคงเป็นกำลังใจให้กับตัวละครทุกตัว

     

    Pickajae :: แล้วตอนนี้ก็จบลงอย่างป่วยๆ (ป่วยจริง ๕๕) เพราะว่าเรื่องนี้แต่งด้วยกันสองคน เนื้อเรื่องในแต่ละตอนก็แต่งสลับกันไป เพราะงั้น ขอบคุณรีดเดอร์ที่ชมว่าภาษาสวยนะคะ ถ้าอ่านลื่นไม่ติดขัดแปลว่าไรท์เตอร์สองคนจูนกันได้(บู๊ยยยยย) ตอนนี้ขอเวิ่นเยอะหน่อย ตอนที่แล้วมาเร็วไปเร็ว คึคึ ...ดราม่ามั้ย =.,= นี่แค่เริ่มต้นเองนะ โฮะๆๆ ยิ่งแต่งยิ่งโรคจิต ชอบให้น้องอี้เจ็บปวด = v = เจอกันใหม่ตอนหน้านะฮับ เค้ารักทุกคน -3- ม๊วฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×